แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-3-4 17:21  
 
 
 ตอนที่ 22 ข่าวลือที่เป็นเรื่องจริง  
ชมผายืนอยู่หน้าบ้านของตัวเอง ดวงตายังเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องวันนั้น หัวใจของเขาก็เดือดพล่าน สิงหะ… มันกล้าทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้นกับเขาได้ยังไง? ความรู้สึกขมขื่นยังคงติดค้างในใจ แม้ว่าจะพยายามผลักไสความทรงจำแย่ๆ ออกไป แต่ก็ทำไม่ได้เสียที  
 เขาเพิ่งรู้ความจริงเมื่อไม่นานมานี้ คนที่ทำร้ายเขาในวันนั้นคือสิงหะ คนที่เคยตีหน้าใสซื่อ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และยังกล้าทำตัวเหมือนสนิทสนมกันอีก หลังจากรู้ความจริง ความโกรธก็พลุ่งพล่านจนเขาอดไม่ได้ที่จะระเบิดมันออกมา  
 เมื่อไม่กี่วันก่อน ชมผาได้เจอสิงหะอีกครั้ง เขาไม่ได้รอให้คนตรงหน้าเอ่ยอะไรออกมาด้วยซ้ำ ด่ากราดไปจนอีกฝ่ายหน้าถอดสี ดวงตาของสิงหะมีแต่ความรู้สึกผิดเต็มเปี่ยม แต่สำหรับชมผาแล้ว แค่สำนึกผิดมันไม่พอ  
 "มึงคิดเหรอว่าสำนึกผิดแล้วทุกอย่างจะจบ?!" เขาตะคอกใส่สิงหะในวันนั้น เสียงของเขาเต็มไปด้วยความโมโห เจ็บแค้น และความผิดหวัง  
 สิงหะได้แต่ยืนนิ่ง กำหมัดแน่นโดยไม่เถียงสักคำ ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากตอบโต้ แต่เพราะเขารู้ดีว่า…เขาไม่มีสิทธิ์นั้น   
 "ขอโทษ…" สิงหะพูดออกมาเสียงแผ่ว แม้จะรู้ว่าไม่อาจลบล้างสิ่งที่ตัวเองทำไปได้  
 "ขอโทษแล้วอะไรๆ มันจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม?! มึงมันเลวที่สุด!" ชมผากัดฟันแน่น ตะโกนใส่อีกฝ่ายอย่างไม่ยั้ง  
 ความเงียบเข้าปกคลุมหลังจากนั้น สิงหะไม่ตอบโต้อีก เขาทำได้แค่ยืนนิ่งๆ ปล่อยให้คำด่าเหล่านั้นซัดเข้ามาหาตัวเองเหมือนคลื่นลูกใหญ่  
 แม้ว่าตอนนี้เวลาจะผ่านไปแล้ว แต่แค่คิดถึงเรื่องนี้ ความโกรธก็ยังตีตื้นขึ้นมาในอก ทำไมเขาจะต้องมารู้สึกแบบนี้ด้วยวะ? ทำไมเขาต้องมานั่งคิดถึงมันอยู่ได้?!  
ชมผากำหมัดแน่น รู้สึกโมโหที่ตัวเองยังนึกถึงมัน ทั้งที่มันควรจะเป็นเรื่องที่เขาโยนทิ้งไปแล้ว  
แต่ถึงจะโกรธแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถลบภาพของสิงหะในวันนั้นออกไปจากใจได้เลย…  
 
–  
 
 
 
แสงแดดอ่อนๆ ยามบ่ายคล้อยทอดผ่านแนวต้นไม้ใหญ่ ส่องกระทบเส้นทางลูกรังที่ทอดยาวออกไปจนสุดสายตา ลมพัดเอื่อยๆ ทำให้ใบไม้ไหวเอน เสียงจักจั่นและนกป่าดังคลอเป็นฉากหลังของบรรยากาศอันเงียบสงบ  
 ชมผายืนพิงต้นไม้อยู่ที่ข้างทาง ร่างกายครึ่งหนึ่งอยู่ในร่มเงา ขณะที่สายตากวาดมองไปยังเส้นทางด้านหน้า ดวงตาฉายแววครุ่นคิด แม้ตอนนี้อารมณ์โกรธเคืองของเขาที่มีต่อสิงหะจะจางลงไปบ้าง แต่เรื่องราวที่เขาเพิ่งค้นพบยังคงหนักอึ้งอยู่ในใจ  
 เจ้าทัพ… มันไม่ใช่แค่เด็กกำพร้าที่โตมาในชุมโจร แต่เป็นลูกชายของนายตำรวจยศใหญ่ในพระนคร  
 เขาโกหกขวัญ  
 ขวัญ… เด็กที่โตมาพร้อมกับเขา คนที่เขาเคยคิดว่าจะปกป้องได้ คนที่เคยทำให้เขาหลงคิดไปว่าตัวเองอาจรู้สึกมากกว่าความเป็นพี่น้อง แต่ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว ว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อขวัญ… ไม่ใช่ความรักแบบนั้นอีกต่อไป  
 แต่ถึงแม้ตอนนี้เขาจะไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับขวัญอีกแล้ว เขาก็ยังห่วงอีกฝ่ายอยู่ดี  
 และนั่นคือเหตุผลที่เขาต้องบอกขวัญเรื่องนี้  
 เขาไม่อยากให้ขวัญมาเสียใจทีหลังเหมือนที่เขาเคยเป็น ไม่อยากให้ขวัญต้องมารู้ความจริงทีหลังแล้วต้องเจ็บปวดเหมือนเขา  
 เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากปลายทาง ชมผาเงยหน้าขึ้นมอง เห็นร่างของขวัญกำลังก้าวเข้ามา ขวัญเดินไปเรื่อยๆ มือทั้งสองกอดกระบุงใบเล็กที่ดูเหมือนจะใส่อะไรบางอย่างมาจากไร่  
 ชมผาสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะตัดสินใจก้าวออกจากร่มไม้ แสงแดดกระทบลงบนร่างของเขา เผยให้เห็นสีหน้าที่เคร่งขรึม  
 "ขวัญ..."  
 เสียงของเขาดังขึ้น ทำให้ขวัญหยุดเดิน ขวัญเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสบกับเขา ก่อนจะแสดงสีหน้าประหลาดใจ  
 "พี่ชมผา?"  
 น้ำเสียงของขวัญเต็มไปด้วยความแปลกใจ คิ้วขมวดเล็กน้อย ดูเหมือนจะงงที่เห็นเขามาดักรออยู่ตรงนี้  
 ชมผายืนอยู่ตรงนั้น มองขวัญด้วยสายตาจริงจัง เขากำลังจะพูดในสิ่งที่อาจเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปตลอดกาล  
 เขาลังเลไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป  
 "พี่มีเรื่องอยากบอก"  
 ขวัญมองเขานิ่งไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ  
 "ว่ามาสิจ้ะ"  
 ชมผาพาขวัญเดินออกมาจากเส้นทางหลัก ค่อยๆ ลัดเลาะเข้ามายังแนวป่าริมหมู่บ้านที่ไม่มีใครสัญจรผ่าน เป็นที่ที่เงียบสงบพอสำหรับการพูดคุยโดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาได้ยิน  
 ขวัญเดินตามมาด้วยสีหน้าสับสน "พี่ชมผา มีอะไรเหรอครับ ทำไมต้องมาคุยกันแบบลับๆ แบบนี้?"  
 ชมผาหันไปมองขวัญ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก เขาไม่รู้ว่าต้องเริ่มจากตรงไหน ไม่รู้ว่าควรพูดยังไงให้ขวัญไม่เจ็บปวด แต่มันก็ไม่มีทางไหนที่จะทำให้เรื่องนี้เจ็บน้อยลงได้อยู่ดี  
 เขาตัดสินใจพูดออกไปตรงๆ  
 "ขวัญ... พี่มีเรื่องที่ต้องบอก เรื่องของเจ้าทัพ"  
 ขวัญชะงักไปทันที สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป "เรื่องของพี่ทัพ? ทำไมเหรอจ้ะ?"  
 ชมผามองเข้าไปในดวงตาของขวัญ ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเบาแต่หนักแน่น  
 "เจ้าทัพ…มันไม่ใช่คนธรรมดา มันเป็นลูกของนายตำรวจใหญ่ในพระนคร"  
 ขวัญเบิกตากว้าง ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน "พี่ชมผาพูดอะไร?! พี่ทัพจะเป็นลูกนายตำรวจได้ยังไง?! พี่ต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ"  
 "พี่ไม่ได้เข้าใจผิด ขวัญ" ชมผายืนยันหนักแน่น ดวงตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของขวัญที่เต็มไปด้วยความสับสนและหวาดหวั่น  
 "เจ้าทัพเป็นลูกชายของนายตำรวจยศใหญ่จริงๆ และดูเหมือนมันเองก็รับราชการตำรวจด้วย มันจงใจปิดบังเรื่องนี้มาตลอด"  
 ขวัญส่ายหน้ารัวๆ ไม่อยากจะเชื่อ "ไม่จริง… พี่ทัพไม่มีวันโกหกขวัญ ไม่มีวันทำแบบนั้น ขวัญรู้จักพี่ทัพดี!"  
 ชมผาเม้มปากแน่น เขาเข้าใจดีว่าขวัญไม่อยากเชื่อ เพราะตัวเขาเองก็เคยอยู่ในจุดที่ต้องเผชิญกับความจริงอันเจ็บปวดมาแล้ว  
 "พี่ก็เคยไม่อยากเชื่อเหมือนกัน พี่ก็เคยคิดว่ามันเป็นแค่เด็กกำพร้าที่พ่อของขวัญรับมาเลี้ยงเหมือนที่ทุกคนเล่า แต่สุดท้าย… ความจริงก็คือความจริง ขวัญ มันปิดบังเรื่องนี้กับเรามาตลอด"  
 ขวัญยืนตัวแข็ง ไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง ราวกับพยายามประมวลผลสิ่งที่ได้รับรู้ ดวงตาที่เคยสดใสเริ่มคลอไปด้วยน้ำตา "ถ้าเป็นเรื่องจริง… ทำไมพี่ทัพต้องโกหกขวัญ? ทำไมเขาถึงไม่เคยบอกขวัญเลย…"  
 "พี่ไม่รู้… แต่ขวัญต้องรู้ไว้อย่างหนึ่ง มันไม่ได้บอกเพราะมันกลัวว่าขวัญจะรับไม่ได้ หรืออาจจะเพราะมันเองก็มีเหตุผลของมัน แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร ความจริงก็คือมันเลือกที่จะโกหก"  
 ขวัญสะอื้นออกมาเบาๆ น้ำตาเริ่มร่วงลงมาอาบแก้ม มือของเขากำแน่นจนสั่นไปหมด "ขวัญรักพี่ทัพมากนะ… แล้วทำไม… ทำไมเขาต้องมีความลับกับขวัญด้วย…"  
 เสียงของขวัญขาดห้วง หัวใจของเขาแตกสลายโดยสมบูรณ์ ความไว้ใจที่มีต่อเจ้าทัพเหมือนถูกกระชากออกไปจนหมดสิ้น  
 ชมผาเห็นน้ำตาของขวัญแล้วก็อดไม่ได้ เขาเองก็ร้องไห้ น้ำตาที่ไหลออกมาไม่ได้มีเพียงความเสียใจต่อขวัญเท่านั้น แต่มันยังมีความรู้สึกเจ็บปวดของเขาเองที่เคยถูกหลอก เคยต้องเจอความผิดหวังแบบเดียวกัน  
 ชมผาก้าวเข้าไปใกล้ ก่อนจะดึงขวัญเข้ามากอดแน่น ขวัญสะอื้นไห้บนบ่าของเขา "มันเจ็บจริงๆ พี่ชมผา… ขวัญไม่ไหวเลย…"  
 "ร้องออกมาเถอะขวัญ… พี่อยู่ตรงนี้"  
 ทั้งสองกอดกันร้องไห้อยู่ท่ามกลางความเงียบของป่า ร้องให้กับความจริงที่ต้องเผชิญ ร้องให้กับความรักที่เต็มไปด้วยคำโกหก และร้องให้กับสิ่งที่ไม่มีวันย้อนกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว…  
  
 –  
  
 หลังจากวันนั้น ขวัญก็ไม่เคยได้รับข่าวจากเจ้าทัพอีกเลย ราวกับว่าเจ้าทัพหายไปจากชีวิตของเขาโดยสมบูรณ์  
 ในช่วงแรก ขวัญยังคงเฝ้ารอ ทุกวันเช้าและเย็น เขาจะมองไปยังทางเดินลูกรังที่ทอดยาวออกไปจากหมู่บ้าน ทางเส้นเดียวกันที่เจ้าทัพเคยเดินผ่านทุกวันเมื่อยังอยู่ที่นี่ เส้นทางที่เคยนำพาเขาเข้ามาในชีวิตของขวัญ และเส้นทางเดียวกันนี้เองที่พาเขาหายไป  
 ลมหนาวพัดผ่านในช่วงราตรี ความมืดปกคลุมหมู่บ้านแต่ขวัญยังคงนั่งอยู่ที่หน้าต่าง มองออกไปยังขอบฟ้าที่ไกลออกไปดั่งคนที่ยังมีความหวัง บางคืนเขานอนหลับไปทั้งที่ยังอยู่ตรงนั้น เช้าตื่นขึ้นมาก็ยังพบว่าตัวเองนั่งอยู่ในท่าเดิม  
 รอว่าสักวันหนึ่ง เจ้าทัพอาจจะกลับมา อาจจะเดินเข้ามาหาเขาแล้วพูดว่า "ขอโทษ" อาจจะบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด  
 แต่วันนั้น... มันไม่เคยมาถึง  
 ความเงียบงันนั้นค่อยๆ กัดกินหัวใจของเขาเหมือนสนิมที่เกาะกินโลหะ ความหวังที่เคยหล่อเลี้ยงจิตใจของเขาค่อยๆ หรี่ลง กลายเป็นเพียงเถ้าถ่านที่ไม่มีวันลุกไหม้ขึ้นมาได้อีก  
 วันเวลาผ่านไปเป็นเดือน ทุกอย่างรอบตัวดำเนินไปตามปกติ ชาวบ้านยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม คนในหมู่บ้านยังคงทำไร่ ทำนา พูดคุยกันถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของวันเหมือนทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  
 แต่สำหรับขวัญ... โลกของเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป  
 จากที่เคยเฝ้ารอทุกเช้า ทุกเย็น พอผ่านไปหนึ่งเดือน ขวัญเริ่มพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ไปนั่งรอที่เดิม เขาเริ่มฝืนตัวเองให้เลิกมองไปที่เส้นทางเก่าๆ นั้น  
 แต่ใจของเขาก็ยังไม่เลิกหวัง  
 สองเดือนผ่านไป ขวัญเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ ไม่มีข่าวสาร ไม่มีคำอธิบายใดๆ จากเจ้าทัพ ไม่แม้แต่ข้อความสั้นๆ เพื่อให้เขารู้ว่าเจ้าทัพยังคงอยู่  
 ขวัญอยากโกหกตัวเองว่ายังมีหวัง แต่ทุกวันที่ผ่านไป ความเงียบงันที่ทอดยาวเหมือนกักขังเขาไว้ในกรงแห่งความผิดหวัง ทุกวันที่เขาตื่นขึ้นมาแล้วยังคงไม่พบข่าวคราวของเจ้าทัพ มันยิ่งตอกย้ำว่า… เขาไม่เคยสำคัญพอให้เจ้าทัพหันกลับมามอง  
 ขวัญเคยร้องไห้ทุกคืนในช่วงแรก แต่พอเวลาผ่านไป น้ำตากลับแห้งเหือด เขาไม่ได้เสียใจน้อยลง แต่เขาเริ่มชา... เริ่มไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป  
 ตั้งแต่วันที่เจ้าทัพหายไปจากชีวิตของเขา ขวัญก็พร่ำบอกกับตัวเองว่า พอแล้ว...พอแล้วกับการเฝ้ารอ พอแล้วกับการหลอกตัวเองว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม  
 ในคืนหนึ่ง ขวัญเดินออกไปที่ริมหน้าผาสูงของหมู่บ้าน ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่เขากับเจ้าทัพเคยมานั่งด้วยกัน เคยนั่งคุยกันถึงอนาคต ถึงความฝันที่อยากจะมีร่วมกัน  
 แต่ตอนนี้... มีเพียงเขาเพียงลำพัง  
 ขวัญก้มลงมองมือของตัวเอง นิ้วเรียวยาวที่เคยถูกเจ้าทัพจับไว้อย่างอ่อนโยน ตอนนี้มันกำแน่นโดยที่ไม่มีใครมาจับมันไว้อีกต่อไป  
 เขาหัวเราะออกมาเบาๆ... เป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความขมขื่น  
 "ขวัญ... มึงแม่งโง่จริงๆ"  
 เขาหลงเชื่อในคำพูดของเจ้าทัพ หลงเชื่อในสายตา หลงเชื่อในสัมผัสของอีกฝ่าย ทั้งๆ ที่เจ้าทัพไม่เคยคิดจะอยู่กับเขาจริงๆ เลยด้วยซ้ำ  
 ขวัญยืนมองเส้นขอบฟ้าที่ทอดไกลออกไป ไกลจนเขาไม่อาจเอื้อมถึง เหมือนกับความรักที่เขาเคยวาดหวังว่ามันจะเป็นจริง  
 เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ปิดเปลือกตาลงช้าๆ ปล่อยให้สายลมพัดผ่านร่างกายของเขา ลมหายใจของเขาในตอนนี้ช่างสงบเหลือเกิน  
 ตั้งแต่วันนั้นมา…  
 เขาก็ไม่เคยเฝ้ารออีกเลย  
  
–  
 
 
 
เสียงกระทบของรองเท้าบูทกับพื้นไม้ดังสะท้อนภายในห้องทำงานกว้าง แผ่นกระดาษรายงานอัดแน่นอยู่ในแฟ้มเอกสาร ตราประทับทางการสีแดงสดติดอยู่บนหน้าปกทุกแผ่น บ่งบอกถึงความสำคัญของภารกิจที่เขารับผิดชอบอยู่  
 เจ้าทัพยืนกอดอกอยู่หน้าแผนที่ผืนใหญ่ที่ปักตราสัญลักษณ์หลายจุด แต่ละจุดนั้นคือที่ตั้งของกลุ่มโจรที่ถูกกวาดล้างไปแล้ว  
 ทุกครั้งที่หมู่โจรถูกกวาดเก็บ ชื่อของเขายิ่งดังก้อง  
 เขาคือ "นายตำรวจมือสะอาด ผู้ไม่เคยปรานีต่อพวกนอกกฎหมาย"  
 ตั้งแต่วันที่เขาเลือกเดินออกจากหมู่บ้าน… เขาไม่เคยหันกลับไปมองข้างหลังอีกเลย  
 งานราชการกลืนกินเวลาทั้งหมดของเขา แต่เขาเต็มใจจะให้มันกลืนกิน  
 จากนายตำรวจลาดตระเวนหนุ่มที่เคยถูกส่งตัวมาเฝ้าดูแนวชายแดน ตอนนี้ เขาคือหัวหน้าหน่วยปราบปรามโจรผู้ร้าย หนึ่งในคนที่มีอำนาจมากที่สุดของกรมตำรวจ  
 มือที่เคยถือปืนเพียงเพื่อปกป้องตัวเอง ตอนนี้กลายเป็นมือที่ถือปืนของกฎหมาย  
 แต่ทุกอย่างต้องแลกมาด้วยบางสิ่ง…  
 ชีวิตที่เขาเคยมี… คนที่เขาเคยรัก…  
 ข่าวลือเริ่มแพร่สะพัดไปทั่ว เจ้าทัพไม่ใช่โจร แต่เป็นนายตำรวจที่มีอำนาจล้นมือ  
 ในหมู่บ้าน ชาวบ้านเริ่มซุบซิบกันถึงชื่อของเขา ในพื้นที่ห่างไกล กลุ่มโจรที่เคยเรืองอำนาจเริ่มถูกกวาดล้างจนแทบไม่เหลือซาก  
 ทุกครั้งที่มีใครถูกจับกุมหรือถูกสังหาร ข่าวลือนั้นก็ยิ่งเป็นจริงขึ้นเรื่อยๆ  
 "คนพวกนั้นเคยคิดว่าเขาเป็นพวกเดียวกัน... แต่ตอนนี้เขากลับเป็นคนที่ทำให้พวกมันต้องล้มตาย"  
 เจ้าทัพไม่รู้สึกอะไรกับข่าวเหล่านั้น แต่ในทุกคืนวันเขายังคิดถึงคนรัก “ขวัญข้าว” เขาอยากรับขวัญมาอยู่ด้วยกัน ในวันที่ทุกอย่างลงตัว เขาเฝ้าคิดว่าเขาจะเลี้ยงดูขวัญให้สุขสบาย โดยที่ไม่ต้องเป็นโจรอีก ตอนนี้เขาต้องการแค่เวลาเท่านั้น อีกแค่ไม่กี่ปี   
 รอพี่นะเจ้าขวัญ…  
 
–  
  
อีกด้านหนึ่ง  
 ขวัญนั่งอยู่ในมุมมืดของโรงฝึก นิ้วเรียวยาวลูบไล้ไปตามลำกล้องปืนกระบอกใหม่ที่เพิ่งได้รับมา มันคือปืนลูกโม่คุณภาพดีที่ได้มาจากการปล้นขบวนของพ่อค้าอาวุธเถื่อน  
 น้ำหนักของมันคุ้นมือดี  
 เขาพลิกมันเล่นด้วยความเคยชิน ก่อนจะบรรจุกระสุนและตั้งสมาธิไปที่เป้าหมายเบื้องหน้า  
ปัง! ปัง! ปัง!  
 เสียงปืนดังก้องในความเงียบ ปลอกกระสุนร่วงลงกระทบพื้นหิน เป้าหมายที่ห่างออกไปหลายสิบเมตรปรากฏรูกระสุนเจาะตรงกลางอย่างแม่นยำ  
 ขวัญลดปืนลง ยกมือปัดเศษเขม่าที่ติดอยู่ปลายนิ้วออกอย่างไม่ใส่ใจ สายตาของเขานิ่งสงบ ไม่ได้แสดงความตื่นเต้น หรือพอใจในฝีมือของตัวเองแม้แต่น้อย  
 เขารู้ว่าตัวเองเก่งขึ้น  
 แต่เขายังไม่พอใจ  
 ทุกคืนเขาฝึกซ้อมการยิงปืนกลางป่า ไม่ใช่แค่ให้แม่นยำ แต่ต้องยิงให้เร็ว ยิงให้แน่นอน และต้องฆ่าได้ภายในกระสุนนัดเดียว  
 ขวัญที่เคยเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดา ตอนนี้กลายเป็นนักแม่นปืนที่อันตรายที่สุดในพื้นที่  
 เขาสามารถเล็งเป้าหมายได้แม้ในความมืด ยิงเป้าหมายที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วเพียงแค่เสี้ยววินาที  
 นอกจากปืนลูกโม่คู่ใจแล้ว เขายังถนัดปืนไรเฟิล ปืนลูกซอง และแม้กระทั่งปืนพกเล็กที่ซ่อนไว้ตามร่างกาย  
 เขาฝึกทุกอย่างที่ทำให้ตัวเองเป็นผู้นำกลุ่มโจรที่เก่งกาจ เพื่อรับช่วงต่อจากเสือสมานผู้เป็นพ่อ  
 หากมือเปล่าไม่สามารถเอาตัวรอดได้ เขาจะใช้มีด  
หากปืนหมดกระสุน เขาจะใช้แรงกำลังเข้าต่อสู้
  
และหากไม่มีทางหนีรอด เขาจะทำให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามเขาได้อีก
  
 เพราะขวัญที่เคยเป็นผู้ตาม บัดนี้กลายเป็นผู้นำ  
 ในสายตาของคนรอบข้าง เขาไม่ใช่ขวัญคนเดิมอีกต่อไป  
 ขวัญที่เคยอ่อนโยน ไร้เดียงสา และเฝ้ารอความรัก ไม่มีอยู่อีกแล้ว  
 ตอนนี้ เขาคือ "เสือขวัญ" จอมโจรผู้เลื่องชื่อ  
 ขวัญรู้ดีว่าเขากำลังเดินบนเส้นทางที่สวนทางกับเจ้าทัพอย่างสิ้นเชิง  
 แต่ถ้าเจ้าทัพเป็นตำรวจ…  
 เขาก็จะเป็นโจร  
 ไม่ใช่เพราะอยากขัดขวาง ไม่ใช่เพราะต้องการล้างแค้น แต่เพราะนี่คือชีวิตของเขา นี่คือทางที่เขาจะเดินต่อไป  
 และถ้าวันหนึ่ง… เจ้าทัพกับเขาต้องมาพบกันอีกครั้งในฐานะศัตรู  
 เขาก็จะไม่ลังเลอีกต่อไป  
 เพราะตอนนี้ เขาไม่ได้เป็นขวัญข้าวของเจ้าทัพอีกต่อไปแล้ว  
 
*********************************** 
กินมาม่าไปก่อนนะทุกคน  
แต่ละคนต่างก็มีเหตุผลของตัวเอง 
ไม่แน่ตอนต่อไปอาจได้กินอาหารเม็ด  
 
 
 |