“ฝ่าบาทเพคะ… ตอนนี้ในวังวุ่นวายไม่น้อย”
เฟย์รายงานด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด สีหน้าจริงจังขึ้นกว่าเดิม อากาศช่วงสายวันนี้คล้ายฝนจะตกแต่ก็ไม่ตกเสียที ท้องฟ้าสีเทาหม่นไม่ต่างจากอารมณ์ของผมในตอนนี้เลย
"ข่าวลือแพร่ไปทั่ว บ้างว่าฝ่าบาทบาดเจ็บสาหัส บ้างก็ว่าแค่จัดฉากให้เรียกคะแนนสงสาร และตั้งแต่เกิดเหตุลอบทำร้าย ท่านเอลเซียนทรงสั่งเพิ่มทหารองครักษ์รอบตำหนักตลอดยี่สิบสี่ชั่วยามเลยเพคะ"
เธอเว้นจังหวะเล็กน้อย ยิ้มบาง ๆ อย่างเห็นใจ
"หม่อมฉันเข้าใจว่าการถูกจับตามองทุกฝีก้าวอาจทำให้รู้สึกอึดอัด…แต่ในตอนนี้ ท่านเอลเซียนไม่ไว้ใจแม้กระทั่งเงาตัวเองแล้วเพคะ"
ผมถอนหายใจยาว เฟย์ก้าวเข้ามายื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ แค่เห็นสีหน้าของเธอ ผมก็พอจะเดาได้ว่าคืออะไร...แต่เพื่อมารยาท ผมก็แกล้งรับมันมาด้วยรอยยิ้มจืด ๆ
'หมายประชุมสภา'
เอาล่ะ... จบกัน เช้านี้ไม่ได้กินข้าวแน่นอน
ผมนั่งมองกระดาษในมือเหมือนมันเป็นใบเสร็จค่าไฟเดือนที่แล้ว ที่อยู่ดี ๆ พุ่งสูงผิดปกติ
เมื่อไม่กี่วันก่อนยังวิ่งหนีธนูอยู่เลย แผลใจยังไม่ทันตกสะเก็ด ดันต้องถูกลากเข้าสู่สมรภูมิการเมืองอีก
...โลกเดิมเคยแค่ประชุมกับทีมงานในห้องประชุมแอร์เย็น ๆ สไลด์สามแผ่นจบ
แต่ตอนนี้? ผมต้องมานั่งประชุมกับขุนนางระดับเจ้ากรม หัวหน้าองครักษ์ แม่ทัพประจำชายแดน และอีกสารพัดผู้มีอิทธิพลที่ผมไม่อยากจำชื่อ
ระหว่างกำลังชั่งใจว่า ถ้าผมแกล้งหลับจะมีใครกล้าปลุกไหม เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น
ร่างสูงในชุดคลุมเข้มที่คุ้นตาเดินเข้ามาแบบไม่ต้องแนะนำตัว
"ฝ่าบาท—"
"พูดเหมือนคนปกติก็ได้ ข้าไม่ได้ลืมชื่อท่านซะหน่อย" ผมว่า พลางยกถ้วยชาในมือขึ้นจิบ
ไคเรนมองผมครู่หนึ่งเหมือนกำลังจะพูดอะไรต่อ แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
"วันนี้มีประชุมสภาด่วน ข้าเดาว่าท่านคงรู้แล้ว"
"อืม ได้อ่านหมายเรียกแล้วล่ะ"
"หัวข้อคือเรื่องลอบปลงพระชนม์ ท่านต้องเข้าร่วมในฐานะรัชทายาท กลุ่มขุนนางจะรอฟังจุดยืนของท่าน"
"...เร็วไปหน่อยไหม ข้ายังไม่ทันตั้งหลักเลย" ผมบ่นพึม ๆ แต่รู้ว่าไม่มีใครสนใจคำบ่นเท่าไรนัก
"ข้าไม่ได้อยากให้ท่านหวาดระแวงไปหมด แต่การไม่รู้อะไรเลยยิ่งอันตรายกว่า"
"เข้าใจแล้ว" ผมพยักหน้าเบา ๆ
ไคเรนนั่งลงฝั่งตรงข้าม เอนพิงพนักด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไร้แววห่วงหาอาทรแบบแรนทีล หรือความใจเย็นอย่างเฟลด์ แต่ไคเรนเลือกที่จะแสดงความใส่ใจในแบบของเขาเอง ด้วยคำพูดที่หนักแน่นและตรงประเด็น ราวกับกำลังติวเข้มให้ผมพร้อมรับมือกับการเมืองในวัง ไม่ใช่แค่มานั่งปลอบใจเฉยๆ
"ฟังนะ" เขาเริ่มด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ในที่ประชุมวันนี้ ทุกคำพูดของท่านจะมีราคาที่ต้องจ่าย"
"ถ้าท่านเงียบเกินไป จะถูกมองว่าไม่มีความเห็น ถ้าพูดมากไป จะถูกกล่าวหาว่าอวดดี" ไคเรนยกถ้วยชาของตัวเองขึ้นจิบ พูดราวกับกำลังอ่านคู่มือการอยู่รอดในวังให้ผมฟัง
ผมเลิกคิ้ว "แล้วท่านจะให้ข้าทำยังไง?"
"เลือกฝ่ายให้ชัด พูดให้น้อย แต่พูดให้คม แล้วอย่าไว้ใจใคร...แม้แต่คนที่ยกถ้วยน้ำชามาให้"
ผมมองถ้วยในมือ แล้วแสร้งเบิกตากว้าง "ท่านใส่ยาพิษให้ข้ารึเปล่า?"
"ถ้าข้าจะทำ คงไม่ใช้ยาพิษ" ไคเรนตอบหน้าตาย แล้วลุกขึ้นยืน หยิบเสื้อคลุมของผมที่พาดอยู่บนพนักเก้าอี้มายื่นให้ "แต่งตัวเถอะ ท่านต้องทำให้พวกเขารู้ว่า ต่อให้โดนลูกธนูเสียบอก... ก็ยังยืนหยัดได้อย่างสง่างาม"
...เอาล่ะ เซย์เรน จากมนุษย์เงินเดือนที่เกลียดการประชุม กลายมาเป็นรัชทายาทกลางสมรภูมิการเมือง
ถ้ารอดวันนี้ไปได้ จะซื้อเค้กฉลองให้ตัวเองสามชิ้น แต่ไม่ใช่จากร้านในวังนะ เดี๋ยวจะโดนวางยา
บรรยากาศในห้องประชุมสภาเคร่งขรึมตึงเครียด ขุนนางหลายคนนั่งประจำที่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ บางคนเหลือบมองมาทางผมด้วยแววตายากจะอ่านออก ผมพยายามรักษาท่าทีสงบนิ่งอย่างที่ไคเรนเคยแนะนำ แม้ในใจจะอยากถอนหายใจสักสิบรอบก็ตาม
แล้วจึงเลือกนั่งลงข้างเขาอย่างจงใจ เป็นตำแหน่งที่ปลอดภัยที่สุดในสนามประลองที่เรียกว่าสภาแห่งนี้
การประชุมเปิดตัวด้วยประเด็นดราม่านิด ๆ เรื่องเหตุการณ์ลอบทำร้ายรัชทายาท กับความจำเป็นต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย แต่พอขุนนางฝ่ายตรงข้ามเริ่มจิกกัดผมแบบอ้อม ๆ ผมก็คิดในใจว่า “เอาแล้วสิ...”
"ฝ่าบาท รัชทายาททรงอ่อนประสบการณ์เกินไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?" เสนาบดีท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเจือความไม่มั่นใจ
"เหตุการณ์เช่นนี้บ่งชี้ถึงความไม่มั่นคงของราชบัลลังก์... อาจถึงเวลาที่เราควรพิจารณาทางเลือกอื่นเพื่อความสงบสุขของอาณาจักร" อีกคนเสริมเสียงเย็นๆ
เสียงซุบซิบนินทากระจายไปทั่วห้อง เหมือนมีคนกำลังตั้งวงเม้าท์กันเบาๆ แต่ยังไงก็เป็นการปลุกปั่นแบบเนียนๆ อยู่ดี
แต่แล้ว ไคเรนก็ก้าวออกมาด้านหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าดวงตาคมกริบนั้นฉายแววไม่พอใจอย่างชัดเจน
“ท่านเสนาบดี! คำพูดของท่านเป็นการหมิ่นพระเกียรติรัชทายาทอย่างร้ายแรง ท่านกล้ายอมรับผลที่จะตามมาหรือไม่?”
ไคเรนหันไปจ้องขุนนางเหล่านั้น ร่างสูงตั้งตรงสง่างาม ไหล่ผายกว้างเหมือนพร้อมรับทุกแรงกดดัน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
"การสั่นคลอนเสถียรภาพยามวิกฤตเช่นนี้ มิใช่สิ่งที่ผู้ภักดีพึงกระทำ!"
เขายืนอยู่นิ่ง ๆ มือแนบลำตัว สายตาจริงจังจับจ้องไปยังขุนนางที่พูดจาไม่เหมาะสม
"เราควรให้เกียรติแก่ผู้ที่ได้พิสูจน์ตัวเองด้วยความกล้าหาญและวิสัยทัศน์ รัชทายาทของเรานั้น แม้เส้นทางยังอีกยาวไกลข้างหน้า แต่พระองค์ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการนำพาบ้านเมือง"
น้ำเสียงหนักแน่นทุกถ้อยคำ ทำให้บรรยากาศเงียบสงบลงอย่างรวดเร็ว
"มิใช่เพียงสายเลือดที่ศักดิ์สิทธิ์ หากแต่เป็นการกระทำที่แสดงถึงคุณค่าแท้จริง ความมั่นคงของราชบัลลังก์อยู่ในมือของผู้ที่คู่ควร"
ไคเรนหยัดตัวตรง จ้องสายตาอย่างมั่นคง ราวกับท้าทายทุกสายตาในห้อง
"และข้ากล้าพูดว่า ไม่มีใครเหมาะสมยิ่งกว่าพระองค์ในเวลานี้"
เสียงของเขาดังก้องกังวานทั่วห้อง ใบหน้าคมคายฉายแววสง่างามและเด็ดเดี่ยวสุด ๆ
การปะทะคารมระหว่างไคเรนกับขุนนางฝ่ายตรงข้ามเป็นไปอย่างดุเดือด ไคเรนใช้เหตุผลและอำนาจตอบโต้อย่างเฉียบคม ทำให้ขุนนางเหล่านั้นต้องถอยร่นไปทีละคน
ผมนั่งนิ่ง มองแผ่นหลังของเขาอย่างเงียบงัน ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่น นี่สินะ... 'การปกป้อง' ในแบบของไคเรน! โคตรจะเท่เลย! ปกป้องเมียออกหน้าออกตาขนาดนี้ จะไม่ให้รักได้ยังไงล่ะ!
การประชุมจบลงโดยที่ผมไม่เสียเปรียบมากนัก แต่ก็ได้เห็นภาพชัดเจนว่าใครคือมิตร ใครคือศัตรู และสถานการณ์ทางการเมืองนั้นซับซ้อนและเปราะบางเพียงใด
หลังจากประชุม ไคเรนเดินมาหาผม ใบหน้าที่ก่อนหน้านี้เคร่งขรึมดูผ่อนคลายลงบ้างแล้ว "ท่านคงเหนื่อยมากสินะ"
'ใช่สิ... จะไม่ให้เหนื่อยได้ยังไง ในเมื่อผมต้องมาแสดงละครเป็นเจ้าชายรัชทายาทที่ต้องตื่นตัวเรื่องการเมือง ทั้งที่จริงๆ แค่อยากนอนอยู่บ้านดูซีรีส์' ผมคิดในใจพลางส่งยิ้มบางๆ ให้เขา
"ข้าต้องขอบใจท่านมาก ไคเรน" ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ "ถ้าไม่มีท่าน ข้าคงรับมือไม่ไหวแน่ๆ"
ผมรู้ดีว่าการเมืองในวังแห่งนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ โดยเฉพาะสำหรับคนที่ข้ามมาจากอีกโลกและดันมาเป็น ‘รัชทายาท’ แบบงง ๆ อย่างผม ยิ่งนานวันยิ่งเห็นชัดว่าศัตรูไม่ได้มีแค่คนที่ลอบทำร้าย แต่ยังรวมถึงพวกที่ยิ้มให้กันต่อหน้าแล้วซ่อนมีดไว้ข้างหลัง
และผมต้องเริ่มวางแผนอย่างจริงจังเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากทั้งลูซและการช่วงชิงอำนาจที่มองไม่เห็น
"เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว" ไคเรนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มกว่าปกติ ดวงตาสีเขียวจ้องผมด้วยแววที่อ่อนโยนแบบประหลาดจนผมหยุดกระพริบตาไปชั่วครู่
...ตายแล้ว! ต้องให้รางวัลเขาซะแล้วมั้งเนี่ย! แต่ปัญหาก็คือ...ผมไม่รู้เลยว่าเขาชอบอะไร ขนม? ดอกไม้? หรือเครื่องประดับวาววับแบบที่ขุนนางยุคก่อนประวัติศาสตร์เขานิยมกัน?
จะให้ผมเดินไปถามโต้ง ๆ ว่า ‘ท่านสวามีคนเก่ง ชอบอะไรเหรอครับ? ผมจะได้เปย์ให้!’ มันก็ดูใจกล้าเกินเบอร์ไปหน่อยไหมล่ะ!
ถ้ามีแอปช้อปปิ้งออนไลน์เหมือนโลกเดิมก็ดีน่ะสิ! นั่งจิ้มโทรศัพท์อยู่เฉย ๆ ของก็ส่งตรงถึงหน้าวังพร้อมแพ็กเกจหรู ๆ แถมโปรส่งฟรีในวันถัดไป แต่ที่นี่เหรอ? แค่จะส่งโน้ตหากันยังต้องใช้วิหคเวทย์!
แล้วแบบนี้ผมจะไปรู้ได้ยังไงกันเล่าว่าไคเรน คนที่เหมือนหลุดออกมาจากอนิเมะสายสงคราม ชอบอะไรบ้าง? โลกใหม่นี่มันก็ไม่ได้แนบคู่มือมาด้วยเสียหน่อย แค่จะเห็นเขายิ้มสักที ยังนับว่ายากพอ ๆ กับหา Wi-Fi ในป่าลึกเลย!
เขามีบางอย่างในดวงตา...ลึกจนเหมือนทั้งชีวิตผ่านอะไรมาเกินกว่าคำพูดจะอธิบายได้ บางทีอาจเป็นร่องรอยของความเจ็บปวดที่หลงเหลือจากเซย์เรนคนก่อน ที่ดูจะเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ
ไคเรนไม่ใช่คนที่เปิดใจง่าย ๆ เขาไม่ใช่เอลเซียนที่ยิ้มทีโลกสดใส แต่ก็ไม่ได้เย็นชาจนมองไม่ออกว่าเขารู้สึกอะไรอยู่ภายใน
ผมไม่เข้าใจหรอกว่าเขาคิดอะไรอยู่บ้าง แต่นั่นแหละ... ผมถึงอยากรู้
บางที...ถ้าผมเข้าใจเขาได้สักนิด เข้าใจอดีต เข้าใจความคาดหวัง เข้าใจความเจ็บปวดที่เขาเคยได้รับ... อย่างน้อย ผมก็คงไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวแทนของเซย์เรนคนเก่าอีกต่อไป
คงไม่มีใครแข็งแกร่งได้ตลอดเวลาหรอก...ผมเองก็เหมือนกัน
บางทีก็มีมุมอ่อนแอที่ไม่อยากให้ใครเห็น ตั้งแต่จำความได้ ผมก็ต่อสู้ฝ่าฟันชีวิตที่ยากลำบากมาด้วยตัวคนเดียว แต่ที่นี่กลับมีคนมากมายที่พร้อมจะยืนข้างผม โดยไม่แม้แต่จะถามว่า “คุณเป็นใคร?”
มันอบอุ่นดี...จนบางทีก็น่ากลัว
แต่ผมเองก็จะไม่ยอมแพ้ให้กับโชคชะตาหรอกนะ! ผมจะพยายามไปกับพวกเขา! แม้ตอนนี้จะมั่นใจได้แค่ครึ่งเดียวก็ตาม...
ครึ่งเดียวก็ยังดีกว่าไม่มีเลยใช่มั้ยล่ะ?
ผมกลับมาถึงตำหนักโดยมีไคเรนเดินมาส่งถึงหน้าประตู เขาได้ไม่พูดอะไรมากนัก แค่สายตาคู่นั้นก็พอจะบอกได้ว่าเขายังไม่วางใจเรื่องความปลอดภัยของผม แล้วก็จากไปอย่างรวดเร็วราวกับ NPC ที่ทำเควสต์เสร็จแล้วไม่รอรับรางวัล
แน่นอนว่าเขาไม่อยู่รอฟังผมชวนดื่มชา หรือถามไถ่อะไรทั้งนั้น
ทันทีที่ประตูปิดลง ผมก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้บุเบาะนุ่ม มือหนึ่งยกขึ้นก่ายหน้าผากแบบคนหมดแรงทางอารมณ์ เหมือนเพิ่งสอบสัมภาษณ์งานราชการมาแปดรอบติดกัน
ไอ้ที่บอกตัวเองว่าจะกล้าสู้หน้าสภา จะยืนหยัดด้วยศักดิ์ศรีน่ะ... สรุปแล้วผมไปเอาความมั่นใจนั่นมาจากไหนกันแน่นะ?
ยังไม่ทันฟุ้งซ่านได้เต็มที่ เสียงเฟย์ก็ดังขึ้นใกล้ ๆ
"ฝ่าบาท..."
ผมหันไปมองสาวใช้คนสนิทข้างกาย รอยยิ้มสุภาพติดอยู่บนหน้าแบบเดิมที่ชวนให้รู้สึกว่าอีกไม่กี่วินาทีจะมีเรื่องอะไรบางอย่างตามมาแน่นอน
"คืนนี้พระองค์จะเสด็จไปงานเลี้ยงหรือไม่เพคะ? หม่อมฉันจะได้เตรียมชุดและเครื่องทรงให้เหมาะสม"
"งานเลี้ยง?" ผมทวนคำพลางขมวดคิ้วนิดหน่อย
เฟย์ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม แค่ยิ้มสุภาพในแบบของเธอ ราวกับจะบอกว่า "ก็ใช่น่ะสิเพคะ" อย่างกลาย ๆ
ผมพยายามนึกว่ามีงานเลี้ยงอะไรอีก ไคเรนก็ไม่ได้พูดถึงเลยด้วยซ้ำ หรือเขาลืมบอก หรือเขาคิดว่าผมควรรู้เอง? หรือเขาไม่อยากให้ผมไป? ...ไม่สิ อันสุดท้ายนี่คิดเองเออเองชัด ๆ
แต่พอคิดอีกที วันนี้ผมก็เบื่ออยู่เหมือนกัน การไปเดินเฉิดฉาย กินขนม ดื่มไวน์ แกล้งหัวเราะแบบมีมารยาทในงานเลี้ยงราชวงศ์อาจจะดีกว่านั่งจมอยู่กับความรู้สึกมึนตื้อในห้องเงียบ ๆ แบบนี้ อีกอย่าง ภายในวังเองก็มีทหารประจำการเต็มไปหมด คงไม่มีใครมาทำอะไรผมหรอก...มั้ง?
ผมจึงพยักหน้าตอบเฟย์ไปเบา ๆ
พอตกเย็น ผมก็ถูกเฟย์จับอาบน้ำ แต่งตัว แปลงโฉมเสร็จสรรพ ชุดที่ใส่ไม่ได้ดูเป็นทางการจนหายใจไม่ออก แต่ก็หรูหราพอจะเดินพรมแดงได้สบาย แถมยังมีลูกเล่นเปิดช่วงไหล่นิด ๆ
“แบบนี้ดีแล้วเพคะ” เฟย์ว่าอย่างมั่นใจ
ผมเลยต้องว่าตามสาวใช้มืออาชีพไป เพราะยังไงเธอก็คงอยากให้ผมดูดีที่สุดนั่นแหละ เครื่องประดับก็ไม่น้อยหน้า ถึงขั้นห้อยระย้าลงมาจากเรือนผม แถมสร้อยที่สวมก็ดูเยอะเกินจำเป็นไปหน่อย
"นี่ต้องใส่เยอะขนาดนี้เลยเหรอ?" ผมพึมพำกับเงาตัวเองในกระจกอย่างสิ้นหวัง
เฟย์เห็นผมทำท่าสงสัยก็ยิ้มบางๆ ก่อนจะเฉลย "ฝ่าบาทยังไม่ทรงทราบหรือเพคะ ว่างานเลี้ยงนี้จัดขึ้นเพื่อต้อนรับคณะทูตจากเมืองคาเลลีน่า เมืองท่าติดทะเล"
“ทะเลเหรอ!?” ผมแทบกระโดด “งั้นต้องมีอาหารทะเลแน่ ๆ ใช่มั้ย!? ซาซิมิ! กุ้งเผา! ปลาหมึกย่าง!”
เฟย์หลุดหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะพยักหน้า “คงจะมีเพคะ... เท่าที่ราชสำนักสามารถหามาได้จากทะเลด้านทิศใต้”
ผมหยุดคิดสักพัก ก่อนจะขมวดคิ้ว
“แต่ทำไมสวามีของข้าถึงไม่มีใครบอกเรื่องนี้เลยสักคน?”
เฟย์เลี่ยงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ พร้อมรอยยิ้มมุมปาก
"พวกเขาอาจจะยุ่งๆ อยู่ล่ะมั้งเพคะ"
ยุ่งกับภารกิจลับ หรือยุ่งกับการทำตัวลึกลับกันแน่ครับคุณผู้ชายทั้งหลาย...
สุดท้ายก็ต้องยอมเดินออกจากห้องแต่งตัวอย่างเต็มยศ สวมชุดหรู เครื่องประดับครบสูตร และหัวใจที่ครึ่งตื่นเต้นครึ่งเหนื่อยใจ
แต่ก็เอาเถอะ... อย่างน้อยก็มีอาหารทะเลปลอบใจ
เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องจัดเลี้ยง ขนาดของมันทำให้ผมตาโตทันที โคมระย้าคริสตัลระยิบระยับนับร้อยดวง สาดแสงวาววับไปทั่วห้องที่ประดับประดาด้วยผ้าไหมเนื้อดีและพรมทอลายวิจิตร เสียงเครื่องดนตรีโบราณอย่างลูท ขลุ่ย และฮาร์ป บรรเลงคลอเคล้าอย่างไพเราะจากกลุ่มนักดนตรีที่ประจำอยู่บนระเบียงด้านบน กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารนานาชนิดและไวน์ชั้นดีลอยอบอวลไปทั่ว ราวกับกำลังหลุดเข้าไปในงานเลี้ยงของเทพนิยายจริงๆ
ผู้คนในงานแต่งกายงดงามตา โดยเฉพาะเหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์จากเมือง คาเลลีน่า ที่มีผิวสีแทน ดวงตาสีฟ้าคราม และเส้นผมหยักศกสีเข้ม อันเป็นเอกลักษณ์ของชาวเมืองท่าที่ต้องเผชิญลมทะเลและแสงแดดจัด พวกเขายิ้มแย้มทักทายกันอย่างมีชีวิตชีวา ไม่เหมือนพวกขุนนางในวังหลวงที่ชอบเก็บสีหน้า
แต่สิ่งที่ทำให้ผมตาเป็นประกายยิ่งกว่าสิ่งใด คือโต๊ะอาหารกลางห้อง ที่จัดวางอาหารทะเลละลานตา! กุ้งตัวโตๆ เนื้อแน่นๆ ปลาเนื้อขาวอบเครื่องเทศ หอยนางรมสดๆ วางเรียงรายบนน้ำแข็งส่งประกายระยับราวอัญมณี อืมมม...นี่สิของจริง!
ผมเดินตรงดิ่งไปที่โต๊ะอาหารทันทีอย่างไม่อ้อมค้อม ไม่สนใจสายตาที่จับจ้อง หรือบทสนทนาใดๆ ทั้งสิ้น เรื่องการเมืองอะไรนั่นช่างมันก่อน ขอเวลาให้ผมได้เอนจอยกับอาหารทะเลระดับภัตตาคารก่อนเถอะ! ผมตักทุกอย่างที่อยากกินจนเต็มจาน แล้วหาที่นั่งมุมๆ หนึ่งเพื่อลิ้มรสอย่างเอร็ดอร่อย กุ้งตัวใหญ่เคี้ยวกรุบ หอยนางรมสดหวานไร้ที่ติ โอ๊ย... นี่แหละสวรรค์!
ในขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารจนลืมโลก ผมก็ตักไวน์ผลไม้รสหวานซ่าขึ้นจิบพลางมองไปรอบๆ งาน ผู้คนหัวเราะ แลกเปลี่ยนเรื่องราว ดื่มกินกันอย่างมีความสุข บรรยากาศผ่อนคลายและเป็นกันเองจนน่าแปลกใจเมื่อเทียบกับความตึงเครียดในสภาเมื่อเช้า ผมเริ่มรู้สึกว่าชีวิตแบบนี้ก็ไม่ได้แย่ แถมยังดีกว่าโลกเก่าเป็นร้อยเท่า
ความเพลิดเพลินทำให้ผมเผลอปล่อยตัว ปล่อยใจไปกับบรรยากาศอันหรูหราและผ่อนคลาย จนลืมไปว่าตัวเองควรจะระมัดระวังตัวแค่ไหน ผมไม่ทันสังเกตว่ามีสายตาบางคู่กำลังจับจ้องมาที่ผมด้วยแววที่ไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก
ที่แปลกยิ่งกว่านั้นคือ...ไม่มีแม้แต่เงาของบรรดาสวามีของผมสักคนเดียว สายตาผมกวาดมองไปทั่วห้อง แต่ก็ไม่เห็นไคเรน เอลเซียน เฟลด์ หรือแม้แต่แรนทีล ซึ่งผิดวิสัยมากที่จะปล่อยผมไว้ตามลำพังแบบนี้
ทันใดนั้นเอง มีใครบางคนยื่นแก้วไวน์มาให้ ผมรับมาแบบไม่ได้คิดอะไรมากนัก เพียงแค่ไวน์แตะลิ้นได้ไม่นาน ความร้อนก็แล่นพล่านไปทั่วใบหน้า ผมรู้สึกได้ว่าแก้มตัวเองกำลังแดงขึ้นอย่างรวดเร็ว หัวใจเริ่มเต้นระรัวอย่างผิดปกติ
ผมจำได้ว่าตัวเองไม่ได้ดื่มไวน์ไปเยอะขนาดนั้น แต่กลับรู้สึกมึนหัวแปลกๆ เหมือนโดนแรงดึงดูดของโลกเพิ่มขึ้นอีกสองเท่า ผมคิดในใจพลางพยายามประมวลผล 'หรือว่า... โดนวางยา?'
สติของผมเริ่มเลือนลางไปทีละนิด ภาพตรงหน้าพร่ามัว แต่สัญชาตญาณกลับร้องเตือนให้หนี ผมพยายามตั้งหลัก ค่อยๆ พาตัวเองที่เริ่มเซไปเซมาออกห่างจากผู้คน ท่ามกลางเสียงหัวเราะและบทสนทนา ผมพยายามหาทางออก หรือมุมไหนก็ได้ที่ลับตาคน
ความร้อนประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ทั้งที่ชุดที่สวมก็ไม่ได้หนาจนทำให้เหงื่อออก แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนยืนอยู่กลางแดดแผดเผา คอแห้งผากจนอยากจะกระดกน้ำสักโหลให้ชุ่มชื่น ทุกอย่างเริ่มเบลอจนแยกไม่ออกว่าเสียงดนตรีหรือเสียงกระซิบกระซาบกำลังตีกันในหัว
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ไคเรน ที่เพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจสำคัญ ได้เดินทางกลับมาถึงตำหนักรัชทายาท แต่เมื่อไปถึง เขากลับไม่พบเซย์เรน! สาวใช้รายงานว่ารัชทายาทไปงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตที่ท้องพระโรง ไคเรนขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่พอใจและกังวล ทำไมถึงไม่มีใครแจ้งเขาเลย? ความรู้สึกไม่ชอบมาพากลแล่นเข้ามาในใจทันที
"ตามข้ามา!" ไคเรนสั่งทหารองครักษ์ไม่กี่นายด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ก่อนจะเร่งฝีเท้าตรงไปยังท้องพระโรงที่จัดงานเลี้ยงทันที ความรู้สึกร้อนรนในใจเตือนเขาว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับเซย์เรนแล้ว...
Talk with me
ฝากติดตามเอาใจช่วยเซย์เรนด้วยน้าา
ใครกันมันทำแบบนี้...