สายตาของเขาเหลือบไปเห็นเงาขยับตรงมุมห้อง ราฟาเอโร่กำลังยืนเท้าขอบหน้าต่าง มือข้างหนึ่งถือแก้วกาแฟ อีกข้างถือเอกสารที่เขายังไม่ได้เปิดอ่าน
บนโต๊ะของเขามีแก้วเปล่าอยู่ห้าหกใบ เรียงกันเป็นเหมือนกองกำลังเงียบ ๆ ที่บอกเล่าอะไรบางอย่าง
“คุณกินกาแฟเยอะไปแล้วนะครับ” เจบีพูดเรียบ ๆ ไม่หันไปมอง
ราฟาเอโร่แค่ส่งเสียงในลำคอ “อืม”
เจบีนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะถามอีกประโยคอย่างระมัดระวัง
“เมื่อคืน...คุณได้นอนบ้างหรือเปล่า?”
ไม่มีเสียงตอบในทันที
ราฟาเอโร่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม สายตาจับจ้องไปที่ภาพเมืองลอนดอนเบื้องหน้า ราวกับต้องใช้เวลาตีความคำถามนั้น
“นิดหน่อย” เขาตอบในที่สุด
“ก่อนตีสี่น่ะ”
เจบีเลิกคิ้วน้อย ๆ พลางขยับมือหยิบเอกสารให้เป็นระเบียบ แต่เสียงของเขาก็ยังคงนิ่ง
“กาแฟช่วยไม่ได้หรอกครับ ถ้าคุณไม่พักจริง ๆ”
“ฉันไม่ใช่คนว่างพอจะพักได้” ราฟาเอโร่ตอบเสียงเรียบ ก่อนเดินกลับไปทิ้งตัวลงที่เก้าอี้ตัวประจำของเขา ใบหน้าดูไม่บ่งบอกอะไร แต่แววตากลับมีรอยอ่อนล้าซ่อนอยู่
เจบีไม่ได้พูดอะไรต่อทันที แต่เขากลับนั่งมองอีกฝ่ายอยู่เงียบ ๆ อยู่พักหนึ่ง
ตั้งแต่วันแรกที่เขามาทำงาน เขาไม่เคยเห็นราฟาเอโร่เผลอหลับแม้แต่วินาทีเดียว ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายบ่นว่าเหนื่อย ไม่เคยเห็นแม้แต่ท่าทางเผลอไผลใด ๆ ที่คนธรรมดาควรจะมี
แต่แก้วกาแฟเหล่านั้น บวกกับรอยคล้ำจาง ๆ ใต้ตาที่ไม่เคยจางลงเลย มันกำลังบอกบางอย่างที่เขาเพิ่งเริ่มจะเข้าใจ
“…คุณนอนไม่หลับเหรอครับ”
คำถามที่ไม่ได้ดังนัก แต่มันกระทบเข้ากลางอกของชายผู้เยือกเย็นตรงหน้าอย่างแม่นยำ
ราฟาเอโร่หันมามองเขาช้า ๆ ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีท่าทางปฏิเสธ
เขาแค่พูดว่า “นายชงกาแฟให้ฉันหน่อยสิ”
เจบีไม่ได้ตอบอะไร นอกจากพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังมุมเครื่องชงกาแฟ เขามองดูน้ำกาแฟไหลลงแก้วช้า ๆ พลางคิดในใจว่า
'ต่อให้ขนเมล็ดกาแฟมาทั้งโรงงาน…มันก็คงช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี'
...
ช่วงค่ำของวันนั้น ไฟในห้องถูกหรี่ลงจนเหลือเพียงแสงจากโคมเล็กมุมโต๊ะที่ส่องแสงสีอุ่นออกมา ราฟาเอโร่ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ ตาเขายังไล่ดูเอกสารอย่างเชื่องช้าเหมือนคนที่หมดพลังงานไปกว่าครึ่งวันแล้ว ข้างตัวมีแก้วกาแฟอีกใบที่เขาแตะแค่ขอบปาก ไม่ได้ดื่มจริงจัง
เจบีเหลือบมองอยู่เงียบ ๆ จากฝั่งตรงข้าม สังเกตว่าทุกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายเริ่มช้าลงเรื่อย ๆ เปลือกตาหนักจนร่วงลงมาทีละข้าง
"คุณจะฝืนไปถึงไหน" เจบีพูดเสียงเบา
ราฟาเอโร่ไม่ตอบ แค่เอนหลังเล็กน้อยและยกมือขึ้นกดขมับ หายใจช้าเหมือนกำลังฝืนให้ตัวเองไม่หลับ
เด็กหนุ่มมองภาพนั้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะวางแฟ้มลง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แทบไม่ได้ใช้กับเขามาก่อน
“ถ้าไม่อยากกินกาแฟเพิ่ม...ก็มานอนตรงนี้ดูมั้ย”
เสียงเงียบไปพักหนึ่ง
"...อะไรนะ" ราฟาเอโร่ถามกลับ เหมือนคิดว่าตัวเองหูฝาด
"ผมบอกให้นอนตักผมไงครับ"
เจบีตอบเรียบ ๆ แล้วตบเบา ๆ บนต้นขาตัวเองพลางถอนหายใจ
"ผมเคยอ่านในเน็ตว่า ถ้านวดตรงขมับเบา ๆ อาจจะช่วยให้หลับได้บ้าง"
"..."
"คุณจะลองก็ได้ ไม่ลองก็ได้ ผมไม่ได้บังคับ"
ราฟาเอโร่จ้องหน้าเขานิ่ง ๆ เหมือนพยายามประเมินว่านี่คือกับดักอะไรหรือเปล่า
แต่สุดท้าย เขาก็เงียบไป แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินมาหาอย่างเชื่องช้า ราวกับยอมแพ้ให้กับความเหนื่อยล้าของร่างกายเสียมากกว่าคำชวน
ไม่นานนัก ร่างสูงใหญ่ของผู้กุมอำนาจก็เอนตัวลงอย่างระมัดระวัง ศีรษะของเขาวางลงบนตักของเจบี ช้า ๆ และไม่พูดอะไร กลิ่นหอมสะอาดจาง ๆ จากเสื้อของเจบีลอยเข้าจมูกในทันที เป็นกลิ่นเดียวกับวันนั้น
...วันที่เขาหลับสนิทเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
เจบีเอื้อมมือขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ ปลายนิ้วแตะลงบนขมับของเขาเบา ๆ แล้วเริ่มนวดวนช้า ๆ ไม่เร่งรีบ การสัมผัสนั้นไม่มีอะไรพิเศษนัก แต่กลับแฝงความอ่อนโยนที่ไม่เคยเกิดขึ้นในห้องนี้มาก่อน
ราฟาเอโร่หลับตาลงในที่สุด เสียงลมหายใจของเขาค่อย ๆ ผ่อนคลาย ลึกขึ้นทีละนิด จากชายผู้ไม่เคยไว้ใจใคร และไม่เคยยอมหลับต่อหน้าใครเลยตลอดชีวิตที่ผ่านมา
ราฟาเอโร่ไม่ได้พูดออกมา แต่ในความรู้สึกลึกที่สุด เขารู้ดี...ว่าเขา “หลับ” จริงๆ ครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะฤทธิ์ยา ไม่ใช่เพราะเหนื่อยล้าเกินควบคุม แต่เป็นเพราะสิ่งบางอย่างในตัวเจบี ความเงียบ ความดื้อดึง ความนิ่งชา และดวงตาคู่นั้นที่ไม่เคยหวั่นไหวให้เขาง่ายๆ
เขาไม่เข้าใจนักว่าทำไมเสียงแอร์อ่อนๆ และแสงสลัวจากโคมไฟถึงไม่ทำให้เขาตื่นเหมือนเคย ไม่เข้าใจว่าทำไมแผ่นอกอุ่นใต้แก้ม กับจังหวะลมหายใจสม่ำเสมอของคนบนโซฟาถึงกลายเป็นเสียงกล่อมที่ดีที่สุด
และนั่นแหละ มันเลยน่ากลัวกว่าอะไรทั้งหมด เพราะเขารู้ตัวว่า...เขากำลังยอมวางอาวุธ แม้จะยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเอามีดมาแทงเขาเมื่อไหร่ก็ตาม
เจบีก้มหน้ามองอีกฝ่ายที่หลับสนิทอยู่บนตักเงียบ ๆ เขาไม่ได้ผลักไส หรือพูดอะไรประชดประชันอย่างเคย
เพียงแค่นั่งเงียบ ๆ ปล่อยให้มือยังนวดวนอยู่ตรงขมับอย่างต่อเนื่องและในใจของเขากลับสับสนขึ้นทุกที
นี่เรา…กำลังทำอะไรอยู่กันแน่
…
| Noctis Grand Medical Center - ศูนย์การแพทย์น็อกทิสแกรนด์
แสงแดดอ่อน ๆ สาดเข้ามาทางหน้าต่างกระจกใสของห้องตรวจพิเศษ กายกำลังตรวจเช็กเวชระเบียนบนแท็บเล็ตในมือ เมื่อเสียงเปิดประตูดังขึ้นเบา ๆ ตามมาด้วยร่างสูงของชายในชุดสูทสีเข้มที่เดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ
ราฟาเอโร่เดินเข้ามาด้วยท่าทางที่ชวนให้คนเผลอกะพริบตาแรง ๆ สองที ใบหน้าที่เคยขึงขังเหมือนจะฟาดใครตายได้ตลอดเวลา วันนี้กลับดูสงบ ริมฝีปากมีรอยยิ้มจาง ๆ แถมยังดูเหมือนไม่ได้พกอารมณ์ร้ายติดตัวมาด้วยเลย
กายเลิกคิ้วทันที พลางกวาดสายตามองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะหยุดอยู่ที่ดวงตาที่ดูมีชีวิตชีวาเกินความเคยชิน
“นี่นายไปโดนตัวไหนมาเนี่ย?” หมอหนุ่มถามขึ้นทันทีโดยไม่ทันได้เก็บความสงสัย
ราฟาเอโร่เลิกคิ้วกลับ “ทำไมงั้นหรอ?”
กายยักไหล่ ยิ้มเจ้าเล่ห์พลางเอามือชี้ไปที่ใบหน้าอีกฝ่าย “ก็หน้านายมันฟ้องน่ะสิ ปกติตีนกาจะพาเหรดกันออกมาขบวนใหญ่ทุกเช้า วันนี้หายเรียบ แถมดูมีออร่าคนหลับครบแปดชั่วโมงด้วย”
ราฟาเอโร่หัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะเอียงหน้าเล็กน้อย “ไม่รู้สิ อาจเพราะหมอนข้างเงียบผิดปกติ ไม่ด่า ไม่ประชด...ไม่ดิ้นด้วย หลับสบายอย่างกับตายไปสามรอบ”
กายกลอกตาแรง “งั้นคราวหน้าถ้านอนไม่หลับอีก ก็ไม่ต้องมาขอยาแล้วนะ ฉันจะถือว่านายมีหมอนข้างประจำตัวแล้ว แต่ถ้ามันพูดขึ้นมาเมื่อไหร่ อย่าลืมไปตรวจสมองล่ะ”
ราฟาเอโร่ยักไหล่เล็กน้อยอย่างไม่ยี่หระ “ถ้ามันพูดได้จริง ฉันจะให้ตำแหน่งผู้บริหารทันที”
กายหัวเราะในลำคอ “แล้วถ้ามันลาออกเพราะทนเจ้านายไม่ได้ล่ะ?”
“ฉันจะจับคืนมานอนกอดให้ได้ก่อนหมดโปร” ราฟาเอโร่ตอบหน้าตาย ก่อนจะหยิบแก้วกาแฟขึ้นจิบอย่างใจเย็นราวกับกำลังคุยเรื่องวาระแห่งชาติ
กายส่ายหน้าอย่างระอา “ให้ตายเถอะ นายนี่มันไม่เคยมีตรงกลางเลยนะ อยู่ดี ๆ จะเป็นคนอบอุ่นขึ้นมาก็ให้มันค่อยเป็นค่อยไปหน่อยสิ"
เขาทิ้งท้ายไว้แบบนั้น ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปโดยไม่รอคำตอบ ทิ้งให้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงฝีเท้าเบา ๆ กับประตูกระจกที่ปิดลงอย่างนุ่มนวล
ราฟาเอโร่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
เขายกแก้วกาแฟขึ้นจิบช้า ๆ สายตาเหม่อมองผ่านกระจกไปยังสวนด้านหลังโรงพยาบาล แสงแดดลอดผ่านใบไม้เป็นเงารำไร ริมฝีปากที่เคยเคร่งขรึมกลับคลายออกเป็นรอยยิ้มบาง ๆ อย่างไม่รู้ตัว
“หมอนข้าง…” เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ราวกับกำลังลองชิมรสของคำนั้นในปาก ก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อยเหมือนเหนื่อยใจ
“บ้าเอ๊ย…”
แต่ก็ยังยิ้มอยู่ดี
เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูท หยิบโน้ตเล็ก ๆ ที่พับไว้อย่างดีออกมา มันเป็นแค่กระดาษโพสต์อิทธรรมดา ที่เขียนด้วยลายมือหวัด ๆ
‘ถ้ายังจะดื่มแต่กาแฟ ผมจะไม่ชงให้แล้วนะครับ’
ไม่ลงชื่อ แต่รู้ดีว่าใครเขียน
ราฟาเอโร่มองโน้ตแผ่นนั้นเงียบ ๆ สายตาเรียบนิ่งแต่กลับมีรอยยิ้มแฝงอยู่ในมุมปาก ท่าทางเหมือนคนเพิ่งค้นพบของสำคัญที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องการมาก่อน
เขาพับกระดาษเก็บใส่กระเป๋าเสื้อแนบอกอีกครั้ง ก่อนจะยกมือถือขึ้น เปิดดูปฏิทินงานประมูลในวันถัดไป
นิ้วหยุดอยู่บนชื่อเจ้าภาพ…กลุ่มทุนใหญ่จากเกาหลีใต้ที่เพิ่งเดินทางมา
“คิมบอม…” เขาทวนชื่อในใจเบา ๆ สีหน้าเปลี่ยนจากผ่อนคลายกลับมาเป็นนิ่งขรึมอีกครั้ง
“ถึงทีฉันต้องเริ่มเล่นแล้วเหมือนกัน…” เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะปิดมือถือ แล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
...
11:10 AM | ห้องทำงานผู้บริหารชั้นบนสุด – Silver Nest
เสียงแป้นพิมพ์ในห้องทำงานยังคงดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เจบีนั่งอยู่หน้าแล็ปท็อป พิมพ์รายงานอย่างเงียบเชียบ ข้างตัวคือแฟ้มข้อมูลของกลุ่มทุนต่างประเทศเรียงซ้อนกันเป็นตั้ง เสียงกระดิกปากกาจากอีกฟากของห้องดังขึ้นพร้อมเสียงถอนหายใจยาวของราฟาเอโร่ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะ
“พรุ่งนี้เย็นว่างหรือเปล่า” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นลอย ๆ
เจบีละสายตาจากจอ หันขวับ “ครับ?”
“ฉันถามว่าว่างไหม พรุ่งนี้ ห้าโมง” น้ำเสียงราฟาเอโร่เหมือนชวนไปกินบะหมี่ ไม่ใช่งานที่มีนักธุรกิจระดับโลกมารวมตัวกัน
“มีประชุมกับฝ่ายบัญชีตอนเช้า…แต่ตอนเย็นน่าจะว่างครับ ทำไมเหรอ?”
ราฟาเอโร่โยนแฟ้มหนึ่งมาให้เขา เจบียกมือรับไว้พอดี “ไปงานประมูลกับฉันหน่อย”
เจบีกระพริบตา “เอ่อ...แล้วทีมงานของคุณล่ะครับ?”
“นายก็เป็นทีมงานฉันไม่ใช่เหรอ?” ราฟาเอโร่เลิกคิ้ว “หรืออยากให้ฉันเขียนใบแต่งตั้งพิเศษให้เป็นผู้ช่วยส่วนตัว?”
“ไม่ต้องครับ!” เจบีรีบโบกมือปฏิเสธ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเปิดแฟ้มอย่างเงียบ ๆ สีหน้าคล้ายกำลังประมวลผลชีวิต
ราฟาเอโร่มองท่าทางนั้นแล้วแอบยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะพูดเสียงเรียบโดยไม่เงยหน้า
“ฉันสั่งตัดชุดไว้ให้แล้ว พรุ่งนี้คงถึง อย่าลืมลองแล้วถ่ายรูปส่งมาให้ฉันดูด้วยนะ”
เจบีชะงักไปเล็กน้อย พลิกหน้าเอกสารค้างไว้กลางอากาศ
“…ลองชุดผมเข้าใจครับ” เขาพูดช้า ๆ “แต่ทำไมต้องถ่ายส่งให้คุณดูด้วย”
“จะได้รู้ว่านายเหมาะพอจะยืนข้างฉันในงานประมูลหรือเปล่า” ราฟาเอโร่ตอบเรียบ ๆ น้ำเสียงนิ่ง แต่แววตากลับวาววับราวกับกำลังท้าทาย
เจบีเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายครู่หนึ่งเหมือนจะหาคำเถียง แต่สุดท้ายก็แค่ถอนหายใจเบา ๆ พลางพึมพำกับตัวเอง
“หรือผมควรลาออกดี…”
“ไม่อนุมัติ” ราฟาเอโร่ตอบทันทีโดยไม่เงยหน้า มือยังคงเซ็นเอกสารไปเรื่อย ๆ อย่างใจเย็น
...
6:45 PM | อาคารจัดงานประมูลส่วนตัว, เขตเคนซิงตัน, ลอนดอน
บรรยากาศยามเย็นของลอนดอนอาบด้วยแสงไฟสีทองจากอาคารหรูทรงคลาสสิกด้านหน้า ตึกสูงสามชั้นแห่งนี้เปิดเฉพาะกิจเพื่องานประมูลระดับสูงที่ไม่ปรากฏในข่าว ไม่ติดป้ายชื่อ และไม่เปิดให้สื่อเข้าใกล้
ราฟาเอโร่ก้าวลงจากรถเบนท์ลีย์สีดำด้านด้วยท่วงท่าสงบนิ่ง สูทสีเทาเข้มที่ตัดพอดีทุกสัดส่วนขับเน้นความสูงสง่าและบารมี เส้นผมถูกเซ็ตอย่างเนี้ยบไร้ที่ติ ใบหน้าเรียบเฉยจนแทบไม่สามารถอ่านความคิดใด ๆ ได้
ข้างกายเขา เจบีในสูทสีกรมเข้มที่ดูเรียบง่ายแต่กลับเข้ากับเขาอย่างน่าประหลาด ยิ่งเมื่อเทียบกับภาพจำของเด็กหนุ่มผู้ไม่เคยใส่ใจการแต่งกายมาก่อน
“อย่าทำหน้าตึงนัก” ราฟาเอโร่เอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ขณะยื่นบัตรเชิญให้เจ้าหน้าที่ตรงทางเข้า โดยไม่หันไปมองอีกคน “มันจะทำให้คนคิดว่านายไม่เต็มใจมางานนี้กับฉัน”
เจบีปรายตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ แล้วคลายสีหน้าเคร่งเครียดลงเล็กน้อย พอให้ดูเหมือนยินยอมโดยสมัครใจ แม้ในใจจะอยากเดินกลับขึ้นรถมากกว่าเข้าไปในงานหรูหราแบบนี้ก็ตาม
“ดี” ราฟาเอโร่กล่าวเพียงแค่นั้น ก่อนจะก้าวนำเข้าไปโดยไม่หันกลับ
บรรยากาศด้านในหรูหราเกินกว่าจะเรียกว่า ‘ห้องจัดงาน’ พรมแดงหนานุ่มยาวตลอดแนวทางเดิน โคมไฟระย้าหลายสิบดวงห้อยจากเพดานสูง บนโต๊ะกระจกใสประดับแจกันดอกกล้วยไม้สีขาวเรียงราย
เหล่าผู้ร่วมงานต่างก็อยู่ในชุดหรูหรา บ้างใส่หน้ากากครึ่งหน้า บ้างถือแก้วไวน์แดงในมือ บทสนทนาเบา ๆ ปะปนกับเสียงดนตรีแจ๊ซคลอเบา ๆ สร้างบรรยากาศกึ่งลับ ลึกลับ และอันตรายอย่างบอกไม่ถูก
เจบีเดินตามราฟาเอโร่อย่างเงียบ ๆ ตาจับจ้องบรรยากาศโดยรอบ เขาสัมผัสได้ทันทีว่างานนี้ไม่ใช่งานประมูลธรรมดา รายชื่อของสิ่งที่จะขึ้นประมูลแต่ละชิ้นที่อยู่ในสมุดพิมพ์หนังกลับ...บางชื่อไม่ควรจะอยู่ในการประมูลใด ๆ ด้วยซ้ำ
เสียงทุ้มของราฟาเอโร่ดังขึ้นเรียบ ๆ โดยไม่หันกลับมามอง “คืนนี้ นายแค่อยู่ข้าง ๆ ฉันก็พอ”
เจบีพยักหน้า ขณะมองชายคนหนึ่งที่เดินผ่านไปพร้อมกระเป๋าเอกสารล็อกรหัสแบบพิเศษ...มีตราประทับสัญลักษณ์ที่เขาเคยเห็นแค่ในแฟ้มลับ
ไม่นานนัก ทั้งสองก็เดินเข้าไปนั่งประจำที่ในโซนสำหรับผู้ถือบัตรดำ โซนที่อนุญาตให้มีสิทธิ์เข้าถึงสินค้าพิเศษและข้อมูลเบื้องหลังการแลกเปลี่ยน
เจบีนั่งอยู่ข้างราฟาเอโร่ พยายามเก็บลมหายใจให้เงียบที่สุด เขายังไม่ชินกับการต้องวางตัวนิ่งสนิท ท่ามกลางคนที่ล้วนมีพลังมากพอจะพลิกโครงสร้างโลกใต้ดิน
“เริ่มแล้ว” ราฟาเอโร่เอ่ยเบา ๆ ขณะพิธีกรบนเวทีประกาศเปิดการประมูลชิ้นแรกอย่างเป็นทางการ
เจบีหันไปมองเขา เห็นเพียงแววตาที่สงบนิ่ง เยือกเย็น ราวกับพร้อมจะคำนวณทุกการเคลื่อนไหวของคนในห้องนี้
เสียงเคาะไม้ประมูลชิ้นที่สองดังขึ้น พร้อมตัวเลขราคาปิดที่สูงเกินกว่าที่หลายคนคาดไว้ บางคนแอบถอนหายใจ บ้างส่ายหน้าน้อย ๆ แต่ราฟาเอโร่ยังคงนั่งจิบไวน์อย่างไม่ไยดี ราวกับตัวเลขเหล่านั้นไร้ความหมาย
เจบีนั่งนิ่งราวกับไม่มีตัวตน แสร้งเป็นเพียงผู้ช่วยธรรมดาที่นั่งข้างผู้มีอำนาจ แต่ดวงตาของเขาไม่เคยอยู่กับเวที ไม่แม้แต่จะจับจ้องไปยังชิ้นงานประมูลที่เปลี่ยนมือในราคาหลายหลัก
เพราะทันทีที่ร่างสูงในสูทเทาอ่อนปรากฏตัวที่มุมห้อง เขาก็เผลอกลั้นหายใจ
คิมบอม...ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยบุคลิกนิ่งสงบราวกับภูเขาน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย ดวงตาเรียบนิ่งกวาดมองไปทั่วห้องอย่างไร้ความรู้สึก
เจบีไม่หลบตา แต่ก็ไม่กล้าสบตา เขาเลือกจะ “มองผ่าน” อย่างแนบเนียน ประหนึ่งไม่รู้จัก ไม่เกี่ยวข้อง ไม่แม้แต่คุ้นเคย
ข้างกายคิมบอม ชายหนุ่มผิวเข้มกว่าเดินตามมาเงียบ ๆ ในชุดทักซิโด้สีดำเรียบ ไม่มีแม้แต่เข็มกลัดประดับอก ทว่าความเรียบกลับยิ่งขับเน้นให้บุคลิกเงียบขรึมของเขาเด่นชัดขึ้นอย่างประหลาด
ฮันแจ...สบตากับเขาอย่างตรงไปตรงมา
เจบีเกร็งไปชั่ววูบ แค่การสบตาสั้น ๆ ก็ทำให้ลมหายใจขาดห้วง
"นายรู้จักพวกนั้นงั้นเหรอ?" ราฟาเอโร่กระซิบถาม เสียงต่ำราวกับลมหายใจ ริมฝีปากขยับอยู่ใกล้ใบหูมากกว่าปกติจนแทบได้ยินเสียงลมหายใจ
“...ไม่ครับ” เจบีตอบทันที สั้นและเรียบ แต่ฝ่ามือใต้โต๊ะกลับกำแน่นจนข้อขึ้นสี
ราฟาเอโร่ปรายตามามอง เห็นเสี้ยวหนึ่งของสีหน้าที่ฝืนเก็บอารมณ์ “โกหกไม่เก่งเลย” เขาพูดเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ชัดเจนว่าเอ็นดูหรือเย้ยหยัน ยิ้มมุมปากเหมือนรู้อยู่แล้ว
คิมบอมเดินผ่านทั้งคู่โดยไม่พูดอะไร ดวงตาเพียงเหลือบมองราฟาเอโร่เล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนไปหยุดที่เจบีชั่ววูบ แววตาไม่ได้แสดงความรู้สึกใด แต่ความเงียบระหว่างจังหวะสบตานั้นกลับเหมือนพายุที่ถูกเก็บไว้หลังม่าน
จากนั้นเขาก็เดินเลยไปนั่งในโซนด้านหน้า ริมเวที โดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ เช่นเดิม ราวกับเจบีไม่เคยมีอยู่ในสายตา
เจบีก้มหน้าต่ำลงเล็กน้อย ปลายนิ้วแตะขอบแฟ้มเอกสารตรงหน้าราวกับต้องหาที่ยึดเหนี่ยวอะไรบางอย่าง ความร้อนวูบหนึ่งแล่นผ่านแก้มแม้ไม่ได้มาจากแสงไฟบนเวที แต่จากแรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่เขาจากทั้งสองด้าน
ราฟาเอโร่จ้องเจบีอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะแผ่วในลำคอ หันกลับไปมองเวทีอย่างเชื่องช้า ริมฝีปากขยับเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยแรงสั่นสะเทือนบางอย่าง
“…เริ่มสนุกขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสิ”
...
หลังการประมูลรอบที่สามจบลง แขกหลายคนทยอยออกมาจากโถงหลักเพื่อพักจิบแชมเปญและต่อบทสนทนาเครือข่ายธุรกิจ ท่ามกลางเสียงไวโอลินบรรเลงเบา ๆ จากมุมหนึ่งของห้อง
ราฟาเอโร่ยังคงอยู่ไม่ห่างเจบี เขาไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงยืนถือแก้วในมือ มองกลุ่มนักธุรกิจที่เดินผ่านไปมาด้วยแววตาเย็นขรึม
“อยู่ตรงนี้ไว้ เดี๋ยวฉันมา” เสียงของเขาดังขึ้นพร้อมกับการขยับตัวออกไปอีกฝั่งห้อง
เจบีพยักหน้ารับเบา ๆ ขณะหัวใจเต้นแรงขึ้นชั่ววูบเมื่อเห็นโอกาสเปิดขึ้นตรงหน้า
ไม่ถึงหนึ่งนาทีต่อมา ฮันแจก็เดินเข้ามาอย่างเป็นจังหวะพอดี เขาทำทีเหมือนเพียงแวะหยุดเพื่อเลือกไวน์จากโต๊ะเครื่องดื่มด้านข้าง ท่าทีสบาย ๆเหมือนแขกทั่วไปที่มางานนี้ด้วยความสุภาพและไม่สนใจใครเป็นพิเศษ
“รสชาติของไวน์ที่นี่ไม่เลวเลย” เขาเอ่ยขึ้น ขณะหยิบแก้วแชมเปญอีกใบด้วยมือข้างหนึ่ง สายตาไม่ได้หันมองเจบีโดยตรง
เจบีหันเล็กน้อย ก่อนตอบเรียบ ๆ ตามบท “ใช่ครับ รสเบานุ่มกว่าที่คิด”
ฮันแจยกแก้วขึ้นแตะแก้มเบา ๆ ราวกับทดสอบอุณหภูมิ “เคยลองของ ชาโต มาร์โกซ์ ปี 2005 ไหม?”
เจบีสบตาเขาแวบหนึ่งก่อนหลุบตาลง “เคยครับ แต่ไม่ค่อยเข้ากับอารมณ์งานแบบนี้เท่าไหร่”
ฮันแจยิ้มนิด ๆ มุมปาก ก่อนจะพูดโดยไม่เปลี่ยนน้ำเสียง “ยังปลอดภัยอยู่ไหม?”
“พอไหว” เจบีตอบเบา เสียงแทบไม่หลุดจากลมหายใจ “แต่เริ่มรู้ตัวแล้ว”
“เขามองนายอยู่ทุกฝีก้าว” ฮันแจกระซิบพลางจิบไวน์ แสร้งเป็นเหมือนเพิ่งรู้จักกัน “ทำอะไรระวังหน่อย”
เจบีพยักหน้าแทบไม่เห็น “ข้อมูลยังไม่ได้ส่ง…ฉันรอจังหวะที่แนบเนียนกว่านี้”
“ดี” ฮันแจตอบพลางวางแก้วลงบนถาดเสิร์ฟของบริกรที่เดินผ่านมา “แค่นายยังอยู่…เราก็ยังมีโอกาส”
เขาถอยหลังหนึ่งก้าว รักษาระยะห่างไว้อย่างชำนาญ รอยยิ้มที่แต้มบนใบหน้าดูสุภาพเป็นมิตรพอจะกลมกลืนกับผู้คนรอบข้าง แต่เจบีรู้ดีว่ารอยยิ้มนั้นไม่ได้ส่งมาให้ใครนอกจากเขา
“สนุกกับงานนะครับ”
ฮันแจเอ่ยทิ้งท้ายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วจึงเดินกลับเข้าไปในฝูงชน ร่างสูงในชุดทักซิโด้สีเข้มกลืนหายไปกับแสงไฟสลัวและเสียงเครื่องสายเบา ๆ จากมุมห้อง
เจบียืนอยู่นิ่ง ๆ สักพัก ลมหายใจยังไม่ทันจะปรับจังหวะให้มั่นคง ร่างสูงข้างกายก็ปรากฏตัวกลับมาอีกครั้งอย่างไม่มีสัญญาณเตือน
ราฟาเอโร่ก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้าเขา พร้อมหยิบไวน์จากถาดบริกร แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างนิ่งงัน ก่อนจะยกแก้วขึ้นชนกับแก้วในมือเจบีโดยไม่พูดอะไร
เสียงแก้วกระทบกันเบา ๆ ในจังหวะที่เจือความตึงเครียดบางอย่าง
"อยากได้อะไรสักชิ้นมั้ย?" เสียงทุ้มเรียบถามขึ้นเหมือนพูดลอย ๆ แต่กลับเจาะจงเกินกว่าจะเป็นแค่คำถามทั่วไป
เจบีปรายตามองเขานิ่ง ๆ ริมฝีปากยกขึ้นน้อย ๆ เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้อ่อนโยนแต่ก็ไม่กวนประสาท
"คุณจะจ่ายให้ผมหรอครับ?"
ราฟาเอโร่หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ มุมปากกระตุกขึ้นน้อย ๆ อย่างไม่ปิดบัง
"ถ้าสิ่งนั้นมันทำให้ฉันได้เห็นสีหน้าที่ไม่เย็นชาแบบเมื่อกี้...ก็น่าลองดูอยู่เหมือนกัน"
เจบีเลิกคิ้วเล็กน้อยกับคำพูดนั้น แต่ยังไม่ทันจะได้หันไปตอบ ราฟาเอโร่ก็แตะไหล่เขาเบา ๆ ก่อนจะดันหลังให้เดินกลับเข้าไปในห้องประมูลอย่างไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ
“ด–เดี๋ยว…”
เสียงประมูลในงานดังขึ้นทันทีที่ทั้งคู่กลับเข้ามานั่งที่เดิม แสงไฟจับไปยังเวทีกลางห้อง ขณะที่พิธีกรยกของชิ้นถัดไปขึ้นโชว์
“ชิ้นต่อไปคือกล่องดนตรีไม้สลักจากศตวรรษที่ 19 งานทำมือชิ้นหายากที่ยังใช้งานได้สมบูรณ์...” เสียงพิธีกรกังวานขึ้น พร้อมผ้าคลุมกำมะหยี่ถูกยกขึ้น เผยให้เห็นกล่องไม้เคลือบเงาขนาดไม่ใหญ่มาก ด้านในมีตุ๊กตาเด็กผู้ชายยืนพิงเสาไฟเล็ก ๆ กำลังเล่นไวโอลินเบา ๆ เมื่อไขลาน
เจบีมองกล่องดนตรีนิ่ง ๆ …มันสวยก็จริง แต่ก็คงไม่มีใครประมูลของแบบนี้ในราคาสูงนัก
แต่ทันใดนั้น
“หนึ่งแสน”
เสียงทุ้มของราฟาเอโร่ดังขึ้นกลางห้อง เรียบเฉยจนเกือบฟังดูเหมือนไม่ได้คิดอะไร แต่ตัวเลขกลับทำให้ทั้งห้องเงียบไปครู่หนึ่ง
เจบีหันขวับมามองทันที สีหน้าไม่อยากเชื่อ “...คุณจะประมูลกล่องดนตรี?”
“อือ” เขาพยักหน้าเบา ๆ ดวงตายังจับจ้องกล่องไม้นั่นที่อยู่กลางเวที “ให้นายไง”
เจบีชะงักเล็กน้อย จ้องอีกฝ่ายราวกับพยายามจับให้ได้ว่านั่นคือคำพูดล้อเล่น หรือว่า...จริงจัง
“แต่ผมไม่ได้อยากได้”
“ไม่เป็นไร” เขาหันมายิ้มบาง “ฉันไม่ได้ซื้อเพราะนายอยากได้...แต่เพราะฉันตั้งใจจะให้ต่างหาก”
“หนึ่งแสนห้าหมื่น!” ชายร่างใหญ่ในชุดสูทอีกฝั่งห้องยกมือ
“สองแสน” ราฟาเอโร่ตอบกลับแทบทันที จิบไวน์ราวกับไม่แคร์อะไร
เจบีเริ่มหรี่ตา “คุณ…ไม่จริงจังใช่มั้ย”
“สามแสน!” เสียงประมูลยังไม่จบ ชายคนเดิมฮึ่มฮั่ม
ราฟาเอโร่หันไปยกคิ้วเล็กน้อย “สี่แสนห้า”
เจบีเริ่มจะอ้าปากค้าน “กล่องดนตรีแค่—”
“ห้าแสน!” ฝั่งตรงข้ามเริ่มเดือด ราวกับถูกจุดไฟ
ราฟาเอโร่หัวเราะในลำคอ ยิ้มมุมปากอย่างนึกสนุก
“หนึ่งล้าน”
เสียงฮือฮาทั้งห้องเริ่มดังขึ้นรอบตัว บางคนหันมามอง ราวกับอยากเห็นหน้าคนที่เพิ่งทุ่มเงินมหาศาลให้กล่องดนตรีขนาดเท่าฝ่ามือ
เจบีจ้องเขานิ่ง ๆ “นี่คุณทำอะไรอยู่—”
ราฟาเอโร่หันมามองเขาชั่วครู่ ก่อนตอบเรียบ ๆ
“ซื้อความสงบ” จากนั้นก็ยื่นบัตรประมูลอีกครั้ง “หนึ่งล้านห้าแสน”
ฝ่ายตรงข้ามเงียบไปในที่สุด
เสียงเคาะจากพิธีกรดังขึ้น “หนึ่งล้านห้าแสน...ขาย!”
เสียงปรบมือบางเบาและเสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้นรอบห้อง เจบีมองกล่องดนตรีแล้วหันมามองเขาอย่างอ่อนใจ
“คุณเพิ่งจ่ายเงินค่ารถยนต์ดี ๆ ไปกับกล่องดนตรีไวโอลินอันเดียว...”
ราฟาเอโร่หันมา ยักไหล่แบบไม่ใส่ใจ “มันทำให้นายหันมามองฉันนานกว่าเดิม หกวินาที คุ้มดี”
เจบียกมือปิดหน้า “...ผมอยากกลับบ้าน”
อีกฝ่ายยกมุมปากขึ้นน้อย ๆ ไม่พูดอะไรต่อ แต่แววตานั้นชัดเจนเกินจะตีความผิด
“ก็รู้น่าว่านายไม่อยากได้” เขาพูดขึ้นหลังจากนั้น พลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สายตายังมองไปข้างหน้าอย่างสบายใจเกินหน้าเกินตา “แต่ฉันไม่ค่อยถนัดฟังเวลานายปฏิเสธ โดยเฉพาะเรื่องที่ฉันตั้งใจให้”
เจบีหันมามองเขาช้า ๆ ดวงตานิ่งเฉย แต่มีแววเหนื่อยใจแถมมาด้วยอย่างจงใจ
“…งั้นผมควรขอบคุณใช่มั้ย”
น้ำเสียงเรียบแต่หางประโยคติดแข็งเล็กน้อย คล้ายประชด คล้ายกลั้นอารมณ์บางอย่างไว้
และนั่นก็ยิ่งทำให้ราฟาเอโร่ยิ้มกว้างขึ้นนิดหนึ่ง แบบที่เจ้าตัวไม่ทันรู้ตัว
“ก็ดี” เขาว่าเบา ๆ ก่อนจะต่อด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ แต่ชัดเจน “แต่จะดีกว่านี้...ถ้านายพูดเพราะอยากพูด ไม่ใช่แค่พูดให้มันจบ ๆ ไป”
เจบีชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะหลุบตามองโต๊ะตรงหน้า ทำท่าจะพูดอะไรอีกแต่ก็เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย
สุดท้ายจึงทำได้แค่พึมพำเบา ๆ
“…ขอบคุณครับ”