แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-6-11 18:01
บทนำ
แสงไฟอ่อนจากโคมถนนสะท้อนผ่านม่านโปร่งแสงของหน้าต่างที่เปิดค้างไว้ลอดเข้ามากระทบผนังห้องสีซีด ห้องเช่าชั้นสองของตึกอาคารพาณิชย์ดูทรุดโทรมและคับแคบไปหน่อยแต่สำหรับผม มันก็ยังเป็นที่ซุกหัวนอน ที่พอจะซ่อนตัวจากโลกภายนอกได้สักพักหนึ่ง
ผมนั่งอยู่กับโต๊ะพับพลาสติกตัวเล็กจนขาแทบจะติดกับถังขยะใต้ซิงก์มีกล่องโฟมเย็นชืดวางอยู่ข้างโน้ตบุ๊กเครื่องเก่าที่เสียงดังกว่าความจำที่ยังเหลือในมันเสียอีกข้าวไข่เจียวแฉะ ๆ ที่เหลือตั้งแต่บ่ายคือมื้อเย็นของผมในวันนี้
ผมเป็นพนักงานบริษัทรูปร่างผอมบาง หน้าตาพอจะพาไปวัดได้ถ้ามีคนพาไป ซึ่งแน่นอนว่าไม่มียังหาแฟนไม่ได้สักที ไม่ใช่เพราะไม่มีความพยายามแต่เพราะฐานะของผมมันก็แค่ชายคนหนึ่งที่มีข้าวกินครบสามมื้อก็ถือว่าพระอาทิตย์ขึ้นในชีวิตแล้ว
ออฟฟิศที่ผมทำงานมันไม่ได้แย่นักหรอกถ้าไม่นับว่าเงินเดือนไม่พอจ่ายค่าเน็ต ค่าไฟ และค่าน้ำพร้อมกันในเดือนเดียว หัวหน้าก็ไม่ได้เลวร้ายถ้าไม่นับว่าเขาล็อกผมให้อยู่ทำโอทีจนตีหนึ่งทุกวันในอาทิตย์นี้
"ขอแค่วันเดียว...วันเดียวก็ยังดี..."ผมพึมพำแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ เหมือนคนเสียสติ
ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองวูบไปตอนไหนอาจจะตอนที่พิมพ์อีเมลตอบลูกค้ากลางดึกหรือไม่ก็ตอนที่สายตาพร่าจนแยกไม่ออกว่าตัวเองกำลังเขียนภาษาไทยหรือภาษามนุษย์ต่างดาว
แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที...
เสียงแตรเงินกังวานสะท้อนทั่วลานพิธีผมสะดุ้งเฮือก ลืมตาขึ้นแล้วพบว่าตัวเองยืนอยู่บนแท่นหินยกสูงกลางลานกว้างที่ประดับไปด้วยผ้าสีเงินและผืนธงตราสัญลักษณ์บางอย่างที่ดูเป็นทางการสุด ๆ
ผู้คนมากมายใส่ชุดพิธีเต็มยศเงยหน้ามองผมด้วยสีหน้าเปี่ยมศรัทธา หรือบางคนก็คล้ายจะหวาดกลัว
ผมยกมือขึ้นแตะศีรษะด้วยความมึนงงก่อนพบว่าตัวเองสวมมงกุฎเล็ก ๆ ทำจากคริสตัลโปร่งใสและชุดพิธีที่หนักหน่วงราวกับมีคนเอาผ้าห่มสิบผืนมาโถมใส่
"ท่านรัชทายาท..."
เสียงหวานเย็นแทรกเข้ามาเบา ๆจากด้านหลัง
ผมหันขวับไปเจอกับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลาราวกับหลุดออกมาจากโฆษณาน้ำหอม เขาคุกเข่าอยู่ด้านล่างแท่นดวงตาคู่นั้นฉายแววสับสนปนตัดพ้อ
และด้านหลังเขายังมีอีก สามคน
ทุกคน...ทุกคนล้วนหล่อเหลาร่างกายสูงใหญ่ กล้ามแน่นดั่งรูปปั้น ดวงตาที่มองผมล้วนต่างอารมณ์กัน สับสน ตัดพ้อเจ็บปวด และ...ไม่ไว้ใจ
"ข้า...พวกข้าทั้งสี่กำลังจะกลายเป็นสามีของท่าน"
ผมหันขวับไปมองรอบตัวอีกครั้ง
ไอ้ที่กำลังจะเกิดขึ้นคือ...พิธีแต่งงาน?!
เดี๋ยวก่อน...พวกเขาบอกว่า“สามีของท่าน”?
ผม...แต่งกับพวกเขาพร้อมกันสี่คนเลยเหรอ?!
ห้องรับรองในตำหนักหลวง
เวลาต่อมา…
หลังจากพิธีแต่งงานถูก“เลื่อนออกไปอย่างเร่งด่วน” (เพราะผมล้มพับลงตรงแท่นพิธีแล้วอาเจียนใส่พรมหรู)
ผมตื่นขึ้นมาท่ามกลางกลิ่นหอมของเครื่องหอมราคาแพงที่ฉุนจนแทบสำลักอีกรอบ เพดานห้องสูงจนต้องเงยคอมองโคมไฟระย้าคริสตัลส่องประกายระยับใต้ร่างผมคือเตียงหลังใหญ่ที่กว้างพอให้กระดิกตัวแล้วไม่ตกพื้นหมอนสีขาวปักดิ้นทองวางซ้อนกันจนรู้สึกเหมือนนอนทับสมบัติบางอย่าง
“องค์ชายเซย์เรนทรงฟื้นแล้วหรือเพคะ?”
เสียงแผ่ว ๆของสาวใช้ชุดงามทำเอาผมหันขวับไปมอง เธอกำลังจัดแจกันดอกไม้อยู่ตรงโต๊ะมุมห้องก่อนจะรีบเดินเข้ามาเมื่อเห็นผมยันตัวขึ้นจากเตียง
“เมื่อครู่พระอาจารย์หลวงตรวจชีพจรฝ่าบาทแล้วบอกว่า...อาการเกิดจากความเครียดและขาดการพักผ่อนเพคะ”
เธอพูดด้วยเสียงอ่อนโยนที่ทำให้ผมเริ่มรู้สึกผิดแม้จะไม่แน่ใจว่าผมผิดอะไร
อ้อใช่...ผมข้ามมิติมาอยู่ในร่างของ “องค์ชายเซย์เรน”
รัชทายาทลำดับหนึ่งของเมืองอาร์คีลาน่าเมืองหลวงของอาณาจักรที่ผู้ชายสามารถมีสามีได้หลายคนตามศักดิ์และ...ผมกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับบุตรของขุนนางใหญ่ทั้งฝ่ายการทหารและฝ่ายการเมือง
ปัญหามีอยู่สองอย่าง
หนึ่ง..เจ้าของร่างเดิมของผม“เซย์เรน” ไม่ได้รักสามีทั้งสี่คนที่ถูกเลือกมาให้เลยแม้แต่น้อย
สอง..เขาไล่พวกเขาไปอย่างเย็นชาเพราะดันไปตกหลุมรักชายหนุ่มอีกคนที่สุดท้ายก็หลอกใช้เขา
และตอนนี้...ทุกสายตาที่เคยมองเซย์เรนด้วยความภักดีกลับมองมาทางผมด้วยความเจ็บปวดและรังเกียจ
พระเจ้า...ผมแค่เป็นพนักงานออฟฟิศที่อยากนอนวันเดียว
จะข้ามมิติมาทำไมไม่ให้เป็นเจ้าของร้านชาเล็กๆ ขายขนมอร่อย ๆ สบายใจ ๆ
แต่ไม่ ชีวิตผมต้องมาเปิดประตูเจอสามีสี่คนในชุดแต่งงานพร้อมสายตาประหนึ่งจะกลืนกินกันให้ได้
และหนึ่งในนั้นก็พูดกับผมเสียงเรียบว่า...
“แม้ใจท่านจะไม่อยู่กับพวกข้าแต่คำสัญญานี้ได้ถูกผูกไว้ตั้งแต่แรก หากมันเป็นสิ่งที่ท่านไม่ต้องการพวกข้าก็จะยอมถอยไป โดยไม่เอ่ยคำใดอีก”
เอลเซียน
แม่ทัพแห่งกองทัพมังกรดำผมยาวสีดำขลับถูกรวบไว้อย่างหลวม ๆ ใบหน้าคมจัดจนดูเหมือนรูปสลักที่มีชีวิตเขาเป็นนักรบผู้ถูกส่งแนวหน้าแทบทั้งชีวิตและพ่อของเขา...ก็ถูกฆ่าตายด้วยคำสั่งผิดพลาดที่มาจากราชสำนัก
เขาไม่เคยแสดงความอ่อนแอและไม่เคยพูดคำว่ารักออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ว่ากันว่าเขาเคยจับดาบตั้งแต่อายุเจ็ดขวบและฆ่าคนเป็นตั้งแต่สิบสาม
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด
สิ่งที่น่ากลัว...คือสายตาของเขาที่มองเซย์เรนในอดีตเหมือนคนที่ทรยศความไว้ใจของเขาทั้งหมด
ถัดจากเขา...ประตูห้องเปิดออกอย่างแผ่วเบา
ชายหนุ่มผมสีเงินยาวพริ้วเดินเข้ามาอย่างเงียบงันใบหน้าเยือกเย็นไม่เปลี่ยน แต่ดวงตาสีฟ้าของเขานั้นเต็มไปด้วยบางอย่างที่ผมไม่กล้าเดา
แรนทีล บุตรบุญธรรมของหัวหน้าสภาเวทาผู้ใช้เวทระดับสูงสุดในเมืองหลวง เป็นผู้ควบคุม "ศาสตร์เงา" ศาสตร์ต้องห้ามที่ควรจะสูญหายไปตั้งแต่ร้อยปีก่อน
แรนทีลมีชีวิตที่ไม่เคยเป็นของเขาเองทั้งชะตา ทั้งเวท ทั้งความคาดหวัง
เขาได้รับคำสั่งให้แต่งกับเซย์เรนเพื่อเชื่อมสายสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์กับสภาเวท
...แต่เซย์เรนเคยพูดใส่หน้าเขาว่า“เจ้าก็แค่เครื่องมือต่อรอง ไม่ใช่คนรัก”
ผมกลืนน้ำลายเงียบ ๆขณะเขาก้าวเข้ามาใกล้
เขาเพียงพยักหน้าให้ผมเล็กน้อย ไม่มีคำพูดไม่มีรอยยิ้ม มีแต่ความว่างเปล่า
และจากนั้น...เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นแต่ไม่รีบร้อนก็ดังขึ้นจากทางเดิน
ชายผู้มีผมสีน้ำตาลเข้มดวงตาเรียบนิ่งราวกับอ่านทุกอย่างออกตั้งแต่ยังไม่เอ่ยคำ
เซอร์กราฟิน ไคเรน
ขุนนางสายราชการผู้มีอำนาจเหนือทั้งเศรษฐกิจ เมืองท่า และสภากลาง
เขาได้รับตำแหน่งขุนนางอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์แต่ก็เป็นคนที่ขึ้นชื่อว่าไม่เคยให้อภัยใครที่หักหลัง
ว่ากันว่าเขาคือผู้ที่"เซย์เรน" เคยวางแผนจะหมั้นด้วยเพียงเพื่ออำนาจแต่สุดท้ายกลับถอนหมั้นกลางงานเลี้ยง ต่อหน้าขุนนางทั้งห้อง
ผมอยากมุดลงไปใต้เตียงให้รู้แล้วรู้รอด
“หากทรงฟื้นดีแล้วข้าคงขอถอนตัวก่อน”
เซอร์กราฟินพูดกับน้ำเสียงที่ไม่มีแววโกรธแต่ก็ไม่มีความอบอุ่นหลงเหลืออยู่เลย
ผมพยักหน้าแบบคนที่ยังไม่แน่ใจว่าควรกลั้นหายใจหรือก้มกราบ
ยังเหลืออีกคน...
ใช่ คนที่สี่
ชายที่เงียบที่สุดในพิธีเขาไม่ได้พูดสักคำ แม้กระทั่งตอนผมอาเจียนใส่พรม
ลูเซียส เฟลด์
ทายาทของตระกูลทหารชายแดนตะวันออก
รูปร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำแดดจากการใช้ชีวิตในป่าและสนามฝึกเขาคือหัวหน้าหน่วยลับที่แม้แต่ขุนนางก็ไม่อยากยุ่ง
เขาเป็นคนเดียวที่ไม่เคยพูดกับ“เซย์เรน” แม้แต่คำเดียวตลอดสามเดือนที่ผ่านมา
แต่เป็นคนเดียว...ที่เดินเข้ามายื่นผ้าซับปากให้ผมหลังจากล้มลง
แม้จะไม่สบตาก็ตาม
ผมนั่งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมเหงื่อแตกพลั่กโดยไม่รู้ว่าเพราะความอาย ความกลัว หรือความงงในชีวิตกันแน่
สรุปแล้ว...ผมมีสามีสี่คน
แต่ละคนก็เหมือนระเบิดนาฬิกาเรือนใหญ่ที่พร้อมระเบิดพร้อมกันทุกเมื่อ
ขอแค่คืนนี้...ไม่มีใครถือดาบมาฟันผมตอนหลับก็พอ
หลังจากเสียงประตูไม้บานใหญ่ปิดลงเบาๆ พร้อมกับการจากไปของผู้ชายสี่คนที่ผมควรจะเรียกว่าสามีในอีกไม่กี่ชั่วโมง (ถ้าไม่อ้วกลงพรมซะก่อน)ห้องก็กลับมาเงียบอีกครั้ง
ผมนั่งอยู่กลางเตียงมือยังบีบชายผ้าห่มแน่น รู้สึกเหมือนเป็นนักโทษที่เพิ่งรอดตายมาเฉียดฉิว
เงาสุดท้ายที่ผมหันไปเห็นก่อนพวกเขาเดินออกจากห้องคือแผ่นหลังกว้างใหญ่ กับแววตาที่...ผมไม่แน่ใจว่ามันคือความโกรธ เศร้าหรือปลงตกกันแน่
“เฟย์”
ผมเรียกชื่อสาวใช้เสียงเบาเธอยังอยู่ในห้อง อยู่ห่างไปเพียงก้าวเดียวกำลังเก็บผ้าขนหนูเปียกและชามน้ำอุ่นที่เอามาเช็ดหน้าให้ผมเมื่อครู่
“เพคะ?”
เธอหันมาพร้อมรอยยิ้มบาง ๆอ่อนโยน...แต่แววตาเหมือนคนที่เคยเห็นไฟไหม้ทั้งเมืองมาแล้ว
ผมกลืนน้ำลายและถามสิ่งที่อยากรู้ที่สุด
สิ่งที่ตามหลอกหลอนผมตั้งแต่นาทีแรกที่ตื่นในร่างนี้
“ก่อนหน้านี้...ข้า...หมายถึงองค์ชายเซย์เรน...เคยปฏิบัติกับพวกเขายังไงบ้าง?”
เฟย์นิ่ง
นิ่งชนิดที่แม้แต่เสียงลมหายใจก็หายไปจากห้องไปชั่วขณะ
“ข้าหมายถึง...ทำไมเวลาพวกเขามองข้า...มันเหมือนเห็นปีศาจหรืออะไรที่...แย่มาก ๆ”
เสียงผมเบาลงเรื่อย ๆ
“พวกเขาเกลียดข้า...ใช่ไหม?”
เฟย์ถอนหายใจเบา ๆแล้วเดินเข้ามาชิดขอบเตียง
วางชามลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างนิ่งงันก่อนจะนั่งลงที่ขอบปลายเตียง
“ฝ่าบาท...”
เฟย์นิ่งไปอึดใจหนึ่งดวงตาก้มต่ำอย่างลังเล
ผมมองเธอด้วยสายตาอ่อนลง พูดเบาๆ
“บอกข้าเถอะเฟย์ข้าอยากรู้...จริง ๆ”
เธอพยักหน้าอย่างช้า ๆ
แล้วยกมือวางบนตักเหมือนกำลังตั้งสติ
“หม่อมฉันจะเล่า...แต่โปรดอย่าทรงกริ้วหากมัน...ไม่ใช่เรื่องน่าฟัง”
ผมพยักหน้า
เฟย์สูดหายใจเล็กน้อยก่อนเริ่มจากคนแรก
“...ท่านแม่ทัพเอลเซียนแห่งกองทัพมังกรดำ เป็นคู่หมั้นพระองค์คนแรกค่ะ”
“เขาเป็นคนพูดน้อย เงียบขรึมไม่แสดงอารมณ์...แต่ความจงรักภักดีของเขานั้นไม่มีผู้ใดเคยสงสัย”
“สามปีก่อน ในศึกชายแดนเขาได้รับบาดเจ็บที่แขนขวาเพราะบังพระวรกายของฝ่าบาทไว้จากหอกของศัตรู—”
“...แต่หลังจากกลับมาฝ่าบาท...เอ่อ...กลับไม่เคยเสด็จไปเยี่ยมแม้สักคราเดียวค่ะ”
“ยังไม่พอ...ยังทรงตรัสต่อหน้าทหารทั้งกองว่า—‘แผลแบบนั้นขุนนางชั้นล่างก็มีให้เห็นทุกวัน’”
ผมนิ่งงัน
หัวใจเย็นวาบเหมือนโดนกระชากลงบ่อน้ำแข็ง
เฟย์พูดต่อ โดยไม่ได้เงยหน้ามอง
“ท่านแรนทีลบุตรบุญธรรมของผู้อาวุโสแห่งสภาเวท เป็นผู้ถือครองตำแหน่งจอมเวทเงาแม้จะไม่ได้ออกหน้าในสภา แต่ถือว่ามีอิทธิพลมากในแวดวงเวทมนตร์ค่ะ”
“เขาเป็นคนเงียบ ใจเย็นและ...รักพระองค์อย่างเงียบ ๆ มานาน”
“...เขาเคยร่ายเวทควบคุมลมหายใจของฝ่าบาทคืนหนึ่งเมื่อพระองค์ถูกวางยาพิษ และเกือบต้องเสียจิตวิญญาณเพราะต้านพิษให้”
ผมเงยหน้าขึ้น
“แล้ว...ข้าทำอะไรกับเขา?”
เฟย์เงียบ
ก่อนตอบเบา ๆ
“พระองค์...เคยตรัสว่าเขาไม่ควรเอาชีวิตมาทุ่มให้กับสิ่งที่ไร้ค่าขนาดนี้และไม่ควรมาแตะตัวพระองค์หากไม่ได้รับอนุญาตอีก”
“...ส่วนท่านไคเรน” เฟย์พูดต่อพลางหลุบตาเล็กน้อย “ฝ่าบาทเองก็เคยตรัสว่าไม่ทรงชอบเขา”
“ทำไม?” ผมถาม
เฟย์ลังเลอยู่ครู่ก่อนตอบเสียงเบา
“ฝ่าบาทเคยตรัสว่า‘เขาดูเย่อหยิ่งจนน่าหมั่นไส้’ ค่ะ”
ผมเลิกคิ้ว
เฟย์จึงเริ่มเล่าช้า ๆน้ำเสียงไม่เร่งเร้า แต่มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่
“เซอร์กราฟิน ไคเรนเป็นขุนนางสายราชการที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์อาร์คีลาน่า ว่ากันว่าเขาท่องกฎหมายได้ทั้งเล่มตั้งแต่อายุสิบสาม”
“เขาดูแลทั้งเมืองท่า เศรษฐกิจการเงิน รวมถึงนโยบายต่างประเทศ...พูดง่าย ๆ คือ ถ้าไม่มีเขาเมืองทั้งเมืองจะวุ่นวายภายในครึ่งเดือนค่ะ”
“...แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะรักเขา”
เฟย์ขยับตัวเล็กน้อย
“เพราะท่านไคเรนพูดจาตรงเกินไปตรงจนเหมือนเอามีดเฉือนหน้าคน”
“ฝ่าบาทเคยเสด็จประชุมสภากลางแล้วมีเรื่องความเห็นไม่ลงรอย ท่านไคเรนพูดต่อหน้าอัครมหาเสนาว่า—”
“‘หากกระหม่อมอาจกล่าวด้วยความเคารพ...ความเพ้อฝัน ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ และเวลาของสภานี้มีค่ากว่าการหลงทางในอารมณ์ของพระองค์’”
ผมนิ่งอึ้ง
โอ้โห พูดขนาดนั้น?
“ฝ่าบาทเดิมทรง...ไม่พอพระทัยมากค่ะ”เฟย์พูดเสียงเบา
“ถึงกับทรงตรัสกับขุนนางฝ่ายในว่า‘ข้าไม่อยากอยู่กับคนที่คิดว่าตัวเองฉลาดไปเสียทุกเรื่อง’ ”
“หลังจากนั้นไม่นาน...พระองค์ก็ขอให้ถอนชื่อไคเรนออกจากบัญชีหมั้นแต่เพราะคำมั่นระหว่างราชสำนักกับสภากลาง ยังไงตำแหน่งสามีก็ต้องมีชื่อเขาอยู่”
ผมนั่งนิ่ง ๆ อยู่กลางเตียงใหญ่ในหัวเต็มไปด้วยภาพของผู้ชายในชุดแต่งงานเมื่อครู่
คนที่สายตาแข็งกระด้างเหมือนพิจารณาโลกทั้งใบด้วยตรรกะ และไม่เชื่อในคำว่าความรู้สึก
“...เขาไม่ใช่คนเลวค่ะ”
เสียงของเฟย์แผ่วลง
“แต่เขาไม่ใช่คนที่รู้จักแสดงความอ่อนโยน...และพระองค์เดิมของหม่อมฉันก็ไม่เคยให้อภัยเขาเลย”
“ลูเซียส เฟลด์”
เฟย์พูดชื่อสุดท้ายช้าที่สุด
“...ท่านลูเซียส เฟลด์ทายาทตระกูลทหารชายแดนตะวันออก ผู้นำหน่วยลับของอาณาจักร”
“เขาคือคนที่ทำงานในเงาคอยถอนรากศัตรู และปราบกบฏในนามของพระองค์มาหลายปี”
“เขารูปร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำจากแดด เพราะใช้เวลาชีวิตในสนามรบและป่า”
“...เขาไม่พูดเยอะแต่เขายอมเป็น ‘อาวุธ’ ให้ฝ่าบาทใช้เสมอมา”
“จนวันหนึ่ง...พระองค์ตรัสว่าไม่อยากมองหน้าเขา เพราะทุกครั้งที่เห็นก็นึกถึงแต่เลือดและกลิ่นเหงื่อของพวกทหาร”
เฟย์เงยหน้าขึ้นในที่สุด
สายตาที่เคยอ่อนโยนตอนนี้ดูเศร้าจนแทงทะลุถึงกระดูก
“พวกเขาทั้งสี่ เคยเป็นผู้ชายที่พร้อมจะยืนเคียงข้างพระองค์ที่สุดในแผ่นดินค่ะ”
“ข้า...” ผมพูดออกมาเบา ๆ“...เซย์เรนเดิม...เป็นแบบนี้จริงเหรอ?”
เฟย์ไม่ตอบเธอแค่มองผมด้วยสายตาแบบที่คนเคยมองแมวที่กลับใจได้หลังข่วนเจ้าของมาทั้งชีวิต
และสุดท้าย...เธอก็พูดว่า
“แต่หม่อมฉันดีใจที่ฝ่าบาทถามคำถามนี้…เป็นครั้งแรก”
ผมนิ่งไปนานมาก
ห้องทั้งห้องเงียบเหมือนน้ำในอ่างนิ่ง
“เฟย์...”
เสียงผมแผ่วลงเหมือนคนกำลังจมหาย
“ถ้าเจ้าเป็นข้า...เจ้าจะทำยังไงต่อไป?”
เฟย์เงียบ ก่อนตอบช้า ๆ
“หม่อมฉัน...จะเริ่มด้วยการขอโทษเพคะ”
ก่อนจะได้ถามเฟย์ต่อสมองก็ถูกบีบแน่นราวกับมีเสียงกระซิบจากใครบางคนในความมืด วาดภาพเรื่องราวที่หล่นหายไปจากเจ้าของร่างเดิมให้ชัดเจนขึ้น
"ลูซ อาวีเซอร์"
แค่ได้ยินชื่อนั้นเหมือนมีอะไรแหลมคมจิ้มลงกลางอกผมอย่างไม่มีเหตุผลเขาเป็นทายาทตระกูลพาณิชย์สายรอง รูปงาม วาทศิลป์ลื่นไหล รู้วิธีประจบคนที่มีอำนาจ
เซย์เรนเคยพบเขาในงานเลี้ยงรับรองพ่อค้าต่างแดนจากนั้นก็โปรดปรานเขามากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงกับ...เมินคนที่เคยอยู่ข้างกายมาโดยตลอด
เริ่มจาก...เลื่อนการหารือกับแรนทีลโดยไม่มีคำอธิบายยกเลิกนัดพบกับไคเรนซ้ำแล้วซ้ำเล่าส่งคนไปสะกดรอยเอลเซียนด้วยข้ออ้างไร้สาระว่ายังมีความสัมพันธ์กับใครอื่นอยู่หรือไม่
และแม้แต่เฟลด์…ผู้เป็นหัวหน้าหน่วยลับเซย์เรนยังไม่เปิดประตูให้เข้าเฝ้านานนับเดือน
ไม่มีใครเอ่ยคำตำหนิ แต่ทุกคนก็รู้ว่าเขาทุกคนกำลังถูกทอดทิ้ง
จนกระทั่ง...ในคืนหนึ่งลูซหายตัวไป
พร้อมเอกสารการค้าลับของเมืองท่า
เส้นทางขนส่งสินค้าไปถึงมือพ่อค้าฝั่งศัตรูโดยไม่มีการผ่านความเห็นชอบจากสภากลาง
คนที่จับได้คือไคเรน
เขายื่นรายงานทั้งหมดให้เซย์เรนอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรเกินจำเป็น
และเซย์เรน เจ้าของร่างที่ผมมาอยู่แทนตอนนี้กลับฉีกเอกสารนั้นต่อหน้าทุกคน
เขาบอกไคเรนว่า...
“เจ้ามันแค่อิจฉาเพราะไม่มีวันเข้าถึงใจข้าได้”
ประโยคนั้นกลายเป็นคำพิพากษา
ไคเรนถูกสั่งให้ถอนตัวออกจากวังทันทีโดยไม่มีแม้แต่การไต่สวน
และทุกอย่างก็สายเกินไป...
เพราะหลังจากนั้นเพียงหนึ่งคืนเซย์เรนก็ได้รับจดหมายสั้น ๆ หนึ่งฉบับ
จากลูซ
เพียงประโยคเดียวที่ทิ้งไว้ว่า
"ข้าหวังให้เจ้าโง่นานกว่านี้อีกหน่อย"
เขายังยิ้มตอนเขียนประโยคนั้นอยู่หรือเปล่าผมไม่รู้
แต่ผมรู้ว่าเซย์เรนไม่เคยหัวเราะได้อีกเลยหลังจากอ่านมันจบ
ผมหลับตาลงช้า ๆ ความรู้สึกหนักแน่นในอกเหมือนถูกคนสุมไฟเงียบๆ
มันไม่ใช่ความผิดของผม…แต่ทำไมมันถึงเจ็บขนาดนี้
สุดท้าย เจ้าของร่างเดิมก็ไม่อาจรับความจริงได้
เขาหลบหน้าใครทุกคนไม่ปรากฏตัวในการประชุม ไม่ยอมพูดแม้แต่คำเดียว
ก่อนจะ...กระอักเลือดออกมาโดยไม่มีสาเหตุทางกาย
นั่นคือจุดจบของเขา จุดที่ผมข้ามเข้ามาแทน
และตอนนี้
คนที่ชื่อ “ลูซ อาวีเซอร์”ก็ยังวนเวียนอยู่ในวังนี้
ยังไม่ได้เปิดเผยแผนการ
และยังไม่รู้ว่าผม...ไม่ใช่เซย์เรนคนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ผมเงียบไปนาน
เหมือนลมหายใจตัวเองกำลังวนอยู่ในวงกต
ภาพต่าง ๆที่ไหลผ่านหัวเมื่อครู่ยังตกตะกอนไม่ดีพอจะสรุปออกมาเป็นคำพูด แต่บางอย่างในอกมันหนักจนต้องเอ่ยออกมา
“...แล้วตอนนี้ เขาอยู่ที่ไหน?”
เฟย์ซึ่งกำลังจัดผ้าห่มให้หยุดมือไปครู่หนึ่ง
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเฉียงขึ้นอย่างลังเลเธอกระพริบตา ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ และยอมนั่งลงที่ปลายเตียง
“พระองค์หมายถึง...ลูซอาวีเซอร์หรือเพคะ?”
ผมพยักหน้าอย่างช้า ๆ
ชื่อของเขายังคงติดอยู่ในลำคอราวกับไม่อาจกลืนลงหรือคายออกได้ง่าย ๆ
เสียงของเฟย์ลดต่ำลงราวกับเกรงว่าแม้แต่สายลมก็อาจนำถ้อยคำนี้ไปแพร่กระจาย
“คุณลูซ...ยังอยู่ในวังเพคะที่ตำหนักตะวันตก เหมือนเช่นเดิม”
ผมไม่ตอบอะไรสายตาเลื่อนมองม่านที่พลิ้วเบา ๆ กับเงาไม้ที่ทอดสะท้อนจากระเบียง
เฟย์เอ่ยต่อเบา ๆ
“เย็นนี้มีงานเลี้ยงฉลองพิธีอภิเษก...พระองค์จะเสด็จไปร่วมหรือไม่เพคะ?”
ผมพยักหน้ารับ
“อืม ไปสิ”
แล้วเหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยต่อทันที
“จริงสิ เตรียมของขวัญให้ข้าหน่อย”
เฟย์เลิกคิ้วนิด ๆ
“ของขวัญหรือเพคะ?”
“สำหรับสามีทั้งสี่ของข้า”ผมตอบเรียบ ๆ
เธอนิ่งไปเล็กน้อยก่อนก้มศีรษะรับคำ
“ได้เพคะ หม่อมฉันไม่รบกวนแล้ว”
เมื่อบานประตูปิดลงผมก็เอนตัวลงพิงหมอนหนุน ปลายนิ้วไล้แตะริมฝีปากเบา ๆ อย่างครุ่นคิด
หากตอนจบของเรื่องนี้จะต้องจบลงด้วยการกระอักเลือดตายจริงๆ...
ก็คงไม่ผิดนักถ้าผมจะใช้เวลาที่มีอยู่ สร้างความสัมพันธ์ดี ๆ กับสามีทั้งสี่คนก่อน
อย่างน้อยก็จะได้ใช้ชีวิตในโลกที่เต็มไปด้วยความมั่งคั่งหรูหรา และอาหารอร่อย
การข้ามมิติมาครั้งนี้...
หากไม่อาจเปลี่ยนชะตาได้ทั้งหมดอย่างน้อยก็ขอให้กำไรชีวิตมันคุ้มค่าหน่อยเถอะ
----------------------------- ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะ รักคนอ่าน
|