แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-4-19 16:01  
 
 
 
ครืดดด... กึก!  
เสียงล้อรถบดไปกับพื้นถนนคอนกรีตเก่า เสียงเสียดสีของยางที่ครูดไปกับเศษกรวดแผ่วเบาก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดนิ่งสนิท รถจอดลงตรงหน้าโกดังเก็บสินค้าที่ตั้งอยู่ในพื้นที่รกร้าง ห่างไกลจากลอนดอนไปหลายร้อยไมล์  
| เมืองนิวคาสเซิล อะพอน ไทน์  
ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมของเขตอุตสาหกรรมท่าเรือเก่าที่มีชื่อเสียงในทางไม่ดีนัก ว่ากันว่าที่นี่เป็นศูนย์กลางของการลักลอบขนของเถื่อนมานานนับทศวรรษ ไม่มีใครกล้ายุ่งเกี่ยว และหากมีใครเผลอก้าวเข้ามาโดยไม่รู้สถานะของตัวเอง อาจไม่ได้กลับออกไปแบบครบ 32  
“บอกแล้วไงว่าให้ฉันขับเครื่องบินมาแทน นายจะดื้อดึงนั่งรถมาทำไมตั้งหลายชั่วโมง ก้นฉันแทบจะชาไปหมดแล้ว”  
เสียงของแคสเปอร์ดังขึ้นเป็นคนแรก เจ้าตัวบ่นอุบอิบ พลางเอามือลูบสะโพกตัวเองปรอย ๆ ราวกับกำลังเรียกร้องความเห็นใจจากคนข้าง ๆ  
“ไม่ไว้ใจนาย ฉันยังอยากมีชีวิตที่ยืนยาว” เสี่ยวไป๋ตอบเสียงเรียบ มือเรียวหยิบซองบุหรี่ขึ้นมาสูบโดยไม่แม้แต่จะปรายตามองคู่สนทนา  
แคสเปอร์กลอกตา ก่อนจะโบกมืออย่างเหนื่อยใจ “ฉันมีชั่วโมงบินสูงกว่านักบินส่วนตัวของนายอีกนะ”  
“ใครจะไปรู้ว่านายได้มันมายังไง” เสี่ยวไป๋พ่นควันออกช้า ๆ  
แคสเปอร์อ้าปากจะเถียงต่อ แต่ไม่ทันได้เอ่ยอะไร เรนที่ยืนกอดอกพิงรถอยู่ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน  
“เอาล่ะ ๆ เลิกเถียงกันสักที พวกนายมาที่นี่เพื่อเถียงกันเรื่องชั่วโมงบินหรือไง?”  
เสี่ยวไป๋หันมามองน้องเล็กของกลุ่มเล็กน้อย ก่อนจะยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจ แคสเปอร์เองก็พ่นลมหายใจพลางเบ้ปาก  
เรนกวาดตามองรอบตัว ภาพของโกดังร้างเบื้องหน้าทำให้เขารู้สึกได้ถึงความเงียบที่น่าอึดอัด “เรามาที่นี่เพื่อวางแผนกัน พวกนายต้องเป็นสมองให้ฉัน เข้าใจใช่ไหม?”  
แคสเปอร์หลุดหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอนตัวพิงประตูโกดัง แว่นกันแดดบนใบหน้าถูกดันลงเล็กน้อยเผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าที่ฉายแววขบขัน  
"บางทีนายก็ควรพกสมองมาเองบ้างนะเรน"  
เรนหันขวับไปหา ทำน้ำเสียงยียวนตอบกลับทันที "พอดีมันหนัก ก็เลยไม่อยากพกมา"  
แคสเปอร์หัวเราะพรืด ส่วนเสี่ยวไป๋ที่ยืนฟังอยู่นานถอนหายใจเบา ๆ เขามองดูสองคนนี้เถียงกันไปมาอย่างเคยชิน ก่อนจะพ่นควันบุหรี่ออกมาช้า ๆ แล้วดีดก้นบุหรี่ทิ้งกับพื้น  
“พอได้แล้ว”  
พูดจบ เสี่ยวไป๋คว้าคอเสื้อของทั้งสองคนด้วยมือเดียวแล้วลากเข้าไปในโกดังอย่างไม่แยแส ราวกับหิ้วลูกแมวสองตัวที่ยังเล่นกันไม่เลิก ทิ้งไว้เพียงเสียงบ่นอุบอิบของแคสเปอร์กับเสียงหัวเราะเบา ๆ ของเรนที่ยังไม่รู้จักหยุด  
ภายในโกดังเงียบสงัด มีเพียงเสียงรองเท้ากระทบพื้นคอนกรีตดังก้องไปทั่ว ผนังโลหะเก่า ๆ ถูกสนิมกัดกิน เศษฝุ่นจับตัวเป็นคราบหนาในซอกมุมที่ไม่เคยมีใครแตะต้อง แสงไฟนีออนที่ติดตั้งไว้ตามแนวเพดานกระพริบถี่ ๆ ให้ความรู้สึกอึดอัดเหมือนสถานที่แห่งนี้ถูกกลืนกินด้วยกาลเวลา  
เสี่ยวไป๋ปล่อยมือจากคอเสื้อของทั้งสองคน ผลักพวกเขาไปข้างหน้าเล็กน้อยก่อนจะยกมือกอดอก ยืนพิงลังไม้เก่าด้วยสีหน้าที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ แคสเปอร์สะบัดเสื้อสูทตัวเองเบา ๆ ก่อนจะจิ๊ปากอย่างขัดใจ  
"ลากฉันเข้ามาแบบนี้ก็พูดดี ๆ ก็ได้ไหม เสื้อฉันยับหมดแล้ว"  
เสี่ยวไป๋เหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง ไม่มีคำพูดใดตอบกลับ มีเพียงดวงตาเรียวคมที่ฉายความเหนื่อยใจ ก่อนเจ้าตัวจะหยิบซองบุหรี่ออกมาเคาะเบา ๆ จุดไฟขึ้นแล้วสูดควันเข้าปอดโดยไม่ใส่ใจคำบ่นของเพื่อนร่วมทีม  
แคสเปอร์ทอดสายตามองรอบตัวก่อนจะพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ ริมฝีปากขยับเอ่ยเสียงเนือย “ทำไมต้องลำบากลงมือเองด้วย? ให้คนของเราจัดการก็ได้ไม่ใช่หรือไง?"  
เสี่ยวไป๋พ่นควันบุหรี่ออกช้า ๆ ควันสีขาวลอยคลุ้งไปในอากาศ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ครั้งนี้เราเชื่อใจใครไม่ได้จริง ๆ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่”  
คำตอบนั้นทำให้แคสเปอร์เงียบลง ความจริงข้อนี้พวกเขารู้ดี และไม่อาจปฏิเสธได้  
ครั้งนี้พวกเขาต้องลงมือเอง แม้ว่าเสี่ยวไป๋กับแคสเปอร์จะไม่ใช่นักฆ่าโดยสัญชาตญาณ แต่พวกเขามี เครือข่าย และ แผนการ ที่เหนือกว่าคนทั่วไป การสั่งการจากเบื้องบนอาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย แต่เมื่อศัตรูในเงามืดยังคงแฝงตัวอยู่ ทุกการเคลื่อนไหวต้องถูกควบคุมโดยตรงจากมือของพวกเขาเอง  
โกดังร้างแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงที่ซ่อนตัว แต่เป็นศูนย์บัญชาการชั่วคราว ภายในห้องลับถูกออกแบบมาเพื่อรองรับสถานการณ์ไม่คาดฝัน มีอาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมใช้งาน แผนที่และข้อมูลกระจายอยู่บนโต๊ะประชุมกลางห้อง นาฬิกาบนผนังเดินหน้าต่อไปอย่างเฉื่อยชา นับถอยหลังสู่ค่ำคืนที่อาจไม่มีใครได้พักหายใจจนกว่าทุกอย่างจะจบลง  
“เดี๋ยวอีกไม่กี่ชั่วโมง คนของเราจะตามมาสมทบ” เรนพูดขึ้น พลางหมุนมีดพกในมืออย่างใจเย็น  
แคสเปอร์ยกคิ้วขึ้น มองมีดในมือของเรนพลางหัวเราะเบา ๆ “แล้วเราต้องเริ่มกันตอนไหน?”  
เสี่ยวไป๋พับแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นรอยสักมังกรที่เลื้อยพันไปตามแนวแขน กล้ามเนื้อใต้ผิวขยับเล็กน้อยเมื่อเขาขยับมือ ดวงตาเรียวคมกวาดมองไปรอบ ๆ อย่างประเมินสถานการณ์ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่เต็มไปด้วยความแน่นอน  
“คืนนี้”  
คำพูดสั้น ๆ แต่หนักแน่นพอให้แคสเปอร์ขยับตัวขึ้นนั่งตรงกว่าเดิม ดวงตาสีฟ้าของเขากวาดมองรอบตัว ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ “พวกมันคงรู้ข่าวแล้ว ว่าพวกเรามาถึงที่นี่โดยไม่มีผู้ติดตาม”  
เรนที่นั่งชันเข่าอยู่กับพื้นโยนมีดขึ้นกลางอากาศก่อนจะรับไว้ได้อย่างแม่นยำ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ระบายบนริมฝีปาก “อีกสักพักก็คงแห่กันมา”  
เสี่ยวไป๋พ่นควันออกมาอีกรอบก่อนจะพยักหน้า “มีแต่เศษสวะที่คิดอยากจะลองดี”  
เรนหัวเราะในลำคอ ดวงตาเป็นประกายด้วยความกระหาย “ฉันชักจะสนุกแล้วสิ…” ปลายนิ้วพลิกมีดในมืออย่างเคยชิน ก่อนจะเอียงคออย่างนึกสนุก “อยากรู้จังว่าไอ้โง่รายไหนที่มันกำลังหมายหัวพวกเรา”  
แคสเปอร์เอนตัวพิงผนังไม้ ลอบมองเสี่ยวไป๋ที่ยังคีบบุหรี่อยู่ด้วยท่าทีสบาย ๆ ก่อนจะกระตุกยิ้มบาง “ถ้ามันฉลาด คงไม่คิดจะตัดเส้นทางของเรา”  
เสี่ยวไป๋พยักหน้ารับ ขี้บุหรี่ถูกสะบัดลงกับพื้นก่อนปลายรองเท้าหนังกดขยี้ซ้ำ “คืนนี้เราเล่นกับมันหน่อยก็แล้วกัน”  
โกดังร้าง – 01:15 AM บรรยากาศเงียบงันในยามค่ำคืน มีเพียงเสียงลมพัดผ่านช่องว่างของหลังคาและเสียงโลหะเสียดสีกันเบา ๆ จากรอกเก่า ๆ ที่แขวนอยู่เหนือศีรษะ ไม่มีใครพูดอะไร ทุกคนต่างรอคอยจังหวะที่เหมาะสม  
บนโต๊ะกลางห้อง แผนที่กระดาษใบใหญ่ถูกกางออก มีจุดแดงระบุเป้าหมายที่ต้องถูกจัดการ ข้อมูลของศัตรูเรียงรายเป็นแฟ้มหนา ขีดฆ่าทับบางชื่อที่เคยเป็นพันธมิตรแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นศัตรูในคราบมิตร  
เสี่ยวไป๋นั่งไขว่ห้างที่เก้าอี้ตัวเก่า นิ้วเรียวเคาะเบา ๆ บนโต๊ะตามจังหวะเวลา ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่หน้าจอโทรศัพท์ซึ่งแสดงกล้องวงจรปิดจากรอบโกดัง มันเป็นมุมที่ไม่มีใครคิดจะสังเกต แต่ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นเครือข่ายสอดแนมโดยไม่ให้ใครล่วงรู้  
“พวกมันมาแล้ว”  
เสียงราบเรียบของเสี่ยวไป๋ทำให้ทั้งแคสเปอร์และเรนละสายตาจากอาวุธในมือ แคสเปอร์ยืดตัวขึ้น หยิบปืนออกมาจากซองหนังข้างเอว หมุนมันเบา ๆ พลางเป่าลมออกจากริมฝีปาก  
“เร็วกว่าที่คิด”  
แคสเปอร์เหยียดยิ้ม มองไปทางเรนที่ตอนนี้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะหมุนมีดสั้นในมือเล่นเหมือนเป็นของเล่น “แล้วแผน?”  
เสี่ยวไป๋เอนหลังพิงเก้าอี้ ดวงตาคมปลาบมองไปยังโกดังร้างที่อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะกลายเป็นสนามรบ “ไม่มี”  
เรนหัวเราะเบา ๆ เสียงต่ำพร่าราวกับเสียงของนักล่าที่เพิ่งพบเหยื่อ “ชอบเลย”  
แคสเปอร์หัวเราะในลำคอ ก่อนจะตรวจเช็กกระสุนในแม็กกาซีน “งั้นก็ไปเล่นกันเถอะ”  
เสี่ยวไป๋ไม่พูดอะไร เขาลุกขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะก้าวไปหยิบปืนไรเฟิลติดกล้องสไนเปอร์จากลังไม้เบื้องหลัง นิ้วเรียวลูบไปตามโครงปืนอย่างเคยชิน ก่อนจะหยิบหูฟังไร้สายขึ้นมาเสียบ  
“ฉันจะคุมพื้นที่จากด้านบน พวกนายจัดการข้างล่าง”  
เรนกระตุกยิ้ม “แน่นอน”  
 
 
ลานโกดังด้านนอก – 01:35 AM  
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของกลุ่มชายชุดดำดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ พวกมันเคลื่อนตัวไปตามแนวอาคาร เงาของพวกมันทอดยาวเป็นภาพบิดเบี้ยวใต้แสงไฟที่กระพริบเป็นจังหวะ  
ศัตรูไม่รู้เลยว่าในมุมสูง มีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องพวกมันด้วยความนิ่งสงบ เสี่ยวไป๋ปรับมุมเล็งของสไนเปอร์เบา ๆ สายตากวาดไปตามเป้าหมายทุกตัว  
ปัง!  
เสียงกระสุนแหวกอากาศกระแทกเข้ากับเป้าหมาย ร่างหนึ่งล้มลงไปกองกับพื้นแบบไร้เสียง เลือดสีเข้มไหลซึมไปตามร่องคอนกรีต ไม่ทันให้พวกมันตั้งตัว  
ปัง! ปัง!  
อีกสองร่างทรุดลงกับพื้น คนที่เหลือแตกตื่นและรีบยกปืนขึ้น เตรียมรับมือกับภัยที่มองไม่เห็น  
"บ้าเอ๊ย! เราถูกเล่นงาน!"  
ก่อนที่ใครจะทันได้สั่งการ เงาดำหนึ่งพุ่งเข้าหาพวกมันอย่างว่องไว เรนเคลื่อนตัวด้วยความเร็ว มือขวากระชับมีดเล่มเล็กที่ส่องประกายวาววับท่ามกลางแสงไฟนีออน ใบมีดแหวกผ่านอากาศเข้าไปกรีดลำคอของหนึ่งในศัตรู เสียงหอบเฮือกสุดท้ายของมันหายไปพร้อมกับร่างที่ร่วงลงอย่างไร้เรี่ยวแรง  
ฉึก!  
เรนย่อตัวหลบกระสุนที่พุ่งมาอย่างแม่นยำก่อนจะกลิ้งตัวไปข้างหน้า ปลดปืนพกออกจากซองข้างเอว กระชากไกปืนโดยไม่ลังเล  
ปัง! ปัง!  
ร่างของเป้าหมายสะดุดไปข้างหลัง กระสุนทะลุผ่านหัวใจอย่างจัง เรนพลิกข้อมือ หมุนมีดในมือเล่นก่อนจะใช้มันปักลงไปที่ต้นขาของศัตรูอีกคนที่พยายามหนี เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ก่อนที่มันจะถูกกระชากลงกับพื้น อีกฟากหนึ่ง แคสเปอร์ยืนพิงกำแพง ควงปืนเล่นด้วยท่าทีสบาย ๆ ก่อนจะเล็งไปยังศัตรูที่พยายามหลบหนีและเหนี่ยวไก  
ปัง! ปัง! ปัง!  
กระสุนทุกนัดพุ่งเข้ากลางหน้าผากอย่างแม่นยำ คนสุดท้ายที่เหลืออยู่พยายามวิ่งหนีไปทางโกดังด้านหลัง แต่เพียงไม่กี่ก้าว เขาก็ชะงักค้างเมื่อลำกล้องปืนไรเฟิลจ้องตรงมาจากมุมสูง  
เสียงเสี่ยวไป๋ดังขึ้นผ่านไมค์สื่อสาร น้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีแววลังเล  
"ลาก่อน"  
ปัง!  
ร่างของเป้าหมายล้มลงไปกับพื้น เงียบสงบเหมือนฝนเม็ดสุดท้ายที่ตกกระทบผิวน้ำ ก่อนที่ทุกอย่างจะเข้าสู่ความเงียบงัน  
เรนหมุนมีดเล่นพลางพ่นลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย "หมดแล้วเหรอ? น่าเสียดาย"  
แคสเปอร์เป่าควันปืนจากกระบอกก่อนจะหัวเราะเบา ๆ "นายหวังว่าจะมีเพิ่มอีกสักสิบคนรึไง?"  
เรนยักไหล่ “ก็แค่รู้สึกว่ายังไม่ค่อยพอ”  
เสี่ยวไป๋พับขาตั้งปืนก่อนจะเดินเข้ามาหาทั้งสองคน สะบัดแขนเสื้อให้เข้าที่ "อย่าเสียเวลามาก"  
ไม่กี่นาทีต่อมา รถสีดำนับสิบคันจอดเรียงกันเป็นแนวยาวที่หน้าโกดัง ประตูรถถูกเปิดออกพร้อมกับชายในชุดดำที่ก้าวลงมาเป็นแถวอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาตั้งขบวนอย่างมีระเบียบ ก่อนจะโค้งคำนับชายทั้งสามคนที่ยืนเช็ดคราบเลือดที่กระเซ็นบนเสื้ออย่างไม่เร่งรีบ  
“ท่านครับ พวกเรามาช้าไปหรือเปล่าครับ”  
แคสเปอร์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู พลางเหยียดยิ้มมุมปาก “ก็ไม่ถึงกับช้า แต่ก็ไม่ได้ทันอะไรเลย”  
เสี่ยวไป๋ปรายตามองคนที่ยืนเรียงราย ก่อนจะสั่งเสียงเรียบ “รีบจัดการให้เสร็จ เก็บทุกอย่างให้เรียบร้อย”  
เรนสะบัดแขนเสื้อให้เข้าที่ ก่อนจะโยนมีดกลับลงซองหนังข้างเอว “แล้วก็พาคนที่เหลือตามมา”  
เขาหันไปยิ้มกว้างแต่ดวงตากลับเย็นชา “ฉันจะไปลากคอไอ้คนที่มันกล้าส่งคนมาให้ฉันฆ่าเล่น"  
ยังไม่ทันที่เขาจะก้าวออกไป คนสนิทของเขาก็วิ่งเข้ามากระซิบข้างหู เสียงของอีกฝ่ายเบาราวกับไม่อยากให้ใครได้ยิน  
“นายน้อยครับ มีคนนึงยังไม่ตาย ให้จัดการเลยมั้ยครับ”  
เรนชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อยราวกับครุ่นคิด  
“หึ…” รอยยิ้มบาง ๆ แต้มขึ้นที่ริมฝีปาก รอยยิ้มที่ดูเหมือนเด็กหนุ่มขี้เล่น แต่กลับซ่อนอะไรบางอย่างที่ทำให้แม้แต่ลูกน้องของเขายังรู้สึกหนาวเยือก  
เขาเหลือบตามองสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล ไม่มีใครพูดอะไร เพียงแค่กอดอกมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างเรียบเฉย ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งโกดัง มีเพียงเสียงหอบหายใจสั่นเครือของเหยื่อที่นอนตัวแข็งทื่ออยู่บนพื้น  
“แบบนั้นก็ไม่สนุกน่ะสิ”  
ปลายกระบอกปืนถูกกดลงบนปลายคางของอีกฝ่าย ร่างนั้นสะดุ้งเฮือก ดวงตาหวาดกลัวหลุบต่ำ ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า สัมผัสเย็นเฉียบของโลหะชวนให้ขนลุก ร่างทั้งร่างสั่นเทาเหมือนลูกนกตกน้ำ  
รอยยิ้มเจือบนใบหน้า แต่แววตากลับไร้ซึ่งความปรานี น้ำเสียงทอดนุ่มราวกับกำลังสนทนาเรื่องธรรมดา  
“ไหนลองบอกหน่อย ว่าใครเป็นคนส่งพวกแกมา…”  
ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงริมฝีปากที่เม้มแน่น และลมหายใจติดขัดจากแรงกดดัน ความเงียบเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด ปลายนิ้วพลิกด้ามปืนก่อนจะกระแทกเข้ากับแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ ราวกับหยอกล้อ  
“ฉันใจดีนะ…” เสียงทุ้มต่ำลากยาวเหมือนกล่อมเด็ก “แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่านายจะทำให้ฉันพอใจได้หรือเปล่า”  
เจ้าของร่างที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นหอบหายใจหนักกว่าเดิม มือที่ถูกมัดไพล่หลังพยายามดิ้น แต่กลับไร้ผล แรงกดจากปลายกระบอกปืนทำให้ลำคอแห้งผาก หัวสมองขาวโพลนไปชั่วขณะ  
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นข้าง ๆ กัน ก่อนที่ชายร่างสูงอีกคนจะก้าวเข้ามา หยุดยืนเคียงข้างมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาขบขัน “ให้ฉันเดา… นายก็คงจะเริ่มตัดนิ้วสินะ”  
คนที่คุกเข่าอยู่รีบส่ายหน้า หยาดเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก ดวงตาสั่นไหวราวกับพยายามหาทางรอด เสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่กระบอกปืนจะถูกเกลี่ยไปตามแนวสันกรามเบา ๆ  
“อืม… หรืออาจจะมากกว่านั้น”  
เสียงถอนหายใจดังมาจากอีกคนที่ยืนกอดอกเฝ้าดูเงียบ ๆ “แค่ยิงทิ้งไปก็สิ้นเรื่อง”  
“ใจร้ายจังเลยน้า~” รอยยิ้มยังคงแต้มอยู่ที่มุมปาก น้ำเสียงฟังดูขี้เล่น แต่แฝงไปด้วยความอำมหิตจนน่าขนลุก “ฉันยังอยากเล่นอีกสักหน่อย”  
ยังไม่ทันที่เหยื่อจะทันตั้งตัว แรงกดจากกระบอกปืนที่ปลายคางก็กระชากให้ใบหน้าเงยขึ้น ริมฝีปากเผยอค้างด้วยความตื่นตระหนก เสียงลมหายใจติดขัด ริมฝีปากสั่นระริก ทว่าไม่มีคำพูดใดเล็ดรอดออกมา  
“พูดสิ…” เสียงกระซิบแผ่วเบา “ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน”  
เสียงหอบกระชั้นกับดวงตาที่เบิกกว้าง ร่างที่ทรุดอยู่บนพื้นพยายามดิ้นรนแต่ไร้เรี่ยวแรง หนีไม่ได้ หลบไม่ได้ และรู้ดีว่าความเงียบไม่เคยช่วยใครให้รอดจากเงื้อมมือของปีศาจตรงหน้า  
ปลายมีดกรีดลงบนผิวเนื้ออย่างเชื่องช้า ไม่เร่งรีบ ลึกพอให้รู้สึก แหลมคมพอให้เลือดไหลซึม เสียงกรีดร้องดังสะท้อนในโกดังร้าง  
“ลู…คัส…” เสียงแหบพร่าพร้อมลมหายใจติดขัดพยายามเค้นออกมา เรนชะงัก ปรายตามองร่างที่กำลังสั่นระริกใต้เงาเท้าของตัวเอง ก่อนจะหัวเราะในลำคอ ละสายตาไปยังคนที่ยืนกอดอกมองอยู่ใกล้ ๆ  
“หึ… ที่แท้ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล” ปลายมีดยังคงลากไปตามแนวคางของเหยื่อที่บิดหน้าหลบเพราะความหวาดกลัว “พวกนายว่าไง? ฉันว่าน่าจะถึงเวลาส่งกระเช้าสมนาคุณแล้วล่ะ”  
เขาหันไปบอกสองคนที่ยืนมองอยู่เงียบ ๆ แคสเปอร์หัวเราะในลำคอ ดวงตาสีฟ้าเข้มฉายแววขบขัน ขณะที่เสี่ยวไป๋เพียงพยักหน้ารับ  
‘ลูคัส’ หนึ่งในสามพ่อค้ายารายใหญ่ที่เคยเป็นพันธมิตรของพวกเขา คนที่เคยจับมือทำธุรกิจร่วมกัน แต่ตอนนี้กลับเลือกเดินไปอีกทาง มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ… เพียงแต่มันกล้าขนาดนี้ แสดงว่าอาจจะมีใครบางคนอยู่เบื้องหลังและคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งพอจะท้าทายอำนาจของพวกเขา  
“แสดงว่ายังมีตัวบงการอยู่ข้างหลัง” เสี่ยวไป๋เอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาเรียวคมทอดมองร่างที่ยังคงหอบหนักอยู่เบื้องล่าง “ลูคัสไม่มีปัญญาทำเรื่องนี้ด้วยตัวเองแน่”  
“ใช่สิ” เรนหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกระแทกส้นเท้าลงบนแผลที่เพิ่งกรีดไป “แต่ปัญหาคือ ฉันหมดความอดทนกับพวกขี้ขลาดพวกนี้เต็มทีแล้ว”  
เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง แคสเปอร์ยิ้มบาง ๆ ขณะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์บางคน  
“ได้เวลานัดพบอย่างเป็นทางการแล้วสินะ”  
พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเสียเวลากับพวกสมุนไร้ค่า แต่ตอนนี้เหยื่อกำลังเดินเข้ามาติดกับเองโดยไม่รู้ตัว และมันคงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ที่จะสาวไปถึงตัวการใหญ่ของเรื่องทั้งหมด  
ปัง!  
เสียงปืนดังสนั่น ก้องสะท้อนภายในโกดังร้าง เงาของร่างที่เคยสั่นระริกทรุดฮวบลงกับพื้น เลือดสีเข้มไหลซึมเป็นแอ่งแดง เรนหมุนปืนในมือหนึ่งรอบก่อนจะส่งคืนให้ลูกน้องด้วยท่าทางสบาย ๆ ราวกับเพิ่งจัดการเรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่สำคัญ  
“ควรจะขอบคุณฉันนะที่ช่วยให้ไม่ต้องทรมานไปมากกว่านี้” เสียงของเขาแฝงไปด้วยความขี้เล่น แต่ดวงตากลับเย็นชา เขาหันไปหาคนสนิทที่ยืนรอคำสั่ง “จัดการให้เรียบร้อย อย่าให้เหลือร่องรอย”  
แคสเปอร์ยกมือขึ้นนวดต้นคอพลางถอนหายใจ “แล้วจะโทรรายงานตาแก่เลยไหม หรือว่านายอยากจัดการเองก่อน?”  
“ยังไงก็ต้องรายงานอยู่ดี” เสี่ยวไป๋เอ่ยเสียงเรียบ แววตาฉายแววขบคิด “แต่ฉันคิดว่าเราควรได้ข้อมูลมากกว่านี้ก่อนจะบอกกับราฟาเอโร่”  
แคสเปอร์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “งั้น เอาเป็นว่าเรารีบเตรียมตัวกันดีกว่า เรน นายไหวมั้ย?”  
เรนยืดแขนขึ้นพลางบิดขี้เกียจ ดวงตาเป็นประกายด้วยความกระตือรือร้น “สบายมาก ฉันยังมีแรงเหลือเฟือสำหรับเรื่องน่าสนุก”  
เสี่ยวไป๋ปรายตามองเขาก่อนจะเตือนเสียงนิ่ง “อย่าประมาทไป เราไม่รู้ว่าเบื้องหลังของพวกมันเป็นใคร”  
“ฉันเองก็คิดว่าไม่ธรรมดา” แคสเปอร์เสริมขึ้น สีหน้าของเขาไม่ได้ดูขี้เล่นเหมือนทุกที “ใครก็ตามที่ต้องการโค่นอำนาจของพวกเรา ถึงขนาดดึงพวกที่เคยภักดีไปอยู่ข้างนั้นได้…มันต้องไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แน่นอน”  
 
—   ผ่านไปหลายวัน  
ราฟาเอโร่นั่งอยู่ในห้องทำงานของกาย ดวงตาสีอำพันหม่นแสง มองออกไปยังหน้าต่างราวกับกำลังจมดิ่งอยู่ในความคิดของตัวเอง เขาไม่ได้นอนมาหลายวัน ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะโรคนอนไม่หลับที่เรื้อรัง หรือเพราะเรื่องบางอย่างที่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวจนทำให้เขาหลับไม่สนิท  
กายทอดสายตามองคนตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา “เป็นหนักขึ้นอีกแล้วใช่ไหม”  
ราฟาเอโร่ละสายตาจากหน้าต่าง หันกลับมามองเพื่อนเพียงคนเดียวที่เขายอมให้เห็นตัวเองในสภาพนี้ “อืม แค่มีเรื่องให้คิดเยอะ”  
กายส่ายหน้า เขาเห็นสภาพนี้จนชิน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพูด “นายควรพักบ้าง” “ฉันพักไม่ได้”  
“ราฟา” กายกอดอกพิงโต๊ะมองอีกฝ่ายด้วยสายตากึ่งดุ “นายเป็นคน ไม่ใช่เครื่องจักร ถึงจะไม่ได้พักสมอง แต่ร่างกายยังไงก็ควรได้พักบ้าง”  
ราฟาเอโร่ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ถอนหายใจออกมาเบา ๆ  
“เด็กพวกนั้นเป็นยังไง ได้ติดต่อมาบ้างไหม”  
“ยังเลย” ราฟาเอโร่ตอบเสียงเรียบ แต่ลึก ๆ ก็รู้สึกติดค้างอยู่ในใจ “แต่ฉันคิดว่าพวกเขาจัดการกันเองได้”  
กายมองอีกฝ่ายนิ่ง ๆ รู้ดีว่าความเงียบของราฟาเอโร่ไม่ได้หมายถึงการไม่ใส่ใจ แต่เป็นเพราะเขารู้ว่าพวกนั้นมีความสามารถมากพอจะรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น เขาเลือกที่จะเชื่อใจ แต่ขณะเดียวกันก็คงอดไม่ได้ที่จะกังวล แม้จะไม่แสดงออกก็ตาม  
“แต่นายก็ยังนั่งกังวลอยู่ดี”  
ราฟาเอโร่ไม่ปฏิเสธอะไร เพียงแค่กระตุกยิ้มจาง ๆ ที่ไม่ได้บอกว่ามันคือความขบขันหรือประชดตัวเอง “แค่อยากให้ทุกอย่างจบโดยเร็ว”  
กายมองท่าทางนั้นแล้วถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปหยิบขวดยานอนหลับจากลิ้นชักมาวางลงตรงหน้าราฟาเอโร่ “อย่างน้อยคืนนี้ก็นอนให้สนิทเถอะ”  
ราฟาเอโร่มองขวดยานิ่ง ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา “สุดท้ายฉันก็ต้องพึ่งมัน”  
กายไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่ยกกาแฟขึ้นจิบ มองราฟาเอโร่ที่ยังคงเป็นคนที่เขารู้จักมานาน ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ก็ยังเป็นคนที่แบกรับทุกอย่างไว้โดยไม่ยอมแบ่งให้ใครช่วยถือเลยสักครั้ง  
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะความเงียบ ราฟาเอโร่ปรายตามองหน้าจอ ก่อนจะกดรับ เสียงของเสี่ยวไป๋ดังขึ้นจากปลายสาย ราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความหนักใจ  
“ฉันว่าเราเจอปัญหาใหญ่แล้วล่ะ”  
ราฟาเอโร่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาคมกริบจ้องไปยังโต๊ะตรงหน้า “หมายความว่าไง”  
“กลุ่มคนที่ย้ายฝั่งมีมากเกินไป เรนเองก็เริ่มล้าแล้ว”  
เสียงหายใจแผ่วจากปลายสายบอกให้รู้ว่าปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ราฟาเอโร่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “อืม งั้นกลับมาตั้งหลักก่อน”  
“แต่การมาครั้งนี้ก็ไม่ได้เสียเปล่า” เสี่ยวไป๋ว่าต่อ “ฉันเพิ่งได้ข้อมูลบางอย่าง เอาไว้ถึงลอนดอนฉันจะรีบรายงาน"  
ราฟาเอโร่เคาะปลายนิ้วกับโต๊ะเบา ๆ พลางคิดบางอย่างในใจ ก่อนจะเอ่ยสั้น ๆ “เข้าใจแล้ว ฉันจะส่งเครื่องบินไปรับ”  
 
—   ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา  
| เมืองลอนดอน  
เสียงเครื่องยนต์ของเครื่องบินขนาดเล็กค่อย ๆ ลดระดับลงแตะพื้นสนามบินส่วนตัว แสงไฟสาดกระทบเงาร่างของชายสามคนที่เพิ่งลงจากเครื่องบิน เสี่ยวไป๋เป็นคนแรกที่ก้าวออกมา ตามด้วยแคสเปอร์ที่มีร่างของเรนพาดอยู่บนหลัง  
“ไหวมั้ย?”  
แคสเปอร์กระซิบถามคนที่เขาแบกอยู่ เรนขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าแทนคำตอบ ร่างกายของเขาอ่อนแรงจนแทบจะไม่มีแรงเถียงอะไรกลับไปเหมือนปกติ ผิวขาวซีดมีร่องรอยบาดแผลเล็ก ๆ จากการต่อสู้ ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความทะเล้นและขี้เล่น ตอนนี้กลับปรือขึ้นลงเหมือนกำลังฝืนตัวเองให้อยู่ในสติ  
เสี่ยวไป๋ไม่พูดอะไร เขาถอดเสื้อโค้ทของตัวเองออกก่อนจะโยนมันคลุมไหล่เรน ปกปิดรอยแผลและสภาพอิดโรยของเขาจากสายตาคนอื่น  
“พาเขาไปพักก่อน”  
แคสเปอร์พยักหน้า ขยับปรับท่าทางให้เรนพิงตัวเขาได้ถนัดขึ้น ก่อนจะเดินตรงไปยังรถที่มารอรับ เสี่ยวไป๋เหลือบตามองตาม ก่อนจะหันไปสบตากับชายที่ยืนรอเขาอยู่  
—  
เสียงเครื่องยนต์เดินเรียบ ดวงไฟจากตัวเมืองสาดผ่านกระจกหน้าต่างเป็นจังหวะ เสี่ยวไป๋นั่งเอนหลังพิงพนักเบาะ ใบหน้าเรียบเฉยในขณะที่สายตาจับจ้องไปยังเส้นทางเบื้องหน้า รถแล่นไปด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ไร้บทสนทนา มีเพียงความเงียบระหว่างเขากับบุคคลที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม  
ราฟาเอโร่ไม่พูดอะไรเช่นกัน เขานั่งนิ่ง สายตาทอดออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลา แม้จะไม่ได้เอ่ยคำใดออกมาโดยตรง แต่เสี่ยวไป๋ก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้สงบอย่างที่แสดงออก  
“นายไม่ต้องมาเองก็ได้นะ” เสี่ยวไป๋พูดขึ้น ทำลายความเงียบ  
“ฉันก็ต้องมารับคนของฉันสิ” ราฟาเอโร่ตอบเสียงเรียบ  
“ฉันควรจะรู้สึกซึ้งใจใช่ไหม”  
“ทำไมเรนถึงอยู่ในสภาพนั้น”  
เสี่ยวไป๋ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะตอบ “พวกมันเตรียมตัวมาก่อนล่วงหน้า คนของเราถูกซุ่มโจมตีตั้งแต่ไปถึง”  
“แล้ว?”  
“ก็อย่างที่เห็น เรนฝืนมากไปหน่อย”  
ราฟาเอโร่เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “ได้ข่าวว่าพวกนายจัดการลูคัส”  
เสี่ยวไป๋เหลือบตามองนิดหนึ่งก่อนจะหัวเราะในลำคอ “ข่าวไวดีนะ คงมีแต่พวกโง่ที่คิดจะมาลองดีกับพวกฉัน”  
“แต่ผิดคาดไปหน่อย…” เขาเอนตัวลงพิงกระจก มองแสงไฟจากตึกสูงที่วูบผ่านไปด้านนอก “ฉันไม่ได้คิดว่า ‘คนของมัน’ จะกล้าลงมือ ทั้งที่เราเองก็เอื้อประโยชน์ทางธุรกิจมาโดยตลอด”  
ราฟาเอโร่ยังคงนิ่ง แต่ปลายนิ้วที่เคาะเบา ๆ บนพนักวางแขน บ่งบอกว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง  
“มันไม่ได้จบแค่นี้” เขาพูดช้า ๆ ราวกับกำลังประเมินสถานการณ์  
เสี่ยวไป๋พยักหน้า “แน่นอน ฉันก็คิดแบบนั้น”  
—  
ทางฝั่งของแคสเปอร์และเรน  
รถแล่นไปในความเงียบ มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มเป็นจังหวะสม่ำเสมอ และเสียงลมหายใจหนัก ๆ ของเรนที่แคสเปอร์ยังคอยประคองไว้ตลอดทาง ร่างในอ้อมแขนดูอ่อนแรงกว่าที่ควรจะเป็น ศีรษะซบอยู่กับไหล่เขา ขณะที่อุณหภูมิร่างกายยังคงอุ่นจัดจากความเหนื่อยล้า ท่ามกลางความเงียบที่โรยตัว มีเพียงเสียงแผ่วเบาที่หลุดออกจากริมฝีปากคนที่หมดแรง  
“…ขอชาอู่หลงเย็น ๆ แก้วนึง”  
แคสเปอร์หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ส่ายหน้ากับตัวเองก่อนจะมองคนที่ยังพึมพำในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น  
“นายยังจะห่วงเรื่องชาตัวเองอีกเหรอ” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ มือยังคงลูบแผ่นหลังอีกฝ่ายไปมาเบา ๆ อย่างไม่รู้ตัว  
เรนขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะพึมพำอีกครั้ง เสียงแผ่วจนแทบไม่ได้ศัพท์ แคสเปอร์เลิกคิ้ว ขยับตัวเข้าใกล้กว่าเดิมเพื่อฟังให้ชัดเจน  
“น้ำแข็งไม่ต้องเยอะ… แค่พอเย็น”  
แคสเปอร์ถอนหายใจยาว พยายามกลั้นเสียงหัวเราะก่อนจะยกมือขึ้นลูบผมยุ่ง ๆ ของเรนเบา ๆ  
“ได้สิ ฉันจะหาให้… แต่ก่อนอื่นนายต้องนอนพักก่อน เข้าใจไหม?”  
ไม่มีคำตอบกลับมา มีเพียงลมหายใจที่ค่อย ๆ สม่ำเสมอขึ้น ราวกับเจ้าตัวกำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา แคสเปอร์มองใบหน้าที่ดูสงบลงในยามหลับ ก่อนจะกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นเล็กน้อย รถยังคงแล่นต่อไป ท่ามกลางถนนที่ทอดยาวภายใต้แสงไฟสลัวของเมืองใหญ่  
—  
เมื่อรถมาจอดสนิทที่หน้าเพนต์เฮาส์ของแคสเปอร์ ไฟถนนด้านนอกยังคงส่องแสงสีส้มสลัวทาบลงบนกระจกที่สะท้อนเงาเมืองยามค่ำคืน เสียงเครื่องยนต์ดับลงพร้อมกับความเงียบเข้าครอบคลุมภายในรถ แคสเปอร์ก้มลงมองคนในอ้อมแขน เรนยังคงหลับสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอขณะที่ร่างกายอ่อนปวกเปียกอยู่กับเขา  
เขาขยับตัวอย่างระมัดระวังก่อนจะเปิดประตู แล้วพยุงเรนขึ้นหลัง แขนแกร่งโอบเกี่ยวต้นขาของอีกฝ่ายไว้แน่น ขณะที่ใบหน้าของเรนแนบลงกับไหล่เขาโดยไม่รู้ตัว แคสเปอร์เหลือบตาเห็นคนของเขาหลายคนที่ยืนรออยู่ด้านหน้าทางเข้า หนึ่งในนั้นก้าวเข้ามาเสนอจะช่วยพยุงเรนขึ้นไป แต่แคสเปอร์เพียงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดเพียงประโยคสั้นๆ  
“ฉันแบกเอง” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบ ๆ แต่หนักแน่น ก่อนจะออกเดินตรงไปยังประตูลิฟต์ที่เปิดรออยู่  
คนของเขาไม่ได้เซ้าซี้ต่อ เพียงแต่ถอยออกไปพร้อมกับมองตามเงาของผู้เป็นนายที่ก้าวขึ้นลิฟต์ไปอย่างเงียบ ๆ แคสเปอร์ขยับปรับน้ำหนักของคนบนหลังให้ถนัดขึ้น ก่อนจะกระชับแขนแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย สัมผัสของเสื้อสูทที่เปื้อนเลือดจาง ๆ ยังชื้นอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ  
“จะตัวเล็กหรือตัวโต ก็ยังเป็นภาระของฉันอยู่ดี” เขาพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เสียงแจ้งเตือนของลิฟต์จะดังขึ้น ประตูเปิดออก เผยให้เห็นภายในเพนต์เฮาส์กว้างขวางที่เงียบสงบ แสงไฟสลัวถูกเปิดขึ้นโดยอัตโนมัติ แคสเปอร์ก้าวเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน วางเท้าอย่างมั่นคงแม้จะมีน้ำหนักของอีกคนกดทับอยู่บนหลัง  
เขาเดินตรงไปยังห้องนอน ก่อนจะค่อย ๆ โน้มตัวลงเพื่อวางเรนลงบนเตียงกว้างอย่างนุ่มนวล ผ้าปูที่นอนสีเข้มตัดกับผิวซีดของเรนที่ดูอิดโรยยิ่งนัก แคสเปอร์ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากออก ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ  
“พอได้กินของอร่อยก็มีแรงเหลือเฟือ แต่พอหมดแรงก็กลายเป็นเด็กขี้เซาทันทีเลยนะ”  
เขาพึมพำ ก่อนจะหันไปถอดเสื้อคลุมของตัวเองออก วางพาดไว้กับพนักเก้าอี้ แล้วเดินไปหยิบผ้าชุบน้ำหมาด ๆ มาซับใบหน้าให้เรนโดยไม่รอให้เจ้าตัวรู้สึกตัว  
เสียงสายเรียกเข้าแว่วขึ้นท่ามกลางความเงียบยามดึก แคสเปอร์เอนตัวพิงโซฟา ก่อนจะกดรับวิดีโอคอล ภาพของเสี่ยวไป๋ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ พร้อมกับราฟาเอโร่ที่นั่งข้างกัน ดวงตาสีอำพันคมกริบมองมาอย่างเงียบขรึม  
“เป็นไงบ้าง?” เสี่ยวไป๋เอ่ยเสียงเรียบ แต่แฝงความห่วงใยที่เจ้าตัวไม่คิดจะปิดบัง  
แคสเปอร์กระตุกยิ้มบาง ก่อนจะแพนกล้องไปที่เตียงข้างหลัง ภาพของเรนนอนคว่ำอยู่บนเตียง เสื้อเชิ้ตตัวบางที่ใส่ไว้ถูกปลดกระดุม เผยให้เห็นรอยสักสีเข้มที่แผ่กระจายเต็มแผ่นหลัง ลามมาถึงช่วงอก ดูขัดกับใบหน้าเด็ก ๆ ที่มักจะมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่เสมอ  
“อา… เหมือนหมาลูกที่พอซนเสร็จก็หลับเป็นตาย” แคสเปอร์พูดพลางมองไปยังร่างที่หลับสนิทอยู่บนเตียง “ตอนมีแรงก็ยั่วโมโหคนไปทั่ว พอหมดแรงก็ทำตัวน่าเอ็นดู”  
ราฟาเอโร่ไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาที่มองผ่านกล้องฉายแววเหมือนจับสังเกตอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ  
“ไม่ได้เป็นไข้ใช่ไหม?”  
“ไม่ต้องห่วง ฉันเช็ดตัวให้แล้ว” แคสเปอร์ตอบพลางหัวเราะเบา ๆ “เด็กคนนี้แค่ต้องพัก พรุ่งนี้ก็คงกระโดดซนเหมือนเดิม”  
เสี่ยวไป๋พยักหน้า ก่อนจะเป่าลมหายใจออกช้า ๆ “ให้เขาพักให้เต็มที่”  
“รู้แล้วน่า ฉันดูแลเด็กน้อยของพวกเราอยู่” แคสเปอร์ยักไหล่พลางยิ้มขำ  
“ดูแลเรน หรือกลั่นแกล้งเขากันแน่?” เสี่ยวไป๋เลิกคิ้วถาม  
“อย่างฉันน่ะเหรอจะกลั่นแกล้งใครได้” แคสเปอร์แกล้งทำเสียงสูง พลางหันกล้องกลับไปที่เรนที่ยังหลับสนิท  
ราฟาเอโร่ถอนหายใจเบา ๆ “พรุ่งนี้ค่อยรายงาน”  
แคสเปอร์หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะโบกมือให้ “โอเค ๆ ฉันดูแลเขาเอง พรุ่งนี้จะให้ตัวเจ้าตัวแสบของนายรายงานเองแล้วกัน”  
สายวิดีโอคอลจบลง พร้อมกับเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเรนที่ยังคงหลับสนิท แคสเปอร์เหลือบมองร่างบนเตียง ก่อนจะเดินไปดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ “เฮ้อ เด็กดื้อ” เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ มองแสงไฟจากตึกสูงภายนอกเงียบ ๆ  
 
TBC. ฝากติดตามเป็นกำลังใจต่อหน่อยน้าา แก๊งค์อนุบาลมาเฟียกำลังน่ารักเลย รักคนอ่าน♥️  
 |