Please, leave ไมเคิล แบชมานน์ (MichealBachmann) อายุ 33 ปี เป็นชาวสวิสสามารถพูดได้ 5 ภาษา กิจกรรมยามว่างคือชอบปีนเขา เล่น SUP*สกี ขี่ม้า และยิงปืน ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ส่วนภาพยนตร์นั้นเขาสามารถดูได้ทุกประเภท แต่จะชอบแนวสยองขวัญ ระทึกขวัญเป็นพิเศษปัจจุบันอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นใจกลางเมืองซูริค ส่วนโสดไหม...ผมก็ยังไม่รู้ ก็เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่ชั่วโมงเองนี่นา... ระหว่างทางที่เดินเขาลงมาด้วยกันผมกับไมเคิลผลัดกันถามกันตอบ ลืมความเจ็บแสบแผลถลอกไปเสียสนิท ใช่ครับผมกำลังสร้างความสนิทสนมอย่างเป็นธรรมชาติผมจะไม่ยอมให้ครั้งนี้เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกันแน่ “คุณจะอยู่ที่นี่นานไหม ?” ฮันแน่...ถามแบบนี้... “1 ปีครับ” นานพอที่จะทำความรู้จักกันไหมครับ? “1 ปีเหรอ ? อืมมม ไม่เร็วแต่ก็ไม่นานเกินไป 1 ปีนี่คุณสามารถเรียนรู้อะไรได้หลายๆ อย่าง ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีเลยนะ” “ใช่ครับ มีอีกหลาย ๆอย่างที่ผมต้องเรียนรู้ เริ่มจากตอนนี้เลยครับ ผมจะกลับบ้านยังไงล่ะเนี่ย ?”ผมถือคติ ‘สวยมักนกตลกมักได้’ แอบหยอดมุขเล็กๆ ซึ่งก็ได้ผล ไมเคิลขำทำเอาผมแทบละลายกองอยู่ตรงนั้น “มาครับผมช่วยสอนก่อนอื่นเลยคุณมีแอพ SBB หรือยัง” “เพิ่งโหลดเมื่อเช้านี้เองครับแต่ผมยังงงๆกับการใช้งานมันอยู่” เอาจริง ๆ มันก็ไม่ได้ยากอะไรหรอกแค่กรอกชื่อสถานีจุดเริ่มกับจุดหมายปลายทาง กับเวลาที่ต้องการแค่นี้ก็รู้เส้นทางแล้ว ร่างสูงโน้มตัวลงมาจิ้ม ๆบนโทรศัพท์เพื่อสอนผม แต่ผมแอบลอบมองสันกรามกับสูดกลิ่นกายร่างสูงมันไม่ได้น่ารังเกียจ เพราะผมได้กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ผสมกับกลิ่นเหงื่อเป็นกลิ่นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา กล้ามเนื้อแขนแน่น ๆนี้หากรัดตัวผมไว้คงดิ้นไม่หลุดหนวดเคราสีแดงไซร์ตามหลังหูและลำคอคงทำผมเคลิ้มจนลืมวันเวลานัยน์ตาเขียวอมฟ้าดุจเพชรจับจ้องมองมาที่ผมคนเดียว “นี่ครับขึ้นรถไฟรอบนี้ไปลง Zurich HB แล้วต่อแทรมไม่กี่สถานีก็ถึงบ้านแล้วครับ” ผมหลุดจากภวังค์ “ขอบคุณครับแล้วไมค์กลับยังไงครับ ?” ใจจริงคืออยากถามมากกว่าว่าหิวรึยังไปหาอะไรกินกันไหม แต่ผมกลัวว่าจะเป็นการรุกเร็วเกินไปอาจทำให้เหยื่อตกใจได้ “ผมก็จะนั่งรถไฟไปลงที่ ZurichHB เหมือนกันครับ แต่ต่อแทรมคนละสาย” “น่าเสียดายนะครับ”ถ้าอยู่ใกล้กันคงดี “เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะครับ” “อ๋อ เปล่าครับผมบอกว่าดีเลยครับ จะได้นั่งไปด้วยกัน” ผมยิ้มให้ เอาว่ะอย่างน้อยอยู่เมืองเดียวกัน ไปมาหาสู่คงไม่ยากเท่าไหร่ ผมกับเพื่อนสุดหล่อคนใหม่ขึ้นรถไฟด้วยกันขณะอยู่บนรถไฟเราไม่ได้พูดคุยเหมือนตอนที่ลงมาจากเขา ทั้งผมทั้งเขาต่างเงียบผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แอบเหลือบมองคนนั่งตรงข้ามเป็นระยะ ๆก็เห็นทำหน้านิ่งขรึม มองวิวนอกหน้าต่าง ส่วนตัวผมรู้สึกหดหู่เล็กน้อยมันเหมือนกับว่าเวลาที่เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันใกล้หมดลงแล้ว ต้องทำอะไรสักอย่างอย่างน้อยต้องขอเฟซบุ๊กหรืออะไรก็ได้ติดต่อไว้ แต่จะขอยังไงดีล่ะ ? “มิคหิวไหม ?” ผมยิ้มร่าเหมือนหมาหงอยที่เจอเจ้าของกลับมาบ้านสักที หากผมมีหางคงกระดิกไปมาไม่หยุด “หิวครับ” “อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม ?เช่น อาหารอิตาเลียน อาหารเวียดนาม หรืออาหารไทยดี ?” ไมเคิลโน้มตัว ยันศอกกับเข่า เสื้อกล้ามเขาร่นลงมาทำให้ผมเห็นแผงอกอันสวยงามน่าลูบไล้ “เอ่อ...”ผมหลุบตามองต่ำแล้วรีบตวัดกลับมาจ้องมองคนตรงข้าม ที่ผมว่าเขากำลังอ่อยผมแน่ ๆ“ผม...อยากกินอาหารสวิสครับ” อ่อยมาอ่อยกลับไม่โกง “ได้เลยครับ ผมรู้จักอยู่ร้านนึงแถวOld town มิคน่าจะชอบ” “Old town ? ที่ไหนหรอครับ?” “มันคือย่านใจกลางเมืองยุคเก่าของซูริคน่ะเดินเลยย่าน Down Town ไปนิดนึง บริเวณนั้นบ้านเรือน ตึกอาคารสถาปัตยกรรมยังแบบเก่าดั้งเดิมไว้ มีร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านค้างานฝีมือ หอศิลป์โบสถ์ รวมไปถึงโรงละครโอเปร่า สามารถเดินชมวิวริมแม่น้ำ Limmat ได้ด้วย ถ้าคุณอยากไป ผมสามารถพาไปได้” “รบกวนด้วยนะครับ” “ถ้าอย่างนั้นเราไปเดินเล่นกันก่อนผมจะโทรจองโต๊ะไว้สองที่สัก 1 ทุ่ม โอเคไหมครับ ?” “เยี่ยมเลยครับ” ไมเคิลต่อสายเพื่อจองโต๊ะตามที่เขาว่าไว้ส่วนผมแทบกลั้นยิ้มไม่อยู่ นี่เป็นสัญญาณที่ดี เราไปทานอาหารเย็นด้วยกันต่อไม่ได้แยกย้ายต่างคนต่างกลับ สำหรับเขาผมอาจเป็นแค่เพื่อนต่างชาติคนใหม่แต่สำหรับผม เขาเป็นบุคคลที่มีสเน่ห์ น่าหลงใหลเท่าที่รู้จักกันไม่กี่ชั่วโมงนี้ผมรู้สึกว่าเขาสุภาพ อ่อนน้อม ถ่อมตนรู้จักเอาใจใส่ผู้อื่น แต่ผมมีความรู้สึกลึก ๆว่าภายในที่แท้จริงของเขามันจะต้องตรงข้ามอย่างสุดขั้วแน่นอน ผมแทบจะรอวันที่ได้รู้จักนิสัยที่เขาแอบซ่อนไว้ไม่ไหวแล้ว พิจารณารูปร่างภายนอกบอกได้เลยว่าไมเคิลเป็นที่ต้องตาทั้งหญิงสาวและชายหนุ่มระหว่างทางที่เราเดินด้วยกันในย่าน Old Town มีแต่คนมองมาที่เขาส่วนผมก็เป็นแค่เอเชียหน้าจืดที่บังเอิญได้เดินข้าง ๆ เขาแค่นั้นเอง เมื่อเดินมาถึงร้านซึ่งคึกคักคนแน่นเป็นพิเศษผมรู้สึกเบาใจที่ได้มากับไมเคิลเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าร้านจะต้องแน่นเลยโทรจองโต๊ะไว้ก่อน เป็นร้านอาหารไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไปตกแต่งน่ารักตามสไตล์ด้วยสีขาวแดง พนักงานเดินนำแล้วมอบเมนูให้ ซึ่งมีสามภาษาให้เลือก “ทานอะไรดีครับ” “มีอะไรแนะนำไหมผมยังไม่เคยทานอาหารสวิสมาก่อนเลย” “โอ้ถ้าอย่างนั้นต้องฟองดูชีสเลยครับ คุณชอบชีสไหม” “รักเลยล่ะ” ผมยิ้มกว้าง “เครื่องดื่มเอาอะไรดีไวน์แดงไหม?” “ครับ” คือ...ผมดื่มไวน์ไม่เป็นแต่ถ้าเพื่อไมเคิลแล้วผมทำได้ ระหว่างรออาหารผมสำรวจไปรอบๆ ร้าน มีหลายโต๊ะที่สั่งฟองดูชีสซึ่งแต่ละโต๊ะจะมีหม้อสีแดงตั้งไว้ตรงกลางเพื่อต้มชีสด้วยไฟอ่อน ๆให้ละลายอยู่ตลอดเวลา มีไม้ปลายแหลมเหมือนส้อมจิ้มขนมปังลงไปในชีสรับประทานคู่กับมันฝรั่งและผักสลัด รอไม่นานพนักงานก็มาเสิร์ฟฟองดูชีสที่โต๊ะผมบ้างกลิ่นชีสตลบอบอวล มันไม่เหมือนชีสที่คนไทยชอบกิน กลิ่นจะแรงกว่ามากยิ่งผสมกับไวน์ขาวทำเอาผมแทบมึนแม้จะยังไม่ได้เริ่มกินสักคำ “Cheers” คนตรงข้ามยกแก้วไวน์ขึ้นมาผมยกแก้วไวน์ของตัวเองขึ้นมาบ้าง แกร๊ง “Cheers” เราสองคนสบตากันแม้ขณะดื่มไวน์ ไมเคิลดูเซ็กซี่มากจนผมอยากจะกินเขาแทนฟองดูชีสตรงหน้า “แด่การพบกันครั้งแรกของเรา” “แด่การพบกันครั้งแรกของเรา” จะผิดไหมถ้าผมอยากจะเอาชีสราดทั่วร่างเขาแล้วเลียไม่ให้เหลือแม้แต่หยดเดียว ตั้งแต่วันที่ผมพบไมเคิลก็เป็นเวลาผ่านมากว่าสองสัปดาห์แล้วเราไม่ได้เจอกันอีก เพียงแค่แชทคุยผ่าน Whatsapp เท่านั้นซึ่งไมเคิลตอบช้ามากจนผมรู้สึกเกรงใจที่จะแชททักไปหาเขาบ่อย ๆ เขาดูงานยุ่งไม่มีเวลา หรืออาจจะมีนัดเดทกับสาวอื่นซึ่งผมก็ไม่อาจรู้ได้ ผมสืบเสาะหาเฟซบุ๊กของเขาจนเจอและได้ส่งคำร้องขอเป็นเพื่อนแล้วแต่เขายังไม่รับ ส่วนอินตาแกรมนั้นผมไม่สามารถจริง ๆ ผมรู้สึกดีที่ได้ขอเบอร์วอสแอพเขาไว้ก่อนจากกันวันนั้นอ้างว่าเผื่อได้ไปเที่ยวกันอีก แต่ความเป็นจริงอีกด้านผมกลับรู้สึกแย่ที่เขาไม่เคยทักผมก่อนเลย มีแต่ผมที่ทักเขาไป 6.34 Mic : Good morning! How did yousleep? (อรุณสวัสดิ์ นอนหลับสบายไหมครับเมื่อคืน) 15.20 Micheal : Hi Mic. I slept well.Thanks (สวัสดีมิค ฉันหลับสบายดี ขอบคุณ) 15.35 Mic : Glad to hear that. How isyour day so far? Are you busy? Mine is quite ok but today Jayden did poo 4times! I think he might have diarrhea. (ดีจังที่ได้ยินแบบนั้นว่าแต่วันนี้เป็นยังไงบ้าง งานยุ่งไหม ส่วนผมก็ค่อนข้างโอเคนะวันนี้แต่เจย์เด็นอึ๊ตั้ง 4 รอบแน่ะ ผมคิดว่าเขาคงท้องเสีย) 23.56 Micheal : My day was not bad. Ohreally? Maybe he ate something wrong. I hope Jayden will get better soon. (วันของฉันไม่แย่เท่าไหร่ โอ้ จริงเหรอ เขาอาจจะกินอะไรผิดไปก็ได้ฉันหวังว่าเจย์เด็นจะดีขึ้นนะ) 00.12 Mic : Yeah...I don’t know whatdid he eat but if tomorrow he is not getting better, Zoey will bring him to thehospital. (อื้อ...ผมไม่รู้ว่าเขากินอะไรเข้าไป แต่ถ้าพรุ่งนี้เขายังไม่ดีขึ้นโซอี้จะพาไปโรงพยาบาล) 00.45 Mic : Goodnight. (ฝันดีนะครับ) ถึงแม้ว่าไมค์จะตอบช้าและไม่ค่อยถามกลับ แต่ผมก็ยังจะหน้าด้านคุยต่อไปผมพยายามคิดในแง่ดีว่าเขาอาจจะงานยุ่งมากจริง ๆนี่ผมทักหาเขาน้อยลงกว่าสองสามวันแรกด้วยซ้ำ พยายามทำให้ตัวเองยุ่งกับเด็ก ๆและไม่คิดถึงนัยน์ตาสีเขียวอมฟ้านั่น ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไมเคิลมีรสนิยมทางเพศแบบไหนเขาอาจจะไม่ใช่เกย์แบบผมก็ได้ ผมไม่ควรรุกมากเกินไป ผมยังอยากเจอเขาอีกแม้ในฐานะเพื่อนก็ตาม “เฮ้มิค ตานายน่ะ”แซมร้องเรียก เมื่อเห็นผมเหม่อลอย “เอ้า การ์ดบนสุดนั่นสีแดงเลขเจ็ดนายจะลงสีเขียวเลขสองไม่ได้นะ นายเล่นอูโน่เป็นจริงรึเปล่าเนี่ย?” เวรแค่เผลอคิดคิดถึงไมเคิลแป๊บเดียวกลับโดนเด็กด่าซะได้ “ฉันเปล่าลงการ์ดใบนั้นนะเจย์เด็นทำต่างหาก ใช่ไหมครับ หื้มมมมม” ตััวเล็กนั่งตักผม ขณะที่ผมเล่นอูโน่กับแซมมวลไปด้วยเจ้าตัวเล็กหัวเราะคิกคักเวลาก้มลงไปฟัดแก้มนิ่ม ๆ “แอ๊ะ อ๊ะๆๆ ตั๊ดตา ตาาาตั๊ดตาา” เจย์เด็นส่งเสียงราวกับคัดค้านที่ผมพูด “ไม่ต้องอ้างเจย์เลยนายนั่นแหละ ลงใหม่สิ” แซมหยิบการ์ดบนสุดคืนให้ผม เด็ก 7 ขวบตรงหน้าผมดูจริงจังกับการเล่นอูโน่มากราวกับกำลังแข่งขันครั้งยิ่งใหญ่ ผมเล่นต่อเรื่อย ๆปล่อยให้เจย์เด็นคลานรอบห้องนั่งเล่น หรือไม่ก็เกาะขอบโต๊ะเพราะตอนนี้เจย์เด็นเริ่มยืนได้มั่นคงแล้วและขอบอกเลยว่าเห็นอวบๆแบบนี้แต่คลานได้เร็วมาก “อูโน่!”แซมมวลร้องตะโกนเมื่อเหลือการ์ดในมือแค่ใบเดียว ส่วนผมน่ะเหรอ เหลือ 5 ใบ ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมครับว่าใครชนะ “นี่นายแพ้เด็ก 7 ขวบหรอ ?” เสียงลอยมาจากด้านหลังผม ธีโอมายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เขายิ้มเยาะเย้ย “เกมนี้มันวัดกันที่ดวงหรอกไม่ใช่ความสามารถ” ผมเถียงกลับ ขณะเรียงเก็บการ์ดอูโน่ทั้งหมดเข้ากล่อง “แต่ฉันไม่เคยแพ้แซมเลยนะ” “เพราะพี่โกงหรอก !”คนโดนอ้างรีบแก้ตัว “ไม่เอาน่า..แซมนายก็รู้ว่านายไม่เคยชนะฉันสักอย่าง” เอาล่ะครับ...ศึกพี่น้องได้บังเกิดขึ้นแล้ว ผมเดินไปอุ้มเจย์เด็นที่กำลังปีนขึ้นเก้าอี้เพื่อหนีสถานการณ์ตรงหน้า “งั้นลองมาเล่นสักเกมไหมจะได้รู้กันไปเลย” แซมท้าพี่ชาย “ให้มิคเป็นกรรมการ” ในขณะที่ผมกำลังจะแจกการ์ดให้สองพี่น้องเสียงโซอี้เรียกกินข้าวก็ดังขึ้นมา “เด็ก ๆได้เวลากินข้าวแล้วจ๊ะ” “โธ่ แม่ขอเล่นตานึงสิครับ จะได้รู้กันไปเลยว่าผมกับธีโอใครเก่งกว่ากัน” “ไม่ได้ ไว้หลังกินข้าวตอนนี้แม่บอกให้มานั่งบนโต๊ะก็ต้องมา” โซอี้ดุแซมถอนหายใจแล้วเดินมายังโต๊ะกินข้าวแบบเนือย ๆ วันนี้โซอี้ทำลาซานญ่าแน่นอนว่าชีสและแป้งมาเต็ม เอาจริง ๆ ผมอยากอาสาทำอาหารให้มากกว่าแต่ผมตกลงกับโซอี้ไว้แล้วว่าทุกวันอังคารกับพฤหัสมื้อค่ำจะเป็นอาหารไทยส่วนวันนี้วันพุธ เธอเลยลงมือเป็นแม่ครัวเอง บนโต๊ะอาหารส่วนใหญ่ทุกคนจะคุยกันเป็นภาษาสวิสเยอรมันนอกจากเรื่องไหนที่พวกเขาอยากให้ผมรับรู้ก็จะพูดเป็นภาษาอังกฤษส่วนตัวผมไม่อะไรอยู่แล้วเพราะผมก็ไม่ได้อยากรับรู้มากยุ่งกับการป้อนข้าวตัวเล็กนี่ดีกว่า ในบางครั้งเจย์เด็นก็จะร้องแหกปากจนทุกคนแทบทนไม่ได้เพราะอยากกินสิ่งที่คนอื่นกินบ้าง แต่เจย์เด็นยังเล็ก บางอย่างไม่สามารถให้กินได้โซอี้ก็จะจัดการเจย์เด็นด้วยตัวของเธอเอง นับว่าโซอี้ถือเป็นแม่ที่ดีเลยไม่ได้ว่ามีพี่เลี้ยงแล้วจะทิ้งลูกไว้กับพี่เลี้ยงตลอดเวลาแม้ในตอนเช้าเธอจะต้องทำงานในออฟฟิศเธอและทิ้งตัวเล็กไว้กับผม แต่ผมก็โอเคเพราะมันคือหน้าที่ ผมมาเป็นออแพร์เพราะสิ่งนี้ ส่วนตอนบ่าย โซอี้จะดูแลตัวเล็กเองส่วนผมสามารถพักเบรคได้ เริ่มวานอีกทีคือสี่โมงเย็นเวลาแซมมวลกลับมาจากโรงเรียน “พ่อกลับมาแล้วจ้าาาาาาา”เสียงตะโกนของลูคัสตั้งมาแต่ไกลตั้งแต่ลิฟท์เปิดแซมมวลกระโดดลงจากเก้าอี้วิ่งไปกอดพ่อ ลูคัสอุ้มแซมมวลกลับมาที่โต๊ะอาหารพลางพาดสูทไว้บนโซฟาแวะมาเล่นกับเจย์เด็น แล้วเดินไปจูบแก้มภรรยาตนเอง ต่อด้วยชกมือกับธีโอ ธรรมเนียมบ้านนี้เขาล่ะ “ว้าววว ลาซานญ่า ใครทำฮึ?เธอหรือพ่อครัวสุดเก่งจากประเทศไทย” “ลองชิมดูสิ” โซอี้ไม่ตอบ ลูคัสนั่งลงประจำที่ของตัวเองตักทานหนึ่งคำ ทำท่าครุ่นคิด “อืมมม เค็มแบบนี้ฝีมือเธอแน่นอนโซอี้” “งั้นไม่ต้องกินเลย” “โอ๋ๆ เมียสุดที่รักล้อเล่นจ๊ะ อร่อยมาก ของโปรดฉันเลย” ลูคัสทานต่อเป็นสัญญาณว่าทุกคนสามารถรับประทานอาหารต่อได้ทุกคนเริ่มสนทนาเป็นภาษาสวิสเยอรมันอีกครั้ง ผมไม่ได้สนใจอะไรจนกระทั่งได้ยินชื่อตัวเองในประโยคลูคัสเลยพูดเป็นภาษาอังกฤษแทน “วันศุกร์นี้พอดีจะมีแขกมาที่บ้านฉันขอให้เธอทำอาหารไทยให้พวกเราหน่อยได้ไหม ?” ลูคัสหันมาถามผม “ได้แน่นอนครับว่าแต่มีแขกกี่คนเหรอครับ แล้วอยากให้ผมทำสักกี่อย่างดีครับ” ผมตอบด้วยความเต็มใจผมชอบการทำอาหาร แค่ชอบเฉย ๆ นะ เพราะรู้สึกว่าเวลาทำอาหารผมไม่ต้องเลี้ยงดูเด็กฮ่าๆๆ ซึ่งบางทีแซมมวลก็เอาแต่ใจ เจย์เด็นก็กรีดร้องแหกปากจนผมปวดหัวปล่อยให้เป็นหน้าที่โซอี้แทนดีกว่า “สามคนจ๊ะเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจของลูคัสเขา ฉันอยากให้เธอทำเปาะเปี๊ยะทอดกับแกงสักอย่างไม่ต้องเผ็ดมาก และก็อะไรก็ได้อีกอย่างนึงจ๊ะ รบกวนด้วยนะจ๊ะส่วนวัตถุดิบทั้งหมดเธอสามารถใช้บัตรเครดิตฉันไปซื้อได้ตามปกติเลย” “โอเคครับถ้าอย่างนั้นผมจะทำแกงเขียวหวาน กับผัดผักน้ำมันหอยนะครับ” “เยี่ยมเลยแค่ได้ยินก็รู้เลยว่าต้องอร่อยแน่นอน” ลูคัสหันมายิ้มให้ผม หลังจากทุกคนรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยผมมีหน้าที่เก็บครัวตามปกติ ส่วนลูคัสกับโซอี้ก็เล่นกับลูก ๆ ก่อนจะส่งเข้านอนพอทำความสะอาดทุกอย่างเสร็จผมเดินไปบอกฝันดีกับเจ้าตัวเล็กและแซมมวลเป็นอันเสร็จงานของวันนี้ ผมลงมายังอพาร์ทเม้นของผมชั้นล่างอาบน้ำสระผมให้หอมฟุ้ง นุ่งผ้าเช็ดตัวมายังห้องนั่งเล่นเช็คโทรศัพท์แล้วไม่มีการแจ้งเตือนใด ๆ จากคนชื่อไมเคิล ยอมรับตรง ๆ ว่าเริ่มท้อและพลางคิดไปว่าอาจไม่ได้้เจอกันอีก ในขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ผมได้ยินเสียงคนไขกุญแจห้อง โซอี้ ? ไม่ใช่... “เฮ้ มิค อยู่ไหม” เสียงธีโอนี่นาเขามาทำอะไร ? หรือว่าจะมาอ่านหนังสือในห้องนั้นที่ลูคัสเคยบอก ผมไม่ทันได้แต่งตัวให้เรียบร้อยคนบุกรุกก็เห็นผมเสียแล้ว “อ้าว ธีโอ มีอะไรรึเปล่า ?” “ฉันหิว” หิว...แล้วยังไงต่อ ?คือทำไมไม่ไปหาอะไรกินล่ะ “เมื่อกี้ไม่ได้กินข้าวเหรอแต่ฉันเห็นอยู่นะว่านายกิน” “ก็หิวอีก”ธีโอทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตรงข้าม “งั้นก็ไปหาอะไรกินซะสิ” “ทำอะไรให้กินหน่อย” หะ ? ผมหูฝาดไปรึเปล่า “นายติดค้างที่ฉันพาขึ้นเขาอยู่นะ” พาขึ้นแต่ไม่ได้พาลงเว้ยยยยไอ้บ้า มีหน้ามาทวงบุญคุณแบบนี้ด้วย “แต่นายก็ทิ้งฉันไว้ที่นั่นคนเดียว”ผมตอกกลับ ธีโอนิ่วหน้าไปเล็กน้อย “ก็นั่นมันเหตุสุดวิสัย...ตกลงนายจะไม่ทำอะไรให้ฉันกินใช่ไหม”ธีโอลุกขึ้น ท่าทางหงุดหงิด ด้วยความจิตใจดีส่วนลึก ๆข้างในทำให้ผมพูดโพล่งออกไปว่า “นายชอบกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไหม” ร่างสูงทำท่านึก ก่อนจะตอบ “ไม่เคยลอง” “อยากลองไหมละ ?” “ก็เอาสิ” บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ว่าก็คือมาม่าต้มยำกุ้งที่ผมขนมาจากประเทศไทยเผื่อไว้กินยามฉุกเฉิน สำหรับคนไทยมันไม่ได้มีความเผ็ดมากใช่ไหมครับแต่สำหรับฝรั่ง....หึหึหึหึหึ เวลา 10.00 นาฬิกา ผมแต่งตัวในลุคสบาย ๆใส่รองเท้าพร้อมเดินขึ้นเขา ยืนอยู่หน้าห้องของลูกชายคนโตของบ้านเคาะประตูอยู่สองสามทีพร้อมตะโกนเรียก ไม่นานเจ้าของห้องก็ออกมาเปิดประตูให้ จริงๆ แล้วผมจะไขกุญแจเข้าไปเลยก็ได้ แต่ผมว่ามันคงเป็นความคิดที่ไม่ดีเท่าไหร่ ธีโอเปิดประตูให้ผมพร้อมกับทำหน้างุนงงเล็กน้อย “นายไม่มีกุญแจห้องฉันเหรอ?” “เอ่อ...มีนะ” “งั้นทีหลังก็ไม่ต้องเคาะเข้ามาเลยก็ได้ ฉันกำลังเซ็ทผมอยู่ มันขัดจังหวะ” เอ้า! เป็นคนมีมารยาทก็ผิด “แล้วถ้าเกิดนายโป๊อยู่ล่ะ?” “ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่”ร่างสูงตอบอย่างไม่แยแส เดินไปที่ห้องน้ำเพื่อเซ็ทผมตัวเองให้เสร็จตามที่ตั้งใจไว้“ทีเมื่อวานนายยังเข้าห้องฉันโดยที่ฉันยังไม่ได้อนุญาตเลย” ผมสะอึก...เออจริงด้วยแต่เมื่อวานผมตะโกนเรียกแล้วไม่มีคนตอบนี่นา “ช่างเถอะ ว่าแต่นายพกอาหารไปกินด้วยรึเปล่าพวกแซนด์วิช น้ำ เบียร์ อะไรพวกนี้” “เอ่อ เปล่า” “ฉันว่านายควรพกไปเองนะเพราะถ้าซื้อข้างนอกมันแพงมาก” “แต่ที่อพาร์ทเม้นฉันไม่มีอะไรให้กินเลย”ผมแย้งไป นัยน์ตาฟ้าครามเหลือบมองไปยังห้องครัวจากนั้นก็เปิดไปเปิดตู้เย็นและหยิบของออกมาวางไว้ ได้แก่ ไข่ ผักสลัด มะเขือเทศชีส แฮม ต่อด้วยขนมปังที่วางอยู่บนเขียง ข้าง ๆมีมีดเลื่อยสำหรับหั่นขนมปังแบบนี้อยู่ “นายทำแซนด์วิชเป็นใช่ไหม?” ผมพยักหน้าตอบรับรู้หน้าที่ทันทีว่าตัวเองต้องทำอะไรเพราะไอ้คนที่เพิ่งหยิบของออกมานั้นเดินกลับไปเซ็ทผมต่อแล้ว แซนด์วิชที่ผมทำเป็นแบบง่าย ๆตามสิ่งที่ธีโอหยิบเตรียมไว้ให้ แต่ผมว่ามันขาดอะไรบางอย่างไปพอเปิดตู้เย็นดูพบว่ามีมายองเนสแบบหลอด ผมจึงทาลงบนขนมปังไปด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติ
|