ธีโอดูแปลกใจที่ผมเตรียมแซนด์วิชไว้ให้เขาด้วยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากบอกว่ารอแป๊บนึง เขาจะขึ้นไปเอาของชั้นบน โอ๊ย พ่อคุณ แค่คำขอบคุณน่ะไม่ได้พูดยากขนาดนั้นหรอกมั้ง ผมนั่งเล่นโทรศัพท์รอระหว่างที่ธีโอไปเอาของไม่นานนักร่างสูงก็กลับมาพร้อมกล้วย แมนดาริน(ส้มลูกเล็ก) แอ๊ปเปิ้ล และองุ่นไว้ในมือ เขายัดทุกอย่างลงกระเป๋าเป้ รวมถึงกล่องแซนด์วิชที่ผมเพิ่งทำ “นายมีน้ำหรือยัง?” เอาถามระหว่างเปิดตู้เย็นเพื่อเช็คว่ามีอะไรขาดเหลืออีกบ้าง ผมยกขวดน้ำเปล่าให้เขาดูเป็นคำตอบแต่ผมเห็นว่าธีโอหยิบเบียร์สี่กระป๋องยาว ๆ ใส่ลงเป้ ไม่รู้หยิบไปทำไมเยอะแยะบอกก่อนเลยนะว่าผมคออ่อนมาก แค่เบียร์ครึ่งกระป๋องหน้าก็แดงแจ๋แล้ว “พร้อมหรือยัง?” ธีโอถาม “อือ ไปกันเถอะ” “ว่าแต่นายรู้วิธีเปิด-ปิดเครื่องสัญญาณกันขโมยรึยัง?” ผมทำหน้างงเป็นคำตอบส่วนคนถามกลอกตาบนเบา ๆ คนไม่รู้คือคนไม่ผิดแล้วผมเพิ่งมาได้สองวัน จะไปรู้ทุกอย่างของบ้านได้ยังไง ผมบ่นเบา ๆ ในใจแต่ความจริงกำลังตั้งใจฟังสิ่งที่ธีโออธิบาย “ถ้านายจะเปิดบ้านนายต้องเช็คทุกอย่างในบ้านว่าประตูและหน้าต่างทุกบานปิดเรียบร้อยแล้วจากนั้นมาที่เครื่องสัญญาณกันขโมย นายกดปุ่มนี้ (รูปกุญแจล๊อคบ้าน)จากนั้นนายจะมีเวลา 30 วินาทีในการออกบ้าน” ผมพยักหน้าตาม ง่ายจังแหะ “ใช่มันฟังดูง่ายแต่เวลานายกลับเข้ามาในบ้าน มันจะกลับกัน พอนายเปิดประตูบ้านปุ๊ปสัญญาณกันขโมยจะดังปี๊ป ๆ เป็นเวลา 20 วินาทีเพื่อให้นายใส่รหัสปลดล๊อค แต่ถ้านายใส่ไม่ทันภายใน 20 วินาทีแล้วละก็...ตำรวจจะโทรหาพ่อฉันและถ้าพ่อฉันกำลังติดประชุมหรือทำอะไรก็แล้วแต่ที่ไม่สามารถรับโทรศัพท์ได้ตำรวจจะมาที่บ้านทันที และนั่นคือเรื่องใหญ่ เพราะถ้ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นแค่ความผิดพลาดของตัวนายหรือใครก็ตามในบ้านนี้เองพ่อฉันจะต้องจ่ายค่าปรับเสียเวลาให้ตำรวจเป็นจำนวน 1000 ฟรังหวังว่านายจะเข้าใจนะ” 1000x33=33000 บาท! แม่จ้าวววววววว โอเค ผมตั้งใจฟังธีโออธิบายและคราวนี้ “พอนายไขกุญแจเปิดประตูปุ๊ปนายต้องรีบมาใส่รหัสทันที รหัสคือ ...1234 ทุกชั้น” “Seriously ? (ถามจริง ?)” หะ ? ถึงขนาดกับติดตั้งสัญญาณกันขโมยแต่รหัสโคตรพ่อโคตรแม่ง่ายแบบนี้เนี่ยนะ เอาจริงดิ “The most dangerous place is the safest. (ที่ที่อันตรายที่สุด คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด)”ธีโอหันมายักคิ้วหลิ่วตาแล้วคว้ากระเป๋าเป้เดินเข้าลิฟต์ ผมเดินตามไปอย่างงง ๆแต่พอได้เข้ามาอยู่ในลิฟต์แล้วธีโอก็แอบเฉลยว่าจริง ๆแล้วพ่อแม่เขาขี้เกียจเปลี่ยนรหัสผ่านน่ะ ไม่ใช่อะไรหรอก โธ่ แล้วไอ้คำคมกับท่าทางเท่ ๆเมื่อกี้คืออะไร ผมกับธีโอนั่งรถแทรม (Tram) จากหน้าบ้านมาลงยังสถานีรถไฟใจกลางเมืองหรือเรียกง่ายๆ ว่า Zurich HB (Zürich Hauptbahnhof) เพื่อจะได้นั่งต่อไปยังTop of Zurich ยอดเขา Uetilberg เป้าหมายของเรา แต่ก่อนอื่นธีโอลากผมไปทำบัตร SwissPass ซึ่งจะได้ส่วนลด 50% ทุกครั้งในการซื้อตั๋วรถสาธารณะทั่วประเทศและรวมไปถึงซื้อโปรโมชั่นนั่งรถไฟฟรีหลัง 1 ทุ่มถึง 7โมงเช้า ผมกรอกรายละเอียดนิดหน่อยจากนั้นพอถึงเวลาจ่ายเงินธีโอเป็นคนจ่ายให้ (บัตรเครดิตโซอี้) ราคาก็ไม่เท่าไหร่แค่คิดเป็นเงินไทยราว ๆหนึ่งหมื่นบาท ดูเหมือนจะแพง แต่พอมาคิดหาร 12 เดือนแล้วตกเดือนละ 800 กว่าบาท ผมว่ามันคุ้มนะครับ เมื่อทำรายการเสร็จ คราวนี้เราสองคนตรงมายังตู้ซื้อตั๋วต่างๆ ธีโอสอนผมทั้งหมดว่าซื้อยังไง กดอะไร จริง ๆ แล้วเมนูมีหลายภาษารวมไปถึงภาษาอังกฤษ แต่ผมว่าดีแล้วที่เขาสอน เพราะผมก็ยังแอบงง ๆ อยู่ดี “จริง ๆแล้วตอนนี้เทคโนโลยีมันไปไกลมาก ไม่ต้องกลัวหลงหรอก แค่เดินตามกูเกิ้ลแมพก็พออ้อนี่...นายติดตั้งแอพ SBB ซะ สามารถเช็ครถบัส รถไฟทุกอย่างในแอพนั้น รวมถึงซื้อตั๋วด้วย” เราสองคนซื้อตั๋วรถไฟไปลงสถานี Uetilbergในครึ่งราคา และเดินไปขึ้นรถไฟตามชานชลาที่ระบุไว้ Zurich HBมีหลายชานชลามาก ใครที่ไม่เคยมาแบบผมอาจจะหลงและพลาดรถไฟได้ธีโอบอกผมว่าชานชลาต้น ๆ จะอยู่บนดิน ส่วนชานชลาตั้งแต่ 19 จนถึง40 กว่า ๆ จะอยู่ชั้นใต้ดิน ยอมรับเลยว่าแม้ตอนแรกธีโอจะดูไม่เป็นมิตรกับผมแต่ตอนนี้เขาเป็นไกด์ที่ดีคนนึง แนะนำมือใหม่แบบผมทุกอย่างเขาไม่ได้พูดมากจนน่ารำคาญ อธิบายเป็นจุด ๆ อย่างพอเหมาะผมชวนเขาคุยบ้างระหว่างที่เรากำลังนั่งรถไฟ ในมือก็ถ่ายรูปด้วยกล้อง Nikon ไปด้วย เพราะวิวนอกรถไฟมันสวยมากจริง ๆ “นายพูดได้กี่ภาษา” ผมถามเขา “3 ภาษา เยอรมัน อิตาลี อังกฤษแต่ถ้านับรวมสวิสเยอรมันด้วยก็ 4 ภาษา นายล่ะ?” “โห ฉันพูดได้แค่ 2 ภาษาเอง ไทยกับอังกฤษ” “ว่าแต่นายชอบถ่ายรูปหรอ ?” ไม่ชอบมั้งถือกล้องราคาครึ่งแสนในมือขนาดนี้ “อ่าหะ” จู่ ๆ ผมนึกอะไรไม่รู้เบนกล้องจากที่กำลังถ่ายวิวมาถ่ายคนที่นั่งตรงข้ามผม แชะ ! “เฮ้ แอบถ่ายฉันเหรอ ไหนเอามาดูสิ”นึกว่าธีโอจะไม่พอใจ เปล่าเลย พอเขาแย่งกล้องในมือผมไปได้ เขายิ้มมุมปากเอกลักษณ์ประจำตัวเขาแบบชอบใจ“คนอะไรไม่รู้ดูดีชะมัด ขนาดเผลอยังหล่อ” ผมเบะปากเล็กน้อยแล้วยกเครดิตให้ตัวเอง “เพราะคนถ่าย ถ่ายเก่งหรอก” อันที่จริงต้องยอมรับเลยว่าธีโอหล่อมากหล่อโดดเด่นมากกว่าวัยรุ่นฝรั่งทั่วไป ผมบลอนด์ นัยน์ตาฟ้าตัดคราม รูปร่างโปร่งแต่ไม่บอบบางผมแอบเห็นว่ามีสาว ๆ หลายคนมองมาที่ธีโอตอนที่เราอยู่ในสถานีรถไฟ ถ้าเขาไม่เด็กกว่าผม 6 ปี ผมคงเผลอใจให้ผู้ชายคนนี้ หลังจากนั่งมาประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงพวกเราเดินทางมาถึงจุดหมาย “โชคดีแหะ วันนี้ิอากาศดีมาก”ธีโอเปิดเช็คสภาพอากาศในโทรศัพท์ มีแดดจ้าทั้งวัน และพระอาทิตย์ตกราว ๆ 4 ทุ่ม “นายพร้อมหรือยัง” ร่างสูงหันมาถามพร้อมถอดเสื้อเชิ้ตออกเหลือแต่เสื้อกล้ามสีเขียวขี้ม้าแบรนด์ Polo ด้านในกระชับเป้ด้านหลัง ใส่แว่นตากันแดดจาก Oakley ซึ่งเพิ่มความเท่ให้กับเขาอีก25% เห็นแบบนั้นแล้วผมเลยหยิบออกมาใส่บ้าง “Let’s go!” ครึ่งชั่วโมงผ่านไป “แฮ่ก ๆ” “นายนี่มันอ่อนแอจริง ๆ ไหวไหมน่ะ ?อีกประมาณ 200 เมตรก็จะถึงจุดพักแล้วเราไปนั่งกินข้าวเที่ยงกันตรงนั้นก็ได้” ธีโอแหล่มองอย่างเหยียด ๆ เกลียดจริงเว้ยยยย ไอ้ท่าทางสบาย ๆนั่นน่ะ คือผมเป็นคนปกติ แข็งแรง ไม่มีโรคภัยแต่ก็ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำดังนั้นการเดินขึ้นเขาครั้งนี้ผมเลยออกอาการที่ทำให้ผมรู้สึกเสียหน้าเป็นที่สุด “จุดพัก ? แฮ่ก ๆยังไม่ใช่ยอดเขา...แฮ่ก ๆ ...ที่มองเห็นวิวได้ทั่วซูริคเหรอ ?” “ยัง ต้องไปต่ออีกประมาณ 15 นาที อ้อ...แต่ถ้าความเร็วสำหรับนายคงประมาณ 20-25 นาทีได้ล่ะมั้งกว่าจะถึงยอดเขาน่ะ” เกลียดความเหน็บที่เถียงกลับไม่ได้จริง ๆ ธีโอตั้งตาตั้งตาเดินต่อแบบชิล ๆในขณะที่ผมหอบ ต้องหายใจทางปากแทน คือตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์มาแวะถ่ายรูปหรือชมวิวอะไรทั้งนั้นครับเพราะทางที่เราเดินนี้มันเป็นทางสำหรับให้ผู้คนเดิน สองข้างทางคือป่าอาจจะได้เห็นกระรอก นก สัตว์ตัวเล็ก ๆ น่ารัก ๆ บ้าง แต่อย่างที่บอกแรงจะเดินยังไม่มี จะให้ยกกล้องยังไงไหว “อากาศ...แฮ่ก ๆ ... มันร้อนหรอก ฉันเลย...แฮ่กๆ ....เหนื่อยกว่าปกติ” “ได้ข่าวว่านายมาจากเมืองร้อนนะ” จุกเลยครับผม ไม่เถียงแล้วก็ได้ ในที่สุดเราก็ถึงจุดพัก มีน้ำพุเล็ก ๆสามารถดื่มได้ อันที่จริงน้ำทั่วประเทศไม่ว่าจะเป็นน้ำก๊อกหรือน้ำพุก็สามารถดื่มได้หมดครับยิ่งน้ำพุบนเขาแบบนี้ยิ่งการันตีความสะอาดสดชื่น บริเวณนี้มีโต๊ะไม้ประมาณ 3-4 โต๊ะ ถูกจับจองไปแล้วสอง ซึ่งเป็นกลุ่มคณะ พวกเขาย่างเนื้อควันโขมงดูสนุกสนาน ส่วนผมกับธีโอเดินมานั่งโต๊ะเลยถัดไปหน่อย ด้วยความหิวและต้องการพลังงานผมกินอย่างไม่พูดไม่จา เมื่อแซนด์วิชหมดแล้ว ผมกัดแอปเปิ้ลอีก 1 ลูก จากนั้นก็เริ่มเก็บภาพบรรยากาศรอบ ๆ แต่ผมพยายามเลี่ยงไม่ให้มีคนในภาพเพราะไม่อย่างนั้นอาจเป็นการละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวและผมสามารถโดนฟ้องร้องหมดตัวได้ทันที เราสองคนใช้เวลาตรงจุดพักนี้ไม่มากจากนั้นก็ลุยกันต่อ ทางลาดชันขึ้นเรื่อย ๆ ป่าสองข้างทางเริ่มหายไปช่องว่างระหว่างปลายยอดต้นไม้เผยให้เห็นท้องฟ้าสีคราม ริ้วก้อนเมฆบาง ๆเท้าของผมก้าวเร็วขึ้นอย่างอดใจไม่อยู่ เหมือนเด็กตื่นเต้นที่จะได้เห็นของเล่นใหม่ๆ คุ้มค่าจริง ๆ ครับกับการเดินขึ้นเขาครั้งนี้ ภาพตรงหน้าผมไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ต้องมาเห็นด้วยตาของตัวเอง ทั้งเมืองซูริคและทะเลสาบที่มีเรือแล่นไปมาหลายลำทั้งลำเล็กลำใหญ่ ท้องฟ้าวันนี้ก็เป็นใจมาก เปิดกว้าง เหลือเพียงแค่ริ้วเมฆบาง ๆตัดกับท้องฟ้าสีคราม เสียงชัตเตอร์ดังรัวไม่หยุดผมอยากเก็บทุกภาพไว้ในความทรงจำ ผ่านเลนส์กล้องตัวนี้ “นายถ่ายรูปไปนะฉันจะไปนั่งจิบกาแฟสักหน่อยตรงร้านอาหารตรงนั้น” ธีโอเดินมาสะกิดบอกผมผมพยักหน้ารับรู้ มองตามจุดที่ธีโอชี้ บริเวณนั้นเป็นร้านอาหารกึ่งคาเฟ่เห็นได้ชัดว่าวันนี้อากาศดีและเป็นร้านอาหารยอดนิยม ผมไม่เห็นโต๊ะว่างเลยสักโต๊ะแต่ธีโอคงมีวิธีของเขาให้ได้โต๊ะมานั่นแหละ ผมเดินถ่ายรูปต่ออีกหน่อยจนเป็นที่พอใจแล้วก็ไปหาธีโอเขาจิบกาแฟดื่มด่ำกับบรรยากาศโต๊ะที่เขานั่งเป็นจุดที่ดีที่สุดในการชมวิวเลยก็ว่าได้ “หืม ตรงนี้วิวสวยนะ” “แน่นอน ฉันเลือกเอง” ผมว่าเขาแค่โชคดีมากกว่าที่ลูกค้าคนก่อนลุกพอดีแต่ช่างเถอะ ผมก็พลอยได้อานิสงค์ไปด้วย พนักงานเดินมาถามว่าผมจะรับอะไรดีแต่ผมยังคิดไม่ออก เลยตอบแบบส่ง ๆ ไปว่าคาปูชิโน่ “เลียนแบบ” “ฉันชอบคาปูชิโน่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเลียนแบบ” “ก็ฉันสั่งมาก่อนแล้วนายไม่รู้จะสั่งอะไร เลยสั่งตามฉัน” “เห้องั้นคนในร้านนี้คงเลียนแบบนายประมาณ 20 คนได้มั้ง” เรานั่งจิบกาแฟ เล่นโทรศัพท์พูดคุยบ้างบางครั้ง เพราะเราไม่ได้สนิทกันมากเท่าไหร่เวลาส่วนใหญ่เลยจมไปกับโลกออนไลน์บนมือถือ ผมสังเกตเห็นธีโอถ่ายรูปวิวจากกล้องโทรศัพท์ของเขาผมไม่รู้ว่าเขาเล่นโซเชียลหรือเปล่า แต่ดูท่าทางแล้วน่าจะเล่นนั่นแหละ ผมควรขออินสตราแกรมเขาดีไหมนะ ?สแนปแชท ? หรือเฟซบุ๊กดี ? ในขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากถามเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์อีกฝ่ายก็ดังเสียก่อน ธีโอทำสีหน้ายุ่งยากเหมือนจะไม่ยากรับสายนี้สักเท่าไหร่เขาดูลังเล “รับสิ ไม่ก็ตัดสาย เสียงมันน่ารำคาญ”ผมพูดแทนโต๊ะข้าง ๆ ที่เหลือบมองมายังธีโอเพราะเสียงเรียกเข้าของเขามันรบกวนคนอื่น เขารับ แล้วคุยด้วยภาษาบ้านเกิดซึ่งผมไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิดเดียว แต่ดูจากสีหน้าแล้ว เขาคงไม่สบอารมณ์เท่าไหร่จนเมื่อวางสาย นัยน์ตาสีฟ้าจ้องมองผมด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย ย้ำว่าเล็กน้อย “มิค” “ว่าไง?” การที่เขาเรียกชื่อผมแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ “ฉันขอโทษนะ แต่ฉันต้องไปแล้ว” ทำไมแทงหวยไม่ถูกแบบนี้บ้างวะ ? “พอดี...เพื่อนฉัน...กำลังแย่น่ะ” “อือ ไม่เป็นไร ไปเถอะฉันเที่ยวต่อคนเดียวได้ ไม่ต้องห่วง” “แน่นะ ?” ธีโอถามเพื่อความแน่ใจแต่มือนี่หยิบเงินสดออกมาวางไว้พร้อมหยิบเป้สะพายแล้ว ตกลงเป็นห่วงจริงไหมเนี่ย “แน่สิเพื่อนนายต่างหากตอนนี้ที่ต้องเป็นห่วง ไปเถอะ” “โอเค งั้นเที่ยวให้สนุกนะเจอกันที่บ้าน บาย” ร่างสูงเดินจากไปแล้วเหลือเพียงผมที่นั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียว ทำตัวเป็นพระเอกเอ็มวีแต่แท้จริงแล้วในใจผมตอนนี้คือ... แล้วกูจะหาทางลงเขายังไงวะเนี่ยยยยยย ?ใครก็ได้พาผมลงเขาหน่อยคร้าบบบบบ เมื่อจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยผมวางแผนไว้ในหัวแล้วว่าคงเดินตามคนอื่น ๆ เอา จากนั้นก็จะนั่งรถไฟเข้าเมืองไปถ่ายรูปเก็บบรรยากาศเล่น ๆ ผมยังไม่อยากเข้าบ้านสักเท่าไหร่ ตอนนี้ผมกำลังเดินลงจากเขาซึ่งขอบอกเลยว่าผมอยากให้ธีโออยู่กับผมตอนนี้มาก การขึ้นว่ายากแล้ว การลงเขานั้นยากกว่า การขึ้นเหนื่อยแค่กาย ปวดขา น่องปูดอะไรก็ว่ากันไป แต่ขาลงนี้...บอกตรง ๆ ว่าผมหายใจไม่ทั่วท้อง ทางเดินลาดชันมีราวให้เกาะเป็นระยะ ๆ แต่ก็ไม่ได้ต่อเนื่องไม่รู้ว่าผมเดินไม่เป็นหรือรองเท้าผมมันไม่ดีพอเพราะนับตั้งแต่เดินลงมาผมลื่นหัวเข่าถลอกไปแล้วสามครั้งผมได้แต่สบถก่นด่าตัวเองในใจว่าจะเลือกใส่กางเกงขาสั้นเหนือเข่ามาทำไมตอนนี้หัวเข่าผมมีแต่เลือดเต็มไปหมด แถมแสบอีกต่างหากผมได้แต่ใช้น้ำเปล่าราดเพื่อทำความสะอาดแบบลวก ๆ
ไม่รู้ว่าหนทางยังยาวไกลอีกแค่ไหน แต่ตอนนี้ผมเริ่มท้อแค่มองตามทางลาดก็เหนื่อยใจแล้ว ผมค่อย ๆ เกาะเดินตามราวเดินแบบเฉียงเพื่อเพิ่มแรงเสียดและทรงตัวได้ง่ายขึ้น พยายามเดินบนดินที่ไม่ใช่ก้อนกรวด
“ให้ผมช่วยไหมครับ ?” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นด้านหลังผมหันไปมอง ชายหนุ่มผมสีบลอนด์เหลือบแดงไว้หนวดเคราพอประมาณ ยิ่งเสริมเขาดูเซ็กซี่ร่างกายกำยำแบบที่ชายทุกคนบนโลกใบนี้ใฝ่ฝันท่อนแขนกล้ามเนื้อได้รูปนั่นกำลังจับแขนผม นัยน์ตาเขียวอมฟ้ากำลังจ้องมองมาทางผม เขาดูเยือกเย็นแต่ร้อนแรงเขาดูอันตรายแต่น่าหลงใหล นั่นคือสองประโยคแรกทันทีที่ผมหันไปมองเขาผมไม่สามารถละสายตาจากเขาได้เลย “คุณโอเคไหม ?” เสียงทุ้มถามซ้ำผมหลุดจากภวังค์ “คะ ครับ” “แต่คุณดูไม่โอเคนะ...เฮ้ขาคุณได้รับบาดเจ็บนี่” เขาร้องเมื่อเห็นแผลถลอกตรงหัวเข่าเขานั่งคุกเข่าลงหนึ่งข้าง เปิดกระเป๋าเป้แล้วหยิบผ้ากับครีมอะไรไม่รู้หนึ่งหลอดเขาจับขาผมวางบนหน้าขา “อยู่นิ่ง ๆ นะครับ อาจแสบหน่อย” “เอ่อ...” “ผมจะใช้ผ้าทำความสะอาดแล้วเอาครีมป้ายนะครับ ครีมนี้คือครีมที่ใช้รักษาพวกผิวหนังทั่วไปเช่นแผลถลอกผิวลอก แห้ง ดังนั้นไม่ต้องห่วงนะครับว่าผมจะเอายาอะไรไม่ดีป้ายใส่” เขาอธิบายไปทาครีมบนหัวเข่าของผมไป “แผลถลอกไม่ลึกมากเท่าไหร่ ทางที่ดีพยายามอย่าให้โดนน้ำและไม่ต้องปิดแผลนะครับ เปิดไว้จะดีกว่า แผลจะได้แห้งตกสะเก็ดเร็ว” ผมก้มมองคนแปลกหน้าที่กำลังลูบไล้ทั่วหัวเข่าผมฝ่ามือหนาแต่นิ้วเรียวได้รูป แม้แต่ข้อนิ้วยังดูดี คนอะไรดูดีไปหมดเขาเป็นดารานายแบบรึเปล่า ? “ขอบคุณมากครับ” ผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่กล่าวขอบคุณ ใบหน้าราวกับเทวดาเงยมายิ้มให้ผมเล็กน้อย “ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับว่าแต่มาเที่ยวคนเดียวเหรอครับ ?” คนแปลกหน้าถามเขาทาครีมให้ผมเสร็จแล้วและลุกขึ้นยืนเต็มความสูง น่าจะสัก 193 เซ็นติเมตรได้ “อ่อ คือพอดีผมมากับเพื่อนแต่เขาติดธุระด่วนเลยกลับไปก่อน” ผมเล่าให้เขาฟังตามจริง “แล้วคุณละครับมาคนเดียวเหมือนกันใช่ไหม” “ใช่ครับ เวลาว่าง ๆผมชอบมาปีนเขาเล่นคนเดียวน่ะ” ยิ้มแล้วโลกสดใสมันเป็นแบบนี้นี่เอง “ผมไมเคิลหรือจะเรียกว่าไมค์ก็ได้ครับ” คนแปลกหน้ายื่นมืออกมาแนะนำตัว “ผมมิคครับหรือจะเรียกว่ามิคก็ได้ครับ” ผมหยอกล้อเขากลับ พร้อมจับมือแน่น “ฮ่า ๆ ยินดีที่ได้รู้จักครับมิคถ้าไม่รังเกียจ เราสามารถเดินลงเขาไปพร้อมกันได้นะครับ” คนหล่อชวนขนาดนี้จะปฏิเสธได้ยังไง “แต่ว่า ผมเดินลงช้ามากนะครับยิ่งมีแผลแบบนี้ด้วย อาจจะเสียเวลาคุณเปล่า ๆ” แต่รู้จักไหมครับ มารยาชายไทยอย่างผม “ไม่เลยครับ ดีซะอีกผมจะได้ช่วยพยุงคุณได้” ไมเคิลยิ้มกว้างเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบแล้วยื่นมือมาให้ผมจับ “มืออีกข้างจับผมไว้นะครับส่วนอีกข้างก็จับราวไป เราค่อย ๆ ลง ผมไม่รีบ มีเวลาทั้งวันครับ” ไมเคิลพูดติดตลก “ถ้าคุณยืนยันขนาดนั้นแล้ว...ก็รบกวนด้วยนะครับ” ขอบคุณแสงแดดยามบ่ายที่ทำให้อุณหภูมิในร่างกายเขาสูงขึ้นเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นตามไรผม ทุกอย่างบนร่างกายเขาดูลงตัวไปหมด ขอบคุณเขาลูกนี้ที่ทางลงชันมากจนทำให้ผมได้แผลแต่กลับได้ชายจิตใจดีมาช่วยเหลือ ผมเดินมาที่ครัวโซอี้บอกให้ผมเตรียมโต๊ะอาหาร “แซมมวลไปล้างมือแล้วโทรเรียกธีโอให้ขึ้นมากินข้าวหน่อยลูก...มิคจ้ะช่วยจัดโต๊ะอาหารหน่อยนะ ผู้ใหญ่ 4 เด็ก 1 และลากเก้าอี้เบบี้มาไว้ข้าง ๆ เธอด้วยจ้ะเพราะเดี๋ยวฉันจะลองให้เธอป้อนข้าว” เก้าอี้ของเจย์เด็นเป็นแบบของเด็กเล็กส่วนแซมมวลใช้เก้าอี้ปกติแบบผู้ใหญ่นั่ง ผมเดินไปหยิบผ้ารองจาน จาน แก้วน้ำผ้าเช็ดปาก มีดกับส้อม ช้อนใหญ่และช้อนเล็ก จากนั้นจัดเรียงตามแบบสากล ดีนะที่ผมเคยเรียนตอนอยู่มหาลัยมาเรื่องการรับประทานอาหารบนโต๊ะมารยาทในการเข้าสังคม ผมจึงมีความรู้ติดตัวอยู่หน่อยบ้างตอนนั้นก็คิดว่าจะเรียนไปทำไม กินข้าวก็แค่ตักใส่ปากแต่พอมาวันนี้ได้มีโอกาสร่วมโต๊ะแบบสากลก็รู้สึกขอบคุณอาจารย์ผู้สอนวิชานั้นขึ้นมาทันทีจำได้ว่าตอนเรียนมีการสอนเรื่องตักซุปโดยปกติคนทั่วไปก็จะตักซุปใส่ช้อนแล้วเกลี่ยน้ำซุปหลังช้อนออกเข้าหาตัวแต่ความจริงแล้วมารยาทคือเราควรเกลี่ยน้ำซุปหลังช้อนออกโดยหันตูดช้อนตรงข้ามกับเราเพื่อที่สมาชิกร่วมโต๊ะอาหารจะได้ไม่เห็นคราบสกปรกบนช้อน รวมไปถึงการรับประทานสลัดที่หากมีผักสลัดใบใหญ่ ให้พับแล้วนำส้อมจิ้ม แต่ผักจะคลี่ออกดังนั้นเราจึงควรจิ้มแครอท แตงกวา หรือเนื้อต่อเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผักคลี่ออกอีกทั้งยังเป็นการรับประทานผักและเนื้อไปพร้อม ๆ กันเพื่อตัดรสชาติในปาก กลับมาที่ปัจจุบันเสียงประตูลิฟต์เปิดออก คนที่มาใหม่ไม่ใช่ใครแต่เป็นลูกชายคนโตสุดนั่นเอง “สวัสดีตอนเย็นธีโอ” ทักทายตามมารยาทแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจมารยาทสักเท่าไหร่นัก ธีโอคุยกับโฮสมัมเป็นภาษาสวิสเยอรมันเหมือนจะถามไถ่อะไรสักอย่าง ทำหน้าไม่สบอารมณ์ แล้วเขาก็นั่งลงตรงข้ามผม ผมไม่สนใจ ป้อนข้าวเจ้าตัวเล็กต่อดูเหมือนเจย์เด็นจะไม่สนใจว่าใครป้อนข้าวให้ ขอแค่ให้ได้กินก็พอ “อ๊า อ๊า มะ มะ อ๊ะ น่ำ แอ๊ะ”เสียงเด็กเบบี้ร้องไม่เป็นภาษา ทำเอาผมยิ้ม เจย์เด็นมีความสุขที่ได้กิน เมื่ออาหารพร้อมโซอี้ยกพาสต้าและน้ำซอสวางไว้ตรงกลางโต๊ะผมรอให้ทุกคนตักเสร็จผมจึงตักพาสต้าใส่จานตัวเองบ้าง “เธอทำอาหารไทยเป็นใช่ไหมมิค” ลูคัสถาม “ใช่ครับแต่ผมไม่มั่นใจว่าจะหาวัตถุดิบได้ที่ไหน แล้วอีกอย่างรสชาติอาจไม่ถูกปากด้วยครับ” “ไม่เลย พวกเราชอบอาหารไทยมากใช่ไหมแซม ใช่ไหมธีโอ” “ใช่ ผมชอบแกงเขียวหวานมาก”แซมสนับสนุน ส่วนคนโตสุดไม่ตอบอะไรนอกจากจิ้มพาสต้าเข้าปาก “มีร้าน Asia shop ตรงใจกลางเมืองอยู่หลายร้าน แต่ที่ใกล้บ้านเราที่สุดก็นั่งรถเมล์หรือแทรมไปสามสี่ป้าย”โซอี้บอก “ดีเลยครับ ถ้าอย่างนั้นว่าง ๆให้ผมได้โชว์ฝีมือการทำอาหารไทยให้ทุกคนทานนะครับ” “แอ๊ะ แอ๊ะ นั่ม นั่ม อ๊ะ แอะ” “เห็นไหมเจย์เด็นก็อยากลองอาหารไทยฝีมือมิคฮ่า ๆ” คนแม่พูดติดตลกเมื่อเห็นลูกคนเล็กร้องขึ้นมาได้จังหวะพอดี ผมตักพาสต้าใส่ปากตัวเองแล้วป้อนข้าวเจย์เด็นสลับไปมา จนเจย์เด็นกินหมดแต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กจะมีกระเพาะอาหารที่ใหญ่กว่าตาเห็นเพราะเขายังร้องไม่หยุด พร้อมยกมือชี้นิ้วไปที่พาสต้าของผม “เธอสามารถให้เขาทานพาสต้าได้นะยกเว้นซอส” เมื่อโซอี้อนุญาตแล้วผมเลยหยิบพาสต้าส่วนที่ไม่มีซอสจากจานตัวเองให้เจย์เด็นเขารับมันไว้ในมือและนำใส่ปาก เจย์เด็นดูท่าจะไม่อิ่มง่าย ๆเขายังคงร้องเรียกความสนใจจากทุกคน ผมเลยหยิบพาสต้าให้อีกหลาย ๆ ชิ้นวางไว้หน้าเขา ให้เขาหยิบกินเอง ดูเหมือนเจยเด็นจะสนุกกับการกิน ผมชอบที่ได้เห็นวิวัฒนาการของเด็กวัยนี้เพราะมันสามารถสร้างความประหลาดใจให้ผมได้เสมอ หลังจากทุกคนรับประทานอาหารเสร็จผมช่วยโซอี้เก็บโต๊ะ ส่วนลูคัสช่วยเก็บนิดหน่อยแล้วเดินไปคุยโทรศัพท์ธีโอบอกฝันดีและจุ๊บแก้มแม่ตัวเองหนึ่งครั้ง บอกฝันดีลูคัสกับแซมแล้วเดินไปที่ลิฟต์ “ช่วงเวลานี้แซมจะเล่นกับพี่ชายเขากับลูคัสด้วยกันสามคนหลังกินอาหารเสร็จส่วนฉันจะไปเปลี่ยนชุดนอนให้เจย์เด็นและพาเขาเข้านอน ประมาณ 19.30 ส่วนเธออาจจะทำความสะอาดครัวหรือพาเจย์เด็นเข้านอนแล้วแต่สถานการณ์แต่วันนี้เธอมากับฉันก่อน มาเรียนรู้ว่าฉันพาเจย์เด็นเข้านอนยังไง” วิธีพาเด็กวัยนี้เข้านอนไม่มีอะไรซับซ้อนมากแค่ชงนมแล้วให้เจย์เด็นดูดนม ระหว่างนั้นด็ค่อย ๆ ลูบหัวเขาไปด้วย “เจย์เด็นเป็นเด็กที่อ่านง่ายอย่างถ้าเขาเอานุกกี้ (Nuk)* ออกจากปากนั่นหมายความว่าเขาต้องการดูดนมต่อแต่ถ้าเขาไม่ต้องการแล้วเขาจะหยิบนุกกี้ใส่ปากตัวเอง” โซอี้อธิบาย“เธอไม่ต้องรอให้เขาดูดนมจนหมดขวดหรือลูบหัวจนกระทั่งเขาหลับนะเธอแค่คอยดูว่าเขาโอเคแล้ว เธอก็ออกจากห้อง ปิดประตู แง้มไว้นิดหน่อยและเงี่ยหูฟังเสียงสักระยะ เจย์เด็นสามารถหลับได้ด้วยตนเองแต่ถ้าหากเขาร้องไห้ขึ้นมา ปล่อยเขาร้องประมาณ 30 วินาทีให้เขาหยุดและหลับไปเอง แต่ถ้าเกินกว่านั้นเธอต้องเข้าไปกล่อมเขาและให้นมใหม่เพราะเขายังอาจจะยังต้องการนมเพิ่ม” ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจมือหนึ่งถือขวดนมให้เจย์เด็นดูด อีกมือหนึ่งลูบหัวกลม ๆ ที่กำลังดูดนมอย่างตั้งใจ โซอี้ให้สัญญาณว่าผมควรออกจากห้องผมกระซิบบอกฝันดีกับเจ้าตัวเล็ก แล้วค่อย ๆ ย่องออกมา เราทั้งคู่ยืนอยู่หน้าประตูเพื่อเงี่ยฟังเสียงผ่านไปประมาณ 5 นาทีเจ้าตัวเล็กก็ร้องขึ้นมาแต่ทว่าเขาก็เงียบสงบลงไปเอง ผมแง้มประตูเข้าไปดูนิดหน่อยพบว่าเจย์เด็นหลับตาพริ้มราวกับเทวนาตัวน้อย ๆ ไปเสียแล้ว “เป็นอย่างไรบ้างจ้ะงานวันแรก”โซอี้ถามผม ในขณะที่เดินมายังห้องครัวเพื่อทำความสะอาดส่วนที่ยังค้างไว้ “สบายมากครับ” ผมตอบตามความจริง“แต่ผมอาจจะยังต้องใช้เวลาเพื่อเรียนรู้กิจวัตรประจำวัน” “ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไปฉันเชื่อว่าไม่นานเธอต้องเข้ากับเด็ก ๆ ได้ดีแน่ ๆและเธอจะทำทุกอย่างได้โดยที่ไม่มีฉัน” โซอี้ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ผมอธิบายไม่ถูกคือคำพูดของเธอดูเหมือนจะหวังดีแต่ประสงค์ร้าย...ไม่ใช่สิประสงค์ให้ทุกคนทำตามที่เธอต้องการเสียมากกว่า “ตารางงานเธอจะคล้าย ๆ แบบนี้ทุกวันในตอนเช้าฉันจะเคลียงานเรื่องลูกความ เอกสารต่าง ๆ เธอก็ดูแลเจย์เด็นไปส่วนตอนบ่ายเธอสามารถพักได้ จนถึงเวลาแซมกลับจากโรงเรียนและรับประทานอาหารค่ำด้วยกันเธอหรือฉันพาเจย์เด็นเข้านอนและเก็บครัว เป็นอันเสร็จงานจ้ะ”โซอี้ทบทวนให้ผมฟังอีกครั้ง “เธอมีคำถามอะไรไหมจ้ะ” “เรื่องบัตรประชาชน ...” “อ๋อ พรุ่งนี้ฉันจะพาไปจ้ะเพราะเธอต้องมีบัตรประชาชนภายในหนึ่งอาทิตย์หลังจากที่ถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จากนั้นฉันจะพาเธอไปเปิดบัญชีธนาคารเพื่อโอนเงินเดือนและพาไปทำบัตรรถขนส่งสาธารณะหรือที่เรียกว่า Swiss Pass เธอจะได้ส่วนลด50% ในการซื้อตั๋วรถขนส่งสาธารณะทุกประเภทและนั่งรถไฟฟรีตั้งแต่7 pm - 7 am และนี่...คือซิมโทรศัพท์ เธอสามารถโทรฟรีและอินเตอร์เน็ตฟรี ไม่ต้องห่วงค่าใช้จ่าย ฉันออกให้จ้ะ” “ขอบคุณมาก ๆ ครับ”ผมรับซิมโทรศัพท์มาไว้ในมือ “ส่วนเรื่องเรียนภาษาเธออยากเรียนภาษาอะไรเหรอจ้ะสวิสเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่ไม่ง่ายในการใช้ชีวิตเพราะมีภาษาราชการด้วยกันถึง 4 4ภาษา ได้แก่ เยอรมัน ซึ่งคนจะพูดเยอะสุด คิดสัดส่วนเป็น 70% รองลงมาคือ อิตาเลียน และฝรั่งเศส ตามลำดับ” “เยอรมันครับ” “โอเคจ้ะเดี๋ยวอาทิตย์หน้าหลังโรงเรียนแซมมวลเปิด เธอสามารถไปเรียนระหว่างวันได้แต่ภาษาเยอรมันที่เธอจะได้เรียนมันแตกต่างกับท่ี่คนสวิสพูดอยู่สักหน่อยนะจ้ะเธออาจจะสับสนหากได้ยินพวกเราคุยกัน” เรื่องนั้นผมก็พอรู้ว่าอยู่บ้างว่าคนสวิสที่พูดเยอรมันจะออกเสียงต่างจากภาษาเยอรมันทั่วไป โซอี้บอกตารางงานในวันพรุ่งนี้ว่าผมจะต้องทำอะไรบ้างจากนั้นผมก็บอกลาและลงมายังชั้นของผมทว่าในขณะที่ผมกำลังไขกุญแจเพื่อเปิดประตูนั้น ดันมีคนเปิดประตูออกมาเสียก่อน “อ้าว ธีโอ” ผมทัก แต่ก็เหมือนเดิมเขาไม่ตอบผม ทำเหมือนผมไม่มีตัวตนในสายตาเขา ผมไม่สนใจคิดซะว่ายังไงเราคงไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากมายอยู่แล้วหน้าที่ผมคือดูแลแซมมวลและเจย์เด็นไม่ใช่คนพี่ตัวโตเป็นควายแต่สมองคิดไม่ได้อย่างธีโอ เพียงแต่คนอาศัยบ้านเดียวกันต้องกินข้าวร่วมโต๊ะอาหารกัน อย่างน้อยก็ควรจะทักทายพูดคุยกันสักเล็กน้อยไม่ดีกว่าหรือไง หรือว่าธีโอมีปัญหาด้านการเข้าสังคม ผมได้แต่คิดไปต่าง ๆ นานาสุดท้ายคิดไปก็เท่านั้น มันเรื่องของเขามาคิดกันดีกว่าว่าสุดสัปดาห์ที่ผมจะได้หยุดนี้มีที่ไหนน่าไปบ้าง สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่สวยทุกมุมไม่ว่าพื้นที่ไหน ภูเขา ทะเลสาบ อะไรก็งดงามไปหมดผมมีเวลาเรียนรู้และสำรวจประเทศนี้ทั้งปี ดังนั้นค่อย ๆ เริ่มจากใกล้ ๆ ก่อนดีกว่า พอเซิสข้อมูลแล้วพบว่าในซูริคมีภูเขาเล็กๆ ชื่อว่า Uetilberg เหมาะสำหรับมือใหม่เริ่มการเดินขึ้นเขาอย่างผม ทว่าผมคงต้องไปคนเดียวเพราะผมยังไม่รู้จักใครสักคนเลย หืม ? ทำไมไม่ลองชวนคนที่เพิ่งเจอกันแต่ไม่ยอมแม้แต่จะทักผมกลับน่ะเหรอ? ... เหอะ! ผมยอมไปคนเดียวซะดีกว่า “มิคจ้ะ วีคเอนนี้มีแพลนยังไงเหรอจ้ะ”โซอี้ถามระหว่างที่เราทุกคนพร้อมหน้ากำลังทานอาหารเย็นวันศุกร์ “ผมกะว่าจะไปปีนเขาน่ะครับเห็นว่ามีภูเขาไม่ไกลจากซูริค นั่งรถไฟไม่ถึงชั่วโมง”ผมตอบขณะที่ป้อนข้าวเจย์เด็นไปด้วย “ใช่ Uetilberg รึเปล่า?”ลูคัสถามบ้าง “ใช่ครับ” “ที่นั่นวิวสวยมากนะ ฉันชอบแถมเหมาะกับคนเพิ่งเริ่มปีนเขาอย่างเธอ” โฮสแดดสนับสนุน “ว่าแต่เธอจะไปคนเดียวเหรอจ้ะ? มีเพื่อนมั้ย?” โฮสมัมถามอย่างเป็นห่วงเพราะรู้ว่าผมเพิ่งมาถึงได้สามวันและยังไม่มีเพื่อนเลยสักคน “เอ่อ...ผมคงไปคนเดียวน่ะครับ” “ถ้าอย่างนั้นให้ธีโอไปด้วยไหมเขาเคยไปที่นั่นมาแล้ว ให้เขาพาเธอเที่ยวในเมือง เป็นไกด์แนะนำสถานที่ต่าง ๆในซูริคก็ได้” โซอี้เสนอ “นั่นสิ มิคจะได้มีเพื่อนสำรวจเมืองพอเขารู้เส้นทางหรือการนั่งแทรม รถไฟ รถบัสทีหลังเขาจะได้ไปเองได้...นับว่าเป็นไอเดียที่ดีนะ” ลูคัสเห็นด้วย มีแต่ผมกับคนตรงข้ามนี่แหละที่หยุดการกินชะงัก และแสดงท่าทางชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย “พ่อครับ เสาร์นี้ผมมีนัดแล้ว” “แกเพิ่งบ่นกับฉันว่าเสาร์นี้ว่างมากไม่มีอะไรทำเพราะพวกเพื่อนแกหยุดฮอลิเดย์ไปเที่ยวกันหมด” คนเป็นพ่อสวนกลับ “ดีเลย ถ้าอย่างนั้นตามนี้นะจ้ะฝากด้วยนะธีโอ พามิคเปิดหูเปิดตา”โซอี้ยิ้มให้ลูกชายคนโตแบบที่เขาต้องยอมรับชะตากรรม ส่วนผมก็ได้แต่พูดขอบคุณตามน้ำไปก่อนทว่ากะรอเวลาหลังทานข้าวและทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยผมจะลงไปคุยกับเขาว่าผมสามารถไปคนเดียวได้ เขาไม่ต้องฝืนมากับผมเลย หลังเสร็จงาน ผมเข้าลิฟต์และกดชั้นสามผมเคาะประตูเพื่อให้รู้ว่ามีคนเข้ามาพร้อมตะโกนเรียก “เฮ้ ธีโอ อยู่ไหม” ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก ถ้าอย่างนั้นขอถือวิสาสะเข้าไปเลยละกันนะ ผมเดินเข้าไปชั้นของธีโอมีความเหมือนกับชั้นบนสุด มีกระจกบานใสเห็นวิวพาโนราม่าผมสำรวจที่ห้องนั่งเล่นกลับไม่พบใคร นอกจากกระป๋องเบียร์ แก้วไวน์และขวดเหล้าวางกระจัดกระจาย “ธีโอ นี่ฉันเอง มิคฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” ผมตะโกน ไม่อยากเปิดประตูห้องนอนทุกห้องแค่นี้ก็บุกรุกพื้นที่ส่วนตัวเขามากพอแล้ว “ฉันจะคุยเรื่องวันพรุ่งนี้”ผมสำทับและมันได้ผล ประตูห้องหนึ่งเปิดออกพร้อมเจ้าของห้องที่ดูอารมณ์เสียสุด ๆร่างสูงพิงกำแพง ยืนกอดอก “มีอะไร?” “คือพรุ่งนี้ไม่ต้องไปกับฉันก็ได้นะฉันไปเองได้ ฉันไม่อยากไปเที่ยวกับคนที่ไม่เต็มใจไปด้วย” ผมพูดตรง ๆธีโออึ้งเล็กน้อย เขาเดินตรงมาหาผม “ฉันบอกตอนไหนว่าไม่เต็มใจ?” “ไม่ต้องบอก แต่ดูจากท่าทางของนาย ใครๆ ก็รู้” นี่ผมมาดีนะ แต่ทำไมบทสนทนามันชักจะเริ่มออกแนวหาเรื่องเรื่อย ๆ“ฉันไม่สนใจหรอกนะว่านายจะโกรธเกลียดอะไรฉันแต่เราอยู่บ้านเดียวกันอย่างน้อยต่อหน้าพ่อแม่ของนายก็ควรมีมารยาทบ้างส่วนลับหลังนายจะไม่ได้เห็นหน้าฉันเลยถ้าไม่จำเป็นฉันมาอยู่ที่นี่แค่หนึ่งปีเพื่อดูแลน้องชายทั้งสองคนของนายอย่างน้อยนายควรจะปฏิบัติตัวดี ๆ กับฉันสักหน่อยนะ...แค่หนึ่งปีเท่านั้นแล้วฉันจะไปไม่นายเห็นหน้าอีก” ผมควรเคลียร์ตั้งแต่ตอนนี้ ผมไม่อยากมีปัญหากับเขาเพราะนี่มันเพิ่งเริ่มต้นด้วยซ้ำ อีก 12 เดือนที่เราต้องอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันและที่ผมพูดตรง ๆ กับธีโอเพราะอยากให้เขารับรู้ แต่ถ้ามันไม่ดีขึ้นผมก็คงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ธีโอเงียบไปครู่หนึ่งต่างคนต่างไม่มีใครพูด จ้องหน้ากันอยู่แบบนั้น ในที่สุดผมก็ถอนหายใจ “เฮ้อ แล้วแต่เลยละกัน ฝันดีนะส่วนเรื่องไปเที่ยวพรุ่งนี้ฉันจะบอกโซอี้กับลูคัสเองว่าฉันอยากไปคนเดียวมากกว่า”พูดจบแล้วหันหลังกลับ ทว่าอีกฝ่ายกลับตะโกนตามหลังมาว่า “พรุ่งนี้เจอกัน 10 โมง” ผมยิ้ม “โอเค ฝันดีนะ” * Nuk คือจุกนมในที่นี้โซอี้ชอบเรียกว่านุกกี้ TBC
|