แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-6-16 17:48  
 
 
 ตอนที่ 3 สามีที่(ไม่ได้)รัก  
 ยามบ่ายที่แสงตะวันคล้อยลงทางทิศตะวันตก เงาของต้นไม้ใหญ่ทอดลงบนพื้นลานหินอ่อนอย่างเกียจคร้าน ผมนั่งจิบชาอยู่ในศาลาไม้หลังเล็ก ริมสระบัวที่มีเสียงน้ำไหลแผ่วเบาเป็นเพื่อน นี่อาจจะเป็นกิจกรรมเดียวที่ผมทำแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองยังควบคุมอะไรในชีวิตนี้ได้บ้าง แม้จะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจิบชานี่เพื่ออะไร  
 แต่รสชาติก็ถือว่าใช้ได้ ชาหอมขนมคุกกี้กรอบนอกนุ่มใน  
 ถ้าคิดแค่นี้ชีวิตในโลกนี้ก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่ อย่างน้อยก็มีข้าวให้กินครบสามมื้อมีที่นอนนุ่ม ๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเช่าห้องหรือการโดนเรียกไปทำโอทีแบบไม่มีเงินเพิ่ม  
 จะว่าไป...นี่ก็เป็นวันที่ห้าแล้วที่ผมใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่ไม่รู้จัก ในร่างของใครอีกคนที่ไม่ใช่ตัวเอง ด้วยบทบาท‘รัชทายาทผู้สูงศักดิ์’ ที่เพิ่งอภิเษกสมรสกับสามีทั้งสี่ของพระองค์  
 สามีทั้งสี่—ใช่ครับ สี่คน  
 แต่อย่าเพิ่งอิจฉาเพราะหลังงานอภิเษกที่หรูหราอลังการ ราวกับฉากในซีรีส์ย้อนยุคแนวแฟนตาซีพวกเขาก็หายไปเลยครับ ไม่แวะมาหา ไม่ส่งข่าว ไม่แม้แต่จะมองหน้ากันในงานเลี้ยงเช้าวันรุ่งขึ้น  
 เรียกได้ว่าถึงจะ ‘ได้’สามีมาทั้งกองทัพ แต่ก็เป็นสามีที่เหมือนไม่มีอยู่จริง  
 ผมไม่ได้รู้สึกน้อยใจอะไรหรอกนะเอาจริง ๆ ก็สบายดีด้วยซ้ำ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าปกติคนที่แต่งงานกัน เขา‘ปล่อยเบลอ’ กันขนาดนี้เลยเหรอ?  
 “เฟย์” ผมหันไปเรียกสาวใช้คนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกลเธอเงยหน้าขึ้นทันที รอยยิ้มอ่อนโยนประดับบนใบหน้าเสมอเหมือนคนที่ไม่เคยทุกข์ใจ  
 “เพคะ ฝ่าบาท?”  
 “พวกสวามีของข้า…พวกเขางานยุ่งกันนักหรือไง?” ผมถาม พลางทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย  
 เฟย์เอียงคอนิดหน่อยสีหน้ายังเรียบสนิท “โดยปกติแล้วสวามีของพระองค์จะเป็นผู้ดูแลราชกิจแทนฝ่าบาทนะเพคะ ทั้งงานด้านทหาร การปกครองงานราชสำนัก ไปจนถึงจัดระเบียบภายใน”  
 “ทั้งหมดเลยเหรอ?” ผมเลิกคิ้วสูงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้บริหารบริษัทที่แค่เซ็นเอกสารแล้วก็กลับบ้าน  
 “เพคะเพราะฝ่าบาทมอบหมายให้พวกเขาดูแลทุกอย่างเองมิใช่หรือ?” เฟย์ตอบอย่างไร้พิษภัย  
 ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองสีหน้าตกใจนิด ๆ “ข้าเนี่ยนะ?”  
 “ก็พระองค์นั่นแหละเพคะ”เธอว่าเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่โต “ฝ่าบาทไม่โปรดพบพวกเขาและทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอยู่กับคุณลูซ”  
 ผมถึงกับเงียบ  
 เอาเถอะถึงจะไม่ใช่ความทรงจำของผมโดยตรง แต่ก็พอจะปะติดปะต่อได้ว่า ‘เจ้าของร่าง’คนเก่านี่ก็ใช่ย่อย  
 แต่ก่อนจะได้พูดอะไรต่อเสียงฝีเท้าจากด้านนอกก็ดังขึ้นเร่งร้อน ก่อนที่ทหารองครักษ์จะปรากฏตัวขึ้นหน้าทางเข้าตรงเข้ามาคุกเข่ารายงานด้วยสีหน้าตึงเครียด  
 “คุณลูซขอเข้าเฝ้าขอรับตอนนี้โวยวายอยู่หน้าประตูจะเข้ามาให้ได้”  
 ผมถอนหายใจออกมาอย่างปลง ๆ  
 ลูซ—ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลาท่าทางเจ้าชู้ และนิสัยขึ้น ๆ ลง ๆ ยิ่งกว่าเครื่องเล่นในสวนสนุกเป็นคนที่เซย์เรนคนเก่าหลงใหลไม่ลืมหูลืมตา... แต่ตอนนี้ผมไม่ใช่เขาอีกต่อไปแล้ว  
 “ให้เขาเข้ามา” ผมว่าเสียงนิ่ง  
 …อย่างน้อยถ้าจะรับบทเจ้าของร่างให้เนียนก็ต้องรู้จัก ‘จัดการ’ ตัวละครสำคัญในชีวิตเขาให้ได้ก่อนละนะ  
 ผมถอนหายใจยาวทิ้งตัวเอนพิงพนักเก้าอี้ไม้สลักเบา ๆ ขณะที่ลมจากนอกหน้าต่างพัดพาเอากลิ่นชาอ่อนๆ ลอยขึ้นแตะปลายจมูก เจ้าของร่างเดิมนี่ก็นิสัยชวนให้ชีวิตยุ่งใช่เล่นอยู่ดีไม่ว่าดี ดันไปปั้นความสัมพันธ์อันคลุมเครือกับคนอย่างลูซเข้าให้  
 ผมยกถ้วยชาขึ้นจิบราวกับไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรนัก ชีวิตในร่างของเซย์เรนอาจจะเต็มไปด้วยพิธีรีตองแต่ขนมหวานกับชายามบ่ายนี่ต้องยอมเขาจริง ๆ  
 ไม่ทันไร เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นเร่งร้อนก่อนที่ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดคลุมเรียบหรูจะเดินเข้ามาในตำหนักลูซ...ท่าทางมั่นใจในตัวเองจนแทบทะลุเพดานยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นทันทีที่เขาเห็นผมยังนั่งอยู่ตรงเดิม  
 ผมยังไม่ทันได้ขยับตัวหรือกล่าวคำใดจู่ ๆก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นของริมฝีปากที่ประทับลงข้างแก้มเร็ววูบเหมือนสายฟ้าแลบ  
 แต่เผอิญมือผมไวกว่าความตกใจ  
 “เพี๊ยะ!”  
 เสียงฝ่ามือกระทบแก้มดังฟังชัดพร้อมกับที่ร่างของผมลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ถอยร่นไปอีกก้าวด้วยความตกใจปนโกรธจัดดวงตาจ้องอีกฝ่ายไม่กะพริบ  
 “บังอาจนัก!เจ้ากล้าล่วงเกินข้ารึ!”  
 เสียงตวาดของผมสะท้อนก้องเฟย์ที่อยู่ไม่ไกลสะดุ้งเงียบ รีบเบือนสายตาหนีอย่างรู้หน้าที่แต่ลูซต่างหากที่ชะงักไปเพียงครู่ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าด้วยท่าทางนอบน้อมผิดวิสัย  
 “ฝ่าบาท… ข้า… ข้าน้อมรับโทษหากการกระทำนั้นล่วงเกินใจท่าน” เขาพูดด้วยเสียงเรียบจริงจัง แววตาทอดมองต่ำ“แต่ปกติ ข้าก็ทักทายท่านแบบนี้มาโดยตลอด หากท่านไม่โปรด ข้าจะไม่ทำอีก”  
 ผมจ้องเขาอยู่พักหนึ่งใจเต้นแรงเพราะตกใจ แต่ไม่ใช่เพราะเขาจูบ…หากเพราะความรู้สึกกลัวว่าตัวเองจะควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่มากกว่าเพราะคนที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่แค่ชายชู้ที่เซย์เรนเคยเทใจให้แต่เขายังฉลาดพอจะหันทุกอย่างกลับมาทำให้ผมเป็นฝ่ายผิดได้ด้วยเพียงคำพูดไม่กี่คำ  
 “ลูซ…” ผมเอ่ยชื่อเขาเสียงต่ำ“เจ้า…”  
 ผมอยากจะพูดว่าเจ้า ‘เลวร้าย’ขนาดไหน แต่ต้องกล้ำกลืนไว้  
 “ต่อไปห้ามเจ้าทำแบบนี้อีก”ผมพูดชัดถ้อยชัดคำ สีหน้าเย็นชาจนรู้สึกได้ถึงบรรยากาศตึงเครียดรอบตัว“จงเว้นระยะห่างจากข้า ห้ามถึงเนื้อถึงตัวข้าอีกหากเจ้ายังเคารพตำแหน่งและศักดิ์ศรีของข้าอยู่บ้าง”  
 ลูซเงยหน้าขึ้นมองผมช้า ๆดวงตาคมเป็นประกายวาวแบบที่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย มุมปากของเขายกขึ้นนิด ๆ  
 “แน่นอน…ฝ่าบาท” เขารับคำเสียงเรียบ“หากนั่นคือรับสั่ง ข้าจะไม่แตะต้องท่านอีกเลย…แม้ปลายนิ้ว”  
 ผมมองเขานิ่ง ๆใจหนึ่งรู้สึกวูบเย็นแปลกประหลาดในอก ประโยคของเขาไม่ได้ฟังดูเจียมตัวเลยสักนิดกลับคล้ายคำสัญญาที่แฝงอะไรบางอย่างไว้ข้างใน  
 เขายังคิดว่าผมเป็น ‘เซย์เรน’คนเดิม  
 “เจ้าอยากพบข้า...มีเรื่องอะไร”ผมเอ่ยขึ้น น้ำเสียงปกติอย่างที่ควรเป็นในฐานะรัชทายาท  
 “ไม่มีอะไรมากขอรับ”ลูซยิ้มกว้าง รอยยิ้มนั้นดูเป็นมิตรแต่สำหรับผมแล้วมันเหมือนแผ่นน้ำที่ปิดบังเงาในบึงลึก“ข้าแค่...คิดถึงพระองค์เท่านั้น หมู่นี้ท่านไม่แวะไปหาข้าเลย ข้ายอมรับว่ารู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง”  
 ผมยิ้มนิดหนึ่งพอประมาณ พอให้เขาคิดว่าผมยังเล่นตามบทเดิมได้  
 “ข้าช่วงนี้ก็มีหลายเรื่องต้องจัดการ...เจ้าไม่ควรคิดมาก”  
 “ข้าไม่ได้คิดมากหรอกขอรับเพียงแต่อดรู้สึกไม่ได้ว่า...ท่านหลบหน้าข้า”  
 “หึ”ผมหลุบตาลงจิบชา “เจ้าคิดมากไปเอง เจ้าเคยเป็นคนมั่นใจกว่านี้ไม่ใช่หรือ”  
 คำพูดของผมทำให้เขายิ้มขึ้นอีกครั้งยิ้มแบบที่คนมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองจะยิ้มเมื่อคิดว่าทุกอย่างยังอยู่ในกำมือ  
 “แสดงว่าท่านยังคิดถึงข้าบ้างสินะ...”  
 ผมวางถ้วยชา หันไปสบตาเขาตรง ๆ  
 “บางครั้งเจ้าก็ไม่ต้องพยายามอ่านใจข้าทุกคำหรอกลูซแค่มีเวลาอยู่ด้วยกันแบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ”  
 เขาโน้มตัวเข้ามานิดนึงแววตาวาววับขึ้นทันทีเหมือนเด็กได้ของเล่นคืน  
 “งั้นข้าขออยู่กับท่านอีกหน่อยได้ไหม?”  
 “แน่นอนสิ” ผมยิ้มตอบไปทั้งที่รู้ว่าเขาจะตีความตามใจตัวเองแน่นอน  
 แต่นั่นแหละ...คือสิ่งที่ผมต้องการ  
 ให้เขาคิดว่าทุกอย่างยังเป็นของเขาให้เขายังคงเปิดไพ่เองอย่างไม่ระวัง แล้วผมจะค่อย ๆ อ่านมันทีละใบ  
 ลูซทรุดตัวลงนั่งที่ศาลาริมสระบัวอย่างถือวิสาสะไม่แม้แต่จะเอ่ยคำขออนุญาตหรือทำทีเกรงใจสักนิด ราวกับที่ตรงนั้นถูกปักป้ายไว้ว่า"พื้นที่ส่วนตัวของลูซโดยชอบธรรม"   
 ผมไม่รู้ว่าความมั่นใจของเขาถูกเลี้ยงด้วยอะไรแต่ถ้าให้เดา ก็คงเป็นความหลงตัวเองในระดับที่สามารถตั้งอาณาจักรได้สบาย  
 กลิ่นหอมอ่อนของกลีบบัวลอยมากับลมแตะจมูกเบา ๆ อย่างสงบน่าเสียดายที่บรรยากาศรอบตัวกลับตึงเครียดพอจะทำให้กลีบบัวเหี่ยวได้  
 “ที่นี่...ท่านเคยพาข้ามานั่งเล่นอยู่บ่อยๆ” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทอดสายตาลงมองผิวน้ำราบเรียบเบื้องหน้า“จำได้ไหม?”  
 ผมไล้นิ้วตามขอบถ้วยชาช้า ๆก่อนจะวางรอยยิ้มแบบพอผ่านเกณฑ์ไว้บนริมฝีปาก  
 “ก็จำได้อยู่หรอก”จำได้สิ จากเศษเสี้ยวความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมที่ดูจะอินกับคนตรงหน้าเอาเรื่อง...ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าอินไปทำไม  
 “ข้าชอบที่นี่มาก”เขาว่าต่อ พลางหัวเราะเบา ๆ “แต่ก็ชอบเวลาที่ได้อยู่กับท่านมากกว่า”  
 อืม...เกือบจะซึ้งถ้าไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงของคนที่คิดว่าคำพูดตัวเองเป็นของขวัญ  
 ผมหลุบตาลง กลั้นหายใจนิดหนึ่ง ไม่ใช่เพราะเขินแต่เพราะกำลังพยายามกลั้นคำประชด ก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบ  
 “เจ้าช่างพูดเอาใจข้าเสียจริง”  
 “ข้าพูดจริงๆ นะ” ”ลูซยิ้มกว้างขึ้นราวกับกำลังได้รับแต้มจากคำพูดนั้น  
 เขาเงียบไปเล็กน้อยคล้ายกำลังรื้อหาลิ้นชักแห่งความหลัง ก่อนจะพูดเสียงเบายิ่งกว่าลมที่ไหวผ่านผิวน้ำ  
 “แต่ตอนนั้น...ข้าคิดว่าท่านเองก็เคยชอบข้าอยู่บ้าง”  
 ผมหันไปสบตาเขาช้า ๆ ไม่หลบไม่เบี่ยง ราวกับตั้งใจจะส่งข้อความผ่านสายตาว่า นี่ข้าดูเหมือนคนจะหลงเจ้าอยู่ไหม?  
 “เจ้าก็ยังมั่นใจในตัวเองเหมือนเดิมนะลูซ”  
 “เพราะข้ารู้ว่าท่านเคยรู้สึกยังไงกับข้าจริง ๆ” เขาว่าด้วยรอยยิ้มบาง ซึ่งดูจางลงเล็กน้อยคล้ายพยายามจะรักษาอะไรบางอย่างไว้  
 ผมยกถ้วยชาขึ้นจิบพยายามหลอกตัวเองว่าน้ำชาเย็น ๆ จะช่วยดับไฟปะทุในอกได้บ้าง  
 “แล้วตอนนี้เจ้าคิดว่าข้ารู้สึกยังไง?”  
 เขาชะงักไปเล็กน้อยยิ้มยังติดอยู่บนหน้า แต่ตาดูชั่งน้ำหนักมากขึ้น  
 “ข้าหวังเพียง...จะได้ท่านกลับมาเหมือนเดิม”  
 ผมวางถ้วยชาลงกับโต๊ะก่อนจะเลื่อนตัวลุกขึ้น  
 “ข้าจะเดินเล่นอีกสักหน่อยเจ้าจะอยู่ต่อก็เชิญ แต่ถ้าจะตาม ข้าขอแค่...อย่าเดินใกล้เกินไปนัก”  
 ผมหมุนตัวกลับเดินทอดน่องไปตามทางเดินแคบที่ทอดยาวขนานแนวสระน้ำใสสะอาดผิวน้ำสะท้อนแสงแดดที่กำลังเอียงอ่อน ท่ามกลางพวกดอก ซิลเวียโรสสีเทาหม่นที่เอนตัวตามสายลม บางดอกเรืองประกายอ่อนคล้ายมีเวทแฝงในเกสรทางเดินถูกแซมด้วยพุ่ม มอร์นเวลธอร์น ที่ออกดอกเป็นช่อเล็ก ๆ สีคราม ดูไร้พิษภัยแต่ถ้าเผลอไปโดนเข้า ผื่นขึ้นสามวันไม่หาย นั่นผมอ่านเจอจากตำราไม่ใช่ประสบการณ์ตรง (ขอให้ไม่ใช่)  
 เสียงฝีเท้าเบา ๆของลูซยังตามมาไม่ขาด ไม่ใกล้ไม่ไกลพอจะน่ากรี๊ดแบบมีมารยาท ผมไม่พูดอะไรปล่อยให้บรรยากาศเงียบลงพอจะกลบเสียงเขา แล้วเดินลัดเลาะต่อไปเรื่อย ๆจนผ่านแนวไม้ อาร์ลเวียร์ ทรงสูงที่กิ่งของมันชอบไหวทั้งที่ไม่มีลม ใช่...แนวต้นไม้ประเภทที่ถ้าเดินตอนกลางคืนจะมีเสียงกระซิบข้างหูให้ตบเท้าวิ่งกลับตำหนัก  
 จนกระทั่งผมมาหยุดอยู่หน้าสิ่งก่อสร้างที่ดูไม่เหมือนของส่วนอื่นในวังเหมือนหอคอยปราสาทขนาดย่อมที่ใครเอามาวางทิ้งไว้กลางสวนโดยไม่มีคำอธิบาย ผนังหินสีซีดที่บางช่วงแตกลายงาเหมือนเส้นสายลมวาดเสากลมที่ยืนเรียงรายมีลวดลายจารึกบางอย่างคล้ายเวทจารึกเก่าบรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความเงียบอย่างผิดธรรมชาติ ลึกลับพอจะทำให้คนสติดีลังเล  
 ผมหยุดยืนมองอยู่พักหนึ่งก่อนจะได้ยินเสียงลูซถามจากด้านหลัง  
 “พระองค์จะเข้าไปหรือ?”  
 น้ำเสียงนั้นยังอ่อนโยน แบบที่ควรทำให้ใจละลายในวังหลังถ้าผมเป็น เซย์เรนคนเดิม ที่เขาคิดว่าผมยังเป็น  
 ผมหันขวับไปมองเขาอย่างลืมตัวยังไม่ทันคิดคำตอบดี ๆ ก็พลันเห็นเงาร่างหนึ่งเดินออกมาจากประตูโค้งของหอคอย ใบหน้าเรียบนิ่งใต้ผมสีเงินขลับชุดคลุมยาวสีเทาของสภาเวทสะบัดเบา ๆ ตามจังหวะก้าวของเขาแววตาคมลึกวูบหนึ่งที่มองมาทำเอาผมแทบจะถอนหายใจออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ  
 เขาชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นผมก่อนจะก้มหัวให้อย่างมีมารยาท   
 ให้ตายสิ...ผมลืมไปได้ยังไงว่าหอคอยนี้คือพื้นที่ของแรนทีล  
 อา...ช่วยข้าที เทพเจ้าเวทมนตร์หรืออย่างน้อยก็เทพเจ้าแห่งข้ออ้างทั้งหลาย  
 “เดี๋ยวก่อน”ผมว่าเร็วเกินไปนิด แล้วเร่งฝีเท้าเข้าไปหาเขาแทบจะในทันที  
 ถ้าต้องเลือกระหว่างลูซกับหอคอยลึกลับที่อาจจะสาปให้กลายเป็นคางคกผมก็ขอเสี่ยงเป็นคางคกเสียยังจะดีเสียกว่า  
 “ท่านแรนทีล”ผมเรียกชื่อเขาชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงไม่ได้รีบร้อนแต่ชัดเจนพอให้ลูซที่ตามมาทันได้ยินครบทุกพยางค์  
 “ข้ามีเรื่องอยากปรึกษา...หวังว่าท่านจะยังว่างพอ”  
 ลูซขมวดคิ้วจากด้านหลัง “เซย์เรนท่านรู้จักเขา?”  
 “แน่นอนสิ”ผมหันไปยิ้มให้เขาแวบหนึ่ง แล้วหันกลับมาทางแรนทีล “เขาเป็น...อีกหนึ่งในสวามีของข้า”  
 เงียบเลยสิ  
 ถ้าลูซมีแก้วชาอยู่ในมือตอนนี้มันคงตกแตกไปแล้วเรียบร้อย  
 แรนทีลเลิกคิ้วเพียงเล็กน้อยเท่านั้นสีหน้าเขาเหมือนคนที่ตื่นเช้ามาเจอข่าวว่ามีมังกรบินผ่านหลังคาแต่ก็ไม่ได้คิดจะรีบออกไปดู  
 “เชิญฝ่าบาทตามสบาย”เขาว่าเรียบ ๆ ก่อนจะเบี่ยงตัวเปิดทางให้ ผมไม่รอช้า รีบสาวเท้าก้าวเข้าไปข้างใน ในใจอยากวิ่งแต่ขาคนเราเวลาทำตัวสูงศักดิ์มันก็ต้องมีจริต  
 ลูซดูเหมือนจะยังอยากพูดอะไรแต่ผมรีบหันไปตัดบทก่อน  
 “เจ้ากลับไปก่อนเถอะไว้ค่อยคุยกันใหม่”  
 เขาขมวดคิ้วทันที“ข้ารออยู่ตรงนี้ก็ได้...หากไม่นานนัก—”  
 “อาจจะนาน” ผมขัดขึ้นพร้อมรอยยิ้มสุภาพที่บางเบาพอจะใช้แทนคำว่า ‘เลิกเซ้าซะที’ ได้โดยไม่ต้องพูดตรง ๆ  
 สุดท้ายลูซก็ยอมถอยไปทีละก้าวแม้ดวงตาจะยังเต็มไปด้วยความลังเล  
 ผมหันกลับมาหาแรนทีลที่ยืนอยู่อย่างไร้อารมณ์นิ่งราวกับต้นไม้ในวันไม่มีลม ราวกับจะบอกว่าเขาเห็นทุกอย่างเป็นเพียงฝุ่นปลิวไม่ควรค่าแก่การใส่ใจ  
 “พวกเราเข้าไปคุยกันเถอะ”ผมว่าพลางส่งสายตาร้องขอความช่วยเหลือที่ไม่กล้าเอ่ยออกมาเป็นคำหวังว่าอย่างน้อยแรนทีลจะเข้าใจ และเมตตาพอจะเป็นปราการกันลมให้สักพัก  
 แต่…ความหวังจะมากไปไหมในเมื่อเขาเองก็ไม่เคยปิดบังว่าเกลียดเซย์เรนคนเดิมขนาดไหน  
 แรนทีลพยักหน้าก่อนชี้นำผมเข้าไปในตัวหอคอย เสียงประตูไม้หนาหนักเปิดออกช้า ๆส่งเสียงครืดคราดแผ่วเบา คล้ายเสียงกระซิบจากยุคเก่าที่เตือนให้ย่างเท้าอย่างระวัง  
 ผมก้าวตามเขาเข้าไปพร้อมสูดลมหายใจลึก รู้สึกเหมือนเพิ่งรอดจากบ่วงที่มองไม่เห็น  
 ถ้าแรนทีลไม่พาผมเข้าไปพูดเรื่องเวทจริงๆ อย่างน้อยก็ขอให้ช่วยแกล้งทำเป็นมีธุระสำคัญอะไรสักอย่างก็ยังดี...  
 อะไรก็ได้ที่ช่วยให้ผมมีข้ออ้างนั่งพักแบบไม่ต้องเผชิญหน้ากับลูซอีกสักระยะ  
 “ปกติท่านไม่เคยมาที่นี่เลยสักครั้ง”แรนทีลเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ขณะเดินนำผ่านบันไดหินโค้งที่วนขึ้นสู่ชั้นบน“เหตุใดวันนี้ถึง...หลงทางมาได้”   
 “ก็หลงจริง ๆ นั่นแหละ”ผมพึมพำกับตัวเอง พลางทอดสายตาขึ้นมองเพดานโค้งที่ประดับด้วยเส้นเวทรูปทรงเรขาคณิตดูคล้ายตาข่ายพลังที่คอยกรองสิ่งไม่พึงประสงค์จากภายนอกเสียงฝีเท้าเราก้องอยู่ในบรรยากาศนิ่งเงียบ ผมแอบเหลือบมองด้านข้าง  
 ใบหน้าของแรนทีลยังคงไร้สีสันเหมือนกระดาษเปล่า  
 ไม่รู้เลยว่าเขารำคาญหรือกำลังรอฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่ออย่างอดทนกันแน่  
 ...แต่ในเมื่อผมเดินมาถึงขนาดนี้แล้วจะถอยก็เสียศักดิ์ศรี  
 “ข้ามีเรื่องอยากปรึกษา”  
 เสียงผมแผ่วลงเล็กน้อยกึ่งจริงกึ่งแกล้ง เหมือนคนที่อยากขอความช่วยเหลือ แต่ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเดือดร้อนขนาดนั้น  
 “ไม่เกี่ยวกับลูซหรอกแต่ถ้าจะเกี่ยว...ก็คงนิดเดียว หรือทั้งหมดก็ได้” ผมว่า พลางยักไหล่เล็กน้อยอย่างเหนื่อยใจในตัวเอง  
 ให้ตายเถอะข้าก็ยังคงเป็นเจ้าคนที่ชีวิตมีแต่ปัญหา และดันลากทุกคนมาร่วมวังวนด้วยได้เรื่อย ๆจริง ๆ  
 แรนทีลไม่แสดงความแปลกใจใด ๆเพียงพยักหน้าเบา ๆ “เชิญท่านว่ามา หากข้าช่วยได้ ข้าจะช่วยอย่างเต็มที่แน่นอน”   
 “ช่วงนี้ลูซเอาแต่ตามติดข้าเป็นเงา”ผมพูดอย่างระวัง “ข้าแค่อยากหลบหน้าเขาสักพัก...”  
 “พวกท่านทะเลาะกันหรือ”น้ำเสียงเขายังเป็นกลาง  
 “เปล่า...”ผมเบือนหน้าหนีเล็กน้อย ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้ฟังดูไม่เหมือนพวกเด็กมีปัญหากับแฟน  
 “ข้าแค่คิดว่า...ข้ามีสามีแล้วข้าไม่ควรทำตัวเหมือนแต่ก่อน”  
 แรนทีลปรายตามองผมเพียงครู่เดียวก่อนกล่าวเรียบ ๆ  
 “ท่านคิดเช่นนั้นจริงหรือ”  
 “อืม...” ผมถอนหายใจ“ท่านก็รู้ ข่าวลือในวังหลวงแพร่เร็วเหมือนไฟลามทุ่ง ข้าไม่อยากให้ใครเอาไปนินทามันคงไม่ดีสำหรับพวกท่านที่เป็น...สวามีของข้าด้วยจริงไหม”  
 คราวนี้แรนทีลเงียบไปครู่หนึ่งสายตาของเขาเหมือนมองทะลุผ่านไหล่ผมไปไกลเกินหอคอยนี้  
 “…เข้าใจแล้ว”เขาว่าเรียบ ๆ ก่อนหมุนตัวเดินไปยังชั้นวางหนังสือที่ฝังเข้ากับผนังหินเย็นชื้นเขาขยับปลายนิ้วอย่างบางเบา ไล่แตะตามสันปกหนังเก่า ๆ ราวกับกำลังชั่งใจ  
 แล้วเขาก็หยิบบางสิ่งออกมาจากช่องลับเล็กๆ มันเป็นจี้เล็ก ๆ ทำจากผลึกสีเทาเงิน มีลายเวทขีดเขียนอยู่รอบ ๆ อย่างวิจิตร  
 “นี่คือ LümeraVeil...” เขากล่าวเรียบ ๆ ขณะยื่นมันมาให้ “ม่านเวทอ่อนบางที่ไม่ใช่เพื่อซ่อนตัวแต่เพื่อเลี่ยงการปะทะ มันจะทำให้คนที่ไม่มีเวท...เหมือนถูกบางสิ่งผลักออกเบา ๆโดยไม่รู้ตัว”  
 “หมายถึง...ลูซ?”  
 “เขาเป็นทายาทของสมาคมการค้าต่างแดน”แรนทีลตอบโดยไม่หลบตา “ไม่มีพลังเวท ไม่มีการเชื่อมโยงใดกับเส้นพลังในวังนี้...แต่เขาใช้คำพูดและชั้นเชิงเป็นอาวุธแหลมคมเสียยิ่งกว่ามีดบางเล่มในห้องทรมาน ข้าคิดว่าท่านควรได้พักบ้าง”  
 ผมมองจี้ในมืออย่างไม่เชื่อว่าจะได้อะไรแบบนี้จากคนอย่างเขาใจหนึ่งก็รู้สึกขอบคุณ อีกใจก็...ยังไม่แน่ใจว่าแรนทีลกำลังช่วยเพราะอะไร  
 แต่สุดท้ายผมก็พยักหน้าเบา ๆ  
 แรนทีลไม่ได้ตอบในทันทีเขาเพียงเดินกลับไปยังหน้าต่างโค้งของหอคอยเงียบ ๆ มองทอดออกไปยังสระน้ำเบื้องล่างที่ซึ่งกลีบดอกเซวาลินสีม่วงเรื่อ ลอยระริกกลางสายลมอย่างอ่อนโยนสีของมันสะท้อนแสงแดดอ่อนราวกับมีประกายแผ่วเบาเคลือบอยู่  
 เงียบอยู่นาน ผมจึงตัดสินใจถามออกไป  
 “ท่านยังโกรธข้าอยู่หรือไม่...ที่ข้าเคยพูดจาต่อว่าท่านในวันนั้น”  
 เสียงของผมเบาเกือบเท่าลมหายใจที่ระบายออกแต่ในใจกลับเต้นแรงอย่างน่าหัวเราะ ไม่ได้คาดหวังในคำตอบนักหรอก แต่ก็อดอยากรู้ไม่ได้  
 “ข้าไม่มีสิทธิ์จะโกรธท่านหรอก”แรนทีลเอ่ยช้า ๆ น้ำเสียงไม่ต่างจากลมตะวันตกที่เลื่อนผ่านม่านหิน“ข้ารู้ดีว่าท่านไม่พึงใจข้า... ข้าเป็นเพียงคนที่ถูกเลือกเพราะพันธะไม่ใช่ด้วยความรัก ขออภัยหากทำให้ท่านลำบากใจ”  
 เขาพูดพลางยังคงจ้องมองดอกไม้ลอยน้ำที่ไม่รู้ว่ากำลังฟังใครหรือไม่  
 “ข้าไม่ได้ลำบากใจเลยนะ”ผมรีบตอบ พลางสูดลมหายใจลึกก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้เขาอีกก้าว“ข้ากลับรู้สึก...ขอบคุณในความห่วงใยของท่านแม้มันจะดูสายเกินไปที่ข้าจะพูดเช่นนี้ แต่ข้าขอบคุณท่านจริง ๆ”  
 ผมก้มหัวให้อย่างจริงใจ  
 แรนทีลหันมามองเหมือนจะตกใจกับท่าทีของผมอยู่บ้าง แววตาที่เคยเรียบเฉย มีบางอย่างแปรเปลี่ยน ไม่ใช่ชัดเจนแต่เหมือนผิวน้ำกระเพื่อมจากการโยนหินเม็ดเล็กลงไป  
 “ฝ่าบาท...ท่านไม่ควรทำเช่นนี้กับข้า”  
 “ทำไมไม่ควร?” ผมถามกลับทั้งที่ยังโน้มศีรษะต่ำ “ท่านก็เป็นหนึ่งในสวามีของข้าต่อจากนี้ไป ข้าจะไม่แบ่งแยกใครอีกแล้วข้าจะมอบความรักที่เท่าเทียมให้พวกท่านทุกคน แม้มันจะดูไม่สมจริงนักในตอนนี้...แต่หากข้าค่อยๆ พิสูจน์ให้เห็น ท่านจะยอมให้ข้ามีโอกาสนั้นได้หรือไม่?”  
 ...นี่ผมพูดอะไรออกไปเนี่ยนี่ใช่ผมจริง ๆ หรือ?  
 คำพูดเมื่อครู่นั้นเหมือนคนที่เรียนวาทะจากตำราของราชครูแต่ดันเป็นผมคนเดิมที่ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรเมื่อถูกมองตรง ๆ แบบนี้  
 “ข้าไม่ได้คาดหวังให้ท่านมารักข้า”แรนทีลพูดเสียงนิ่ง แต่ฟังดูนุ่มลงกว่าก่อนหน้า“เพียงแต่...ข้าจะดูแลและปกป้องท่าน หากท่านไม่ผลักไสข้าออกไปเหมือนที่เคยเป็นมา"  
 เขาก้าวเข้ามาอีกนิดคราวนี้ใกล้เสียจนได้ยินเสียงลมหายใจที่นิ่งเกินธรรมดา  
 ผมไม่ได้ถอยหนี  
 อาจจะเพราะตอนนี้...ไม่อยากหนีแล้วก็ได้  
 สายตาเขานิ่งลึกคล้ายมองผ่านผิวเงียบภายนอกเข้ามาถึงใจ  
 แล้วอยู่ ๆเขาก็โน้มตัวลงมาอย่างช้า ๆ จนริมฝีปากของเขาแนบเข้ากับของผม  
 จูบของแรนทีลนั้นแผ่วเบาไม่เร่งเร้า เหมือนต้องการให้ผมมีเวลาตัดสินใจจะตอบรับหรือไม่  
 แต่ผมกลับค่อย ๆ หลับตาลงแทนคำตอบ  
 สัมผัสนั้นอบอุ่นเกินกว่าจะอธิบาย  
 อบอุ่น...เหมือนใครบางคนเพิ่งบอกว่าข้าสมควรได้รับความรักอย่างเท่าเทียม  
 ไม่นาน เขาก็ผละออกสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มแน่น คล้ายไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกผิดหรือไม่  
 “ขออภัยฝ่าบาท...ข้าล่วงเกินท่านแล้ว”  
เสียงเขาเบากว่าก่อนหน้านี้ประโยคเดียวแต่คล้ายบอกเล่าความระแวงจากอดีตทั้งหมดที่ฝังอยู่ในใจเขามานาน  
 ผมสบตาเขาแล้วเผลอยกมือแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเหม่อลอย  
 หัวใจผมเต้นตึกตัก...  
 ไม่รู้ว่านี่เรียกว่าจูบแรกหรือเปล่าแต่ที่แน่ ๆ มันทำให้ทั้งตัวอุ่นวาบไปหมด  
 “ไม่ต้องใส่ใจหรอก”ผมพึมพำตอบ รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปาก “ท่านเป็นสวามีของข้าจะทำเรื่องแบบนี้ก็ไม่ผิดอะไรหรอก...ข้อห้ามอะไรนั่นน่ะเอาไว้ค่อยพูดถึงทีหลังก็แล้วกัน”  
 ผมพูดอย่างรวบรัดคล้ายไม่คิดอะไรมากแต่แอบเบนหน้าหนีสายตาเขานิดหนึ่งอย่างห้ามไม่ได้  
 แรนทีลจ้องผมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเขาจะค้อมศีรษะเล็กน้อย ราวกับรับรู้ทั้งคำขอบคุณ และคำอนุญาตที่ไม่ได้พูดตรงๆ  
 “เช่นนั้น...ข้าขอถือว่าท่านให้โอกาสข้าเริ่มต้นใหม่”  
 เขาพูดเรียบ ๆ แต่แววตานั้นไม่ได้ว่างเปล่าอีกต่อไป  
 ผมพยักหน้าช้า ๆ ก่อนหลุบตาลงไม่กล้าจ้องเขาตรง ๆ เหมือนเมื่อครู่  
 แรนทีลพาผมเดินเล่นไปทั่วปราสาทที่เป็นหอสภาเวทของเขาบรรยากาศเงียบสงบจนได้ยินเพียงเสียงรองเท้ากระทบหินแต่ละย่างก้าวเขาไม่ได้พูดอะไรมาก แค่เดินเคียงข้างกันช้า ๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นเสียงดังยิ่งกว่าอะไรทั้งปวง  
 ดวงตาของเขาคมจัดและลุ่มลึกมีแววเงียบขรึมแต่ก็ทอประกายสีฟ้าเรื่อ ๆ อย่างกับหมู่ดาวบนฟากฟ้ายามค่ำคืนยิ่งเผลอมอง ผมก็ยิ่งเผลอใจ...จนต้องเบนหน้าหนีบ้างไม่ให้ดูน่าเกลียด  
 ช่างดูสง่างามเหลือเกิน สมแล้วที่เป็นหนึ่งในสามีของรัชทายาทอย่างผม  
 ...ถ้าเจ้าของร่างเดิมไม่เคยสนใจเขาเลยจริงๆ ล่ะก็ คงน่าเสียดายแทนอย่างบอกไม่ถูก  
 ผมเลื่อนมือไปกอดแขนเขาไว้อย่างหลวมๆ แอบกระเง้ากระงอดแบบมีเหตุผล  
 “ข้ากลัวจะเดินหลงบันไดวนนี่ชวนเวียนหัวชะมัด”  
 แรนทีลเหลือบมองผมนิดหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้ว่าอะไรกลับปล่อยให้ผมเกาะแขนเขาอยู่แบบนั้นอย่างเงียบ ๆแถมยังชะลอฝีเท้าให้ช้าลงอีกเล็กน้อยอย่างน่าเอ็นดู  
 “ท่านหิวหรือยังดื่มอะไรหน่อยมั้ย” เขาถามขึ้นในจังหวะที่แสงแดดตกกระทบพอดี รอยยิ้มน้อย ๆของเขาอบอุ่นจนผมเผลอพยักหน้าอย่างไม่ต้องคิด  
 “อืม ก็ดีเหมือนกัน”  
 เขาพาผมไปยังห้องทำงานส่วนตัวชั้นบนสุดของหอคอยนั้นเงียบสงบ แต่อบอุ่นเกินคาดห้องถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยทุกมุม ตกแต่งอย่างหรูหราแต่เรียบง่ายด้วยโทนสีเข้ม ๆและวัตถุเวทลึกลับหลายชิ้นที่ล้วนดูเก่าแก่แต่สง่างามในแบบของมันเอง  
 แสงไฟลอยอยู่กลางอากาศอย่างนิ่งสงบราวกับมีชีวิต  
 โต๊ะทำงานวางตำราเวทเรียงรายแต่ไม่มีฝุ่นสักหยาด  
 ผมกวาดตามองรอบห้องอย่างตื่นตาตื่นใจสิ่งที่เคยคิดว่าเป็นเรื่องแต่งในนิยายหรือภาพฝัน พอได้มาเห็นจริงมันกลับทำให้ผมรู้สึกเหมือน...ตัวเองเป็นใครบางคนที่กำลังมีชีวิตอยู่ในตำนาน  
 “นี่ห้องของท่านหรือ” ผมถามขณะเดินดูรอบๆ อย่างเกรงใจ  
 “อืมถ้าท่านสนใจตำราไหนเป็นพิเศษ บอกข้าได้เลย ข้ายินดีสอนให้”  
 แรนทีลเดินถือถาดไม้เล็ก ๆกลับมา วางไว้ตรงหน้า แล้วส่งแก้วให้ผม เป็นน้ำสีม่วงอ่อนมีกลิ่นหอมจาง ๆของดอกไม้ป่า พอดื่มเข้าไปก็รู้สึกสดชื่นจนน่าแปลกใจอาการเวียนหัวที่เคยมีเหมือนถูกลบหายไปในพริบตา  
 “นี่คืออะไรเหรอ?”ผมเอ่ยถาม ขณะยกแก้วดูแสงสวย ๆ ที่สะท้อนจากผิวน้ำ  
 “‘เนลฟาร์’น้ำกลั่นจากกลีบดอกเวทที่ใช้ในพิธีอัญเชิญพลังใจ ช่วยบำรุงธาตุภายในร่าง”เขาอธิบายเรียบ ๆ แล้วก็เว้นจังหวะนิดหนึ่งก่อนเสริม“ปกติไม่ค่อยมีคนให้ดื่มหรอกนะ...มันค่อนข้างล้ำค่า”  
 ผมชะงักไปนิด แล้วค่อยเงยหน้ามองเขา  
 “งั้น...ข้ากำลังดื่มของล้ำค่าที่ท่านเก็บไว้ใช่ไหม?”  
 แรนทีลสบตาผมนิ่ง ๆ สักพักก่อนยกมุมปากขึ้นเพียงเล็กน้อย  
 “สำหรับคนสำคัญ...ข้าไม่เคยหวงของหรอก”  
 ผมรีบเบือนหน้าหนีแทบไม่ทันรู้สึกว่าหูร้อนขึ้นมาทันที  
 ให้ตาย...เขาใช้คำพูดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน  
 “อย่าแกล้งกันได้ไหม...”ผมบ่นอ้อมแอ้ม หลบตาอย่างไม่กล้าเงยหน้ามอง แต่เขากลับหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ   
 แรนทีลไม่ใช่คนที่แสดงออกชัดเจนแต่ทุกคำพูดและการกระทำกลับมีน้ำหนัก  
 และมันกำลังค่อย ๆละลายกำแพงบางอย่างในใจผมทีละนิด ช้า ๆ อย่างแนบเนียนและอ่อนโยน  
 “หากไม่ใช่เพราะพันธะที่มีต่อกัน...ท่านจะยังอยู่เคียงข้างข้าแบบนี้หรือเปล่า”ผมถามเบา ๆ คล้ายกับกลัวคำตอบ  
 “หากเป็นท่านที่ต้องการข้า ไม่ว่าเมื่อไหร่ข้าก็ไม่มีวันปฏิเสธ” เขาตอบโดยไม่ลังเล ดวงตาที่สบกับผมตรง ๆ ไม่มีแววสั่นไหว  
 หัวใจผมเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว  
 “แต่ท่านเอง...ก็คงมีคนในใจอยู่แล้วใช่ไหมข้าเองไม่ควรเห็นแก่ตัว...ไม่ควรฉุดรั้งพวกท่านมาอยู่ในชะตากรรมนี้”  
 แรนทีลส่ายหน้าเบา ๆดวงตาเขานิ่งแต่กลับอบอุ่นเกินบรรยาย  
 “ข้าเต็มใจที่จะอยู่ตรงนี้อยู่เคียงข้างท่าน…วันนี้ ข้ารู้สึกโล่งใจมาก ที่เห็นท่านค่อย ๆ ถอยห่างจากลูซ”เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนพูดต่อ “เมื่อก่อนท่านเอาแต่เข้าหาเขา ผลักไสพวกข้า...มันเจ็บนะ”  
 ผมเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าเบา ๆ อย่างยอมรับผิด  
 “อืม...ข้ารู้ต่อไปนี้จะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว ไม่ว่าเมื่อไหร่ตอนไหน...ข้าอนุญาตให้เข้าเฝ้าได้เสมอ ไม่มีข้อแม้อะไรทั้งนั้น”  
 แรนทีลไม่ได้พูดอะไรต่อแต่รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ปรากฏบนใบหน้าเขา บอกชัดเจนกว่าคำใด ๆ ทั้งหมด  
 พวกเขาช่าง...น่าเอ็นดูและน่าสงสารในเวลาเดียวกัน ผมรับรู้ได้ถึงความรักความห่วงใยที่พวกเขามีให้กับเซย์เรนคนก่อนอย่างลึกซึ้งแต่ในเมื่อผมไม่ใช่เขา...ผมก็ได้แต่อดคิดไม่ได้ ว่าการตอบรับความรู้สึกเหล่านั้นอาจเป็นการเอาเปรียบพวกเขา  
 แต่ถ้าผมสามารถจัดการทุกอย่างได้ด้วยตัวเองเมื่อถึงเวลานั้น เวลาที่ทุกอย่างจบลงแล้วผมจะปล่อยให้พวกเขาไปจากชะตากรรมนี้อย่างสง่างามโดยไม่มีใครต้องถูกผูกไว้กับผมอีกต่อไป…  
 แม้ในใจจะรู้ดีว่า…คงเจ็บปวดอยู่บ้างก็ตาม.  
  
 -------------------------------- ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะ รักคนอ่าน    
 |