แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Alaskan เมื่อ 2025-11-13 20:32 - j: y# P; O' f7 K! Q9 ?
1 \6 _3 `& T& D G* V0 P/ B- h0 P) m. ผมขอเกริ่นก่อนนะครับ เรื่องราวในทริปนี้ผมตั้งใจจะเล่าให้ผู้อ่านเห็นภาพ ตามไปกับผม ว่าความรู้สึกของการเป็น naturist ที่แอบมีความ exhibitionist นิด ๆ มันเป็นยังไง สถานที่ในเรื่องมีอยู่จริงนะครับ ถ้าใครอยากลองตามรอย ผมเชื่อว่าหาไม่ยาก ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- . ทริปนี้ผมเป็นคนจัดเองทั้งหมด ตั้งแต่จองตั๋วเครื่องบินจนถึงเลือกที่พัก เป้าหมายคือหาชายฝั่งอันดามันที่เงียบสงบ คนไม่เยอะ อยากพักใจจากงาน อยู่ใกล้ธรรมชาติ ฟังเสียงลม เห็นน้ำทะเลใส ๆ ฟ้าสวยแบบไม่ต้องใช้ฟิลเตอร์ . รีสอร์ทที่เลือกเป็นแบบส่วนตัวมาก ๆ — เงียบจนถ้าอยากเดินตัวเปล่าในห้องก็ไม่มีใครเห็น พูดง่าย ๆ คืออยากมาพักจริง ๆ ทั้งกายและใจ…แต่ก็แอบมีแผนเล็ก ๆ อยู่ในใจเหมือนกัน .
, | R2 w9 G$ C0 Q5 c) h2 \ทริปนี้เรามีสามคน — ผม, ไอ้ตี๋ และไอ้อ้น เราบินไฟลต์สาย ๆ มาลงภูเก็ต ตอนล้อเครื่องแตะรันเวย์ หัวใจผมเหมือนตื่นเต็มที่ทันที เพื่อนสองคนนั่งข้างๆ คุยกันเสียงดังเรื่องร้านซีฟู้ด ร้านเหล้าดีๆ เหมือนทริปนี้จะไม่มีอะไรพิเศษนอกจากทะเลกับอาหารดีๆ อากาศวันนั้นร้อนแบบชายทะเล แต่ลมดี จนใจเย็นลงทันทีที่เดินออกจากสนามบิน . หลังรับกระเป๋าเสร็จ เราก็ไปเอารถเช่าที่จองไว้ล่วงหน้า สองคนนั้นไว้ใจผมเต็มที่ ไม่ถามแม้แต่คำเดียวว่าพักที่ไหน ขอแค่วิวดี ใกล้ทะเลก็พอ ผมยิ้มในใจ — เพราะพวกมันไม่รู้เลยว่าที่พักครั้งนี้…ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา. . รีสอร์ทที่เราจะไปเป็นแบบ naturist friendly เน้นอิสระทางกาย เคารพพื้นที่ของกันและกัน ซึ่งผมตั้งใจจะให้เพื่อนทั้งสองเซอร์ไพรส์หน่อย เพราะสองคนนี้ชอบทำเท่ มั่นใจในตัวเอง อยากเห็นหน้าพวกมันตอนรู้ความจริงสักที . รถเช่าคันเล็กสีขาวแล่นไปตามทางลงใต้ ผมเปิดแอร์แรงๆ พร้อมกับแง้มหน้าต่างเล็กน้อยพอให้กลิ่นไอทะเลเข้าไหลเอื่อยๆมาในรถ . สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นมะพร้าวสูงเรียงราย บ้านไม้ชาวประมงแทรกอยู่เป็นระยะ ๆ เหมือนภาพวาดที่มีชีวิต . ไอ้อ้น....ผิวเข้มแบบคนกร้านแดด ท้าวแขนพิงหน้าต่าง ใส่แว่นกันแดดสีดำ นั่งทำเท่ตามสไตล์ ส่วนไอ้ตี๋ ... ผิวขาว หุ่นลีน เหยียดตัวนอนเกือบเต็มเบาะหน้า หาวยาวๆ ทำท่าทำทางโคตรจะชิว ส่วนผมทำหน้าที่เป็นสารถี นั่งขับรถเงียบๆ แต่ยิ้มกรุ่มกริ่มบางๆ เหมือนคนที่กำลังมีความลับในใจ .
8 P# m# U8 A. y ผมขับรถชมวิวเรื่อยๆ มาเกือบชั่วโมงก็เลี้ยวเข้าทางแคบๆ มีป้ายไม้สีน้ำตาลจางเขียนไว้ว่า Naturist Village ซึ่งสองข้างทางตอนนี้เริ่มเป็นสวนปาล์มเรียงแน่น เสียงใบไม้เสียดสีกันตามแรงลม ราวกับว่าธรรมชาติกำลังกระซิบอะไรบางอย่างที่เราลืมไปนานแล้ว . . “มึงหาที่ไหนมาวะ เงียบชิบหายเลย” ไอ้ตี๋ถามเสียงสูง ผมหันไปยิ้ม ไม่ตอบ แต่ลดกระจกลง ปล่อยให้ลมทะเลพัดเข้ามา ลูบไล้ใบหน้าอย่างนุ่มนวล เหมือนใครบางคนกำลังสัมผัสอยู่ . พอรถเลี้ยวเข้าเขตรีสอร์ท ภาพตรงหน้าก็เปิดกว้าง — ทะเลสีฟ้าครามทอดยาวสุดสายตา ทรายขาวสะอาด แสงแดดระยิบระยับบนผิวน้ำจนแทบจับต้องได้ หัวใจผมเต้นแรง เหมือนได้หลุดออกจากกรงที่ขังตัวเองมานาน .
: \9 @' ^$ C. P0 j3 } เราจอดรถและช่วยกันขนสัมภาระลง . พนักงานเดินมาต้อนรับในชุดบางเบาสีขาว เคลื่อนไหวช้าๆ นุ่มนวล เหมือนทุกอย่างที่นี่ถูกออกแบบมาให้สงบ พวกเขาพาเราไปยังล็อบบี้เล็กๆ ที่เปิดโล่ง มองเห็นวิวทะเลเป็นประกายอยู่ตรงหน้า . บนเคาน์เตอร์มีป้ายไม้แกะสลักเล็ก ๆ เขียนไว้ว่า --- เราน้อมรับเสรีภาพของร่างกายตามธรรมชาติ . ผมทำเป็นไม่สนใจ แต่แอบเหลือบมองเพื่อนทั้งสอง เห็นคิ้วกระตุกเล็กน้อย ปากยิ้มมุมแบบงง ๆ ปนขำๆ แววตาพวกมันเหมือนจะถามว่าที่นี่มันอะไรกันแน่ ผมยิ้มในใจ… ทริปนี้เพิ่งเริ่ม แต่ผมรู้เลยว่ามันจะไม่ธรรมดาแน่นอน . . หลังจากที่พวกเราทั้งสามรับ welcome drink เสร็จ เราก็ลากกระเป๋าออกจากล็อบบี้ ผ่านพื้นไม้ไผ่สะอาด เสียงรองเท้าแตะกระทบดังเบาๆ ตึ๊ก…ตึ๊ก… ลมทะเลผ่านโถงเข้ามาแบบไม่เกรงใจใคร เหมือนมันอยากแนะนำตัวกับเราก่อนสิ่งอื่นใด รีสอร์ตที่นี่มีความเงียบมาก เงียบแบบได้ยินเสียงใบมะพร้าวเสียดกันจากไกลๆ แสงแดดลอดผ่านต้นไม้ลงมาเป็นจุดๆบนพื้น เดินแล้วเหมือนเดินผ่านเงาคลื่นบนผืนทราย . . พอพนักงานพาเดินลึกเข้าไป เราเห็น สระว่ายน้ำกลางรีสอร์ต ไม่ขนาดใหญ่มาก แต่สะอาด ผิวเรียบ สงบ น้ำใสมากจนเงาของต้นมะพร้าวสะท้อนตกลงไปเป็นรูปที่สวยแบบไม่ได้ตั้งใจ ข้างสระมีเตียงอาบแดดไม้ วางเรียงกัน , มีผ้าเช็ดตัวสีเอิร์ธโทนพับไว้บนที่นอนแต่ละตัว ทุกอย่างดูสโลว์ไลฟ์ สบายตา ไม่มีโลโก้ ไม่มีความพยายามโชว์หรู เหมือนที่นี่ออกแบบมาเพื่อให้ร่างกายคนกับธรรมชาติอยู่ข้างกันแบบเท่าเทียม . . ไอ้อ้นเพื่อนผมเดิน ผ่านเตียงไม้แล้วพูดขึ้น แบบงงๆ “โห…แดดแบบนี้ ใครมันจะมานอนตากวะ ไหม้ทั้งตัวแน่” และมันก็พูดต่อ “แดดแรงแบบนี้ ใครจะมานอนตากแดดเนี่ย มะเร็งถามหาแน่” . ไอ้ตี๋ได้ยินดังนั้นแลัวก็หัวเราะตามแล้วพูดตอบ “กูว่า... ต้องรักสายลมและแสงแดดมากๆ อะแบบนี้ ถึงจะมานอนให้ไหม้ทั้งตัวได้” ….. ผมยิ้ม ไม่พูด ไม่ได้บอกว่า ที่นี่คนที่มานอนอาบแดด เขาไม่ได้กลัวดำ เขามาปล่อยตัวให้แสงมันโอบร่างแทนผ้าห่ม . เราเดินต่อไปก็เจอมุมหนึ่งมี เปลผ้าผูกกับต้นไม้ แกว่งเบาๆตามลม สวนต้นไม้เขียวๆเงียบๆ ฝักบัวล้างตัวแบบกลางแจ้งตรงมุมใกล้สระ ทุกอย่างดูเรียบ สบาย ไม่ประกาศตัวแรง เหมือนที่นี่ตั้งใจให้ธรรมชาติเป็นคนพูดแทน . พวกผมเดินพนักงานต้อนรับไปเรื่อยๆ ตามทางไม้ไป ห้องอยู่ท้ายสุด สองข้างเป็นพุ่มใบใส่ร่ม ลมพัดจนใบเสียดกันเบาๆ เสียงคลื่นไกลๆสม่ำเสมอ เหมือนเสียงหัวใจแบบช้าๆ . ไอ้อ้นที่เดินอยู่ฝั่งซ้ายพูดขำๆ “ที่นี่แม่งเงียบจนเหมือนเราพูดดังแล้วผิดกฏ” ไอ้ตี๋คนหัวเราะเบาๆ ผมเองก็แค่ยิ้ม ฟีลเหมือนค่อยๆปลดเสียงในหัวทิ้งทีละอย่าง . พอถึงบ้านพัก พนักงานยิ้มแบบนุ่มๆ “ขอให้คุณทั้งสามผ่อนคลายเต็มที่นะครับ” ประโยคธรรมดา แต่ฟังแล้วเหมือนเขารู้ว่าเราทั้งสาม…กำลังจะเรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเองและกันและกัน . ถึงหน้าบ้าน ตอนที่ประตูไม้ถูกเปิดออก กลิ่นไม้กับกลิ่นทะเลผสมชนกัน แสงแดดลอดม่านบางๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่นแบบอ้อมกอดธรรมชาติ ผมบอกเพื่อน “พวกมึงเดินเข้าไปดิ แล้วมึงจะรู้ว่าทำไมกูเลือกที่นี่” ไอ้ตี๋และไอ้อ้น เพื่อนผมทั้งสองคนหันมามองผมโดยสายตางงๆ . . ภายในห้องฟูกสามฟูกวางเรียงหันหน้าออกทะเล หมอนฟู ผ้าปูสะอาดแบบลินินแท้ แสงบ่ายสาดผ่านผ้าม่านเป็นลายริ้วบนเตียงเหมือนเชื้อเชิญให้โยนตัวลงไปทันที หน้าต่างกระจกเลื่อนเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ลมทะเลพัดเข้ามาเรื่อยๆ ผ้าม่านปลิวเหมือนกำลังเรียกให้เดินออกไป . ไอ้ตี๋ยืนเท้าเอว มองวิว พูดเบาๆ “โห แบบนี้ถ้าไม่ใส่อะไรก็นอนได้อะ ลมดีโคตร” น้ำเสียงมันไม่ได้ล้อเล่นด้วยซ้ำ เป็นคำที่พูดออกมาเพราะมันใช่จริงๆ . ผมแกล้งตอบนิ่งๆ “แล้วใครห้ามล่ะ” ทั้งคู่มองหน้าผมงงๆปนขำ ผมยักคิ้วให้เฉยๆ ปล่อยให้ความคิดมันลอยต่อเอง . เราวางกระเป๋าไว้ข้างผนัง ใครก็ไม่รู้เปิดเพลงเบาๆ แนวอะคูสติกทะเลๆ จังหวะสบายจนอยากหายใจช้าๆตาม พอจับจองที่นอนกันแล้ว ต่างคนต่างคนเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อเปลี่ยนเป็นชุดลำลอง . ไอ้อ้นถอดเสื้อก่อนไม่ใช่ท่าโชว์กล้ามอะไรเป็นแบบ “โอ้ย ร้อนว่ะ ขอหายใจหน่อย” ร่างกายแข็งแรงตามธรรมชาติ ไหล่กว้างใหญ่แบบผู้ชายที่ใช้ชีวิตจริงๆ ไม่ได้สร้างในฟิตเนส ผิวสีน้ำตาลทองแดงเปล่งประกายใต้แสงแดดที่ส่องผ่านม่าน เหงื่อแห้งๆติดอยู่บนไหล่ . อีกคนไอ้ตี๋ เป็นคนผอมตัวบาง แต่กล้ามเนื้อเส้นยาวชัดเจน พอยกแขนขึ้น กล้ามท้องกระดูกเคลื่อนไหวเป็นระลอก ขนบนอกเป็นเส้นบางๆปกคลุมจากคอลงมาจนถึงเอว ผมไม่รู้ว่าทำไมมันดูดสายตาขนาดนี้ มันแค่ร่างกาย แต่พอไม่มีอะไรปกปิด มันดูซื่อตรง ดูเปราะบาง ดูมีชีวิต . ส่วนผมใส่เสื้อผ้าลินินขาวเบาๆหลวมพอที่ลมพัดผ่านได้ มันพัดมาทีเสื้อกับแนบกับหน้าอก เป็นอยู่ซ้ำๆ แนบแล้วแนบอีก เหมือนผิวหนังกำลังสนทนากับอากาศ . . พอเราเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเสร็จ ผมก็แกล้งทำเป็น หยิบใบปลิวบนโต๊ะขึ้นมาอ่าน “พื้นที่นี้ให้คุณเป็นตัวเองที่สุด ไม่ว่ากายหรือใจ” เพื่อนอ่านตาม แล้วมองหน้าผม ไม่พูด แต่ยิ้มแบบรู้อะไรบางอย่าง มันเป็นรอยยิ้มผสมระหว่างตื่นเต้น กับความขันที่แอบตื่นตระหนก . ไม่มีใครพูดอะไรช่วงนั้น เรายืนกันเงียบๆ เหมือนต่างคนต่างฟังเสียงลมกับคลื่น แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าร่างแบบนี้มันเบาและจริงกว่าตอนใส่อะไรทับไว้ . ผมเดินไปเปิดหน้าต่างออกกว้าง ลมแรงขึ้น ม่านปลิวเหมือนนกที่กำลังโผบิน ระเบียงไม้ยาวพอให้ยืนอ้าแขนรับลมได้ ปลายทางเป็นทางเดินไม้ลงไปถึงชายหาด ทรายขาว นุ่ม น้ำใสสะท้อนแดด . ไอ้อ้นพูดเบาๆ แบบที่ว่ายังไม่หายอึ้ง “ความรู้สึกมันแบบ…ปลดเกราะอะ มึงรู้สึกไหม” ..... ผมตอบยิ้มๆ “ก็นี่แหละ เหตุผลว่าทำไมกูถึงเลือกที่นี่” . . หลังจากนั้น เราสามคนก็นั่งพักผ่อนในห้องชิวๆ ไถ instagam โพสรูปที่ถ่ายมาระหว่างทาง ลงโซเชียลกันอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนเกือบๆ สี่โมงเย็น พวกเราจึงพากันไปหาของกินช่วงเย็น ที่ร้านผับริมทะเลไม่ไกลนักจากรีสอร์ท . “เดินไปกินข้าวกันเถอะ กูหิวแล้ว” ไอ้อ้นพูดพลางลุกจากโซฟา . เราสามคนเดินออกจากบ้านพัก ใส่เสื้อผ้าลินินเบาๆ กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ แดดยามบ่ายสายเริ่มอ่อนลง ลมเย็นสบาย บรรยากาศดีจนอยากเดินช้าๆ ไม่รีบไปไหน เดินไปตามทางเดินไม้ที่เชื่อมระหว่างบ้านพักกับอาคารหลัก สองข้างทางเป็นสวนเขียวชอุ่ม ดอกไม้สีขาวสีเหลืองบานสดใส กลิ่นหอมอ่อนๆลอยมาปะปนกับกลิ่นทะเล . . แล้วเราก็เห็นบริเวณสระว่ายน้ำ มีผู้ชายฝรั่งคนหนึ่ง ผมสั้นสีบลอนด์ ผิวขาวกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ไม้ริมสระ เอาผ้าสีน้ำตาลเบจปูรองไว้ นอนอยู่ใต้ร่มเงาต้นมะพร้าวใหญ่ แต่เขา…ไม่ได้ใส่อะไรเลย . ไม่มีกางเกงว่ายน้ำ ไม่มีผ้าเช็ดตัวปิดบังอะไร เปล่าเปลือยโล่ง โป๊แบบเต็มพิกัด ควยของเขาวางอยู่ระหว่างขาที่ผ่านการขลิบหนังหุ้มปลายจนเรียบเนียน ขาวสะอาด ขนหมอยสีทองจางๆ ควยและไข่ทั้งพวงเหมือนถูกฉายให้เด่นชัด จากแสงแดดส่องผ่านเงาไม้แบบพอดิบพอดี เขานอนอ่านหนังสือเล่มหนาๆ ท่าทางสบายราวกับกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่ในห้องนอนบ้านตัวเอง ชนิดที่ว่าไม่แคร์สายตาใครเลย . ผมแกล้งทำเป็นเดินช้าลงเล็กน้อย แต่เพื่อนทั้งสอง— “เหอะ!!!?” ไอ้อ้นตกใจเสียงแทบจะดังออกมา แต่กลั้นเอาไว้ทัน ส่วนไอ้ตี๋ก็ ก็ไม่ต่างกัน เดินไปได้สองก้าวแล้วสะดุดตัวเอง “อะ—อ่า…” . ทั้งคู่แอบหันไปมองอีกที ตาเหลือบไปยังจุดที่ไม่ควรจ้อง แล้วรีบหันหน้ากลับมาทางหน้าอย่างรวดเร็ว คอแดง หูแดง . “พวกมึงเห็นไหม” ไอ้อ้นกระซิบแบบกระซิกกระซาก “เห็นไหมวะ” . “เห็นสิ ชัดมาก” อีกคนตอบเสียงสั่น . “โก…โกนด้วยนะเว้ย” เสียงกระซิบแต่แทบจะเป็นเสียงกรีดร้องในลำคอ . ผมพยายามกลั้นหัวเราะ เดินนำหน้าไปเรื่อยๆ “มึงจะยืนดูอยู่รึไง เดินไปกินข้าวได้แล้ว” “กูไม่ได้ยืนดู!” เพื่อนทั้งสองตอบพร้อมกันเสียงดัง แล้วก็รีบเดินตามมาแบบเร็วผิดปกติ เหมือนกลัวว่าจะเหลียวกลับไปมองอีกถ้าอยู่ตรงนั้นนานเกินไป . เดินห่างไปได้สักสิบเมตร ไอ้ตี๋ยังพูดต่อ “กูเตรียมใจมาว่าที่นี่มันจะ…เออ…ปลดปล่อย แบบว่า…เออ…แต่ไม่คิดว่ามันจะปลดปล่อยขนาดนี้” . “ฝรั่งคนนั้น แม่งนอนอ่านยังกะอยู่บ้านชิวๆ” ไอ้อ้นพูดเสริม เสียงตะกุกตะกัก “ กูว่าเขาดูชิว ดูสบายใจดีวะ" . ผมหัวเราะออกมา “ก็นี่ไง ที่กูบอกว่าที่นี่ต่างจากที่อื่น มันอิสระ คนที่มาที่นี้ไม่รู้สึกอับอายกับร่างกายตัวเอง” . “อิสระจนเกินไปป่าวว่ะ” ไอ้อ้นพูดเสียงยังสั่น “กูนึกภาพออกเลย นอนควยถอก มันติดตาชิบหาย” . “มึงบอกว่าไม่ได้มอง” ผมแซว . “กูแค่เหลือบ! เหลือบนะ ไม่ใช่จ้อง!” ไอ้อ้นแก้ตัวแบบรีบร้อน . ไอตี๋เงียบไปสักพัก แล้วพูดเบาๆ “แต่ว่า…กูว่ามันก็…ดีนะ ที่เขาไม่แคร์ ไม่กลัว ไม่อาย” “มึงจะลองไหมล่ะ” ผมถาม . “ยัง!” ไอ้ตี๋มันตอบกลัวแบบทันควัน “กูยังไม่พร้อม ถ้าจะกูทำ มึงต้องให้กูทำใจก่อน” . เราเดินต่อไปยังร้านอาหาร เสียงหัวเราะคาใจของเพื่อนทั้งสองยังดังอยู่เบาๆ บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น แต่ภาพที่เห็นคงจะติดตาพวกเขาไปอีกนาน ผมรู้สึกได้ว่า ทริปนี้เพิ่งเริ่มต้นจริงๆ และมันจะเปลี่ยนพวกเราไปตลอดกาล . ./ E" e; h3 A0 v* B: G
- Y; _* r+ y9 C# M' B/ j' g" N
|