แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-6-16 17:49  
 
 
 ตอนที่ 6  
 สวามีลำดับที่ 2  
  
  
   หลายวันมานี้ผมยุ่งหัวฟูกับราชกิจแทบไม่เว้นแต่ละวันจนลืมไปเลยว่าตัวเองเคยเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่เคยข้องแวะกับอะไรแบบนี้มาก่อน  
 ไคเรนแทบจะเป็นคนกำหนดตารางชีวิตให้ผมในแต่ละวันราวกับเป็นเงาที่เดินตามอยู่ทุกฝีก้าว ชายหนุ่มผู้มีบทบาทสำคัญในสภาสูงฉลาดเป็นกรด คำพูดคมเหมือนมีดที่ฝนจนบางเฉียบ เหวี่ยงใส่พวกขุนนางแก่ ๆได้อย่างแม่นยำ  
 ในโลกแห่งการชิงอำนาจเขาคือโล่กำบังที่ไม่เพียงแต่แข็งแรงและทนทาน แต่ยังสวยงามและเฉียบคมพอจะสะท้อนอาวุธกลับไปยังต้นทางได้อย่างหมดจด  
 ก็ถ้าจะเปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย...  
 ชีวิตช่วงนี้ของผมก็เหมือนพนักงานออฟฟิศที่ตื่นเช้าไปทำงานเจอหัวหน้าหัวแข็ง เพื่อนร่วมงานหลายบุคลิก เจองานหิน งานหยาบงานที่คนโยนมาแล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้  
 แต่ในความวุ่นวายทั้งหมดนั้น...ผมมี “แบ็กดี”  
 แม้จะขรึมเกินไปในบางจังหวะแต่ก็ไว้ใจได้ไม่เคยเปลี่ยน ก็ต้องยอมรับว่า แบ็กดีมีชัยไปกว่าครึ่ง คำนี้ไม่เกินจริงเลยสักนิด  
 ผมนั่งเอนตัวพิงเก้าอี้เบาๆ ในห้องพักของตำหนักส่วนตัว จิบชาอุ่น ๆ ที่เฟย์เพิ่งรินให้ แสงแดดยามสายส่องผ่านผ้าม่านบางร่วงหล่นลงบนโต๊ะไม้ขัดมัน  
 “นี่เฟย์...”  
 ผมถามขึ้นในขณะที่ยังมองไอน้ำจากถ้วยชา  
 “ก่อนหน้านี้ พวกเขาต้องทำงานพวกนี้ แทนข้าตลอดเลยเหรอ?”  
 สาวใช้ประจำตัวเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากขยับยิ้มเล็กน้อยราวกับจำอะไรบางอย่างได้  
 “เพคะ ท่านไคเรนกับฝ่าบาท แม้ว่าจะไม่ค่อยถูกกันนัก...”  
 เธอเว้นจังหวะเล็กน้อย คล้ายจะเลือกคำ  
 “...แต่เรื่องของพระองค์ เขาให้ความสำคัญเป็นที่หนึ่งเลยนะคะ”  
 ผมหันไปมองหน้าต่าง ริมฝีปากยังคงแตะขอบถ้วยชา เงาสะท้อนจากกระจกมองเห็นเพียงด้านข้างใบหน้าตัวเองกับเสี้ยวของใครบางคนที่เคยยืนตรงนั้น  
 ไคเรนไม่เคยอ่อนโยน ไม่เคยพูดดี ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าชายที่ได้รับการเทิดทูน   
 ...แต่ก็ไม่เคยปล่อยมือ  
 ต่อให้คำพูดของเขา จะฟังเหมือนการสั่งการ หรือคำตำหนิ  
 ก็ไม่มีวันกลายเป็นคำที่ “ทอดทิ้ง” เลยสักครั้ง  
น่าแปลก…  
 ทั้งที่ผมไม่ใช่ใครที่ควรค่าให้ใครต้อง “ให้ความสำคัญเป็นที่หนึ่ง” เลยแท้ ๆ  
 ผมยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง...แต่คราวนี้รู้ตัวว่ากำลังแอบยิ้มกับตัวเองโดยไม่ตั้งใจ  
 ทันทีที่รู้ตัวก็รีบเปลี่ยนสีหน้าใหม่ เพราะรู้สึกได้ว่าเฟย์ยังมองอยู่  
 “ฝ่าบาท คืนนี้เป็นคืนเข้าหอของพระองค์กับท่านแรนทีลนะเพคะ”  
 จริงด้วยสิ ผมลืมเรื่องนั้นไปสนิท  
 “อยากให้หม่อมฉันเตรียมอะไรเป็นพิเศษมั้ยเพคะ”  
 ผมถอนหายใจเบาๆ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “อืม...เขาเป็นคนของสภาเวทข้าเองก็ไม่มีความรู้ด้านนั้นเลย เจ้าคิดว่าควรจะเตรียมอะไรให้เขาดีล่ะ”  
 เฟย์ยิ้มน้อยๆ อย่างมั่นใจ “ถ้าเป็นฝ่าบาทเลือกให้ ไม่ว่าอะไร...ท่านแรนทีลต้องชอบแน่นอนเพคะ”  
 ผมหลุบตาลงมองถ้วยชาที่อยู่ในมือ พลางคิดบางอย่างขึ้นมาเงียบ ๆ  
 ที่โลกเดิมผมเคยประดิษฐ์ของขวัญเล่น ๆ อยู่บ้างอย่างกล่องกระดาษที่เปิดแล้วมีผีเสื้อกระดาษกระพือปีกบินออกมา…มันอาจดูไร้สาระ แต่มันก็ทำให้คนที่ได้รับหัวเราะได้เสมอ  
 ผมไม่รู้หรอกว่าแรนทีลจะชอบหรือเปล่า…แค่รู้สึกว่าอยากทำอะไรเพื่อเขาบ้าง  
 “…เฟย์” ผมวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ “ช่วยเตรียมของให้ข้าหน่อยสิ”  
 เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ของอะไรหรือเพคะ?”  
 “กระดาษสีแบบพับง่าย ๆ ถ้ามีหลายแบบก็ดี...เชือกเส้นเล็กๆ บาง ๆ แล้วก็กาว หรืออะไรที่ทำให้กระดาษติดกันได้”  
 เฟย์กระพริบตาปริบๆ ดูเหมือนจะงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาเหมือนจับทางได้ เธอไม่ได้ถามอะไรอีกแค่พยักหน้าแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ  
 ไม่นานนักเธอก็กลับมาพร้อมของที่ขอแม้มันจะดูไม่สมบูรณ์แบบนักเมื่อเทียบกับวัสดุจากโลกเดิมของผม แต่ก็ยังพอใช้ได้  
 ผมค่อยๆ ตัดกระดาษตามลวดลายที่นึกขึ้นได้ในหัว แบ่งเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนจะประกอบมันด้วยกาวเหนียว ๆจนกลายเป็นกล่องกระดาษใบเล็กที่เปิดออกแล้วจะดีดผีเสื้อกระดาษบางเบาบินออกมา  
 ข้างในกล่องผมวางต่างหูคู่หนึ่งที่เลือกทำขึ้นเป็นพิเศษ ตัวเรือนสีเงินที่คล้ายกับสีผมของแรนทีลตรงกลางประดับด้วยอัญมณีสีฟ้าประกายดาวเหมือนดวงตาของเขามีกลีบดอกไม้แห้งโรยรองอีกชั้น กลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยแตะปลายจมูก  
 ผมมองผลงานตรงหน้าพลิกกล่องไปมาอย่างพอใจ  
 …ดูไปดูมาผมก็มีฝีมือเหมือนกันนะเนี่ย  
 “ฝ่าบาทงดงามมากเพคะ ท่านแรนทีลจะต้องชอบแน่นอน” เฟย์ชมด้วยน้ำเสียงจริงใจ  
 ผมหัวเราะน้อยๆ อย่างเขิน ๆ แล้วพยักหน้าเบา ๆ “ขอบใจนะ เฟย์”  
  
อีกแค่ไม่กี่อึดใจ...ก็จะถึงเวลาเข้าหอ  
 ผมเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าควรรู้สึกยังไงดี ตื่นเต้น? กังวล? หรือควรรีบหนีออกนอกหน้าต่างตอนนี้เลยดี?  
 เฟย์ช่วยเตรียมตัวให้ผมอย่างดีเหมือนทุกครั้ง เพราะตามธรรมเนียมของราชสำนัก คืนนี้นอกจากจะเป็นพิธีสำคัญระหว่างคู่สมรสแล้วยังถือเป็นหน้าที่ของรัชทายาทที่จะต้อง ‘พร้อม’ ต่อการสืบทายาทในอนาคตด้วย  
 และใช่ครับ...เธอเตรียมให้พร้อมทุกอย่างจริงๆ  
 ร่างของผมถูกอาบด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ จากน้ำมันดอกไม้ เฟย์เป็นคนเลือกชุดให้ ผ้าพลิ้วบางสีขาวนวลแซมประกายเงินดูโปร่งแสงนิด ๆ ในบางมุม โดยเฉพาะเวลาแสงเทียนสะท้อนกับกระจก   
 มันก็...เอ่อ...จะว่ายังไงดีล่ะ น่าหลงใหลจนน่ากลัวนิดหน่อย  
 ผมนั่งมองตัวเองในกระจกแล้วต้องหลุดหัวเราะเบาๆ ไม่รู้ว่าคนในนั้นคือผมจริง ๆ หรือเปล่าดูไม่เหมือนคนที่เคยนั่งประชุมกับไคเรนเมื่อเช้าเลยสักนิดเดียว  
 เอาจริงๆ นะ ผมไม่ได้กลัวหรอก...ก็แค่กังวลประมาณหนึ่งนั่นแหละ  
 รู้แหละว่าเป็นธรรมเนียมรู้ว่าทุกคนต้องทำ แต่สิ่งที่ทำให้ใจมันหน่วง ๆกลับเป็นความรู้สึกบางอย่างที่ผมไม่ค่อยอยากยอมรับเท่าไหร่  
 คล้ายกับน้อยใจ  
 คล้ายกับว่า...ผมเป็นแค่ตัวแทนของใครบางคน  
 คล้ายกับว่าคนที่เขาเฝ้ารออาจไม่ใช่‘ผม’ จริง ๆ  
 หรืออย่างน้อย...ก็ไม่ใช่ผมในแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้  
 บางทีอาจเป็นเพราะชื่อ "เซย์เรน" ที่ทำให้ใครหลายคนคาดหวัง  
 แต่สำหรับผมแล้ว...  
 ผมแค่อยากให้ใครสักคนมองผมในแบบที่ผมเป็น แบบที่ไม่ได้สมบูรณ์ หรือยิ่งใหญ่ หรือเป็นใครคนอื่น  
 ผมแตะมือที่กระจกเบาๆ ปลายนิ้วชื้นเหงื่อ แม้จะไม่มีใครเห็นแต่ก็พยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ  
 “ฝ่าบาท...ถึงเวลาแล้วเพคะ”เสียงของเฟย์ดังขึ้นเบื้องหลังเบา ๆ  
 ผมพ่นลมหายใจแรงๆ พลางหยิบกล่องของขวัญที่ตั้งใจทำเองขึ้นมา กล่องกระดาษเด้ง ๆที่เปิดออกมาแล้วมีผีเสื้อกระดาษกระพือปีก ดูเหมือนของเล่นเด็กแต่ก็แอบมีต่างหูเงินซ่อนไว้ข้างใน หวังว่าเขาจะไม่ตกใจวิ่งหนีนะครับ  
 “โอเคเซย์เรน นายทำได้ นายไม่ได้ไปออกศึกนายแค่...กำลังจะเข้าหอกับจอมเวทระดับสูงที่หน้าตาเหมือนเทพเจ้าจุติ”  
 ผมพูดกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน สูดลมหายใจอีกครั้ง แล้วก้าวออกจากห้องเตรียมตัว  
 คืนนี้ไม่รู้จะออกหัวหรือก้อยแต่อย่างน้อย...ก็ขอให้ผีเสื้อในกล่องมันบินได้นะ  
  
  
 . 
. 
. 
 
ผมนั่งตัวเกร็งอยู่กลางห้องโถงในตำหนักในที่เงียบเกินไป ม่านบางพลิ้วไหวรับลมเบาๆ พรมเนื้อดีถูกโรยกลีบดอกไม้หอมละมุน แสงเทียนสลัว ๆให้ความรู้สึกอบอุ่นจนน่ากลัวเล็ก ๆ คือไม่ใช่กลัวผีนะ...แต่กลัวใจตัวเองมากกว่า  
 บรรยากาศทุกอย่างดูโรแมนติกเกินไปหน่อย ผมกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างประหม่าความเงียบของห้องทำให้ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นโครมครามจนเริ่มไม่แน่ใจว่านั่นเสียงหัวใจหรือเสียงตีกลอง  
 เส้นผมสีดำถูกปล่อยยาวถึงกลางหลัง มีเครื่องประดับเงินห้อยย้อยเป็นสาย พอขยับตัวก็ได้ยินเสียงกระทบกันเบา ๆคล้ายระฆังจิ๋วที่ดังอยู่แค่ในโลกส่วนตัว ท่อนบ่าถูกปล่อยโล่งมีเพียงเครื่องประดับเงินที่ตกแต่งไว้ให้ดูพองามเท่านั้น  
 มันคือชุดเข้าหอที่ ‘จริงจัง’ มาก...จนผมหน้าแดงอยู่ใต้ผ้าลูกไม้บาง ๆ ที่คลุมหน้าไว้เรียบร้อยแล้ว  
 ...ยังดีนะที่มีผ้าปิดหน้านี่ ไม่งั้นผมคงอายจนหายใจไม่ออก  
 แล้วเสียงฝีเท้าก็ใกล้เข้ามา...  
 ใกล้เข้ามา...  
 “ฝ่าบาท”  
 แค่เสียงเรียกสั้นๆ นั้น...หัวใจผมกระตุกจนแทบหลุดออกไปกองอยู่ด้านนอก  
 ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองด้วยซ้ำ ได้แต่หลุบตาต่ำแล้วปล่อยให้เขาคุกเข่าลงตรงหน้าอย่างนุ่มนวล ก่อนจะคว้ามือผมไปประทับริมฝีปากลงเบา ๆ แบบที่เรียกว่า...ทุกอย่างชะงักไปหมดยกเว้นอัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ  
 “ร...แรนทีล”ผมพูดออกมาแบบตะกุกตะกักเหมือนเครื่องจะดับ “คืนนี้ ฝากท่านด้วยนะ...”  
 ผมตัวสั่นนิดๆ แบบที่เห็นได้ชัดเลยล่ะ แต่เขากลับยิ้มอย่างใจเย็น  
 “ท่านมองข้าสิ”   
 ไม่เอาไม่มอง! ยิ่งมองยิ่งหล่อ ยิ่งหล่อยิ่งประหม่า! อย่าใช้สายตาคนดีแบบนี้ได้ไหมผมใจไม่แข็งพอ!  
 “ฮือ...อย่าแกล้งกันสิ” ผมพึมพำอย่างหมดแรง ใช้เสียงหวานปนหงุดหงิดกลบความเขิน  
 เขาหัวเราะ...หัวเราะจริงจังแบบที่ไม่คิดว่าแรนทีลจะหัวเราะแบบนี้ออกมาได้มันดูเป็นมนุษย์ธรรมดาขึ้นมาอย่างประหลาด  
 “ไม่ต้องกลัวหรอก คืนนี้ข้าจะไม่ทำอะไรท่าน”  
 “ห๊ะ!?” ผมเผลออุทานออกไปเสียงสูงกว่าแผนที่วางไว้ในหัวนิดหนึ่ง  
 แรนทีลยังยิ้มแบบใจดีไม่เลิก“ข้ารู้...ท่านยังไม่ทันได้เตรียมใจ ข้าจะไม่ฉวยโอกาสหรอกนะ”  
 โอ๊ย...แล้วจะพูดดีอะไรตอนนี้ครับ! คนมันตั้งใจเตรียมตัวมาซะขนาดนี้!  
 นี่ถ้ารู้ว่าไม่ต้องทำอะไรผมจะได้ใส่ชุดนอนปิดมิดชิดมานั่งจิบชาซะให้รู้แล้วรู้รอด!  
 แล้วเขาก็ยังใจดีไม่เลิก ถึงขั้นถอดเสื้อคลุมของตัวเองมาห่มให้ผมด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เหมือนกลัวว่าผมจะหนาว  
 ความเป็นห่วงแบบนั้น...ยิ่งทำให้ผมถอนหายใจเงียบๆ อยู่ในใจ  
 ไม่ได้เตรียมใจเหรอ...ไม่งั้นจะนั่งอยู่ในสภาพนี้เหรอครับคุณสามี!?  
 จะว่าไป...หัวจะปวดกับสามีแต่ละคนจริงๆ  
 ผมนั่งเงียบไม่รู้จะพูดอะไรต่อ จะงอนก็ไม่เต็มที่ จะเขินก็เหมือนโดนตัดจังหวะ  
 แต่แรนทีลกลับโน้มตัวเข้ามายื่นมือมาลูบแก้มผมเบา ๆ ด้วยท่าทีเหมือนปลอบเด็ก   
 สัมผัสอุ่นๆ ปลายนิ้วแบบนั้น ทำเอาผมแข็งไปชั่วครู่  
 “เซย์เรน” เขาเรียกผมเสียงนุ่ม “ท่านงดงามมากนะคืนนี้”  
 ผมกระพริบตาปริบๆ รับคำชมเงียบ ๆ ในใจก็แอบกรีดร้องเบา ๆ ว่า 'แงงขอบใจที่ชม...แต่จะดีกว่านี้ถ้ามีแอคชันมากกว่านี้อีกนิดนะครับคุณแรนทีล!'  
 ผมยังนั่งนิ่งใต้แสงเทียนสลัวที่ไหวไกวตามลมเย็นจากหน้าต่างบานใหญ่ จะว่าไป...เราจะนั่งเงียบกันไปอีกนานแค่ไหนกันนะ?  
 บรรยากาศรอบตัวเงียบเสียจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตุบๆ ผมเองก็ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะชวนคุยอะไรดี เพราะในความทรงจำของร่างเดิมมันแทบไม่มี ‘ช่วงเวลาดี ๆ’ ระหว่างเราสองคนเลยสักนิดเหมือนความสัมพันธ์ของพวกเขาเคยมีแต่ความห่างเหิน เงียบงัน และระวังตัว  
 ...ซึ่งก็ไม่ต่างจากตอนนี้เท่าไหร่  
 “นั่น...คืออะไร?”  
 เสียงทุ้มของแรนทีลดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เขามองมาทางกล่องกระดาษที่วางอยู่ใกล้มือผมด้วยสีหน้าสงสัย  
 “ข้าเตรียมไว้ให้ท่าน...” ผมตอบเบา ๆพลางดันกล่องไปข้างหน้า “ไม่รู้ว่าท่านจะชอบมั้ยนะ”  
 เขาขมวดคิ้วน้อยๆ เหมือนกำลังพิจารณาสิ่งแปลกประหลาดตรงหน้า ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะหน้าตากล่องนั่นมันก็ไม่ได้ดูหรูหราอะไรเลย แถมยังดูเหมือนของเด็กเล่นด้วยซ้ำ  
 “ข้าเปิดได้เลยหรือเปล่า?”  
 “อืม เปิดเลย” ผมพยักหน้าให้  
 ทันทีที่ฝาเปิดออกผีเสื้อกระดาษจำนวนหนึ่งก็โผล่พรวดออกมาพร้อมแรงดีด กลางอากาศแสงเทียนที่ไหวไหวทำให้เงาของมันเต้นระบำอยู่บนผนังไปด้วย  
 แรนทีลชะงักไปเล็กน้อยจ้องมองภาพตรงหน้าเหมือนเด็กเจอของเล่นครั้งแรก  
 เขาทั้งประหลาดใจและ...เหมือนจะพอใจอยู่ไม่น้อย  
 “ท่านทำได้อย่างไร?”เขาถามพลางหันกลับมาหาผม“หรือแอบไปเรียนเวทแล้วไม่บอกข้า?”  
 ผมหัวเราะเบาๆ “เวทอะไรกันล่ะ นี่มันก็แค่...กลเล็ก ๆ จากกระดาษ ลองดูของข้างในอีกสิ”  
 แรนทีลยังยิ้มไม่หุบตอนผีเสื้อกระดาษตัวสุดท้ายบินไปหล่นอยู่บนผ้าพรมเขาหันกลับมามองผมอีกครั้ง ก่อนจะค่อย ๆดึงกลีบดอกไม้แห้งที่โรยทับไว้ขึ้นอย่างระวัง  
 ใต้กลีบดอกไม้บางเบานั้นคือกล่องเล็ก ๆ ที่บรรจุต่างหูสีเงินคู่หนึ่ง ตัวเรือนบางเรียบ ละเอียดประณีตประดับด้วยอัญมณีสีฟ้าอ่อนที่เพียงแวบแรกก็ชวนให้นึกถึงสีดวงตาของเขาอย่างไม่มีผิด  
 เขาเงียบไปนานจนผมเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมานิดหน่อย  
 “…ไม่ชอบเหรอ?”ผมถามออกไปเบา ๆ  
 “เปล่าเลย” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงทุ้มละมุน ฟังดูอ่อนโยน“ข้าแค่...แปลกใจ”  
 ผมกระแอมกลบเก้อ“ก็แค่ของขวัญน่ะ..”  
 “ต่างหูเงิน…” เขาพึมพำ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย“สีเดียวกับเส้นผมข้า… และหินสีดวงตา”  
 แล้วเขาก็หันมาสบตาผมตรงๆ อย่างไม่มีปิดบัง “ท่านสังเกตละเอียดขนาดนี้เชียวหรือ?”  
 โอ๊ยถามแบบนี้มันก็เขินกันพอดีสิครับ!  
 ผมหลุบตาลงมองกระโปรงบาง ๆ ของตัวเองด้วยความร้อนหน้า  
 “อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่ได้ตั้งใจมอง...มากขนาดนั้น ”พูดไปก็แทบอยากมุดพรมหนี “...ก็แค่เห็นทุกวัน มันเลยจำได้เองเฉย ๆ”  
 แรนทีลหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยื่นมือลูบหัวผมเบา ๆ อย่างเอ็นดู  
 “ข้าจะใส่มันบ่อย ๆ ให้สมกับที่ท่านตั้งใจทำนะ เซย์เรนขอบคุณมาก”  
 คำว่า‘ขอบคุณ’ จากเขา ฟังดูไม่ใช่แค่คำขอบคุณสำหรับของขวัญแต่มันอบอุ่นพอจะทำให้ผมเลิกหน้างอไปได้อีกสักพักเลยล่ะ  
 “ข้าก็มีของจะมอบให้ท่านเหมือนกัน” แรนทีลพูดก่อนจะปรบมือเบา ๆ สองครั้ง  
 แสงเทียนและแสงไฟในห้องพลันดับลงเหลือเพียงความมืดสลัวชั่วอึดใจผีเสื้อแสงสีม่วงก็เริ่มโบยบินขึ้นจากพื้นอย่างช้าๆ ล่องลอยเหมือนละอองเวทมนตร์ที่มีชีวิต บินวนอย่างนุ่มนวลในห้องราวกับเวทมนตร์ในนิทาน   
 ผมยิ้มออกมาอย่างไม่ปิดบังความรู้สึกเลยแม้แต่น้อยผีเสื้อตัวหนึ่งบินมาเกาะที่ปลายนิ้ว ก่อนจะสลายกลายเป็นประกายเล็ก ๆทิ้งสิ่งหนึ่งไว้แทนที่  
 แหวนวงบางเรียบแต่สง่างาม ตัวเรือนดูไม่ใช่โลหะที่ผมคุ้นเคย มันไม่ใช่ทองหรือเงินแต่เป็นวัสดุแปลกตา มีเนื้อสัมผัสคล้ายหินที่ผ่านการขัดอย่างประณีตทุกองศาที่สะท้อนกับแสงเทียนอ่อน ๆ ล้วนเป็นเฉดสีรุ้งแผ่วเบา สีไม่ได้ฉูดฉาดแต่ไล่เฉดอย่างอ่อนโยนราวกับสีของท้องฟ้าก่อนรุ่งสาง  
 “แหวนวงนี้...ข้าตั้งใจจะมอบให้ท่านมานานแล้ว” แรนทีลกล่าวเสียงเบา“มันถูกหลอมขึ้นจากหินดาวตกที่ข้าตามเก็บจากอีกฟากของทวีปว่ากันว่าหินนี้จะเปล่งสีแตกต่างกันไปตามจิตใจของผู้สวมใส่ และไม่มีวันแตกหัก”  
 เขาหยุดเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ “ข้าได้ใส่จิตวิญญาณส่วนหนึ่งของข้าลงไปในนั้น ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหนข้าจะอยู่เคียงข้างเสมอ... ต่อให้อยู่ไกลลับฟ้า หรือแม้กระทั่งอีกโลกหนึ่งข้าก็จะตามหาท่านจนพบ”  
 ผมชะงักไปเล็กน้อยหัวใจเหมือนโดนบีบเข้าแผ่ว ๆ กับถ้อยคำเหล่านั้น จนอดไม่ได้ที่จะคิด...เขารู้ใช่ไหม?   
 รู้ว่าผมไม่ใช่เซย์เรน คนนั้นที่เขาเคยรู้จัก…  
  
  
  
. 
. 
. 
 
ผ้าม่านสีขาวนวลไหวตามลมที่พัดผ่านหน้าต่างบานกว้างกลิ่นดอกไม้จากพรมที่โรยไว้ยังแตะจาง ๆ อยู่ในอากาศ เทียนเล่มสุดท้ายใกล้ปลายไส้มันไหวระริกเหมือนหัวใจเขา  
 แรนทีลนั่งเงียบๆ อยู่บนขอบเตียงขณะที่เซย์เรนกำลังจัดหมอนจัดผ้าห่มด้วยสีหน้าเหมือนกำลังคิดว่าจะซุกตัวนอนฝั่งไหนดีโดยไม่ดูประเจิดประเจ้อเกินไป  
 “ข้า...นอนได้เลยใช่ไหม?” เซย์เรนเอ่ยเสียงเบา ไม่สบตาเขาดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงอก ก่อนจะล้มตัวลงช้า ๆด้วยท่าทีที่เหมือนคนเตรียมไปต่อสู้มากกว่านอนพัก  
 “อืม แน่นอน ท่านเหนื่อยมาทั้งวันแล้วนี่” แรนทีลพยักหน้าเรียบนิ่ง แต่ในอกกลับเหมือนมีอะไรอุ่น ๆ วิ่งวนอยู่  
 เซย์เรนพยักหน้าหงึกๆ แล้วหันหน้าเข้าหาหมอน ซุกตัวจนแทบจะกลายเป็นก้อนกลม ๆ ใต้ผ้าห่ม  
 “...แล้วท่านจะนอนตรงไหน?” เสียงแผ่วเล็ดลอดออกมาจากหมอน  
 “ข้าก็ตรงนี้ ข้างท่านนี่ล่ะ” แรนทีลยิ้มบางยกมือปลดเครื่องประดับบนบ่าชุดพิธีการออกแล้วถอดเสื้อคลุมชั้นนอกพาดเก้าอี้อย่างเรียบร้อยก่อนจะเดินมานั่งอีกฝั่งของเตียงอย่างเงียบเชียบ  
 “ใกล้ไปมั้ย...” เซย์เรนพึมพำ แต่ก็ไม่ได้ถอยหนี  
 แรนทีลหัวเราะในลำคอเบาๆ “ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่แตะต้องท่านหากท่านยังไม่พร้อม”  
 คำพูดนั้นทำเอาเซย์เรนยิ่งจมหัวลงในหมอนกลายเป็นกล่องเสียงที่ปล่อยเสียงครางอู้อี้ออกมาแทนคำตอบ ซึ่งเขาฟังไม่ออกว่าเขินหรือกำลังน้อยใจที่เขาไม่คิดจะทำอะไรเลย  
 หลังจากนั้น...พวกเขาก็เงียบกันไปครู่หนึ่ง  
 เซย์เรนดูเหนื่อยมากจริงๆ จากทั้งพิธี ชุดพิถีพิถัน และความประหม่าเกร็งตลอดเย็นแรนทีลรู้ว่าอีกฝ่ายพยายามอย่างมากแล้วไม่ใช่แค่ในคืนนี้...แต่ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานับแต่เขาเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม  
 เขานอนตะแคงหันหน้าไปยังคนที่หลับไปก่อนแล้วมือหนึ่งหนุนศีรษะไว้ ขณะที่อีกมือยังเก็บไว้ใต้อกเหมือนไม่กล้าขยับเขามองเซย์เรนที่หลับสนิทไปแล้ว เส้นผมสีเข้มกระจายบนหมอนอย่างไร้แบบแผนลมหายใจสม่ำเสมอทำให้ผิวแก้มขยับน้อย ๆ แรนทีลเผลอยิ้มบางกับภาพตรงหน้า  
 ใบหน้าของเซย์เรนยามหลับ...อ่อนโยนกว่าตอนตื่นเยอะ  
 ไม่มีดวงตาที่คอยหลบเลี่ยงเขาไม่มีคำพูดกระทบกระทั่ง ไม่มีระยะห่างอย่างจงใจแบบในวันเก่า ๆที่อีกฝ่ายพยายามตีกรอบตัวเองไว้จนเขาไม่กล้าเข้าใกล้มากกว่านั้น  
 ช่วงเวลาที่แรนทีลรู้จักเซย์เรนเขาเคยคิดว่าสายตาของอีกฝ่ายไม่มีวันหันมาหาเขาเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนเซย์เรนก็ยังคงวางกำแพงไว้แน่นหนา พูดจาเรียบเฉย ชอบทำเป็นไม่รู้ว่าเขาอยู่ตรงนั้นชอบหันหลังให้เสมอ  
 แต่คืนนี้คนที่หลับอยู่ข้างเขา...กลับไม่ใช่เซย์เรนคนเดิมอีกต่อไปแล้ว  
 เขาเอื้อมมือออกไปลูบปลายผมเบา ๆ อย่างแผ่วที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะเกลี่ยปอยผมที่ปรกใบหน้าออกอย่างอ่อนโยนปลายนิ้วแตะผิวแก้มอีกฝ่ายแค่พริบเดียวก่อนจะชักกลับไม่ใช่เพราะกลัวอีกฝ่ายตื่น...แต่เพราะไม่อยากให้คืนแบบนี้ผ่านไปเร็วเกินไปต่างหาก  
 “ท่านหลับได้สบายก็ดีแล้ว”เขาพึมพำเบา ๆ กับตัวเองริมฝีปากยังคงแตะรอยยิ้มที่ดูจะเก็บไว้ใช้กับเซย์เรนเพียงคนเดียว  
 “รู้ไหมว่าท่านในตอนนี้...ช่างอันตรายกว่าท่านในวันก่อนเสียอีก” แรนทีลหัวเราะนิด ๆ“เพราะข้าเผลอรักท่านมากขึ้นทุกที”  
 เขาเฝ้ามองอยู่อย่างนั้นอีกพักใหญ่ไม่ได้หวังให้อีกฝ่ายได้ยิน ไม่ได้หวังคำตอบ ไม่ได้หวังให้รู้แม้แต่น้อยแค่ตอนนี้ที่ได้เฝ้ามอง ได้อยู่ใกล้ ได้ยินเสียงลมหายใจที่เคยอยู่ไกลเกินเอื้อม มันก็เพียงพอแล้วสำหรับค่ำคืนหนึ่ง  
 สุดท้ายแรนทีลขยับเข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิด เอียงตัวแนบลงนอนข้าง ๆ โดยระวังไม่ให้เตียงสั่นไหว  
 เขาหลับตาแล้วบอกตัวเองเบา ๆ ว่า...  
 ขอแค่คืนนี้ท่านยังอยู่ตรงนี้กับข้า   
 ...แค่นี้ก็พอแล้ว  
  
 ----------------------------- ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะ รักคนอ่าน ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ ทุกกำลังใจเลยนะครับ  
 
 |