ผมนั่งลงบนเสื่อเก่าตัวเดิมหน้าระเบียงบ้านไม้พี่นิดนั่งอยู่ก่อนแล้ว ในมือถือแก้วเหล้าโซดาแกว่งไปมา แกยิ้มให้ผมก่อนจะยื่นแก้วมาให้เหมือนเคยเราไม่ได้เจอกันนาน...นานจนผมไม่แน่ใจว่าความรู้สึกที่เคยมี มันยังอยู่ดีไหม “ไปอยู่กรุงเทพฯขาวขึ้นนะมึง” แกพูดกลั้วหัวเราะ เสียงอบอุ่นแบบคนบ้าน ๆ ที่ผมคิดถึงแทบบ้า
“ราศีคนเมืองจับเลย” “พี่เองก็ล่ำขึ้นเยอะเลยนี่”ผมแซวกลับไปกลั้วหัวเราะ
“ได้ข่าวว่า...เมียทิ้งเหรอ” พี่นิดแกล้งทำหน้าโกรธยกมือขึ้นจะตบหัวผมเล่น ๆ แต่ก็แค่หัวเราะ แล้วเราก็ชนแก้วกันอีกครั้ง มันเป็นจังหวะเดิม ๆแบบที่เคยทำกันเมื่อหลายปีก่อน ไม่มีคำพูดเยอะแยะ แต่เข้าใจกันแค่สายตา พอเหล้าเริ่มซึมเราคุยเรื่องอดีตมากมาย ตั้งแต่วัยเรียนยันวีรกรรมวัยรุ่นแกยังคงท่าทางล้อเลียนเวลาเล่าเรื่องสนุก ๆ แบบเดิม หัวเราะเสียงดังบางจังหวะแกเอนหลังนอนลงบนเสื่อ สายลมเย็นพัดผ่านพัดกลิ่นดินแห้งของบ้านนอกที่ผมคิดถึงเข้าจมูก ผมนั่งมองแกเงียบๆ พี่นิดไม่เปลี่ยนเลยผิวคล้ำแบบคนทำงานกลางแดด แผงอกหนา ๆ ขยับขึ้นลงตามลมหายใจ กางเกงบอลเก่า ๆที่ใส่นอนดูชุ่ย ๆ แต่กลับทำให้เขาดูจริงใจอย่างประหลาด ผมหยิบแก้วเหล้าขึ้นจิบช้าๆ ละสายตาจากพี่นิดไม่ได้เลย มันไม่ใช่แค่เพราะแกดูดีขึ้นหรือหล่อในแบบคนเถื่อน ๆ
มันเป็นเพราะ...ความรู้สึกเก่าที่ผมเคยพับเก็บไว้มันแผ่วขึ้นมาอีกครั้ง หลายปีแล้วที่ผมไม่กล้ามองหน้าแกนาน ๆ
หลายปีแล้ว ที่ผมไม่กล้าบอกว่า...ผมเคยชอบพี่ แกพลิกตัวมามองหน้าผมสายตานั้นนิ่ง...แต่เหมือนรู้อะไรบางอย่าง “ไอ้ต้น”แกเรียกชื่อผมเบา ๆ “ตอนนั้น...ที่มึงย้ายไปกรุงเทพฯ กูโคตรเหงาเลยว่ะ” ผมชะงัก...ใจเต้นรัว ความเงียบเคลื่อนผ่านไปสักพักผมค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้พี่นิด
เสียงหัวใจเต้นในอกดังจนผมได้ยินชัดเจน พี่นิดมองผมนิ่งๆ สายตาอบอุ่นเหมือนแสงโคมไฟในคืนมืด
ก่อนที่เขาจะยื่นมือมากุมมือผมไว้แน่น
ไม่ต้องพูดอะไรเพิ่ม เพราะมือของเขาพูดทุกอย่าง เรานั่งเงียบ ๆข้างกันในคืนนั้น ไม่ต้องรีบร้อน
เพราะสำหรับผม แค่ได้กลับมานั่งข้างพี่นิด
หัวใจก็ไม่รู้สึกขาดอะไรอีกแล้ว คืนนั้นพอพี่นิดกุมมือผมไว้ ทุกอย่างก็เหมือนหยุดนิ่ง
ผมนั่งมองมือหยาบ ๆ นั้นแนบกับมือผมที่เรียวยาวกว่าแตกต่างกันขนาดนี้...แต่มันกลับพอดีกันอย่างประหลาด พี่นิดหันมายิ้มให้บางๆ รอยยิ้มนั้นเหมือนเคยผ่านฝน ลม แดด จนมีรอยแตกนิด ๆ ที่มุมปากแต่ยิ่งมองยิ่งน่าหลงใหล ผมไม่รู้ตัวเลยว่าผมจ้องพี่นิดนานแค่ไหน
บางที...ผมไม่ได้แค่ “ชอบ” พี่
แต่ผม “แพ้” พี่ แบบหมดทางสู้ “มองอะไรนักหนาหลงกูเหรอ?”
แกพูดขึ้นเรียบ ๆ เสียงแหบ ๆ จากเหล้า แต่ตาหยอกล้อเหมือนเดิม ผมยิ้มมองเขาแบบไม่หลบสายตา
“เออ...หลงจริง” เงียบไปครู่หนึ่งแกหัวเราะในลำคอ หัวเราะแบบพี่นิด...หัวเราะแบบผู้ชายที่ผ่านชีวิตมาเยอะ
แล้วก็เอื้อมมืออีกข้างมาขยี้ผมผมเบา ๆ เหมือนตอนเราเคยเป็นเด็ก ๆ “หลงอะไรกูนักหนาวะ”
“หลงทั้งตัวนั่นแหละ” ผมกล้าพูดออกไปเต็มเสียง ใช่ ผมหลงพี่นิดตรงที่แกไม่เสแสร้ง
ผิวเข้มหนาแดดแบบบ้านนอก ๆ เสียงทุ้มแหบเส้นเลือดบนแขนที่เห็นชัดเพราะทำงานกลางแจ้ง
หนวดเคราหยาบ ๆ ที่ไม่ได้โกนเกลี้ยงแต่กลับทำให้รู้สึกว่าแกเป็นคนจริง แม้แต่กลิ่นเหล้าปนเหงื่อที่โชยมากับลมผมยังรู้สึกว่ามันหอม…ในแบบของพี่นิด และ...ใช่
แม้แต่ตรงนั้น ที่ดูเป็นผู้ชายเต็มตัว แข็งแรง ชัดเจน และนูนเด่นแบบไม่อายใคร
มันก็ดึงดูดผมในแบบที่อธิบายไม่ได้
ไม่ใช่แค่เรื่องกายภาพ แต่มันคือความรู้สึกว่า"เขาเป็นผู้ชายที่ผมไว้ใจได้ที่สุด" ผมเงยหน้าขึ้นมองแกอีกครั้ง
“พี่รู้ตัวไหมว่า...พี่มีเสน่ห์มาก” แกเลิกคิ้วยกแก้วขึ้นจิบ แล้วพูดเบา ๆ
“ไม่เคยมีใครบอก...จนวันนี้” ผมยิ้ม
“งั้นจำไว้นะ...เพราะผมจะบอกทุกวัน ถ้าพี่ยอมให้ผมอยู่ข้าง ๆ” พี่นิดไม่ตอบเขาแค่ยื่นแขนข้างหนึ่งมาพาดบ่าผม ดึงเบา ๆ ให้ผมขยับเข้าไปใกล้
หน้าเราอยู่ห่างกันแค่ลมหายใจ "อยู่ดิ..." แกพูดเสียงเบา "...อยู่เลย" เราไม่ได้จูบกันในคืนนี้
ไม่มีอะไรเกินเลย
แต่หัวใจผม...เต้นแรงราวกับโลกทั้งใบกำลังเริ่มใหม่อีกครั้ง คืนนั้นลมพัดเอื่อย เสียงจิ้งหรีดแผ่วแทรกมาในความเงียบ
ผมนั่งอยู่ข้างพี่นิด ในใจมีคำถามมากมายที่ไม่กล้าพูดออกไปตรง ๆ พี่นิดเมาหรือเปล่านะ?
เขาคิดอะไรอยู่?
หรือทั้งหมดนี่...เป็นเพราะฤทธิ์ของเหล้า? ผมรู้ว่าพี่นิดเป็น“ชายแท้”
เคยมีเมีย เคยมีครอบครัว
ผมไม่เคยคิดจะเป็นคนที่ “แทรก” ในชีวิตของใคร
แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า
การได้อยู่ใกล้พี่นิด มันทำให้ใจผมสั่น และใช่...
แม้แต่ตอนที่ผมเผลอมอง “ส่วนนั้น” ของเขาที่นูนเด่นอยู่ในกางเกงบอลเก่า ๆ
มันก็ยังทำให้ผมรู้สึกอะไรบางอย่างที่ไม่อาจอธิบาย
มันไม่ใช่แค่ราคะ มันคือเสน่ห์ของความเป็น “เขา”
ความดิบ ความจริง ความตรง ที่ไม่ผ่านการขัดเกลาใด ๆ ผมหันไปถามเบา ๆ
“พี่...ง่วงรึยัง” พี่นิดหันมามองก่อนจะส่ายหน้าน้อย ๆ
“ยัง...ไม่ง่วง” ผมหายใจลึกรวบรวมความกล้า
“งั้น...ผมนอนได้ไหม หนุนตักพี่อะ จะได้คุยเป็นเพื่อน” พี่นิดไม่ได้ตอบว่า“ได้”
แต่เขาเลื่อนตัวเล็กน้อย
มองหน้าผมนิ่ง ๆ แล้วพยักหน้าเบา ๆ ผมค่อย ๆเอนตัวลงไป หนุนตักพี่นิด
อุ่น...แน่น...มั่นคง ใบหน้าผมอยู่ใกล้จุดที่อ่อนไหวของใจตัวเอง
กลิ่นกายของพี่นิด เหงื่ออ่อน ๆ ปนกลิ่นเหล้าจาง ๆ กลิ่นแบบผู้ชายแท้ ๆ ที่ไม่ปรุงแต่ง
มันช่าง...เย้ายวนใจมากเกินกว่าจะหลีกหนี ผมนอนนิ่งปล่อยให้ความใกล้ชิดซึมผ่านทุกลมหายใจ
ไม่พูดอะไรอีกแล้ว
เพราะแม้ไม่มีคำใด ความเงียบระหว่างเรากลับไม่เคยน่าอึดอัด พี่นิดยกมือมาลูบหัวผมเบาๆ แค่จังหวะเดียว...แต่ทำเอาผมเกือบหลุดลมหายใจ
สัมผัสนั้นเหมือนคำยืนยันเงียบ ๆ ว่า...ผมไม่ได้อยู่คนเดียว บางทีเขาอาจยังไม่แน่ใจ บางทีเขาอาจยังไม่รู้ว่ารู้สึกยังไง
หรือบางที...เขารู้อยู่แล้ว แต่แค่รอให้ผมอยู่ตรงนี้กับเขา นานพอที่จะเข้าใจกัน เสียงลมหายใจของพี่นิดสม่ำเสมอเหนือศีรษะผม
มือหยาบ ๆ ของเขายังวางอยู่บนเส้นผม ลูบเบา ๆ อย่างเงียบงัน
อากาศรอบตัวเย็นลงนิด ๆ แต่ผมกลับรู้สึกอุ่น…อุ่นแปลก ๆ ตรงหน้าอก ผมนอนนิ่งบนตักเขาสูดกลิ่นตัวของผู้ชายคนนี้เข้าไปเต็มปอด
กลิ่นกายแบบธรรมชาติ — ไม่มีน้ำหอม ไม่มีแชมพูแพง ๆ
มีแค่ “เขา” คนเดียว
กลิ่นที่ทรงพลังแบบไม่ต้องพยายาม ใจผมเต้นแรง
เพราะไม่เคยอยู่ใกล้ใครขนาดนี้
ไม่เคยรู้สึกว่า...อยากครอบครองใครขนาดนี้ แต่ผมก็รู้ดีว่ายังไม่ใช่เวลา และเขา...อาจไม่ได้คิดแบบเดียวกัน ผมหลับตาแน่นพยายามควบคุมลมหายใจ
แต่ทันใดนั้น พี่นิดขยับตัวเล็กน้อย
ผมรับรู้ได้ถึงแรงกระเพื่อมของกล้ามต้นขาแข็ง ๆ ใต้หัว
และ...เผอิญ แค่เพียงเสี้ยววินาที บางอย่างสัมผัสกับแก้มผม แค่ชั่วพริบตา
แต่ทำให้หัวใจผมเต้นเหมือนจะหลุดจากอก ผมกลั้นหายใจ
ดวงตาเบิกเล็กน้อย
ก่อนจะรีบหลับตาแน่นอีกครั้งกลัวว่าตัวเองจะเผลอแสดงออกอะไรไปมากกว่านั้น มันแค่แป๊บเดียว...แต่จะอยู่กับผมไปอีกนาน ผมไม่ได้มอง ไม่ได้แตะต้อง ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปเลย
แต่ความรู้สึก...มันเต็มตื้นในอกไปหมด ผมอยากกอดเขา อยากจูบแผ่ว ๆ ที่ท่อนแขนคล้ำแดดนั่น
อยากกระซิบเบา ๆ ว่า “พี่รู้ไหมว่าพี่ทำให้ผมแพ้ขนาดไหน” แต่ผมทำไม่ได้
เพราะผมรู้ว่าการเร่งรีบ จะทำให้ความสัมพันธ์แบบนี้พังทลาย
มันเปราะบางเกินกว่าจะผลีผลาม
เหมือนใบไม้แห้งบนผิวน้ำ ถ้าเราคว้าเร็วเกินไป มันจะจม ดังนั้น...
ผมนอนนิ่ง ปล่อยให้ความอบอุ่นผ่านกาย ปล่อยให้แรงดึงดูดซึมลึกในใจ
ไม่ได้ครอบครอง แค่ได้อยู่ใกล้ ก็เพียงพอแล้ว อย่างน้อยในคืนนี้ มือพี่นิดยังคงลูบเส้นผมผมเบาๆ
จังหวะสม่ำเสมอเหมือนเสียงหัวใจ…ที่ไม่แน่ใจว่าเต้นเพื่อใคร ผมนอนนิ่งหนุนตักเขา สายตาไม่อาจละจากภาพตรงหน้า
เป้ากางเกงบอลนั้น...ตอนนี้แน่นขึ้นกว่าเดิม มันไม่ใช่แค่เงา
มันคือความชัดเจน จนใจผมสั่น เขามีอารมณ์เหรอ...?
หรือเป็นแค่เรื่องธรรมชาติของผู้ชายคนหนึ่งที่เมา
หรือ...ผมคิดไปเองหมดเลย... แต่สิ่งที่ยืนยันคือการขยับเล็ก ๆ ของพี่นิด
ทำให้แก้มผมเผลอสัมผัสกับตรงนั้นอีกครั้ง
ไม่แรง...ไม่จงใจ
แต่มากพอจะทำให้ผมรับรู้ถึง "แรงตื่นตัว"
ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า น่าเกรงขาม และน่าหลงใหล ผมไม่กล้าหันหน้าไม่กล้าขยับ กลัวว่าอะไรบางอย่างจะ“เปลี่ยนไป”
เลยเลือกอยู่นิ่ง ปล่อยให้ลมหายใจเบา ๆ ของเขาและความแน่นของสัมผัสนั้น ผ่านเข้าไปถึงข้างในของผม ผมหลับตาลง ไม่ได้เพราะง่วง
แต่เพราะ...กลัวแววตาตัวเองจะเผลอเปิดใจเกินไป เช้าวันรุ่งขึ้น แสงแดดลอดผ้าม่านไม้ไผ่เข้ามา
ผมค่อย ๆ ลืมตา ลุกขึ้นช้า ๆ พลางขยับคอที่นอนตะแคงนานจนเมื่อย พี่นิดนั่งอยู่ข้างๆ แล้ว กำลังจุดเตาถ่านต้มน้ำ
เหมือนทุกอย่าง...เป็นเพียงแค่ "คืนธรรมดา" “ตื่นแล้วเหรอ” เขาหันมายิ้มให้ผม
เหมือนคนคุ้นเคย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อคืน ไม่มีคำถาม ไม่มีบทสนทนาอ้อมค้อม
ไม่มีการเอ่ยถึงอะไรที่เกิดขึ้นตอนผมหนุนตักเขาเมื่อคืนนั้น ใจผมสับสน ไม่รู้จะตีความแบบไหนดี
เขาลืม...?
เขาแค่เมา...?
หรือ...เขาจำได้ แต่เลือกจะไม่พูด? ผมนั่งนิ่งเงียบข้างเตา มือของพี่นิดหยาบ ๆ แต่มั่นคง ขยับหยิบถ่านเติมฟืน
แล้วก็ถามขึ้นเรียบ ๆ ว่า “กินกาแฟไหมเดี๋ยวกูชงให้” แค่นั้นเอง ไม่มีอะไรอีก
เหมือนหัวใจผมยังลอยค้างอยู่ที่ตักเขาเมื่อคืน
แต่ตัวเขา...กลับยืนอยู่ในตอนเช้าอย่างแน่วแน่ ผมได้แต่พยักหน้า กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ
พร้อมคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ: แล้วเราสองคน...เมื่อคืนคืออะไร? ตั้งแต่คืนนั้นพี่นิดก็ไม่ได้พูดถึงอะไรเลย
เหมือนความเงียบถูกตั้งใจวางไว้ให้บดบังบางอย่าง
แต่ผมรู้ เขารู้ และผมก็รู้ว่าเขา "รู้" แต่พี่นิด...เลือกจะไม่พูด เลือกจะวางตัวเหมือนผู้ชายธรรมดาที่แค่ดูแลเพื่อนเก่าคนหนึ่ง
ทั้งที่บางคืน...สายตาเขา ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย โดยเฉพาะเวลาที่เขาเริ่มเมาเมื่อฤทธิ์เหล้ากรุ่นเข้ามาแทนสติ
น้ำเสียงพี่นิดนุ่มลง สายตาเขาเริ่มหวานขึ้น
หวานในแบบที่ทำให้ผม สั่นไปทั้งตัว มันไม่ใช่ความหวานของคำพูด
แต่มันคือสายตาที่มองมาจากคนที่ไม่กล้ายอมรับความรู้สึกของตัวเอง ในค่ำคืนหนึ่ง ที่ไม่ต่างจากหลายคืนก่อน ลมอ่อน ๆ พัดผ่านเงาไม้
พี่นิดนั่งเอนตัวพิงเสาไม้หน้าบ้าน แก้วเหล้าในมือแทบจะวางไม่ลง “ง่วงยังวะ”เขาถามเบา ๆ “ยัง”ผมตอบ แอบมองตาเขา
มันเป็นดวงตาที่เหมือนกำลังถามอะไรบางอย่าง
แต่ไม่เอื้อนเอ่ยออกมา “งั้นก็มานอนนี่ดิ” เขาขยับตัว เปิดตักให้ตามเคย
แค่ประโยคนั้น หัวใจผมก็เหมือนจะหยุดเต้น ผมค่อย ๆ เอนตัวลง
หนุนตักพี่นิดเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้...ทุกอย่างชัดเจนกว่าเดิม ความแน่นนั้น อัดชิดอยู่กับแก้มผมตลอดแนว ร้อนผ่าวและเปล่งพลังออกมาอย่างเงียบงัน
กลิ่นเหล้าผสมเหงื่อเจือจาง ชัดเจนเกินพอที่จะทำให้ใจสั่น ผมหลับตาแน่น
พยายามห้ามมือ ไม่ให้เผลอขยับไปแตะ พยายามห้ามใจ...ไม่ให้หัวใจเผลอหลุดออกไปถึงเขา แต่...มันยากเหลือเกิน สัมผัสนั้น แรงเต้นของอะไรบางอย่างใต้กางเกงผืนบางนั้น
มันราวกับกำลังสะกิดหัวใจผม บอกให้รู้ว่า…
ผมไม่ได้คิดไปเอง พี่นิดไม่พูดอะไร แต่เขาไม่ถอย ไม่ขยับหนี มือเขายังลูบผมเบา ๆ เหมือนกล่อมให้ผมหลับ
แต่หัวใจผมกำลังตื่นเต็มตา เต็มไปด้วยความเสน่หาที่ไม่กล้าเอื้อมแตะ ผมอยากทำมากกว่านี้ อยากหันหน้าเข้าหา อยากกอดเขาไว้แน่น ๆ อยากให้เขารู้ว่าผมรู้สึกยังไง แต่...ผมไม่กล้าเพราะหากผมก้าวข้ามไปแล้ว ผมอาจเสียเขาไปตลอดชีวิต ผมจึงเลือกอยู่นิ่งซ่อนความหวั่นไหวไว้ใต้เปลือกตาที่ปิดสนิท ให้แรงสั่นสะเทือนนั้นเก็บไว้...แค่ในใจ
แม้เพียงสัมผัส แม้เพียงผ่านเนื้อผ้า แต่มันจะเป็น ความทรงจำที่ผมไม่มีวันลืม วันนั้นพี่นิดบอกว่ากลุ่มเพื่อนเก่าจะนัดกันไปสังสรรค์ที่ชายหาด
บรรยากาศริมทะเลยามเย็นที่วุ่นวายด้วยเสียงหัวเราะ เสียงเพลงเบา ๆจากลำโพงเล็ก ๆ กับแสงไฟจากเต็นท์ที่ปักเรียงรายตามแนวทรายทำให้ผมรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกที่ไม่มีเวลา ผมแทบไม่ได้สนใจเสียงรอบตัว เพราะตลอดทั้งคืน...สายตาผมมีไว้เพื่อ มองเขาเท่านั้น พี่นิดอยู่ในเสื้อกล้ามหลวมๆ กับกางเกงว่ายน้ำตัวจิ๋วสีกรมท่า
ร่างกายคล้ำแดดแน่นไปทั้งตัว ขยับไปมาพร้อมรอยยิ้มกวน ๆที่ทุกคนหัวเราะตาม
แต่ผม...กลับหัวใจเต้นแรงขึ้นทุกทีที่เห็นเขาเดินใกล้ ผมนั่งเงียบๆตรงมุมหนึ่งของวงสนทนา
แก้วเหล้าในมือผมแทบไม่พร่องเพราะรู้ว่าถ้าผมเมา…ผมอาจควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่พี่นิดน่ะสิ เขาดื่มเยอะ และพอเขาเริ่มเมา สายตานั้นก็กลับมาอีกครั้ง
สายตาแบบเดิม...แต่ยิ่งหวาน ยิ่งเย้ายวน สายตาที่ทำให้ผมแทบละลายตรงนั้น สายตาที่เหมือนจะบอกอะไรบางอย่างโดยไม่ต้องใช้คำพูด
“มึงรู้ใช่ไหม...ว่ากูก็รู้” จนกระทั่งทุกคนเริ่มแยกย้าย บางคนหลับ บางคนเอนตัวนอนใต้เต็นท์บ้างเดินไปไกลริมคลื่น
พี่นิดเดินมานั่งข้างผมเงียบ ๆ ไม่พูดอะไร แค่นั่งมองทะเล
เหมือนทุกครั้งที่เขารู้ว่าผมต้องการความเงียบ...แต่ไม่อยากอยู่คนเดียว “ลมดีเนอะ”ผมพูด เขาพยักหน้า แล้วหันมายิ้มเบา ๆ “เมื่อไหร่จะเลิกมองกูเหมือนจะกลืนลงท้องสักทีวะ”
เขาแกล้งพูดติดตลก แต่เสียงกลับเบาเหมือนคนใจเต้นแรง “ก็...พี่มันน่ามอง”ผมตอบแบบไม่หลบตา พี่นิดยิ้มไม่พูดอะไรต่อ แล้วเอนตัวลงนอนบนผ้าปูชายหาด
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที...เขาตบเบา ๆ ที่ต้นขาของตัวเอง “จะมานอนหนุนตักเหมือนเดิมก็มา” หัวใจผมกระแทกอกดังชัดเพราะครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง กางเกงบอลหลวมๆ ถูกแทนด้วยกางเกงว่ายน้ำรัดรูปตัวจิ๋ว
ซึ่งแทบจะไม่สามารถซ่อนอะไรไว้ได้เลย แต่ผมก็ขยับเข้าไป...เอนตัวลงอย่างช้า ๆ หนุนบนต้นขาที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ
ผิวสัมผัสของผ้ารัดรูปแนบแน่นยิ่งกว่าที่เคย และแน่นอน...บางสิ่งที่อยู่ใต้เนื้อผ้านั้น
มัน สัมผัสกับแก้มผมโดยตรง ไม่ใช่แค่แป๊บเดียวแบบทุกครั้ง
แต่ครั้งนี้ มันยาวนาน
และพี่นิด…ก็ไม่ได้ขยับหนี
ตรงกันข้าม เขาขยับตัวเล็กน้อย
เหมือนตั้งใจให้ “การสัมผัสนั้น” แนบแน่นยิ่งขึ้น ผมนอนนิ่งแทบไม่หายใจ ความรู้สึกที่แล่นผ่านทั้งร่างคือ…
เสน่หาแบบที่ยากจะอธิบาย ความแน่นนั้น แรงอุ่นนั้น เหมือนบอกว่าผมอยู่ใกล้หัวใจเขามากกว่าที่คิด ผมอยากทำมากกว่านี้ อยากหันหน้าเข้าหา อยากเอื้อมมือไปสัมผัส
อยากรู้ว่า...เขารู้สึกยังไงกันแน่ แต่ผมยังคงเลือกนอนนิ่ง
เพราะผมรู้ว่า...เรายังไม่พร้อม หรือบางที เขาอาจยังไม่กล้าเผชิญความรู้สึกของตัวเอง แค่ได้หนุนตัก แค่ได้กลิ่นเค็มๆ ของลมทะเลปนกลิ่นกายของเขา แค่ได้รู้ว่า...เขายังไม่ผลักไส
ผมก็พอแล้ว
ผมเริ่มแน่ใจว่า พี่นิด...เปิดโอกาสให้ผมแล้ว
ไม่ใช่ด้วยคำพูด แต่ด้วย“การกระทำ” ทุกครั้งที่เขาชวนให้นอนหนุนตัก ทุกครั้งที่เขาขยับตัวเข้ามาใกล้ และทุกครั้งที่เขา ไม่ห้าม
นั่นคือคำตอบเงียบ ๆ ที่ดังก้องกว่าคำใด ตอนที่ผมค่อย ๆปล่อยปลายนิ้วผ่านลงไปบนหน้าขาของเขา เบา ๆ...เหมือนไม่ตั้งใจ
แต่พี่นิดก็ยังคงลูบหัวผม ไม่ได้ปัดมือผมออก ไม่ขยับหนี
ไม่แม้แต่จะถอนหายใจแบบอึดอัด กลับกัน...
บางครั้งผมได้ยินเสียงลมหายใจของเขาแรงขึ้นเล็กน้อย
เหมือนพยายามเก็บบางอย่างไว้ภายใน เหมือนกำลังกลั้นใจไม่ให้หลุดความรู้สึกออกมา มันคือแรงบันดาลใจให้ผมกล้าขึ้น…ทีละนิดในแบบของผม แยบยล ไม่โจ่งแจ้งแต่เต็มไปด้วยความรู้สึก คืนก่อนกลับพวกเราจัดกิจกรรมเล็ก ๆ ริมหาด เสียงหัวเราะดังไปทั่ว
และเมื่อถึงกิจกรรม “ขี่ม้าส่งเมือง”ทุกคนโห่ฮาด้วยความสนุก
แต่ผมกลับกลั้นหายใจ เพราะผมจับคู่กับพี่นิด และแน่นอน...ผมเป็น“ม้า” ตอนที่พี่นิดขึ้นคร่อมบนหลังผม
มือใหญ่ ๆ ของเขาจับไหล่ผมแน่น
และสิ่งนั้น...แนบติดหลังผมแบบไม่มีอะไรกั้นเลย มันเต็มไปหมด ทั้งแรงกด ร้อนผ่าว และความนุ่มแน่นของดุ้นเนื้อความเป็นชาย
ผมแทบต้องกลั้นเสียงครางในใจ ขณะที่เขาขยับตัวไปตามจังหวะของเกม
ผมแทบจะไม่อยากให้เกมจบ มันไม่ใช่แค่การเล่น แต่มันคือ “ความรู้สึก” ที่แทบปะทุออกมา หลังเกมจบเราชนะ แต่ผมรู้ว่ารางวัลจริง ๆคือการได้อยู่ใกล้เขาแบบนั้น ใกล้เกินกว่าจะห้ามใจ คืนนั้น คืนสุดท้ายก่อนเราจะกลับ พี่นิดหันมาถามผมตอนคนอื่นแยกย้ายเข้าที่พัก “นอนเต็นท์กูก็ได้นะ”เขาพูดเบา ๆ
สายตานิ่ง แต่ลึกเกินจะมองผ่าน “อือ...”
ผมตอบได้แค่นั้น แต่ข้างในร้อนวูบไปทั้งร่าง ในเต็นท์เล็ก ๆมีแค่เสียงลมหายใจของเราสองคน
เขานอนหงาย ส่วนผมนอนตะแคงซุกเข้าที่อกเขา
กลิ่นตัวพี่นิดปะปนกับกลิ่นทะเลจาง ๆทำให้ผมรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังจะหลอมละลาย พี่นิดไม่ได้กอดผมแต่เขาวางแขนแนบไว้ใกล้ ๆ
มือเขาไม่ไล่ ไม่ผลัก แต่เปิดทางให้อย่างเงียบ ๆ
จนดึก...ผมค่อย ๆ เลื่อนตัวลงต่ำ ผมไม่ได้พูดอะไรเขาก็ไม่ได้พูด
แต่ทุกการขยับตัว ทุกลมหายใจ คือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด ผมซบหน้าลงตรงนั้นเป้าแน่นๆ ผมสัมผัสสิ่งที่อยู่ใต้ผ้าบาง ๆ มันร้อนผ่าว หนักแน่น และตอบสนองอย่างเงียบงัน
พี่นิดไม่ขยับหนี ไม่ดึงผมกลับ ไม่พูดว่า “พอแล้ว” กลับกัน...ลมหายใจเขาหนักขึ้น อกเขาเคลื่อนไหวแรงขึ้นเล็กน้อย
และผมก็แค่นอนนิ่งๆ ตรงนั้น อ้อมอกของเขาคือพื้นที่ปลอดภัย
แต่พื้นที่ตรงนั้น...คือสิ่งต้องห้ามที่ผมกำลัง “แอบแตะ” ด้วยหัวใจ คืนนี้เราไม่พูดกันสักคำ
แต่ผมรู้แล้วว่า เขารู้สึก
และเขาก็รู้...ว่าผมรู้
|