แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-6-11 18:01  
 
 
  
  
 บทนำ  
 แสงไฟอ่อนจากโคมถนนสะท้อนผ่านม่านโปร่งแสงของหน้าต่างที่เปิดค้างไว้ลอดเข้ามากระทบผนังห้องสีซีด ห้องเช่าชั้นสองของตึกอาคารพาณิชย์ดูทรุดโทรมและคับแคบไปหน่อยแต่สำหรับผม มันก็ยังเป็นที่ซุกหัวนอน ที่พอจะซ่อนตัวจากโลกภายนอกได้สักพักหนึ่ง  
 ผมนั่งอยู่กับโต๊ะพับพลาสติกตัวเล็กจนขาแทบจะติดกับถังขยะใต้ซิงก์มีกล่องโฟมเย็นชืดวางอยู่ข้างโน้ตบุ๊กเครื่องเก่าที่เสียงดังกว่าความจำที่ยังเหลือในมันเสียอีกข้าวไข่เจียวแฉะ ๆ ที่เหลือตั้งแต่บ่ายคือมื้อเย็นของผมในวันนี้  
 ผมเป็นพนักงานบริษัทรูปร่างผอมบาง หน้าตาพอจะพาไปวัดได้ถ้ามีคนพาไป ซึ่งแน่นอนว่าไม่มียังหาแฟนไม่ได้สักที ไม่ใช่เพราะไม่มีความพยายามแต่เพราะฐานะของผมมันก็แค่ชายคนหนึ่งที่มีข้าวกินครบสามมื้อก็ถือว่าพระอาทิตย์ขึ้นในชีวิตแล้ว  
 ออฟฟิศที่ผมทำงานมันไม่ได้แย่นักหรอกถ้าไม่นับว่าเงินเดือนไม่พอจ่ายค่าเน็ต ค่าไฟ และค่าน้ำพร้อมกันในเดือนเดียว หัวหน้าก็ไม่ได้เลวร้ายถ้าไม่นับว่าเขาล็อกผมให้อยู่ทำโอทีจนตีหนึ่งทุกวันในอาทิตย์นี้  
 "ขอแค่วันเดียว...วันเดียวก็ยังดี..."ผมพึมพำแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ เหมือนคนเสียสติ  
 ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองวูบไปตอนไหนอาจจะตอนที่พิมพ์อีเมลตอบลูกค้ากลางดึกหรือไม่ก็ตอนที่สายตาพร่าจนแยกไม่ออกว่าตัวเองกำลังเขียนภาษาไทยหรือภาษามนุษย์ต่างดาว  
 แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที...  
  
เสียงแตรเงินกังวานสะท้อนทั่วลานพิธีผมสะดุ้งเฮือก ลืมตาขึ้นแล้วพบว่าตัวเองยืนอยู่บนแท่นหินยกสูงกลางลานกว้างที่ประดับไปด้วยผ้าสีเงินและผืนธงตราสัญลักษณ์บางอย่างที่ดูเป็นทางการสุด ๆ  
 ผู้คนมากมายใส่ชุดพิธีเต็มยศเงยหน้ามองผมด้วยสีหน้าเปี่ยมศรัทธา หรือบางคนก็คล้ายจะหวาดกลัว  
 ผมยกมือขึ้นแตะศีรษะด้วยความมึนงงก่อนพบว่าตัวเองสวมมงกุฎเล็ก ๆ ทำจากคริสตัลโปร่งใสและชุดพิธีที่หนักหน่วงราวกับมีคนเอาผ้าห่มสิบผืนมาโถมใส่  
 "ท่านรัชทายาท..."  
 เสียงหวานเย็นแทรกเข้ามาเบา ๆจากด้านหลัง  
 ผมหันขวับไปเจอกับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลาราวกับหลุดออกมาจากโฆษณาน้ำหอม เขาคุกเข่าอยู่ด้านล่างแท่นดวงตาคู่นั้นฉายแววสับสนปนตัดพ้อ  
 และด้านหลังเขายังมีอีก สามคน  
 ทุกคน...ทุกคนล้วนหล่อเหลาร่างกายสูงใหญ่ กล้ามแน่นดั่งรูปปั้น ดวงตาที่มองผมล้วนต่างอารมณ์กัน สับสน ตัดพ้อเจ็บปวด และ...ไม่ไว้ใจ  
 "ข้า...พวกข้าทั้งสี่กำลังจะกลายเป็นสามีของท่าน"  
 ผมหันขวับไปมองรอบตัวอีกครั้ง  
 ไอ้ที่กำลังจะเกิดขึ้นคือ...พิธีแต่งงาน?!  
 เดี๋ยวก่อน...พวกเขาบอกว่า“สามีของท่าน”?  
 ผม...แต่งกับพวกเขาพร้อมกันสี่คนเลยเหรอ?!  
  
  
 
ห้องรับรองในตำหนักหลวง  
 เวลาต่อมา…  
 หลังจากพิธีแต่งงานถูก“เลื่อนออกไปอย่างเร่งด่วน” (เพราะผมล้มพับลงตรงแท่นพิธีแล้วอาเจียนใส่พรมหรู)   
 ผมตื่นขึ้นมาท่ามกลางกลิ่นหอมของเครื่องหอมราคาแพงที่ฉุนจนแทบสำลักอีกรอบ เพดานห้องสูงจนต้องเงยคอมองโคมไฟระย้าคริสตัลส่องประกายระยับใต้ร่างผมคือเตียงหลังใหญ่ที่กว้างพอให้กระดิกตัวแล้วไม่ตกพื้นหมอนสีขาวปักดิ้นทองวางซ้อนกันจนรู้สึกเหมือนนอนทับสมบัติบางอย่าง  
 “องค์ชายเซย์เรนทรงฟื้นแล้วหรือเพคะ?”  
 เสียงแผ่ว ๆของสาวใช้ชุดงามทำเอาผมหันขวับไปมอง เธอกำลังจัดแจกันดอกไม้อยู่ตรงโต๊ะมุมห้องก่อนจะรีบเดินเข้ามาเมื่อเห็นผมยันตัวขึ้นจากเตียง  
 “เมื่อครู่พระอาจารย์หลวงตรวจชีพจรฝ่าบาทแล้วบอกว่า...อาการเกิดจากความเครียดและขาดการพักผ่อนเพคะ”  
 เธอพูดด้วยเสียงอ่อนโยนที่ทำให้ผมเริ่มรู้สึกผิดแม้จะไม่แน่ใจว่าผมผิดอะไร  
 อ้อใช่...ผมข้ามมิติมาอยู่ในร่างของ “องค์ชายเซย์เรน”  
 รัชทายาทลำดับหนึ่งของเมืองอาร์คีลาน่าเมืองหลวงของอาณาจักรที่ผู้ชายสามารถมีสามีได้หลายคนตามศักดิ์และ...ผมกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับบุตรของขุนนางใหญ่ทั้งฝ่ายการทหารและฝ่ายการเมือง  
 ปัญหามีอยู่สองอย่าง  
 หนึ่ง..เจ้าของร่างเดิมของผม“เซย์เรน” ไม่ได้รักสามีทั้งสี่คนที่ถูกเลือกมาให้เลยแม้แต่น้อย  
 สอง..เขาไล่พวกเขาไปอย่างเย็นชาเพราะดันไปตกหลุมรักชายหนุ่มอีกคนที่สุดท้ายก็หลอกใช้เขา  
 และตอนนี้...ทุกสายตาที่เคยมองเซย์เรนด้วยความภักดีกลับมองมาทางผมด้วยความเจ็บปวดและรังเกียจ  
 พระเจ้า...ผมแค่เป็นพนักงานออฟฟิศที่อยากนอนวันเดียว  
 จะข้ามมิติมาทำไมไม่ให้เป็นเจ้าของร้านชาเล็กๆ ขายขนมอร่อย ๆ สบายใจ ๆ  
 แต่ไม่ ชีวิตผมต้องมาเปิดประตูเจอสามีสี่คนในชุดแต่งงานพร้อมสายตาประหนึ่งจะกลืนกินกันให้ได้  
 และหนึ่งในนั้นก็พูดกับผมเสียงเรียบว่า...  
 “แม้ใจท่านจะไม่อยู่กับพวกข้าแต่คำสัญญานี้ได้ถูกผูกไว้ตั้งแต่แรก หากมันเป็นสิ่งที่ท่านไม่ต้องการพวกข้าก็จะยอมถอยไป โดยไม่เอ่ยคำใดอีก”  
  
 
  
 เอลเซียน  
 แม่ทัพแห่งกองทัพมังกรดำผมยาวสีดำขลับถูกรวบไว้อย่างหลวม ๆ ใบหน้าคมจัดจนดูเหมือนรูปสลักที่มีชีวิตเขาเป็นนักรบผู้ถูกส่งแนวหน้าแทบทั้งชีวิตและพ่อของเขา...ก็ถูกฆ่าตายด้วยคำสั่งผิดพลาดที่มาจากราชสำนัก  
 เขาไม่เคยแสดงความอ่อนแอและไม่เคยพูดคำว่ารักออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว  
 ว่ากันว่าเขาเคยจับดาบตั้งแต่อายุเจ็ดขวบและฆ่าคนเป็นตั้งแต่สิบสาม  
 แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด  
 สิ่งที่น่ากลัว...คือสายตาของเขาที่มองเซย์เรนในอดีตเหมือนคนที่ทรยศความไว้ใจของเขาทั้งหมด  
 ถัดจากเขา...ประตูห้องเปิดออกอย่างแผ่วเบา  
 ชายหนุ่มผมสีเงินยาวพริ้วเดินเข้ามาอย่างเงียบงันใบหน้าเยือกเย็นไม่เปลี่ยน แต่ดวงตาสีฟ้าของเขานั้นเต็มไปด้วยบางอย่างที่ผมไม่กล้าเดา  
  
  
 
 แรนทีล บุตรบุญธรรมของหัวหน้าสภาเวทาผู้ใช้เวทระดับสูงสุดในเมืองหลวง เป็นผู้ควบคุม "ศาสตร์เงา" ศาสตร์ต้องห้ามที่ควรจะสูญหายไปตั้งแต่ร้อยปีก่อน  
 แรนทีลมีชีวิตที่ไม่เคยเป็นของเขาเองทั้งชะตา ทั้งเวท ทั้งความคาดหวัง  
 เขาได้รับคำสั่งให้แต่งกับเซย์เรนเพื่อเชื่อมสายสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์กับสภาเวท  
 ...แต่เซย์เรนเคยพูดใส่หน้าเขาว่า“เจ้าก็แค่เครื่องมือต่อรอง ไม่ใช่คนรัก”  
 ผมกลืนน้ำลายเงียบ ๆขณะเขาก้าวเข้ามาใกล้  
 เขาเพียงพยักหน้าให้ผมเล็กน้อย ไม่มีคำพูดไม่มีรอยยิ้ม มีแต่ความว่างเปล่า  
 และจากนั้น...เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นแต่ไม่รีบร้อนก็ดังขึ้นจากทางเดิน  
  
ชายผู้มีผมสีน้ำตาลเข้มดวงตาเรียบนิ่งราวกับอ่านทุกอย่างออกตั้งแต่ยังไม่เอ่ยคำ  
 
  
 เซอร์กราฟิน ไคเรน  
 ขุนนางสายราชการผู้มีอำนาจเหนือทั้งเศรษฐกิจ เมืองท่า และสภากลาง  
 เขาได้รับตำแหน่งขุนนางอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์แต่ก็เป็นคนที่ขึ้นชื่อว่าไม่เคยให้อภัยใครที่หักหลัง  
 ว่ากันว่าเขาคือผู้ที่"เซย์เรน" เคยวางแผนจะหมั้นด้วยเพียงเพื่ออำนาจแต่สุดท้ายกลับถอนหมั้นกลางงานเลี้ยง ต่อหน้าขุนนางทั้งห้อง  
 ผมอยากมุดลงไปใต้เตียงให้รู้แล้วรู้รอด  
 “หากทรงฟื้นดีแล้วข้าคงขอถอนตัวก่อน”  
 เซอร์กราฟินพูดกับน้ำเสียงที่ไม่มีแววโกรธแต่ก็ไม่มีความอบอุ่นหลงเหลืออยู่เลย  
 ผมพยักหน้าแบบคนที่ยังไม่แน่ใจว่าควรกลั้นหายใจหรือก้มกราบ  
 ยังเหลืออีกคน...  
 ใช่ คนที่สี่  
 ชายที่เงียบที่สุดในพิธีเขาไม่ได้พูดสักคำ แม้กระทั่งตอนผมอาเจียนใส่พรม  
  
 
 ลูเซียส เฟลด์  
 ทายาทของตระกูลทหารชายแดนตะวันออก  
 รูปร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำแดดจากการใช้ชีวิตในป่าและสนามฝึกเขาคือหัวหน้าหน่วยลับที่แม้แต่ขุนนางก็ไม่อยากยุ่ง  
 เขาเป็นคนเดียวที่ไม่เคยพูดกับ“เซย์เรน” แม้แต่คำเดียวตลอดสามเดือนที่ผ่านมา  
 แต่เป็นคนเดียว...ที่เดินเข้ามายื่นผ้าซับปากให้ผมหลังจากล้มลง  
 แม้จะไม่สบตาก็ตาม  
 ผมนั่งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมเหงื่อแตกพลั่กโดยไม่รู้ว่าเพราะความอาย ความกลัว หรือความงงในชีวิตกันแน่  
 สรุปแล้ว...ผมมีสามีสี่คน  
 แต่ละคนก็เหมือนระเบิดนาฬิกาเรือนใหญ่ที่พร้อมระเบิดพร้อมกันทุกเมื่อ  
 ขอแค่คืนนี้...ไม่มีใครถือดาบมาฟันผมตอนหลับก็พอ  
 หลังจากเสียงประตูไม้บานใหญ่ปิดลงเบาๆ พร้อมกับการจากไปของผู้ชายสี่คนที่ผมควรจะเรียกว่าสามีในอีกไม่กี่ชั่วโมง (ถ้าไม่อ้วกลงพรมซะก่อน)ห้องก็กลับมาเงียบอีกครั้ง  
 ผมนั่งอยู่กลางเตียงมือยังบีบชายผ้าห่มแน่น รู้สึกเหมือนเป็นนักโทษที่เพิ่งรอดตายมาเฉียดฉิว  
 เงาสุดท้ายที่ผมหันไปเห็นก่อนพวกเขาเดินออกจากห้องคือแผ่นหลังกว้างใหญ่ กับแววตาที่...ผมไม่แน่ใจว่ามันคือความโกรธ เศร้าหรือปลงตกกันแน่  
 “เฟย์”  
 ผมเรียกชื่อสาวใช้เสียงเบาเธอยังอยู่ในห้อง อยู่ห่างไปเพียงก้าวเดียวกำลังเก็บผ้าขนหนูเปียกและชามน้ำอุ่นที่เอามาเช็ดหน้าให้ผมเมื่อครู่  
 “เพคะ?”  
 เธอหันมาพร้อมรอยยิ้มบาง ๆอ่อนโยน...แต่แววตาเหมือนคนที่เคยเห็นไฟไหม้ทั้งเมืองมาแล้ว  
 ผมกลืนน้ำลายและถามสิ่งที่อยากรู้ที่สุด  
 สิ่งที่ตามหลอกหลอนผมตั้งแต่นาทีแรกที่ตื่นในร่างนี้  
 “ก่อนหน้านี้...ข้า...หมายถึงองค์ชายเซย์เรน...เคยปฏิบัติกับพวกเขายังไงบ้าง?”  
 เฟย์นิ่ง  
 นิ่งชนิดที่แม้แต่เสียงลมหายใจก็หายไปจากห้องไปชั่วขณะ  
 “ข้าหมายถึง...ทำไมเวลาพวกเขามองข้า...มันเหมือนเห็นปีศาจหรืออะไรที่...แย่มาก ๆ”  
 เสียงผมเบาลงเรื่อย ๆ  
 “พวกเขาเกลียดข้า...ใช่ไหม?”  
 เฟย์ถอนหายใจเบา ๆแล้วเดินเข้ามาชิดขอบเตียง  
 วางชามลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนิ่งงันก่อนจะนั่งลงที่ขอบปลายเตียง  
 “ฝ่าบาท...”  
 เฟย์นิ่งไปอึดใจหนึ่งดวงตาก้มต่ำอย่างลังเล  
 ผมมองเธอด้วยสายตาอ่อนลง พูดเบาๆ  
 “บอกข้าเถอะเฟย์ข้าอยากรู้...จริง ๆ”  
 เธอพยักหน้าอย่างช้า ๆ  
 แล้วยกมือวางบนตักเหมือนกำลังตั้งสติ  
“หม่อมฉันจะเล่า...แต่โปรดอย่าทรงกริ้วหากมัน...ไม่ใช่เรื่องน่าฟัง”  
 ผมพยักหน้า  
 เฟย์สูดหายใจเล็กน้อยก่อนเริ่มจากคนแรก  
 “...ท่านแม่ทัพเอลเซียนแห่งกองทัพมังกรดำ เป็นคู่หมั้นพระองค์คนแรกค่ะ”  
 “เขาเป็นคนพูดน้อย เงียบขรึมไม่แสดงอารมณ์...แต่ความจงรักภักดีของเขานั้นไม่มีผู้ใดเคยสงสัย”  
 “สามปีก่อน ในศึกชายแดนเขาได้รับบาดเจ็บที่แขนขวาเพราะบังพระวรกายของฝ่าบาทไว้จากหอกของศัตรู—”  
 “...แต่หลังจากกลับมาฝ่าบาท...เอ่อ...กลับไม่เคยเสด็จไปเยี่ยมแม้สักคราเดียวค่ะ”  
 “ยังไม่พอ...ยังทรงตรัสต่อหน้าทหารทั้งกองว่า—‘แผลแบบนั้นขุนนางชั้นล่างก็มีให้เห็นทุกวัน’”  
 ผมนิ่งงัน  
 หัวใจเย็นวาบเหมือนโดนกระชากลงบ่อน้ำแข็ง  
 เฟย์พูดต่อ โดยไม่ได้เงยหน้ามอง  
 “ท่านแรนทีลบุตรบุญธรรมของผู้อาวุโสแห่งสภาเวท เป็นผู้ถือครองตำแหน่งจอมเวทเงาแม้จะไม่ได้ออกหน้าในสภา แต่ถือว่ามีอิทธิพลมากในแวดวงเวทมนตร์ค่ะ”  
 “เขาเป็นคนเงียบ ใจเย็นและ...รักพระองค์อย่างเงียบ ๆ มานาน”  
 “...เขาเคยร่ายเวทควบคุมลมหายใจของฝ่าบาทคืนหนึ่งเมื่อพระองค์ถูกวางยาพิษ และเกือบต้องเสียจิตวิญญาณเพราะต้านพิษให้”  
 ผมเงยหน้าขึ้น  
 “แล้ว...ข้าทำอะไรกับเขา?”  
 เฟย์เงียบ  
 ก่อนตอบเบา ๆ  
 “พระองค์...เคยตรัสว่าเขาไม่ควรเอาชีวิตมาทุ่มให้กับสิ่งที่ไร้ค่าขนาดนี้และไม่ควรมาแตะตัวพระองค์หากไม่ได้รับอนุญาตอีก”  
 “...ส่วนท่านไคเรน” เฟย์พูดต่อพลางหลุบตาเล็กน้อย “ฝ่าบาทเองก็เคยตรัสว่าไม่ทรงชอบเขา”  
 “ทำไม?” ผมถาม  
 เฟย์ลังเลอยู่ครู่ก่อนตอบเสียงเบา  
  
“ฝ่าบาทเคยตรัสว่า‘เขาดูเย่อหยิ่งจนน่าหมั่นไส้’ ค่ะ”  
 ผมเลิกคิ้ว  
 เฟย์จึงเริ่มเล่าช้า ๆน้ำเสียงไม่เร่งเร้า แต่มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่  
 “เซอร์กราฟิน ไคเรนเป็นขุนนางสายราชการที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์อาร์คีลาน่า ว่ากันว่าเขาท่องกฎหมายได้ทั้งเล่มตั้งแต่อายุสิบสาม”  
 “เขาดูแลทั้งเมืองท่า เศรษฐกิจการเงิน รวมถึงนโยบายต่างประเทศ...พูดง่าย ๆ คือ ถ้าไม่มีเขาเมืองทั้งเมืองจะวุ่นวายภายในครึ่งเดือนค่ะ”  
 “...แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะรักเขา”  
 เฟย์ขยับตัวเล็กน้อย  
 “เพราะท่านไคเรนพูดจาตรงเกินไปตรงจนเหมือนเอามีดเฉือนหน้าคน”  
 “ฝ่าบาทเคยเสด็จประชุมสภากลางแล้วมีเรื่องความเห็นไม่ลงรอย ท่านไคเรนพูดต่อหน้าอัครมหาเสนาว่า—”  
 “‘หากกระหม่อมอาจกล่าวด้วยความเคารพ...ความเพ้อฝัน ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ และเวลาของสภานี้มีค่ากว่าการหลงทางในอารมณ์ของพระองค์’”  
 ผมนิ่งอึ้ง  
 โอ้โห พูดขนาดนั้น?  
 “ฝ่าบาทเดิมทรง...ไม่พอพระทัยมากค่ะ”เฟย์พูดเสียงเบา  
 “ถึงกับทรงตรัสกับขุนนางฝ่ายในว่า‘ข้าไม่อยากอยู่กับคนที่คิดว่าตัวเองฉลาดไปเสียทุกเรื่อง’ ”  
 “หลังจากนั้นไม่นาน...พระองค์ก็ขอให้ถอนชื่อไคเรนออกจากบัญชีหมั้นแต่เพราะคำมั่นระหว่างราชสำนักกับสภากลาง ยังไงตำแหน่งสามีก็ต้องมีชื่อเขาอยู่”  
 ผมนั่งนิ่ง ๆ อยู่กลางเตียงใหญ่ในหัวเต็มไปด้วยภาพของผู้ชายในชุดแต่งงานเมื่อครู่  
 คนที่สายตาแข็งกระด้างเหมือนพิจารณาโลกทั้งใบด้วยตรรกะ และไม่เชื่อในคำว่าความรู้สึก  
 “...เขาไม่ใช่คนเลวค่ะ”  
 เสียงของเฟย์แผ่วลง  
 “แต่เขาไม่ใช่คนที่รู้จักแสดงความอ่อนโยน...และพระองค์เดิมของหม่อมฉันก็ไม่เคยให้อภัยเขาเลย”  
 “ลูเซียส เฟลด์”  
 เฟย์พูดชื่อสุดท้ายช้าที่สุด  
 “...ท่านลูเซียส เฟลด์ทายาทตระกูลทหารชายแดนตะวันออก ผู้นำหน่วยลับของอาณาจักร”  
 “เขาคือคนที่ทำงานในเงาคอยถอนรากศัตรู และปราบกบฏในนามของพระองค์มาหลายปี”  
 “เขารูปร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำจากแดด เพราะใช้เวลาชีวิตในสนามรบและป่า”  
 “...เขาไม่พูดเยอะแต่เขายอมเป็น ‘อาวุธ’ ให้ฝ่าบาทใช้เสมอมา”  
 “จนวันหนึ่ง...พระองค์ตรัสว่าไม่อยากมองหน้าเขา เพราะทุกครั้งที่เห็นก็นึกถึงแต่เลือดและกลิ่นเหงื่อของพวกทหาร”  
 เฟย์เงยหน้าขึ้นในที่สุด  
 สายตาที่เคยอ่อนโยนตอนนี้ดูเศร้าจนแทงทะลุถึงกระดูก  
 “พวกเขาทั้งสี่ เคยเป็นผู้ชายที่พร้อมจะยืนเคียงข้างพระองค์ที่สุดในแผ่นดินค่ะ”  
 “ข้า...” ผมพูดออกมาเบา ๆ“...เซย์เรนเดิม...เป็นแบบนี้จริงเหรอ?”  
 เฟย์ไม่ตอบเธอแค่มองผมด้วยสายตาแบบที่คนเคยมองแมวที่กลับใจได้หลังข่วนเจ้าของมาทั้งชีวิต  
 และสุดท้าย...เธอก็พูดว่า  
 “แต่หม่อมฉันดีใจที่ฝ่าบาทถามคำถามนี้…เป็นครั้งแรก”  
 ผมนิ่งไปนานมาก  
 ห้องทั้งห้องเงียบเหมือนน้ำในอ่างนิ่ง  
 “เฟย์...”  
 เสียงผมแผ่วลงเหมือนคนกำลังจมหาย  
 “ถ้าเจ้าเป็นข้า...เจ้าจะทำยังไงต่อไป?”  
 เฟย์เงียบ ก่อนตอบช้า ๆ  
 “หม่อมฉัน...จะเริ่มด้วยการขอโทษเพคะ”  
 ก่อนจะได้ถามเฟย์ต่อสมองก็ถูกบีบแน่นราวกับมีเสียงกระซิบจากใครบางคนในความมืด วาดภาพเรื่องราวที่หล่นหายไปจากเจ้าของร่างเดิมให้ชัดเจนขึ้น  
 "ลูซ อาวีเซอร์"  
 แค่ได้ยินชื่อนั้นเหมือนมีอะไรแหลมคมจิ้มลงกลางอกผมอย่างไม่มีเหตุผลเขาเป็นทายาทตระกูลพาณิชย์สายรอง รูปงาม วาทศิลป์ลื่นไหล รู้วิธีประจบคนที่มีอำนาจ  
 เซย์เรนเคยพบเขาในงานเลี้ยงรับรองพ่อค้าต่างแดนจากนั้นก็โปรดปรานเขามากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงกับ...เมินคนที่เคยอยู่ข้างกายมาโดยตลอด  
 เริ่มจาก...เลื่อนการหารือกับแรนทีลโดยไม่มีคำอธิบายยกเลิกนัดพบกับไคเรนซ้ำแล้วซ้ำเล่าส่งคนไปสะกดรอยเอลเซียนด้วยข้ออ้างไร้สาระว่ายังมีความสัมพันธ์กับใครอื่นอยู่หรือไม่  
 และแม้แต่เฟลด์…ผู้เป็นหัวหน้าหน่วยลับเซย์เรนยังไม่เปิดประตูให้เข้าเฝ้านานนับเดือน  
 ไม่มีใครเอ่ยคำตำหนิ แต่ทุกคนก็รู้ว่าเขาทุกคนกำลังถูกทอดทิ้ง  
 จนกระทั่ง...ในคืนหนึ่งลูซหายตัวไป   
 พร้อมเอกสารการค้าลับของเมืองท่า  
 เส้นทางขนส่งสินค้าไปถึงมือพ่อค้าฝั่งศัตรูโดยไม่มีการผ่านความเห็นชอบจากสภากลาง  
 คนที่จับได้คือไคเรน  
 เขายื่นรายงานทั้งหมดให้เซย์เรนอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรเกินจำเป็น  
 และเซย์เรน เจ้าของร่างที่ผมมาอยู่แทนตอนนี้กลับฉีกเอกสารนั้นต่อหน้าทุกคน  
 เขาบอกไคเรนว่า...  
 “เจ้ามันแค่อิจฉาเพราะไม่มีวันเข้าถึงใจข้าได้”  
 ประโยคนั้นกลายเป็นคำพิพากษา  
 ไคเรนถูกสั่งให้ถอนตัวออกจากวังทันทีโดยไม่มีแม้แต่การไต่สวน  
 และทุกอย่างก็สายเกินไป...  
 เพราะหลังจากนั้นเพียงหนึ่งคืนเซย์เรนก็ได้รับจดหมายสั้น ๆ หนึ่งฉบับ  
 จากลูซ  
 เพียงประโยคเดียวที่ทิ้งไว้ว่า  
 "ข้าหวังให้เจ้าโง่นานกว่านี้อีกหน่อย"  
 เขายังยิ้มตอนเขียนประโยคนั้นอยู่หรือเปล่าผมไม่รู้  
 แต่ผมรู้ว่าเซย์เรนไม่เคยหัวเราะได้อีกเลยหลังจากอ่านมันจบ  
 ผมหลับตาลงช้า ๆ ความรู้สึกหนักแน่นในอกเหมือนถูกคนสุมไฟเงียบๆ  
 มันไม่ใช่ความผิดของผม…แต่ทำไมมันถึงเจ็บขนาดนี้  
 สุดท้าย เจ้าของร่างเดิมก็ไม่อาจรับความจริงได้  
 เขาหลบหน้าใครทุกคนไม่ปรากฏตัวในการประชุม ไม่ยอมพูดแม้แต่คำเดียว  
 ก่อนจะ...กระอักเลือดออกมาโดยไม่มีสาเหตุทางกาย  
 นั่นคือจุดจบของเขา จุดที่ผมข้ามเข้ามาแทน  
 และตอนนี้  
 คนที่ชื่อ “ลูซ อาวีเซอร์”ก็ยังวนเวียนอยู่ในวังนี้  
 ยังไม่ได้เปิดเผยแผนการ  
 และยังไม่รู้ว่าผม...ไม่ใช่เซย์เรนคนเดิมอีกต่อไปแล้ว  
 ผมเงียบไปนาน  
 เหมือนลมหายใจตัวเองกำลังวนอยู่ในวงกต  
 ภาพต่าง ๆที่ไหลผ่านหัวเมื่อครู่ยังตกตะกอนไม่ดีพอจะสรุปออกมาเป็นคำพูด แต่บางอย่างในอกมันหนักจนต้องเอ่ยออกมา  
 “...แล้วตอนนี้ เขาอยู่ที่ไหน?”  
 เฟย์ซึ่งกำลังจัดผ้าห่มให้หยุดมือไปครู่หนึ่ง  
 นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเฉียงขึ้นอย่างลังเลเธอกระพริบตา ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ และยอมนั่งลงที่ปลายเตียง  
 “พระองค์หมายถึง...ลูซอาวีเซอร์หรือเพคะ?”  
 ผมพยักหน้าอย่างช้า ๆ  
 ชื่อของเขายังคงติดอยู่ในลำคอราวกับไม่อาจกลืนลงหรือคายออกได้ง่าย ๆ  
 เสียงของเฟย์ลดต่ำลงราวกับเกรงว่าแม้แต่สายลมก็อาจนำถ้อยคำนี้ไปแพร่กระจาย  
 “คุณลูซ...ยังอยู่ในวังเพคะที่ตำหนักตะวันตก เหมือนเช่นเดิม”   
 ผมไม่ตอบอะไรสายตาเลื่อนมองม่านที่พลิ้วเบา ๆ กับเงาไม้ที่ทอดสะท้อนจากระเบียง  
 เฟย์เอ่ยต่อเบา ๆ  
 “เย็นนี้มีงานเลี้ยงฉลองพิธีอภิเษก...พระองค์จะเสด็จไปร่วมหรือไม่เพคะ?”  
 ผมพยักหน้ารับ  
 “อืม ไปสิ”  
 แล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยต่อทันที  
 “จริงสิ เตรียมของขวัญให้ข้าหน่อย”  
 เฟย์เลิกคิ้วนิด ๆ  
 “ของขวัญหรือเพคะ?”  
“สำหรับสามีทั้งสี่ของข้า”ผมตอบเรียบ ๆ  
 เธอนิ่งไปเล็กน้อยก่อนก้มศีรษะรับคำ  
 “ได้เพคะ หม่อมฉันไม่รบกวนแล้ว”  
 เมื่อบานประตูปิดลงผมก็เอนตัวลงพิงหมอนหนุน ปลายนิ้วไล้แตะริมฝีปากเบา ๆ อย่างครุ่นคิด  
 หากตอนจบของเรื่องนี้จะต้องจบลงด้วยการกระอักเลือดตายจริงๆ...  
 ก็คงไม่ผิดนักถ้าผมจะใช้เวลาที่มีอยู่ สร้างความสัมพันธ์ดี ๆ กับสามีทั้งสี่คนก่อน  
 อย่างน้อยก็จะได้ใช้ชีวิตในโลกที่เต็มไปด้วยความมั่งคั่งหรูหรา และอาหารอร่อย  
 การข้ามมิติมาครั้งนี้...  
 หากไม่อาจเปลี่ยนชะตาได้ทั้งหมดอย่างน้อยก็ขอให้กำไรชีวิตมันคุ้มค่าหน่อยเถอะ  
  
 ----------------------------- ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะ รักคนอ่าน  
 |