แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-6-13 16:07  
 
 
 ตอนที่ 5 งานราชกิจของรัชทายาท  
  
   เช้าวันนี้ดูไม่สดใสเท่าไรนัก…  
 หลังจากทั้งคืนว้าวุ่นจนข่มตาไม่ลง พอจะหลับก็เกือบเช้าแล้ว ทันทีที่สติเริ่มเลือนหายไปกับความเหนื่อยล้า ร่างกายที่อ่อนแรงก็เหมือนได้พักบ้างเป็นครั้งแรก  
 แต่แล้ว…  
 ก็เหมือนมีใครบางคนมาเขย่าตัวผมเบาๆ ผมพลิกตัวหนีโดยไม่ลืมตา  
 กลิ่นอายประจำตัวของใครบางคนที่ผมเริ่มจำได้ติดจมูกกับเงาทึบ ๆ ที่ทอดผ่านม่านตาแม้หลับอยู่ ทำให้ความฝันกลายเป็นความจริงชวนปวดหัว  
 “ตื่นได้แล้วท่านต้องเตรียมตัวออกนอกเมืองกับข้า”  
 เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นใกล้เสียจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่แนบผิวแก้ม  
 “อะ...อือ ยังไม่อยากตื่น..” ผมงึมงำ ปัดมือเขาเบา ๆเหมือนแมวขี้เซา  
 ยังไม่ทันจะได้ม้วนตัวหนีแรงสะกิดร่างก็ถูกยกขึ้นอย่างง่ายดาย  
 “เฮ้ย!? ไคเรน ท่านทำอะไรของท่าน—!”  
 ผมร้องเสียงหลงเมื่อรู้สึกว่าลอยอยู่กลางอากาศแขนแข็งแรงของเขายกผมขึ้นอย่างง่ายดาย ราวกับผมไม่มีน้ำหนักและแน่นอน...เขาไม่ปล่อยผมลงง่าย ๆ ด้วย  
 “ท่านบ้าไปแล้วหรือ!วางข้าลงเดี๋ยวนี้นะ!” ผมดิ้นเล็กน้อยอย่างประท้วง  
 แต่เขากลับหัวเราะในลำคอก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งที่ฟังยังไงก็มีแววประชดเต็มเปา  
 “ไหนล่ะคนที่เคยพูดเสียงดังฟังชัดในที่ประชุมว่าจะทำหน้าที่รัชทายาทให้สมศักดิ์ศรี...”  
 แล้วเขาก็โน้มตัวลงมาใกล้เกินไปกระซิบข้างหูจนเสียงนั้นดังอยู่แค่ในหัวใจผมคนเดียว  
 “...หรือแค่พูดไปเพราะไม่อยากเสียหน้า?”   
 ผมเบิกตากว้างก่อนจะโพล่งออกไป “นี่ท่านจดคำพูดข้าทุกประโยคเลยหรือไง?!”   
 “แน่นอนข้าก็แค่รอวันที่ท่านจะทำตามที่พูดได้จริง ๆ สักที” เขาตอบหน้าตาย  
 ผมถอนหายใจเฮือกยาวเอามือทุบอกกว้างของเขาเบา ๆ อย่างเหนื่อยใจ “ต่อให้ตื่นตรงเวลา ถ้าใจยังไม่พร้อมมันก็เปล่าประโยชน์อยู่ดีไม่ใช่หรือไง…”   
 “ไม่ต้องห่วงข้าจะคอยกำชับท่านอย่างใกล้ชิดเอง”   
 “ไคเรน! ท่านนี่มัน...!”   
 “แต่งตัวได้แล้ว เราต้องออกนอกเมืองภายในครึ่งชั่วโมง”เขาเดินไปทางประตูโดยยังอุ้มผมไว้ในอ้อมแขน “ไม่อย่างนั้นข้าจะอุ้มท่านขึ้นรถม้าในชุดนอนแบบนี้แหละ”  
 ผมย่นจมูกใส่เขาอย่างหงุดหงิดนิดๆ แต่ก็ไม่ลืมหันหน้าหนีเพราะรู้ตัวว่ากำลังหน้าแดงอยู่  
 ก็ได้...จะไปก็ไป แต่ข้าจะจำไว้ ว่าสามีข้าคนนี้อำมหิตที่สุดในบรรดาทั้งสี่คน  
   รถม้าทรงยาวของราชสำนักเคลื่อนตัวออกจากประตูทิศใต้แต่เช้าท่ามกลางแสงแดดที่ยังไม่แรงนักและเสียงลมแผ่วเบาผ่านทุ่งโล่งกว้าง ไคเรนนั่งอยู่ตรงข้ามผมตลอดทางด้วยสีหน้าเย็นชาราวกับสลักจากหินอ่อนในวิหาร  
 แน่นอนว่าผมไม่กล้าทำอะไรนอกจากจิบชาเงียบๆ ด้วยท่าทางเรียบร้อยที่สุดเท่าที่คนอย่างผมจะพยายามได้ แถมยังแต่งตัวมาอย่างเรียบหรูไม่ฉูดฉาดเกินไป แต่ก็ยังสมกับสถานะรัชทายาท เผื่อว่ามีใครจะมองแล้วเห็นความพยายามในการใช้ชีวิตของผมบ้าง  
 นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ออกนอกวังหลังจากตื่นมาในร่างของเซย์เรนเมื่อไม่กี่วันก่อน…และใช่ครับผมยังนอนไม่พอเลยสักนิด แต่ถ้ายังเอาแต่นอนกินบ้านกินเมืองอยู่ในตำหนักก็คงไม่ต่างจากนอนรอความตายรอบสอง  
 ทั้งที่ควรจะดีใจที่ได้เกิดใหม่ในร่างองค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์มีสามีถึงสี่คน หน้าตาหล่อเหลา มีดีกรีระดับตัวท็อปของประเทศ พกความสามารถกันมาคนละด้านแบบครบเซ็ตระดับทำสงครามก็ชนะรักษาเมืองก็ได้ แต่ผมนี่สิ...ได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ เหมือนจะปลอบใจตัวเองว่า"เอาน่า อย่างน้อยชีวิตนี้ก็ไม่ได้ไร้สีสัน"  
 ผมหลุดยิ้มเล็กน้อยกับความคิดนั้นผิดจังหวะพอดีกับที่รถม้าสะดุดเบา ๆ  
 ถ้วยชาที่ถืออยู่เลยเอนไปกระแทกแขนตัวเองก่อนจะหกใส่แขนเสื้อของไคเรนอย่างจัง  
 “อ๊ะ! เป็นอะไรมั้ย ข้าไม่ได้ตั้งใจ!” ผมร้องเสียงหลงหน้าซีดราวกับเผลอทำแจกันโบราณตกแตกต่อหน้าจักรพรรดิ  
 โอ้ย...ตายแน่...แค่เขาไม่ฆ่าผมตอนนี้ก็ดีเกินคาดแล้ว!แค่จะดื่มชาเฉย ๆ แท้ ๆ ดันเผลอปล่อยสกิลทำร้ายสามีแบบไม่ได้ตั้งใจซะงั้น!  
 ไคเรนหันมามองสีหน้านิ่งสนิท ผมนี่เริ่มอยากมุดพรมหนีตายไปจากโลกนี้เดี๋ยวนั้นเลย  
 แต่แล้วสิ่งที่เขาพูดกลับทำผมนิ่งอึ้งไปมากกว่าเดิม  
 “ไม่เป็นไรฝ่าบาท เดี๋ยวค่อยเปลี่ยนเสื้อเอาก็ได้”  
 เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ชนิดเดียวกับที่คนทั่วไปใช้บอกว่า “อากาศดีจังวันนี้”  
 ไม่โกรธ? ไม่เอ็ด? ไม่ตำหนิ? ...หรือว่าเขาเก็บไว้ในใจแล้วจะไปรายงานราชินีทีหลังกันนะ?  
 โอ้ยข้าไม่ไหวแล้ว! กลับไปตายให้มันรู้แล้วรู้รอดยังจะดีกว่า!  
 แต่ชีวิตก็ยังไม่ปล่อยให้ผมตายง่ายๆ หรอก เพราะพอรถม้าใกล้ถึงจุดหมาย ไคเรนก็ถอดเสื้อนอกออกพร้อมกับเผยให้เห็นแผงอกแน่น ๆ กล้ามเนื้อชัดเจนทุกส่วนราวกับปั้นมาเองกับมือ ผมนี่กลืนน้ำลายเอื๊อกทันทีอย่างไม่รู้ตัว  
 โอเค...ยอมรับว่าตกใจแล้วก็อิจฉานิด ๆ ด้วย คนอะไรหุ่นดีชะมัด โลกก่อนผมน่ะเหรอ? ผอมแห้งแรงน้อยต้นแขนบางพอ ๆ กับตะเกียบ ไม่ต้องพูดถึงกล้ามเลย…แค่ยกกระเป๋ายังเหนื่อย  
 หรือว่าจะขอให้เขาเทรนให้ดีนะ...จะได้มีกล้ามไว้ไปอวดสาวเอ๊ย! ไม่ใช่สิ สามีคนอื่นต่างหาก!  
 กำลังหลุดเข้าไปในความคิดฟุ้งซ่านไคเรนก็เรียกเสียงเรียบ  
 “ฝ่าบาทท่านไม่สบายหรือเปล่า? ข้าเรียกอยู่ตั้งนาน ท่านกลับจ้องข้าอยู่แบบนั้น”  
 “ห๊ะ? อะอ๋อ…เปล่า ข้าแค่...คิดอะไรเรื่อยเปื่อยนิดหน่อยน่ะ!”  
   เอาล่ะสิเซย์เรนเอ๊ย! ถ้ายังไม่หยุดมองหน้าอกเขา เดี๋ยวได้โดนลากไปกระทืบแน่ ๆ  
 ผมก้าวขาลงจากรถม้าโดยมีไคเรนยืนรอประคองอยู่ไม่ห่าง ประชาชนที่ทราบข่าวว่ารัชทายาทจะเสด็จมาต่างก็แห่มารอรับกันเต็มลาน เหมือนแฟนคลับที่มาดักรอศิลปินในดวงใจ  
 ผมยิ้มพลางโบกมืออย่างอ่อนช้อยเหมือนนางงามรอบไฟนอล มงลงแล้วหนึ่ง ยิ้มจนกรามเริ่มตึงเหงือกเริ่มแห้งโดยไม่รู้ตัว  
 “นี่... ข้าต้องยืนตรงนี้อีกนานไหม” ผมแอบกระซิบถามไคเรนแต่ใบหน้ายังยิ้มแบบนางงามรักษามารยาท  
 “ฝ่าบาทควรพบปะประชาชนสักหน่อยเดี๋ยวข้าขอไปจัดการบางอย่าง ท่านรออยู่ที่นี่ได้ใช่หรือไม่”  
 “ดะ... เดี๋ยวสิ—”  
 ยังพูดไม่ทันจบไคเรนก็หายไปแล้ว ปล่อยให้ผมยืนเด๋ออยู่คนเดียวกลางแดด แต่พอคนเริ่มซาลงผมก็หาที่ยืนหลบมุม แล้วถอนหายใจยาวอย่างหมดแรง  
 โลกนี้มันแตกต่างจากโลกเดิมของผมจริงๆ แค่ยืนยิ้มให้ประชาชนยังเหนื่อยเป็นบ้า คิดถึงไก่ย่าง ส้มตำหน้าหอไข่ต้มป้าส้มข้างเซเว่นขึ้นมาเลย… โลกนี้จะมีอะไรแซ่บ ๆ แบบนั้นไหมนะ  
 ผมนั่งลงบนแคร่ไม้ใต้ร่มไม้ใหญ่ทุบขาตัวเองเบา ๆ เพราะเผลอยืนนานจนเมื่อย แถมยังไม่ค่อยได้นอนแต่เช้าอีกเจ้าของร่างนี้ก็คงไม่ชินกับการออกนอกวังเท่าไหร่ร่างกายเลยอ่อนปวกเปียกเหมือนขี้เถ้าเปียกน้ำ  
 ต้องเริ่มออกกำลังกายบ้างแล้วไม่งั้นถึงเวลามีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน อย่างการลอบปลงพระชนม์แบบในนิยายการเมืองจะหนีธนูทันหรือเปล่าก็ไม่รู้...  
 เป็นคนสู้ชีวิตแต่ชีวิตนี่สิ ดันสู้กลับทุกทาง...  
 แล้วก็ไม่รู้ว่าไคเรนหายไปไหนปล่อยให้ผมนั่งหิวอยู่ตรงนี้เหมือนลูกหมาโดนทิ้งจะว่าไป...หรือเขาจะพามาแก้แค้นกันแน่ ที่ผมเคยเถียงเขาในที่ประชุม?  
 ยังไม่ทันได้ฟุ้งซ่านไปไกลกลิ่นหอมบางอย่างก็ลอยมาตามลม...กลิ่นย่างไหม้เบา ๆ ผสมกลิ่นใบไม้ทำเอาท้องผมร้องเสียงดังจนได้ยินเองชัดเจน  
 ผมกำลังจะลุกไปดูต้นตอของกลิ่นนั่นแต่ไคเรนก็เดินกลับมา พร้อมห่อใบตองในมือ แล้วยื่นให้ผม  
 “พระองค์เสวยได้หรือไม่ ที่นี่ห่างไกลจากวัง ข้าหาได้เท่านี้”  
 ผมรับห่ออาหารมาอย่างเงียบๆ กลิ่นหอมโชยมาชวนให้กลืนน้ำลาย กลิ่นคล้ายข้าวหมกเนื้อในใบตองของโลกเดิมผมยังไม่ทันแกะเลยด้วยซ้ำ ท้องก็ร้องอีกระลอก  
 แต่ฟอร์มต้องมาก่อน!  
 “ข้าเป็นคนง่าย ๆ กินอะไรก็ได้” ผมตอบอย่างสงบเสงี่ยมแต่ความจริงในใจคือ—แกะสิ รออะไร!  
 ไคเรนเองก็นั่งลงข้างๆ พร้อมข้าวห่อของตัวเอง ผมลังเลอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะยอมแพ้ให้กลิ่นและความหิวแกะห่อแล้วก็เริ่มจกอย่างช่ำชอง รสชาติเข้มข้นแบบบ้าน ๆ ที่แสนคิดถึงตัดกับอาหารหรูในวังที่บางทีอร่อยแต่ไร้ชีวิตชีวา  
 อร่อยจนอยากตะโกนว่า"แซ่บอีหลี!" ให้รู้แล้วรู้รอด  
 “ดูท่านจะเพลิดเพลินดีนะ” ไคเรนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นผมกินอย่างเอร็ดอร่อยแบบไม่แคร์สายตาใคร  
 ผมหยุดเคี้ยวชั่วครู่เหลือบตามองเขานิด ๆ ก่อนจะตอบในใจ... เพลินสิ! ถ้าได้กินแบบนี้ทุกวันจะให้ทำอะไรก็ยอมหมดแหละ!   
 “เหนื่อยหรือไม่”เขาถามขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ยื่นแขนเสื้อมาซับเหงื่อให้ผมแบบไม่ทันตั้งตัว  
 ผมส่ายหน้าเล็กน้อยจริง ๆ แล้วงานที่เคยผ่านมาในโลกเดิมโหดกว่านี้นัก แค่นี้ยังไม่สะเทือนหรอกแค่...ต้องปรับตัวหน่อยเท่านั้นเอง  
 “นี่...ข้ารู้นะว่าตอนนี้พวกท่านกำลังทำงานหนักเพื่อข้า”ผมว่า พลางถอนหายใจ “ขอบคุณจริง ๆ นะ แต่ข้าก็รู้ตัวดี...ว่าข้ามันไม่เอาไหนแบบนี้ท่านยังจะ—”  
 “ฝ่าบาทแค่ทำหน้าที่ของตัวเองก็พอ”เขาพูดแทรกเสียงเรียบแต่หนักแน่น “เรื่องที่เหลือ พวกข้าจะจัดการเอง”  
 “แบบนั้น...มันก็เห็นแก่ตัวเกินไปมั้ยพวกท่านแต่งกับข้าเพื่ออะไรกัน? เพื่อมาเป็นมือเป็นเท้าให้ข้าอย่างนั้นเหรอ”  
 “ฝ่าบาทก็ทรงต้องการแบบนั้นไม่ใช่หรือ? ทุกอย่างถูกกำหนดมาแล้วต่อให้พระองค์เต็มใจหรือไม่ก็ตาม”  
 ผมนิ่งไปนิดหงุดหงิดกับคำตอบตรงไปตรงมาเกินเหตุ จึงเงยหน้าขึ้นแล้วพูดเสียงเบา  
 “ท่านไม่คิดจะมีชีวิตเป็นของตัวเองเลยหรือไง? ทำไมต้องยุ่งยากด้วยนะ...สุดท้ายข้าก็ต้องตายอยู่ดี ต่อให้ไม่กระอักเลือดตายก็คงถูกคนอื่นฆ่าตายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” เสียงผมเบาลง“ไม่เห็นต้องมาผูกติดกับข้าเลย... เพียงเพราะคำสัญญาที่ไม่เป็นธรรมพวกนั้น”  
 ไคเรนสบตาผมตรงๆ ก่อนจะตอบอย่างแน่วแน่  
 “ข้าจะไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับพระองค์แน่นอนวางใจเถอะ”  
 “โถ่...พูดไปตั้งเยอะ ยังไม่เข้าใจอีก” ผมบ่นพึมพำพลางสะบัดหน้าหนี โอ้ย...ทำไมถึงเป็นคนที่คุยยากแบบนี้นะ! หล่อแต่หัวดื้อ!  
 ไม่ทันไรเสียงฝีเท้าม้าหลายตัวก็ดังขึ้นมาแต่ไกลร่างสูงในชุดเครื่องแบบสีดำของกองทัพมังกรดำควบม้าเข้ามาใกล้ ใบหน้าคมเข้ม ดุดันเฉียบเฉียง ภายใต้เสื้อคลุมที่สะบัดพลิ้วตามแรงลม เขาชะลอม้าลงก่อนจะกระโดดลงพื้นอย่างคล่องแคล่ว แล้วโค้งคำนับอย่างมีระเบียบ  
 “เอลเซียน?เจ้ามาได้ยังไง?” ผมถามขึ้นทันทีแต่ห่อข้าวในมือก็ยังไม่วาง เพราะมันอร่อยจนวางไม่ลงจริง ๆ  
 “ข้ากับกองทัพตั้งค่ายพักอยู่ไม่ไกลได้ข่าวว่าฝ่าบาทจะเสด็จมา เลยถือโอกาสแวะมาทักทาย”เขาตอบเสียงนิ่งตามแบบฉบับคนในเครื่องแบบ  
 “อืม... ไม่ต้องพิธีมากหรอก ที่นี่ไม่ใช่วังทำตัวตามสบายหน่อยก็ได้” ผมยิ้มรับ  
 แต่ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรต่อสายตาก็เหลือบไปเห็นประกายแสงวาบลอยขึ้นเหนือผืนหญ้ากว้างกลางสายลมยามเช้า  
 วงแหวนเวทสีม่วงเข้มเรืองรองกลางอากาศเงียบงันและทรงอำนาจ ก่อนที่ชายหนุ่มผมยาวในชุดคลุมเวทจะก้าวออกมาช้า ๆสีหน้าสุขุมราวกับเทพเจ้าที่เพิ่งจุติลงบนโลกมนุษย์  
 แรนทีล...  
 “ทักทายฝ่าบาท”เขากล่าวเสียงเรียบ มือทาบอกแล้วโน้มตัวลงเล็กน้อยอย่างมีมารยาทเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความเคารพ  
 ผมเบือนหน้าไปอีกทางก่อนจะถอนหายใจเงียบ ๆ นี่มันอะไรกัน...นัดรวมพลสมาคมสามีกันหรือไง? กำลังจะหลับตาเพราะปลงตกกับภาพตรงหน้า แต่แล้วเสียงรายงานก็ดังขึ้นอีกครั้ง  
 “ท่านเฟลด์นำทัพลาดตระเวนมาถึงแล้วพะย่ะค่ะ!”  
 ผมเงยหน้าทันที“เฟลด์ก็มาอีกเหรอ!?”  
 ชายหนุ่มในชุดรัดกุมสีเข้มขี่ม้านำหน่วยลับเข้ามาอย่างเงียบเชียบแม้จะมีผ้าคลุมหน้าปิดบางส่วนเพราะฝุ่นจากชายแดนแต่ดวงตาสีทองเข้มยังเฉียบคมไม่เปลี่ยน เขาเหลือบตามองผมเพียงครู่ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงทักทาย  
 ผมหันกลับไปมองทั้งสี่คนที่ยืนล้อมอยู่รอบตัวอย่างเงียบงันรู้สึกเหมือนอยู่ในหนังสงครามแนวโรแมนติกแฟนตาซีที่ยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นพระเอก  
 “พวกท่าน... เฮ้อ...” ผมถอนหายใจหนัก ๆ  
 ตอนอยู่ในวังก็ไม่เห็นมาหาข้าสักทีพอออกมาข้างนอกเท่านั้นแหละ...มากันครบเชียวนะ  
 “พวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะข้าให้คนเตรียมการไว้แล้ว” ไคเรนเอ่ยขึ้นเรียบ ๆแต่ดูเหมือนทุกคนจะพยักหน้ารับกันอย่างพร้อมเพรียงแบบผิดวิสัยเกินไปนิด...ความสามัคคีเฉพาะกิจนี่มันชวนขนลุกยังไงก็ไม่รู้  
 ผมเดินตามเข้าไปโดยมีสามีทั้งสี่ประกบอยู่รอบตัว...ซ้ายเอลเซียนขวาไคเรน ด้านหลังแรนทีลกับเฟลด์เหมือนกำลังเดินขบวนอัญเชิญองค์ชายไปลงนามสัญญาชีวิตมากกว่าจะไปคุยอะไรธรรมดา ๆ  
 เมื่อมาถึงห้องที่ดูคล้ายห้องประชุมขนาดย่อมทุกคนก็จับจองที่นั่งอย่างเป็นระเบียบ ไคเรนยืนอยู่หัวโต๊ะดูสงบเยือกเย็นแต่ก็มีอำนาจแบบที่คาดเดาอะไรไม่ได้  
 “ข้าจะอธิบายหน้าที่ของทุกคนอย่างชัดเจนอีกครั้งต่อหน้ารัชทายาท” ไคเรนกล่าวขึ้น พร้อมมองมาทางผม ซึ่งผมก็พยักหน้ารับส่ง ๆแม้จะเริ่มรู้สึกว่านี่มันเริ่มไม่ใช่แค่การประชุมธรรมดาแล้ว  
 “อย่างที่ฝ่าบาททรงทราบ...แม้การแต่งงานของพวกเราจะมีเป้าหมายทางการเมืองแต่หน้าที่ของพวกข้าทั้งสี่ คือการผลักดัน ปกป้อง และสนับสนุนฝ่าบาทในทุกสถานการณ์รวมถึงเรื่องของ...การสืบทอดทายาทด้วย”  
 ผมเกือบสำลักน้ำในมือตอนนั้นทันทีที่คำว่า"ทายาท" หลุดจากปากเขา  
 “...ต้องมีทายาทด้วยเหรอ?” ผมหันมองไปรอบโต๊ะอย่างลนๆ ในใจอยากยกมือขอเบรกประชุมชั่วคราว  
 ไคเรนพยักหน้ารับนิ่งๆ ดวงตาจริงจังเกินเหตุ “ราชินีต้องการให้รัชทายาทมีทายาทจากพวกข้าทั้งสี่ ยิ่งมากเท่าใดเสถียรภาพของราชสำนักก็จะยิ่งมั่นคงเท่านั้น”  
 “ข้ามีกองทัพอยู่ในมือ เป็นหลักประกันให้ท่านได้”เอลเซียนกล่าวขึ้น สีหน้าจริงจังแบบคนที่พร้อมจะสู้ศึกทันทีแม้เป็นศึกภายในบ้าน  
 “ข้าสามารถกางเขตอาคม ป้องกันภัยเวทที่อาจเป็นอันตรายต่อท่านได้”แรนทีลกล่าวเรียบ ๆ เหมือนกำลังเสนอแพ็กเกจเสริมความปลอดภัยให้ชีวิตผม  
 “ข้าจะคอยอยู่ในเงา...ทำหน้าที่ของตนในจุดที่ไม่มีใครมองเห็น”เฟลด์เอ่ยบ้าง ชัดถ้อยชัดคำในแบบของคนที่ใช้คำพูดประหยัด แต่ทิ่มเข้าหัวใจเสมอ  
 ผมเงียบไปชั่วครู่มองหน้าพวกเขาทีละคน ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมถึงดูจริงจังกับบทบาทนี้ขนาดนั้น ทั้งที่ผม...หรือเซย์เรนคนก่อนก็ไม่เคยทำตัวให้สมกับความรักหรือความศรัทธาเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ  
 ผมเม้มปากแน่นรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่กลางวงจรที่ไม่อาจเข้าใจได้ว่าจะหลุดพ้นยังไงดี  
 “พวกท่าน...รังเกียจข้าหรือไม่?” น้ำเสียงผมเบากว่าปกตินิดหน่อยแต่มั่นคงพอจะฟังออกว่าคำถามนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น  
 “ที่เป็นรัชทายาทที่ไม่ได้เรื่องทำเรื่องน่าอายให้พวกท่านต้องคอยตามล้างตามเช็ด ถ้าข้าไม่มีฐานะอะไรเลยเป็นแค่คนธรรมดา พวกท่านจะยังอยู่ข้างข้าอยู่ดีหรือเปล่า?”   
 ผมหยุดหายใจนิดหนึ่งเหมือนรวบรวมแรงใจสุดท้าย ก่อนปล่อยคำพูดถัดมาออกไปอย่างหมดความอดทน  
 “อีกอย่าง...ข้าคือคนไม่ใช่แม่หมูที่จะต้องออกลูกทีละคอก! จะให้ผลิตทายาททุกฤดูกาลหรือไง?!”  
 คำถามมันหลุดออกมาแบบนั้นโดยไม่ต้องคิดนานนัก อาจเพราะในใจผมเองก็อยากรู้คำตอบนี้เหลือเกิน...ไม่ใช่แค่ในฐานะรัชทายาท...แต่ในฐานะ'ผม' คนหนึ่ง  
 บรรยากาศในห้องประชุมเงียบกริบไปชั่วครู่หลังจากคำพูดของผมลอยกลางอากาศเหมือนทุกคนกำลังประมวลผลว่าต้องตีความมันแบบจริงจังหรือแค่ควรปล่อยผ่านในฐานะมุกประชดของรัชทายาทที่ประชุมท่ามกลางสามีสี่คน  
 เอลเซียนกระแอมเบาๆ ก่อนจะว่าเสียงนิ่ง “ข้าไม่ได้คิดว่าฝ่าบาทเป็นเครื่องมือผลิตทายาท…แต่หากพระองค์ไม่ปรารถนา ข้าก็จะไม่บังคับ” น้ำเสียงหนักแน่นเหมือนคำสัตย์ของแม่ทัพในสนามรบแต่สายตาที่มองมานั้นแผ่วลงเล็กน้อย เหมือนจะพูดให้หนักแน่นไว้ก่อน…ทั้งที่ข้างในก็ลังเล  
 แรนทีลยกมือขึ้นลูบขมับราวกับเริ่มปวดหัวเบาๆ “ฝ่าบาทไม่ต้องกังวลไป ข้าจะดูแลให้ท่านให้กำเนิดทายาทอย่างปลอดภัยเอง… จะมีกี่คนก็มาเถอะ”พูดจบก็ทอดถอนใจ ริมฝีปากกระตุกเหมือนกำลังจะหลุดหัวเราะ แต่ก็พยายามเก็บไว้มุมปากยกขึ้นนิด ๆ แบบคนที่ไม่รู้จะจริงจังหรือปล่อยผ่านดี  
 เฟลด์พยักหน้าช้าๆ ไม่พูดอะไรในทันที จนผมเกือบคิดว่าเขาจะเงียบไปตลอดกาล“ข้าไม่ได้อยู่เพื่อทายาท… ข้าอยู่เพราะอยากปกป้องท่าน” คำพูดของเขาเรียบแต่เต็มไปด้วยน้ำหนัก ความรู้สึกที่อยู่ใต้คำพูดสั้น ๆนั้นกลับหนักแน่นอย่างแปลกประหลาด  
 ไคเรนเป็นคนสุดท้ายที่พูดเขามองผมอย่างนิ่งนาน ก่อนจะกล่าวเสียงแผ่ว “ต่อให้ไม่มีทายาท ต่อให้ไม่มีฐานะ...ข้าก็ยังจะอยู่ข้างท่านเหมือนเดิม” แค่ประโยคนั้นเรียบ ๆ แต่ทำเอาผมใจสั่นไปหมด ความเงียบต่อจากนั้นกลายเป็นอีกเวอร์ชันหนึ่งของความวุ่นวายในหัวใจ  
 ผมเบือนหน้าหนีเร็วๆ พึมพำกับตัวเอง “ให้ตายเถอะ…พูดอะไรน่าหวั่นไหวกันนักนะพวกนี้…”  
  
 ----------------------------------- ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะ รักคนอ่าน  
 |