เสียงดนตรีและผู้คนที่เบียดเสียดในท้องพระโรงไม่ได้ช่วยให้ไคเรนคลายความกังวลลงเลยแม้แต่น้อย ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองไปทั่วบริเวณอย่างร้อนรน หวังจะพบร่างคุ้นตาของรัชทายาท แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่ผู้คนที่ไม่รู้จักหรือขุนนางที่สนทนากันอย่างออกรส
"เซย์เรน...ท่านอยู่ไหน?" ไคเรนพึมพำกับตัวเอง ความหงุดหงิดจากการไม่ได้รับแจ้งเรื่องงานเลี้ยง ผสมกับความวิตกกังวลจากเหตุลอบทำร้ายเมื่อสองวันก่อน ทำให้เขาร้อนรนแทบจะทนไม่ไหว
"ข้าเห็นฝ่าบาทเมื่อครู่ ทรงประทับอยู่บริเวณโต๊ะอาหารขอรับ" ทหารองครักษ์คนหนึ่งรายงาน ไคเรนรีบเดินตรงไปยังบริเวณนั้น แต่ก็พบเพียงจานอาหารทะเลที่เหลือเพียงซาก และเก้าอี้ว่างเปล่า
ความเครียดเริ่มเกาะกุมแน่นขึ้นในอก ไคเรนตัดสินใจเดินแยกตัวจากกลุ่มชนที่แออัด สอดส่องสายตาไปตามทางเดินที่ทอดยาวสู่สวนหลวง แต่ก็ยังไร้วี่แววของรัชทายาท เขารีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น สอดส่องตามพุ่มไม้และม้านั่งหินอ่อน ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาเพียงรางๆ บรรยากาศสวนยามค่ำคืนที่เคยสงบเงียบ บัดนี้กลับให้ความรู้สึกราวกับมีบางสิ่งซ่อนเร้น
"ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับท่านอีก... ข้าคงให้อภัยตัวเองไม่ได้แน่" ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจของไคเรน เสียงในหัวของเขาเริ่มตวาดก้องตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้เซย์เรนคลาดสายตา ภาพของเซย์เรนที่บาดเจ็บจากเหตุลอบทำร้ายยังคงติดตาเขาอยู่ และนั่นทำให้ไคเรนไม่อาจอยู่นิ่งได้อีกต่อไป
เขาเดินสำรวจทั่วสวนด้านหน้า และทุกซอกมุมรอบท้องพระโรงที่พอจะนึกออก ทว่าไร้วี่แววของเซย์เรน ไคเรนหันกลับมาทางตำหนักใหญ่ ใจเริ่มเต้นแรงขึ้นด้วยความร้อนรน ต้องหาให้เจอ...ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน!
...
ผมพยายามกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่ความพร่ามัวออกไป แต่ก็ไร้ผล รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยเคว้งอยู่ในห้วงอารมณ์อันแปลกประหลาดที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
"นี่มัน...ยาอะไรกันนะ?" เสียงสุดท้ายในหัวของผมที่ยังพอมีสติอยู่บ้างพยายามกระซิบถาม
จู่ๆ ร่างกายก็ปะทะเข้ากับบางสิ่ง ผมเซถลา แต่ก็มีมือคู่หนึ่งคว้าเข้าที่แขนอย่างรวดเร็ว กลิ่นหอมหวานอ่อนๆ คล้ายดอกไม้ฉุนกึกเข้ามาในโสตประสาท มันทั้งน่าหลงใหลและน่าขนลุกในเวลาเดียวกัน
ผมเงยหน้ามองใบหน้าเบื้องบนที่เริ่มปรากฏเค้าลางๆ ร่างสูงโปร่ง ริมฝีปากหยักยกยิ้มอย่างอ่อนโยน ดวงตาคู่คมจ้องมองมาที่ผมราวกับผมเป็นของล้ำค่าที่สุดในโลก
"สวามี... ท่านมาแล้วหรือ..." ผมพึมพำอย่างเลื่อนลอย ความรู้สึกผ่อนคลายและปลอดภัยเข้าแทนที่ความหวาดระแวง ผมพยายามยื่นมือไปสัมผัสใบหน้านั้นอย่างแผ่วเบา ความปรารถนาที่จะถูกกอดรัดและปลอบโยน ราวกับมีเพียงสัมผัสของเขาที่จะยึดผมไว้ไม่ให้หลุดลอย
แต่แล้ว ใบหน้าลางๆ นั้นก็ชัดเจนขึ้นทีละน้อย... ไม่ใช่ ไคเรน... ไม่ใช่เอลเซียน... ไม่ใช่เฟลด์... ไม่ใช่แรนทีล...
รอยยิ้มนั้นหวานหยดย้อย แต่แววตากลับซ่อนความเจ้าเล่ห์และกระหายบางอย่างที่น่าขนลุก
คนตรงหน้าคือ... ลูซ!
ผมรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่คลอเคลียอยู่ข้างแก้ม ปลายนิ้วที่ลูบไล้ตามต้นแขนดูเหมือนจะปลอบโยน ทว่าแท้จริงกลับทิ้งรอยแสบร้อนลึกลงไปใต้ผิว เสียงกระซิบแผ่วเบาและนุ่มละมุน แต่มีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนั้น
“เจ้าชายเซย์เรน... คิดถึงข้าบ้างไหม... เราเคยใกล้ชิดกันเพียงใด...”
ผมพยายามจะขยับหนี ลมหายใจสะดุด ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เรี่ยวแรงในตัวเหมือนถูกดูดหายไปทีละนิด แขนขาหนักอึ้ง ร่างกายอ่อนยวบเหมือนกำลังจะจมลงในบึงโคลนช้า ๆ ความพร่ามัวแล่นผ่านดวงตา ทุกอย่างดูเลือนราง เหมือนภาพฝันที่อยากตื่น
เสียงของเขายังคงกระซิบข้างหู ขณะที่ปลายนิ้วเลื่อนไปตามแผ่นหลัง ผมไม่รู้ว่าเป็นพิษจากยา หรือสัมผัสของเขา แต่หัวใจผมกำลังสั่นไหว ทั้งจากความหวาดกลัว และ...ความสิ้นหวัง
แล้วในชั่วขณะนั้น... ผมเห็นใครบางคนยืนอยู่ไม่ไกล ร่างสูงในชุดคลุมเข้มที่ผมคุ้นตาอย่างไม่มีวันลืม
ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรือความหวังสุดท้ายในใจผมที่สร้างเขาขึ้นมา แต่เขายืนอยู่ตรงนั้น มองมาที่ผม
“ไค—เรน...” ผมพยายามเปล่งเสียง เรียกชื่อเขาเหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ผมยึดไว้
...
ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง ไคเรนก็มาหยุดอยู่ห่างๆ เขาเห็นภาพที่ทำให้หัวใจกระตุก ภาพของเซย์เรนที่ซบอยู่กับอกของลูซ มือของลูซกำลังลูบไล้ไปตามแผ่นหลังของรัชทายาทอย่างคุ้นเคย
ไคเรนรู้สึกเหมือนถูกก้อนหินขนาดใหญ่ทับอก เขาเคยได้ยินเรื่องราวความสัมพันธ์ลับๆ ระหว่างเซย์เรนกับลูซมามากพอ แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพบาดตาเช่นนี้
'หรือว่ารัชทายาทแอบมานัดเจอกับลูซที่นี่... ตามลำพัง?'
ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจของไคเรนอย่างไม่อาจห้าม หัวใจปวดหนึบ ความผิดหวังและเจ็บปวดแล่นเข้ามา เขาไม่อยากเข้าไปทำลายช่วงเวลาแห่งความสุข หรือ...ความปรารถนาส่วนลึกที่รัชทายาทอาจเลือกด้วยหัวใจ
ในขณะเดียวกัน เซย์เรนที่กำลังต่อสู้กับฤทธิ์ยาและสัมผัสอันน่ารังเกียจของลูซนั้น ดวงตาที่พร่ามัวก็เหลือบไปเห็นร่างสูงสง่าที่ยืนอยู่ห่างออกไป...
ความหวังฉายวาบขึ้นในดวงตาที่พร่ามัวของเซย์เรน "ไคเรน..." เขาพยายามเรียกชื่อนั้นออกไป แต่เสียงกลับแหบพร่า
ไคเรนคงจะเห็นเขาแล้ว เขารู้... สวามีต้องมาช่วยเขาแน่นอน...
เขาอยากให้ไคเรนรู้ ว่าเขาไม่ได้เลือกแบบนี้ ว่าเขากำลังขอให้ช่วย...ไม่ใช่กำลังทอดกายให้อีกฝ่ายอย่างสมัครใจ
แต่แล้ว ไคเรนก็หันหลังให้...และเริ่มเดินจากไปช้าๆ
ภาพนั้นราวกับคมมีดกรีดลงกลางใจของเซย์เรน ความหวังทั้งหมดพังทลายลงในพริบตา "ไม่...!"
เสียงสะอื้นหลุดออกมาจากลำคอ น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ก่อนจะร่วงลงช้า ๆ โดยไม่ทันรู้ตัว ความเจ็บในอกมันจุกแน่นจนแทบหายใจไม่ออก ร่างกายยังคงอ่อนแรง แต่ตอนนี้หัวใจ...อ่อนแรงยิ่งกว่า
เขาถูกทิ้ง... ถูกทิ้งให้เผชิญหน้ากับความหวาดกลัวเพียงลำพัง!
เสียงสะอื้นของเซย์เรนทำให้ไคเรนที่กำลังจะเดินจากไปหยุดชะงัก เขายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แม้จะเชื่อว่าเซย์เรนอาจจะแอบมาเจอลูซ แต่ไคเรนก็ไม่เคยไว้วางใจลูซเลยแม้แต่น้อย เขารู้ว่าลูซเป็นคนเจ้าเล่ห์และมีเบื้องหลัง
ไคเรนเลือกที่จะไม่เดินจากไปในทันที เขายังคงแอบมองสถานการณ์อยู่ห่างๆ แม้ส่วนลึกจะไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว แต่ในฐานะสวามีของรัชทายาท เขาก็ไม่อาจละเลยได้โดยสิ้นเชิง
แล้วในที่สุด สายตาคมกริบของไคเรนก็จับสังเกตเห็นบางอย่างที่ผิดปกติ ท่าทางของเซย์เรนที่พยายามดิ้นรน ใบหน้าที่ซีดเผือด แม้จะแดงก่ำเพราะฤทธิ์ยา แต่แววตานั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด และท่าทีของลูซที่เริ่มแข็งกร้าวขึ้น ดูเหมือนไม่ใช่การหยอกล้อของคู่รักอีกต่อไป แต่เป็นการ ใช้กำลังบังคับ!
ความสงสัยทั้งหมดมลายหายไปในพริบตา! ความโกรธแค้นปะทุขึ้นในใจของไคเรน เขารู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“ออกไปให้ห่างจากรัชทายาทเดี๋ยวนี้” ไคเรนคำรามเสียงต่ำ ร่างสูงใหญ่พุ่งเข้าไปหาทั้งสองอย่างรวดเร็วราวพายุหมุน มือแกร่งกระชากร่างของลูซออกห่างจากเซย์เรนอย่างแรงจนกระเด็นไปกระแทกกับพุ่มไม้
เซย์เรนตกใจกลัวจนตัวสั่นสะท้าน น้ำตาที่เคยเอ่อคลอไหลพรากไม่หยุด เมื่อเห็นไคเรนตรงหน้า เขาก็แทบไม่รอช้า รีบพุ่งตัวเข้าไปซุกอยู่ในอ้อมกอดของไคเรนอย่างแน่นหนา ราวกับเด็กน้อยที่เพิ่งผ่านฝันร้ายมาอย่างแสนสาหัส
"ไคเรน... ฮึก... ไคเรน..." เสียงสะอื้นปนคำเรียกชื่อนั้นขาดหายไปในอกแกร่ง
ไคเรนโอบกอดร่างของเซย์เรนแน่น ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังลูซที่ล้มลงอยู่กับพื้นด้วยความเดือดดาล ปราศจากความลังเลใดๆ ในแววตาอีกต่อไป
"ไม่เป็นไรแล้วนะ... ข้าอยู่ตรงนี้" ไคเรนพยายามปลอบประโลม เสียงของเขาอ่อนลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มือข้างหนึ่งลูบไล้ไปตามเส้นผมที่เปียกชื้นด้วยเหงื่อของเซย์เรนอย่างแผ่วเบา ก่อนจะก้มลงหอมหน้าผากของเซย์เรนอย่างอ่อนโยน ราวกับจะถ่ายทอดความอบอุ่นและความปลอดภัยให้คนในอ้อมแขน
เงาร่างนั้นที่ถูกกระชากออกไปอย่างแรง รู้ดีว่าสถานการณ์พลิกผัน ตรึงสายตาอาฆาตไว้ที่ไคเรนชั่วครู่ ก่อนจะใช้จังหวะที่ไคเรนกำลังปลอบเซย์เรน รีบผละหนีหายเข้าไปในเงามืดของพุ่มไม้ เขาฉลาดพอที่จะรู้ว่าการเผชิญหน้ากับไคเรนในสถานการณ์นี้เป็นเรื่องเสียเปรียบอย่างยิ่ง
ไคเรนไม่ได้ไล่ตามลูซ เขาเลือกที่จะให้ความสำคัญกับเซย์เรนที่กำลังสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมกอดมากกว่า เขาก้มลงอุ้มเซย์เรนขึ้นมาในท่าเจ้าสาวอย่างรวดเร็ว และมุ่งหน้าไปยังรถม้าที่จอดรออยู่
"ข้าจะพาเขากลับไปที่คฤหาสน์… นอกวัง" ไคเรนตัดสินใจอย่างเด็ดขาด การอยู่ในวังตอนนี้คงมีแต่จะถูกจับตามองและอาจสร้างข่าวลือที่ไม่ดีได้
ภายในรถม้าที่มุ่งหน้าออกจากวังหลวง เซย์เรนยังคงอยู่ในฤทธิ์ยาที่เริ่มออกฤทธิ์อย่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายของเขาร้อนผ่าวไปหมด มือไม้เริ่มอยู่ไม่สุข ลูบไล้ไปตามแผงอกของไคเรนอย่างไม่รู้ตัว ซุกหน้าเข้าหาลำคอแกร่ง สูดดมกลิ่นกายของอีกฝ่ายอย่างกระหาย
"ไคเรน... ร้อน... ฮึก..." เซย์เรนพึมพำ เสียงแหบพร่า ดวงตาฉ่ำปรอยเหลือบมองไคเรนอย่างออดอ้อน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความปรารถนาที่ไม่ถูกยับยั้ง
ไคเรนที่เคยดูดุดันและสุขุมนิ่งๆ มาตลอด บัดนี้กลับไม่อาจต้านทานความยั่วยวนของเซย์เรนได้อีกต่อไป ลมหายใจของเขาเริ่มติดขัด กล้ามเนื้อแข็งเกร็งไปหมด ใบหน้าคมคายแดงระเรื่อขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขากัดฟันแน่น พยายามห้ามใจตัวเองอย่างสุดความสามารถ
"เซย์เรน... อดทนไว้... มันไม่ใช่ตัวท่าน..." ไคเรนพึมพำกับตัวเอง พลางรวบแขนของเซย์เรนที่กำลังลูบไล้อย่างเร่าร้อนเอาไว้แน่น แต่ก็ทำได้เพียงปลอบประโลมในอ้อมกอด โดยที่ตัวเองก็ต้องต่อสู้กับแรงปรารถนาที่ยาพิษนั้นส่งผ่านมาจากร่างของเซย์เรนเช่นกัน
รถม้าคู่ใจของไคเรนเคลื่อนมาจอดสนิทที่หน้าคฤหาสน์ส่วนตัวของเขาที่ตั้งอยู่นอกวังหลวง ทันทีที่ลงจากรถ ไคเรนก็อุ้มเซย์เรนที่ยังคงซบหน้าอยู่กับอกแน่น รีบรุดเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาเคร่งเครียดบ่งบอกถึงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
"ตามท่านหมอประจำตระกูลมาเดี๋ยวนี้!" ไคเรนสั่งกับคนรับใช้ด้วยน้ำเสียงดุดัน ขณะที่พาร่างของเซย์เรนไปยังห้องพักส่วนตัวที่เตรียมไว้
ไม่นานนัก ท่านไครอส หมอประจำตระกูลซึ่งเป็นอาของไคเรน ก็รีบรุดมาถึง เขาเป็นชายสูงวัยแต่ยังคงดูแข็งแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งประสบการณ์ เขาตรวจอาการของเซย์เรนอย่างละเอียด พลางขมวดคิ้วแน่น
"รัชทายาทของหลานโดนพิษ" ท่านอาของเขาเอ่ยขึ้น น้ำเสียงจริงจัง "เป็นพิษจากดอกลัส ที่นำไปผสมกับเครื่องดื่มมึนเมา ทำให้มีฤทธิ์รุนแรงกว่าปกติหลายเท่า ร่างกายของรัชทายาทจึงร้อนรุ่มและจิตใจเลือนลางเช่นนี้"
ไคเรนกำมือแน่น "มีวิธีแก้พิษทันทีไหมท่านอา?"
ท่านไครอสส่ายหน้าอย่างเห็นใจ "ตามตำราแล้ว พิษนี้ไม่มีวิธีถอนออกในทันที นอกจากจะอาศัยสมุนไพรพิเศษบางชนิดที่ท่านแรนทีลอาจจะพอมี แต่ในเวลานี้..."
คำพูดของท่านอาทำให้หัวใจของไคเรนยิ่งหนักอึ้ง "แล้วทางอื่นล่ะ? คนอื่นๆ ก็ยังอยู่ต่างเมือง..." เขาพึมพำกับตัวเอง เสียงนั้นเต็มไปด้วยความร้อนรน
ท่านไครอสถอนหายใจ "หากไม่มีวิธีถอนพิษ รัชทายาทจะต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการนี้ไปไม่น้อยกว่าสามวันกว่าพิษจะถูกขับออกจากร่างกายจนหมด" ท่านหยุดพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเสริมด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "และข้าก็ไม่แน่ใจว่าร่างกายของรัชทายาทจะทนไหวหรือไม่... อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต"
ไคเรนกัดฟันแน่น มองเซย์เรนที่บิดเร้าร้อนรุ่มอยู่บนเตียงอย่างเจ็บปวด
"มีวิธีอื่นอีกไหมท่านอา... ไม่ว่าวิธีใดก็ได้" ไคเรนถามเสียงเข้ม ดวงตาฉายแววสิ้นหวัง
ท่านไครอสมองไคเรนอย่างพิจารณา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ลดต่ำลง "หลานคงทราบดีว่าการขับพิษบางชนิด... ต้องอาศัยการร่วมหลับนอนเพื่อถ่ายเทพลังงานและช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต" ท่านชะงักไปสักครู่ "ในฐานะที่หลานเป็นสวามีของพระองค์ จึงไม่ใช่เรื่องเสียหายอันใดหากจะทำเช่นนั้น"
คำพูดของท่านอาทำให้ไคเรนชาวาบไปทั้งร่าง ใบหน้าคมคายเคร่งเครียดยิ่งขึ้น เขานึกถึงเซย์เรนคนก่อนหน้านี้ ที่ไม่เคยโปรดปรานเขาเลย แม้แต่การเข้าใกล้ก็ยังเป็นเรื่องยากลำบาก
แล้วถ้ารัชทายาทฟื้นคืนสติขึ้นมา และรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น... จะยิ่งรังเกียจตัวเองหรือไม่?
แต่เมื่อเห็นร่างของเซย์เรนที่กำลังทรมานจากการถูกพิษจนแทบหมดสติ หัวใจของไคเรนก็เจ็บปวดราวกับถูกบีบรัด เขารู้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือกอื่น
ไคเรนเดินเข้าไปใกล้เตียง มองใบหน้าของเซย์เรนที่แดงก่ำด้วยฤทธิ์ยา ดวงตาที่พร่ามัวมองมาที่เขาอย่างเว้าวอน เขาค่อยๆ ยื่นมือไปลูบแก้มของเซย์เรนอย่างอ่อนโยน
"ข้าไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินท่าน" ไคเรนพึมพำกับเซย์เรนและกับตัวเอง เสียงนั้นแผ่วเบาราวกระซิบ "แต่ข้า...ข้าไม่อาจปล่อยให้ท่านต้องตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้ได้"
เขาก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของเซย์เรนอีกครั้ง สัมผัสได้ถึงความร้อนจากร่างของเซย์เรนที่แผ่ออกมาอย่างชัดเจน ร่างเล็กบิดกายอย่างทรมาน ดวงตาที่รื้นด้วยน้ำตาหรี่มองมาที่เขาอย่างเลือนลาง
"ร้อน... ไคเรน... ฮึก..." เซย์เรนพึมพำ มือไม้ปัดป่ายไปในอากาศอย่างไร้ทิศทาง ก่อนจะคว้าจับแขนของไคเรนและดึงเข้าหาตัวอย่างแรงเกินกว่าที่คนสติเลือนลางจะทำได้
ไคเรนทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง ดึงเซย์เรนเข้ามากอดปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน เขาลูบไล้แผ่นหลังที่สั่นเทิ้มของเซย์เรน พยายามส่งผ่านความอบอุ่นและความปลอดภัยให้ถึงคนในอ้อมแขน
"ไม่เป็นไรแล้วนะ... ไม่เป็นไร... ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว"
ฤทธิ์ของดอก 'ลัสเพทัล' ทำให้เซย์เรนสับสนและมองเห็นภาพผิดเพี้ยนไปชั่วขณะ เขารู้สึกถึงอ้อมกอดที่คุ้นเคย กลิ่นกายที่ปลอบประโลม แต่ในห้วงลึกของจิตใจยังมีความกังวลจากภาพของลูซก่อนหน้านี้
เซย์เรนพยายามรวบรวมสติที่เหลืออยู่น้อยนิด เอื้อมมือที่สั่นระริกขึ้นลูบไล้ไปตามใบหน้าคมคายของชายผู้อยู่ตรงหน้าอย่างแผ่วเบา สัมผัสถึงผิวเนื้อที่เย็นกว่าความร้อนรุ่มของตัวเอง
"นี่...ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่มั้ย...?" เซย์เรนพึมพำเสียงแผ่ว ใบหน้าแนบชิดกับอกแกร่งของไคเรน "ใช่...ท่านจริง ๆ หรือเปล่า... หรือเป็นเพียงภาพลวงตาที่ลูซสร้างขึ้น... ฮึก..."
น้ำตาไหลรินอาบแก้มร้อนผ่าว เขากระซิบด้วยเสียงเจ็บปวดและหวาดกลัว "ข้า...ข้าไม่ต้องการ...ไม่ต้องการที่จะมีอะไรกับลูซ... ถ้าเป็นแบบนั้น... ข้ายอมทรมานต่อไปดีกว่า..."
ไคเรนเจ็บปวดเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขากระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น ดวงตาคมกริบฉายแววมุ่งมั่น "ไม่ใช่หรอก... นี่คือข้า... สวามีของท่านจริง ๆ" เขาพูดเสียงหนักแน่น "เชื่อใจข้านะ... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น... ข้าจะยอมรับผลที่ตามมาเอง"
ไคเรนค่อย ๆ ประคองใบหน้าของเซย์เรนขึ้น สบเข้ากับดวงตาที่พร่ามัวคล้ายภาพที่เบลออยู่ในสายตา ก่อนจะค่อยๆ ก้มลงจูบอย่างอ่อนโยนและนุ่มนวล เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความห่วงใย ความรับผิดชอบ และการตัดสินใจอันแน่วแน่...เพื่อช่วยชีวิตรัชทายาทผู้เป็นที่รักของเขา
จุมพิตของไคเรนไม่ได้เร่าร้อนทว่ากลับอบอุ่นและนุ่มนวลอย่างที่สุด มันเป็นจูบที่ปลอบประโลม บรรเทาความหวาดกลัวของเซย์เรนได้ชั่วขณะ เซย์เรนตอบรับจูบนั้นอย่างสับสน แต่ก็ด้วยความต้องการที่จะพึ่งพิง
เมื่อริมฝีปากผละออกจากกัน ดวงตาของเซย์เรนยังคงมองไคเรนอย่างเลือนราง แต่แววตาแห่งความหวาดระแวงได้จางหายไปแทนที่ด้วยความเชื่อใจ
ไคเรนค่อย ๆ ประคองเซย์เรนให้นอนราบลงบนเตียง สายตาของเขามองทั่วร่างที่แดงก่ำไปทั้งตัว ผิวเนื้อขาวนวลที่เคยเรียบเนียนบัดนี้เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและสัมผัสที่ร้อนจัด เขารู้สึกถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในทุกอณูของร่างกาย แต่เขาก็พยายามควบคุมตัวเองอย่างถึงที่สุด
เขาค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นแผงอกแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม สันกรามคมสันบ่งบอกถึงความทรมานที่เขากำลังอดทนอดกลั้นอยู่ภายใน เพื่อไม่ให้ทำร้ายคนตรงหน้า ไคเรนรู้ดีว่าเซย์เรนยังอ่อนแอและเปราะบาง
"ท่าน... จะไม่เป็นอะไร... ข้าอยู่ตรงนี้กับท่าน" ไคเรนกระซิบเสียงพร่า พลางลูบไล้แก้มของเซย์เรนอย่างแผ่วเบา ดวงตาคมกริบจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่พร่ามัวของรัชทายาท ราวกับต้องการให้เซย์เรนรับรู้ถึงเจตนาที่แท้จริงของเขา
ความรักและห่วงใยที่ถูกซ่อนไว้นานแสนนานแสดงชัดเจนในแววตา ไคเรนค่อย ๆ ปลดเปลื้องอาภรณ์ของเซย์เรนออกอย่างช้า ๆ มือของเขาสั่นเล็กน้อยด้วยความกังวลและความปรารถนาที่ต้องอดกลั้น
เซย์เรนตอบสนองด้วยการขยับกายเข้าหา ความร้อนรุ่มภายในร่าง ทำให้เขาต้องการสัมผัสอย่างไม่รู้ตัว มือเรียวเล็กพยายามเอื้อมไปกอบกุมแผงอกแกร่งของไคเรน พลางส่งเสียงครางฮือในลำคอ
ไคเรนโน้มตัวลง จุมพิตทั่วใบหน้า ซอกคอ ไล่ลงมาตามลาดไหล่ของเซย์เรนอย่างอ่อนโยนที่สุด ราวกับกลัวว่าการสัมผัสที่รุนแรงจะทำให้คนใต้ร่างแตกสลาย
"อดทนหน่อยนะฝ่าบาท... ข้าจะช่วยท่านเอง" ไคเรนกระซิบริมใบหู เสียงครางแผ่วเบาที่เล็ดลอดออกมาทำให้เขายิ่งต้องอดทนอย่างหนัก กลิ่นกายหอมละมุนปนไออุ่นจากร่างของเซย์เรนยิ่งทำให้สติของเขาหลุดลอยไปชั่วขณะ
ไคเรนผ่อนลมหายใจช้าๆ พยายามรวบรวมสติทั้งหมดที่มี เขารู้ดีว่าหากไม่เร่งขับพิษออกไป เซย์เรนอาจจะเป็นอันตรายได้ มือแกร่งลูบไล้ไปตามเรือนร่างที่บัดนี้เต็มไปด้วยความอ่อนไหว เส้นผมของเซย์เรนเปียกชื้นแนบไปกับขมับ ใบหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อยด้วยความทรมานปนปรารถนา
ในวินาทีนั้นเอง เซย์เรนที่สติพร่าเลือน ใช้มือที่อ่อนแรงกอบกุมใบหน้าไคเรน ดวงตาแดงก่ำที่คลุมเครือจับจ้องดวงตาคมของเขา ราวกับจะบอกว่า 'ข้าเชื่อใจท่าน' แววตานั้นเองที่ทำให้ไคเรนตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ความปรารถนาอันบริสุทธิ์เพื่อปกป้องเซย์เรนเข้าแทนที่ความลังเลทั้งหมด
ไคเรนค่อยๆ สอดมือเข้าใต้แผ่นหลังของเซย์เรน ประคองอีกฝ่ายให้แนบชิดยิ่งขึ้น เขารับรู้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง เริ่มเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ และระมัดระวังที่สุด
เขาตระหนักถึงความบอบบางของรัชทายาทผู้ไม่เคยผ่านเรื่องเช่นนี้มาก่อน ลมหายใจของทั้งคู่ผสานกัน ท่ามกลางเสียงครางแหบพร่าของเซย์เรนที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและแรงปรารถนา
"ไม่ต้องกลัวนะ... ข้าจะไม่ทำให้ท่านเจ็บ" ไคเรนกระซิบเสียงสั่นพร่า ขณะที่เขาก้มลงจูบซับน้ำตาที่หางตาของเซย์เรน
ความร้อนจากพิษดอกลัสเพทัลที่แผ่ซ่านในกายเซย์เรนถ่ายเทสู่ร่างไคเรนผ่านการสัมผัสแนบชิด เขารับรู้ถึงพลังงานร้อนรุ่มไหลเวียนในเส้นเลือด ความรู้สึกที่ทั้งเร่าร้อนและทรมานนั้นยากจะทานทน
เขาเคลื่อนไหวอย่างควบคุม พยายามหาจุดสมดุลระหว่างการบรรเทาความเจ็บปวดจากการถูกพิษของเซย์เรน และการปลดปล่อยแรงปรารถนาที่ยาพิษนั้นปลุกขึ้นมา การเสียดสีของผิวเนื้อที่ร้อนผ่าว สลับกับเสียงหอบหายใจของทั้งคู่ ทำให้บรรยากาศภายในห้องยิ่งเร่าร้อนขึ้น
"อึก...อะ...อื้อ..." เสียงครางแผ่วหวานของเซย์เรนหลุดรอดออกมาจากลำคอ ไอร้อนจากกายที่แผ่ซ่านทำให้เขารู้สึกทรมานและต้องการปลดปล่อยอย่างรุนแรง
เซย์เรนบิดกายเร่าร้อนไปตามสัมผัสของไคเรน ความต้องการที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนพุ่งพล่านไปทั่วร่าง ทำให้เขาตอบสนองต่อไคเรนอย่างสัญชาตญาณ มือเรียวเล็กจิกเข้าที่แผ่นหลังกำยำของไคเรนอย่างไม่รู้ตัว ร่องรอยเล็บที่จิกข่วนไม่ได้ทำให้ไคเรนสะท้าน เขาเพียงแต่กดร่างของเซย์เรนให้แนบชิดยิ่งขึ้นไปอีก
"อะ...อ๊า...อ๊าาาา...!"
ไคเรนโอบรัดร่างของเซย์เรนไว้แน่นขึ้น พยายามที่จะดูดซับความร้อนรุ่มและพิษร้ายออกจากร่างกายของอีกฝ่าย เขาจูบซับเหงื่อที่ไหลย้อยตามขมับของเซย์เรน ดวงตาจ้องมองใบหน้าแดงก่ำที่บิดเบี้ยวด้วยความสุขปนทุกข์
แรงปรารถนาที่ยาพิษ 'ลัสเพทัล' ปลุกเร้าในร่างของเซย์เรนดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด กายที่ร้อนรุ่มบิดเร้าหาการปลดปล่อย ไคเรนรับรู้ถึงความต้องการอันรุนแรงนั้น เขาก้มลงจูบซับตามเนื้อตัวของเซย์เรนอย่างแผ่วเบา พยายามปลอบโยนและลดทอนความทรมาน แต่การกระทำเหล่านั้นกลับยิ่งเติมเชื้อไฟแห่งแรงปรารถนาให้โหมกระหน่ำมากยิ่งขึ้น
"ไคเรน... ฮึก... ร้อน... ไม่ไหวแล้ว... มากกว่านี้... ได้โปรด..." เขาเริ่มขยับกายเข้าหาไคเรนอย่างเร่งเร้ามากขึ้น ราวกับต้องการจะกลืนกินทุกสัมผัส ทุกอณูความรู้สึก เพื่อให้ความทรมานนี้สิ้นสุดลง มือเรียวเล็กจิกข่วนไปตามแผ่นหลังแกร่งอย่างกระหาย สัมผัสถึงมัดกล้ามเนื้อที่เกร็งแน่น
ไคเรนหลับตาลงแน่น กัดกรามแกร่งเพื่อสะกดกลั้นเสียงครางของตัวเอง เขาปล่อยให้สัญชาตญาณเข้าครอบงำชั่วขณะ เคลื่อนไหวตามจังหวะแรงปรารถนาเร่าร้อนของเซย์เรน เพื่อเร่งขับพิษร้ายที่กำลังแผดเผาให้หมดสิ้นไป
"อะ...อ๊า...อึก..." เซย์เรนส่งเสียงครางพร่า ดวงตาเบิกโพลงด้วยแรงอารมณ์ที่พุ่งพล่าน ร่างแอ่นโค้งรับสัมผัส
พั่บ! พั่บ!
พั่บ! พั่บ!
พั่บ! พั่บ!
เสียงเนื้อกระทบกันถี่กระชั้นราวกับจังหวะของหัวใจที่กำลังบ้าคลั่ง ความร้อนรุ่มจากพิษลัสเพทัล ผสานกับแรงปรารถนาที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ทุกสัมผัสยิ่งทวีความรุนแรง
"อ๊า...อะ...อ๊าาาา!!" เซย์เรนกรีดร้องเสียงหลง ร่างบิดเร่าร้อนถูกพาไปถึงขีดสุด เขารู้สึกเหมือนจะขาดใจให้ได้
"อ๊าาาาาาา!!" เสียงครางต่ำของไคเรน หลุดออกมาในที่สุด ร่างกายของเขาก็ถูกดึงเข้าสู่ห้วงลึกแห่งแรงปรารถนาอันรุนแรงไม่ต่างกัน กล้ามเนื้อทุกส่วนเกร็งแน่นไปทั้งตัว
"ท่าน...ยังไหวใช่ไหม?" ไคเรนถามเสียงพร่าหอบ ใบหน้าคมคายซบลงข้างแก้มแดงก่ำ
"อืม... ทำอีกสิ" เซย์เรนพึมพำตอบกลับเสียงแหบพร่า ดวงตาฉ่ำปรือจ้องมองไคเรนอย่างเลื่อนลอย
"เข้าใจแล้ว... ทำไมถึงอ้อนเอาแต่ใจแบบนี้" ไคเรนกระซิบชิดหู พลางลูบไล้แผ่นหลังเนียนอย่างอ่อนโยน แม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่ภายในใจเขาก็รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เซย์เรนกำลังเผชิญภายใต้ฤทธิ์ยา
"อื๊ออ..." เซย์เรนครางแผ่ว ซุกใบหน้าคลอเคลียอย่างออดอ้อน
ไคเรนก้มลงซับเหงื่อที่หน้าผาก แตะจูบริมฝีปากที่เผยอหอบถี่ "ทุกอย่างจะดีขึ้น...เชื่อข้าเถอะ"
...
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องผ่านผ้าม่านโปร่งเข้ามาในห้องนอน ส่งไออุ่นอ่อน ๆ ไปทั่วบริเวณ เซย์เรน ขยับกายเล็กน้อย ความรู้สึกร้อนรุ่มที่เคยแผดเผาเมื่อคืนนี้ค่อย ๆ คลายลงไปราวกับถูกดูดกลืน แต่กลับถูกแทนที่ด้วยความหนักอึ้งในศีรษะและความเมื่อยล้าไปทั้งตัว เขาลืมตาขึ้นช้า ๆ ภาพตรงหน้ายังคงพร่ามัว แต่ก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นทีละน้อย
สิ่งที่เซย์เรนเห็นคือเพดานไม้แกะสลักที่แปลกตา ไม่ใช่เพดานของตำหนักรัชทายาท... และที่สำคัญกว่านั้นคือ อ้อมแขนแกร่งที่โอบรัดเขาไว้แน่น!
เซย์เรนหันไปมองช้า ๆ ใบหน้าที่คุ้นเคยแต่ใกล้ชิดเกินไปปรากฏอยู่ตรงหน้า ไคเรนกำลังหลับตาพริ้ม ลมหายใจสม่ำเสมอ แผงอกเปลือยเปล่าที่แนบชิดอยู่กับแผ่นหลังของเขา ให้ความอบอุ่นที่เกินกว่าจะปฏิเสธได้
ความทรงจำจากเมื่อคืนนี้เริ่มไหลทะลักเข้ามาในสมอง ภาพของลูซ... ฤทธิ์ยาที่แผดเผา... ความหวาดกลัว... และ...ไคเรนที่เข้ามาช่วย...
เซย์เรนรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้าเมื่อตระหนักถึงสถานการณ์ที่ตัวเองเป็นอยู่ เขาหลับตาลงแน่น พยายามย้อนคิดถึงทุกสิ่ง แต่ความทรงจำกลับเลือนรางและขาดหายไปเป็นช่วง ๆ เหมือนฝันร้ายที่ไม่อยากจดจำ
ไคเรนรู้สึกถึงการขยับตัวของคนในอ้อมแขน เขาลืมตาขึ้นช้า ๆ ดวงตาเจิดจ้าส่องประกายเหลือบมองใบหน้าของเซย์เรนที่บัดนี้แดงก่ำกว่าเดิม ไคเรนสัมผัสได้ว่าความร้อนรุ่มจากพิษ 'ลัสเพทัล' ได้คลายลงไปมากแล้ว
"ฝ่าบาท... ฟื้นแล้วหรือ?" ไคเรนเอ่ยเสียงแหบพร่า น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนอย่างที่เซย์เรนไม่เคยได้ยินมาก่อน
เซย์เรนพยายามดึงสติกลับมา เขาผละออกจากอ้อมกอดของไคเรนเล็กน้อย แต่ก็ยังคงอยู่ในระยะที่ไคเรนสามารถเอื้อมถึง
"ข้า... ข้าอยู่ที่ไหน... แล้ว..." เขากำลังจะถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ชะงักไปเมื่อความรู้สึกอับอายเข้าจู่โจม
ไคเรนเห็นอาการของเซย์เรนก็เข้าใจในทันที เขายันตัวลุกขึ้นเล็กน้อย มือแกร่งเอื้อมไปลูบผมของเซย์เรนอย่างแผ่วเบา
"ท่านอยู่ที่คฤหาสน์ของข้าเอง" เขากล่าวเสียงเรียบ "ส่วนเรื่องเมื่อคืน... ท่านไม่ต้องกังวล... พิษ 'ลัสเพทัล' มันรุนแรงนัก หมอบอกว่าต้องใช้วิธีนั้นเพื่อขับพิษออกจากร่างกายท่าน"
เซย์เรนเงยหน้ามองไคเรน ใบหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม เมื่อสบเข้ากับดวงตาที่เต็มไปด้วยความจริงจังและบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่าเดิมจากไคเรน เขาก็รู้สึกสับสนไปหมด
"ข้า..." เซย์เรนพยายามพูด แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ความอับอายและเหตุผลเข้าโจมตีเมื่อเขามีสติเต็มที่
"ท่านไม่ต้องพูดอะไรตอนนี้ก็ได้" ไคเรนกล่าวเสียงนุ่มนวล ราวกับอ่านใจเซย์เรนได้ "พักผ่อนเสียก่อนเถิด" เขาค่อย ๆ ประคองเซย์เรนให้นอนลงอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงอย่างช้า ๆ และเดินไปหยิบเสื้อคลุมมาสวม
ไคเรนหันกลับมามองเซย์เรนอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง "แต่โปรดจำไว้เถิด... ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้... ข้าเต็มใจทำทุกอย่างเพื่อช่วยชีวิตท่าน... และข้าจะรับผิดชอบทุกสิ่งเอง" แววตาของไคเรนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและหนักแน่น ทำให้เซย์เรนที่กำลังสับสนยิ่งนิ่งงันไป
...
(ความคิดในหัวตอนนี้)
...นี่เราตายไปแล้วเกิดใหม่เหรอ? หรือเมื่อคืนโดนลากเข้าไปอยู่ในหนังคนละเรื่อง เพราะความทรงจำตอนนี้มันหายวับ เหมือนแรมเครื่องเก่า ๆ ที่ลืมกดเซฟก่อนชัตดาวน์
ความรู้สึกทุกอย่างเหมือนจะไหลย้อนกลับเข้ามา แต่กลับไม่ชัดเจนเลยสักอย่าง...
เหมือนภาพที่เบลออยู่ใต้ผิวน้ำ คล้ายจะคว้าได้ แต่พอเอื้อมมือออกไป กลับหายวับไปหมด
เมื่อคืน... เกิดอะไรขึ้นกันแน่
และจากสภาพร่างกายในตอนนี้... ก็รู้ว่าเราสองคน "เลยเถิด" ไปถึงขั้นไหนแล้ว
คืออย่างน้อย... ก็น่าจะจำได้บ้างว่า "โดนไปกี่รอบ"
แต่กลับจำอะไรไม่ได้เลย...
จูบนั้น มันเร่าร้อนแค่ไหนกัน?
สีหน้าเขาตอนก้มลงจูบเป็นยังไงกันแน่?
รู้สึกยังไงในอ้อมแขนนั้น… อบอุ่นแค่ไหน หรือวูบวาบยังไง จำไม่ได้เลยสักอย่าง
สิ่งที่น่าจะเป็นความสุขกลับคล้ายเป็นแค่เงาราง ๆ ที่หลุดหายไปจากความทรงจำ
แล้วตอนนี้ล่ะ? ทำไมถึงเหลือแค่ความเจ็บตึงทั่วร่าง ความเมื่อยล้าที่เกาะกินกระดูก กับความอายที่กัดกินจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปให้ไกลที่สุด
นี่เรา... เสร็จไคเรนแล้วจริง ๆ เหรอ?
แบบไหนกันล่ะ...? แบบที่มีอารมณ์ร่วม...? แบบที่เรียกว่าการขับพิษ...? หรือว่าแบบที่เรา... เอ่อ... ทำกันเพราะแค่ไม่มีทางเลือก?
ทำไมถึงนึกไม่ออกเลยนะ? ทำไมต้องมาลืมทุกอย่างไปตอนที่มันควรจะเป็นความทรงจำที่ 'พิเศษ' ที่สุดด้วยซ้ำ อยากจะทึ้งหัวตัวเองแล้วกรีดร้องออกมาให้สุดเสียงจริง ๆ
ก็เข้าใจนะว่าเขา "ช่วยขับพิษ" แต่ช่วยขับพร้อมฟอร์แมตความทรงจำด้วยมันเกินไปแล้ว! จะให้กี่ดาวก็ว่าไป... แต่ขอรีวิวไม่ได้เพราะดันจำอะไรไม่ได้เลยนี่สิ
แถมไคเรนคงจะเห็นผมในสภาพที่แย่ที่สุดไปเรียบร้อยแล้ว น้ำตา เสียงคราง ร่างกาย... ทุกอย่าง ขอโทษนะ ศักดิ์ศรีรัชทายาท ข้าจะปักธูปให้ทีหลัง...
ให้ตายเถอะ อยากจะบ้าตายจริง ๆ ...
แปะภาพปลากรอบ
Talk with me
เค้าได้กินกันแล้วว!!
โอ้ววว หลานมามั้ย...