ลืมรหัสผ่าน
 สมัครเข้าเรียน
ค้นหา
ดู: 681|ตอบกลับ: 1

ห้วงเวลาอันตรายของการบิน

[คัดลอกลิงก์]

มหาลัยซีเนียร์

กระทู้
192
ตอบกลับ
37
พลังน้ำใจ
1816
Zenny
15174
ออนไลน์
31 ชั่วโมง
ห้วงเวลาอันตรายของการบิน


การบินเดินทางโดยอากาศยานนับได้ว่ามีความปลอดภัยอย่างสูงสุดเมื่อเปรียบ เทียบกับการเดินทางด้วยพาหนะชนิดอื่น แต่ตัวแปรสำคัญที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุในระหว่างทำการบินในขั้นตอนต่างๆก็ ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยเสี่ยงและห้วงเวลาในระหว่างบินที่สามารถเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาด คิดขึ้นได้ตลอดเวลา...

Taix
ใน ห้วงเวลาของการเดินเครื่องยนต์เพื่อขับเคลื่อนตัวเครื่องไปยังรันเวย์ (Runway) ที่ใช้ทำการบินขึ้นหรือ Take-off เครื่องบินโดยสารจะมีกำลังของเครื่องยนต์แล้วทำการขับเคลื่อนจากลานจอดไปยัง ทางวิ่ง เพื่อทำการวิ่งขึ้นตามปกติ จากสภาพการณ์แวดล้อมทั่วไปที่ประเมินโดยประสบการณ์ของนักบินพาณิชย์ที่ทำการ บินกับเครื่องบินโดยสารพบว่า ความยากลำบากของห้วงเวลานี้จะมาจากความซับซ้อนของทางวิ่ง บวกกับสภาพการจราจรที่หนาแน่นของแต่ละสนามบิน ความยากลำบากในการติดต่อทางวิทยุกับหอบังคับการบินรวมถึงเจ้าหน้าที่ควบคุม การจราจรทางอากาศและสภาพอากาศในเวลานั้นที่กลายมาเป็นตัวแปรของสาเหตุในการ เกิดอุบัติเหตุ สิ่งที่อันตรายมากที่สุดในระหว่างการเคลื่อนตัวของเครื่องบินโดยสารเพื่อ ทำการวิ่งขึ้นคือสถานที่ที่นักบินผู้ควบคุมเครื่องไม่ควรจะขับเข้าไป


จาก ข้อมูลบันทึกสถิติการเกิดอุบัติเหตุของบริษัท Boeing ในช่วงปีคศ 2000-2009 พบว่า ช่วงการ Taix ไปตามรันเวย์มีสถิติของการเกิดอุบัติเหตุสูงถึงร้อยละ 13 ส่วนกรณีที่ก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างร้ายแรงเกิดขึ้นในวันที่ 27 มีนาคม คศ 1977 เมื่อเครื่องบิน Boeing 747-100 (747-121) ของสายการบินแพนแอม (Pan American World Airways) เที่ยวบินที่ 1736 ซึ่งกำลังจะออกเดินทางจากสนามบินเทเนริฟเพื่อมุ่งสู่ท่าอากาศยานลาสพาลมัส พร้อมผู้โดยสารและลูกเรือรวม 396 คน ในระหว่างการขับเคลื่อนอยู่บนทางวิ่งได้ชนเข้ากับเครื่องบิน Boeing 747 ของสายการบิน KLM เที่ยวบินที่ 4805 ซึ่งกำลังเร่งเครื่องอย่างเต็มที่เพื่อทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า สาเหตุหลักเกิดจากการสื่อสารที่ขัดข้อง ประกอบกับทัศน์วิสัยของบริเวณรันเวย์มีหมอกลงหนาทึบ ทำให้นักบินของเครื่อง Boeing 747 สายการบิน KLM ต้องดึงคันบังคับแบบฉุกเฉินเป็มมุมชันจนท้ายเครื่องครูดไปกับรันเวย์เป็น ระยะทางกว่า 20 เมตร เพื่อหลีกเลี่ยงการชนปะทะกับเครื่อง Boeing 747 ของสายการบินแพนแอม ก่อนที่เครื่อง KLM จะยกตัวขึ้นได้ แต่ระดับความสูงไม่เพียงพอและระยะของเครื่องบินทั้งสองลำที่กระชั้นชิดมาก ทำให้เครื่อง 747 ของ KLM ชนเข้ากับส่วนบนลำตัวเครื่อง 747 ของแพนแอมอย่างจัง และตกกระแทกพื้นดินเกิดไฟไหม้อย่างรุนแรง มีผู้เสียชีวิตจากเที่ยวบินของสารการบิน Pan Am Flight 1736 รวมทั้งสิ้น 335 คน

Take-off
ในช่วงของการวิ่งขึ้น จะเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงมากที่สุดช่วงหนึ่งของการบิน อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะเกิดจากปัจจัยของเครื่องยนต์ขัดข้องในระบบ ที่สำคัญระหว่างการเร่งเครื่องเพื่อทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า รวมถึงสภาพอากาศในห้วงเวลานั้นก็เป็นตัวแปรสำคัญของอุบัติเหตุ จากข้อมูลของบริษัท Boeing ในช่วงปีคศ 2000-2009 พบว่า ช่วงการบินขึ้นมีสถิติการเกิดอุบัติเหตุสูงถึงร้อยละ 12 ส่วนกรณีอุบัติเหตุที่มีผลทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม คศ 1979 เครื่องบินโดยสาร McDonnell Doughlas DC-10-10 ของสารการบินอเมริกันแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 191 ขณะทะยานขึ้นจากท่าอากาศยานนานานชาติชิคาโก เพื่อมุ่งหน้าสู่ท่าอากาศยานลอสแองเจลิส ในระหว่างการยกตัวขึ้นจากรัยเวย์ เครื่องยนต์หมายเลข 1 และชิ้นส่วนไพล่อน ได้หลุดออกจากจุดยึดบริเวณใต้ปีกที่ระดับความสูง 300 ฟุตเหนือพื้นรันเวย์ เครื่องยนต์เทอร์โบแฟนดังกล่าวตกใส่รันเวย์ ส่วนเครื่อง DC-10 ได้เลี้ยวไปทางซ้ายในลักษณะมุมบินที่ตั้งฉากกับพื้นดิน และหมุนตัวจนปีกทำมุมที่ผิดปกติ หลังจากนั้นจึงตกกระแทกกับพื้นดินที่ระยะทาง 1,435 เมตร จากปลายทางวิ่ง ผู้โดยสารและลูกเรือบนเครื่อง McDonnell Doughlas DC-10 จำนวน 271 คน เสียชีวิตทั้งหมด อุบัติเหตุร้ายแรงดังกล่าวยังทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้เคียงกับจุดตกของเครื่อง บินเสียชีวิตไปอีก 2 คน

Intial Climb
ในช่วง ของการไต่ระดับความสูงหลังจากทำการขึ้นบินจากรัเวย์ไปแล้ว เป็นช่วงที่ความเร็วของเครื่องบินเพียงพอในการที่จะยกตัวและบินไต่ระดับต่อ ไป ปัจจัยเสี่ยงในช่วงนี้ก็คือปัจจัยต่อเนื่องจากการวิ่งขึ้น ซึ่งในบางกรณีของการเกิดเหตุขัดข้องที่ความเร็วมากกว่า V1 นักบินตัดสินใจนำเครื่องขึ้นต่อไป ความเสี่ยงเกิดจากความต่อเนื่องของการวิ่งขึ้นทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวของ นักบินผู้ควบคุม จากข้อมูลของบริษัท Boeing ในช่วงปีคศ 2000-2009 ในการรวบรวมอุบัติเหตุระหว่างการไต่ระดับความสูงพบว่า ในห้วงเวลานี่มีสถิติของอุบัติเหตุสูงถึงร้อยละ 9 เมื่อนับรวบในช่วงของการไต่ระดับตั้งแต่ขั้นตอนการพับเก็บแฟลป มีตัวเลขถึงร้อยละ 13 ส่วนอุบัติเหตุที่มีผลทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด เกิดขึ้นในวันที่ 11 ธันวาคม คศ 1985 กับเครื่องบิน McDonnell Doughlas DC-8-63CF ของสายการบินแอรโรว์แอร์ เที่ยวบินที่ 1285R ซึ่งกำลังเร่งเครื่องยนต์เพื่อไต่ระดับความสูงหลังจากทะยานออกจากท่าอากาศ ยานแกนเดอร์ในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ เพื่อมุ่งสู่ท่าอากาศยานฟอร์ตแคมป์เบลล์ในสหรัฐอเมริกา เที่ยวบินดังกล่าวเป็นเที่ยวบินเช่าเหมาลำโดยกองกำลังผสมนานาชาติเพื่อ ปฏิบัติภารกิจในทะเลทรายไซนาย โดยทำการลำเลียงทหาร 248 นายกลับสู่ฐานที่ตั้งที่ฐานทัพฟอร์ตแคมเบลล์ เครื่องบินโดยสาร McDonnell Doughlas DC-8-63CF ทำการไต่ระดับที่ความเร็ว 167 นอต หลังจากนั้นความเร็วของตัวเครื่องได้เพิ่มขึ้นเป็น 172 นอต และลดลงทันทีจนเป็นผลให้หัวเครื่องดิ่งลงในมุมชัน ตัวเครื่อง DC-8 ตกกระแทกพื้นดินห่างจากทางวิ่งประมาณ 1,000 เมตร ทหารทั้งหมดรวมทั้งลูกเรือจำนวน 256 คน เสียชีวิต

En Route
ใน ช่วงการบินระดับหรือ En Route นักบินผู้ควบคุมเครื่องจะมีภาระงานหรือ Workload ลดลง เนื่องจากเครื่องบินอยู่ในท่าทาง ความเร็ว และความสูงที่มีความเหมาะสมในการบินเดินทาง ปัจจัยของการเกิดอุบัติเหตุทางอากาศในระหว่างทำการบินรักษาระดับความสูง นอกเหนือไปจากเครื่องยนต์ขัดข้องแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านความดันของบรรยากาศ Decompression ซึ่งเป็นปัจจัยที่นักบินต้องทำการฝึกซ้อมในเครื่องบินจำลองอยู่เป็นประจำ โดยภาพรวมแล้วยังคงมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆอีกมากที่จะมีผลทำให้การบินในห้วง เวลานี้ กลายเป็นห้วงเวลาที่ไม่น่าไว้วางใจอีกช่วงหนึ่ง จากข้อมูลของบริษัท Boeing ในช่วงปีคศ 2000-2009 ในการรวบรวมอุบัติเหตุระหว่างการบินระดับของเครื่องบินโดยสารทั่วโลกพบว่า ในช่วงนี้มีสถิติเกิดขึ้นถึงร้อยละ 10 ส่วนกรณีที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม คศ 1985 กับสายการบิน JAL - Japan Air Lines (เจแปนแอร์ไลน์) ซึ่งบินด้วยเครื่องบิน Boeing 747-SR46 ซึ่งเป็นเครื่อง Boeing 747 รุ่นลำตัวสั้นที่ใช้เดินทางขนส่งผู้คนภายในหมู่เกาะญี่ปุ่น ในเที่ยวบิน JA-819 จากท่าอากาศยานฮาเนดะไปยังท่าอากาศยานโอซาก้า เครื่อง 747-SR46 ลำนี้เคยมีประวัติส่วนหางของเครื่องครูดกระแทกกับทางวิ่งเมื่อ 7 ปีก่อน (อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นในวันที่ 22 มิถุนายน คศ 1978 ที่ท่าอากาศยานโอซาก้า) จนเกิดความเสียหายที่บริเวณส่วนหางใต้ลำตัว โดยเฉพาะส่วนปิดฝาท้ายที่ใช้สำหรับปิดเพื่อปรับความดันบรรยากาศภายในห้อง โดยสาร และเข้าทำการซ่อมแซมโดยฝ่ายช่างอากาศยานของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ แต่ในระหว่างการใช้งานอีก 7 ปีต่อมาในวันที่ 12 สิงหาคม คศ 1985 เครื่อง Boeing 747 SR-46 ได้วิ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าในเวลาประมาณ 18.12 น. หลังจากบินขึ้นไปได้แค่เพียง 12 นาที ขณะที่ตัวเครื่องกำลังไต่ระดับความสูงที่ 23,900 ฟุต ที่ความเร็วกว่า 300 นอตต่อชั่วโมง เครื่องบิน Boeing 747 SR-46 ลำดังกล่าวเกิดการสั่นอย่างรุนแรงจนนักบินไม่สามารถควบคุมเครื่องได้อีก ความดันบรรยากาศภายในห้องโดยสารลดระดับลงอย่างรวดเร็วและส่วนหางของตัว เครื่องได้หลุดออกมาและก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อระบบไฮดรอลิก ที่ใช้ในส่วนของการควบคุมท่าทางในการบินแทบทั้งหมด เครื่องบินสั่นสะท้านอย่างต่อเนื่องจนลดระดับลงมาที่ความสูง 6, 600 ฟุต ความเร็วลดลงเหลือเพียง 108 นอตต่อชั่วโมง นักบินทั้งสองนายรวมถึงวิศวกรการบินอีก 1 นายพยายามควบคุมเครื่องบินโดยใช้กำลังของเครื่องยนต์เทอร์โบแฟนทั้ง 4 ตัว จนสามารถไต่ระดับความสูงไปที่ 13,400 ฟุต ด้วยมุมปะทะหรือ Angle Of Attack มากถึง 39 องศา หลังจากนั้นตัวเครื่องได้ลดระดับความสูงเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อเวลา 18.56 น. ตามเวลาท้องถิ่น เครื่อง Boeing 747 SR-46 ตกกระแทกหุบเขาและไถลไปกับเนินเขาระเบิดลุกเป็นไฟ ผู้โดยสายและลูกเรือทั้งหมด 524 คนเสียชีวิต

Approach
ใน ช่วงของการลดระดับความสูงและลดความเร็วของเครื่องบินโดยสารเพื่อทำการร่อนลง จอดหรือ Approach เป็นช่วงที่เครื่องบินต้องทำการเตรียมตัวลงจอด โดยใช้การปรับลดความเร็ว กางแฟลป ใช้เกียร์จอดหรือกางฐานล้อ (Landing Gear) ซึ่งโดยปกตินั้นตัวเครื่องจะบินเข้าใกล้กับท่าอากาศยานที่จะใช้ร่อนลงแล้ว ปัจจัยในการเกิดอุบัติเหตุได้แก่ สภาพการจราจรทางอากาศที่หนาแน่นจากจำนวนของอากาศยานที่บินเข้ามาทุกทิศทาง ซึ่งอาจก่อให้เกิดการชนกันกลางอากาศ หรือแม้แต่ความผิดพลาดของนักบินเอง จากข้อมูลของบริษัท Boeing ในช่วงปีคศ 2000-2009 ในการรวบรวมอุบัติเหตุระหว่างการเตรียมตัวร่อนลงจอดของเครื่องบินโดยสารทั่ว โลกพบว่า ในช่วงนี้มีสถิติอุบัติเหตุเกิดขึ้นถึงร้อยละ 11 เมื่อรวมกับสถิติของการเกิดอุบัติเหตุในระหว่างการลดระดับความสูงทำให้มี ตัวเลขสูงถึงร้อยละ 15 และกรณีที่ก่อให้เกิดการเสียชีวิตมากที่สุดในระหว่างการบิน Approach เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 เมษายน คศ 1994 ในเครื่องบิน Airbus 300 B4 (A300B4-622R) ของสายการบินไชน่าแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 140 ซึ่งออกเดินทางจากท่าอากาศยานไทเป ประเทศไต้หวันเพื่อไปยังท่าอากาศยานนาโกยาในประเทศญี่ปุ่น นักบินที่ 2 ของเครื่อง China Air Lines ทำการร่อนตัวเครื่องไปยังรันเวย์หมายเลข 34 ด้วยระบบอัตโนมัติ ILS ขณะที่ทำการร่อนสู่ทางวิ่งผ่านระดับความสูง 1,070 ฟุต เครื่องบินมีความเร็ว 145 นอต นักบินที่ 2 เผลอไปใช้ระบบแรงขับสูงสุดหรือ TOGA=Take off Go Around และเพื่อให้ตัวเครื่องกลับเข้าสู่มุมร่อนที่ถูกต้อง นักบินที่ 2 ได้ทำการปลดระบบแรงขับอัตโนมัติ Autothrust และปรับลดคันเร่งเครื่องยนต์ด้วยตัวเองหรือ Manual Thrust ต่อมาที่ระดับความสูง 1,030 ฟุต

หลังจากนั้นนักบิน ที่ 2 จึงกลับมาใช้ระบบบินอัตโนมัติอีกครั้งหรือ Auto Pilot แต่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ควบคุมการบินได้สั่งการให้ตัวเครื่องทำการบินไต่ ระดับไปที่ 18 องศาโดยอัตโนมัติ (เนื่องจากการเลือกโหมด TOGA เมื่อ 12 วินาทีที่แล้ว) นักบินพยายามกดคันบังคับเพื่อให้หัวเครื่องลดองศาการไต่ระดับ แต่ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมการบินยังคงทำการปรับแพนหางให้เครื่องบินไต่ระดับ ความสูงต่อไป จนอีก 42 วินาทีต่อมา ระบบออโต้ไพลอตได้ปลดตัวเองโดยอัตโนมัติ แต่ตัวเครื่อง Airbus 300B4 ยังคงอยู่ในท่าทางของการไต่ระดับความสูง ระบบป้องกันของตัวเครื่องหรือ Alpha Floor Protection ได้ทำการเร่งเครื่องยนต์จนถึงขีดสูงสุดหรือ TOGA อีกครั้งจนมีผลไปถึงมุมบินของตัวเครื่องที่ทำมุมตั้งถึง 52.6 องศาจากพื้น กัปตันพยายามตัดระบบป้องกันออกเพื่อเข้าควบคุมเครื่องบินที่กำลังเสียอาการ อย่างรุนแรง โดยใช้การลดคันเร่งของเครื่องยนต์มาที่ตำแหน่งต่ำสุด ซึ่งจะสามารถปลดล็อกระบบป้้องกันออก แต่ในห้วงเวลาที่วิกฤตนั้น เครื่อง Airbus A300B4 มีความเร็วเพียง 78 นอตต่อชั่วโมง และเกิดการร่วงหล่นอย่างฉับพลันที่ระดับความสูง 1,800 ฟุต เครื่องบินตกกระแทกพื้นโดยเอาส่วนหางลงก่อนและระเบิดเป็นลูกไฟดวงใหญ่ห่าง จากทางวิ่งเพียง 100 เมตร ลูกเรือของสายการบิน China Air Lines ทั้ง 15 คนกับผู้โดยสารอีก 256 คนเสียชีวิต โดยมีผู้รอดชีวิตเพียง 7 คนเท่านั้น

Landing
ห้วง เวลาของการลงจอดถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่นักบินมีภาระงานมากที่สุดในการ ควบคุมตัวเครื่องให้อยู่ในระดับความสูง ความเร็วและทิศทางที่ถูกต้อง ปัจจัยเสียงต่อการเกิดอุบัติเหตุในช่วงเวลานี้จึงมีสูงมากจากการลดระดับทั้ง ความสูงและความเร็ว รวมถึงสภาพอากาศในขณะที่กำลังทำการร่อนลงจอดซึ่งประกอบไปด้วยปัจจัยของความ เสี่ยงในการที่ตัวเครื่องจะชนเข้ากับพื้นดินหรือ CFIT รวมถึงการตัดสินใจที่ก่อให้เกิดความผิดพลาดของตัวนักบินเอง จากข้อมูลของบริษัท Boeing ในช่วงปีคศ 2000-2009 ในการรวบรวมอุบัติเหตุระหว่างการเตรียมตัวร่อนลงจอดของเครื่องบินโดยสารทั่ว โลกพบว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวมีโอกาศที่จะเกิดอุบัติเหตุสูงถึงร้อยละ 21 และเมื่อรวมสถิติของอุบัติเหตุในขั้นตอนการบินแบบ Approach และ Landing ก็พบว่า มันมีอัตราความเสี่ยงที่สูงมากถึงร้อยละ 34 ส่วนกรณีการบินเพื่อ Landing แล้วเกิดอุบัติเหตุจนทำให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด เกิดขึ้นในวันที่ 17 กรกฏาคม คศ 2007 เมื่อเครื่องบิน Airbus A320-233 ของสายการบิน TAM Linhas Aereas เที่ยวบินที่ 3054 ซึ่งบินจากท่าอากาศยานปอร์โต ในประเทศโปรตุเกส เพื่อไปยังท่าอากาศยานเซาเปาโลของประเทศบราซิล นักบินทำการปลดระบบกลับทิศทางแรงขับของเครื่องยนต์หมายเลข 2 หรือ Thrust Reverser Engine No.2 ออกก่อนทำการบินขึ้น ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติมาตรฐานตาม MEL ขณะทำการร่อนเพื่อลดระดับความสูงและลดความเร็วเมื่อเข้าใกล้ท่าอากาศยานเซา เปาโล บนทางวิ่งลงหมายเลข 35L ซึ่งทางวิ่งดังกล่าวมีระยะสั้นเพียง 1,994 เมตร สภาพอากาศในขะนั้นมีฝนฟ้าคะนอง พื้นรันเวย์มีน้ำขังอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนกระแสลมในขณะนั้นวัดได้ที่ 8 นอตหรือ 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นักบินตรวจพบว่าระบบสปอยเลอร์ Ground Spoiler ไม่ทำงานหลังจากล้อของเครื่องบินได้สัมผัสกับรันเวย์แล้ว ทำให้เครื่อง Airbus A320 ไม่สามารถหยุดบนทางวิ่งได้ เครื่องบินได้ไถลออกนอกทางวิ่งจนพุ่งเข้าชนกับตึกของสำนักงานสายการบินเองจน ระเบิดไฟลุกท่วม ผู้โดยสารและลูกเรือทั้ง 187 คน รวมกับคนบนพื้นอีก 12 คน เสียชีวิตทั้งหมด.

เอกสารอ้างอิง ข้อมูลประกอบการเขียนทั้งหมดจาก

THE AEROSPACE MAGAZINE Flight 59 May 2011

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
670
ตอบกลับ
12542
พลังน้ำใจ
24937
Zenny
169809
ออนไลน์
1434 ชั่วโมง

สมาชิกจีโฟกาย 100%สมาชิกระดับแพลตตินั่มสมาชิกระดับทับทิมสมาชิกระดับไพลินสมาชิกระดับมรกตสมาชิกระดับเพชรสมาชิกระดับเพชรบริหารสมาชิกระดับเพชรคู่สมาชิกระดับตรีเพชรสมาชิกระดับมงกุฎ

โพสต์ 2011-7-13 22:45:39 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | สมัครเข้าเรียน

รายละเอียดเครดิต

A Touch of Friendship: สังคมจะน่าอยู่ เมื่อมีผู้ให้แบ่งปัน ฝากไวเป็นข้อคิดด้วยนะคะชาวจีโฟกายทุกท่าน
!!!!!โปรดหยุด!!!!! : พฤติกรรมการโพสมั่วๆ / โพสแต่อีโมโดยไม่มีข้อความประกอบการโพส / โพสลากอักษรยาว เช่น ครับบบบบบบบบ, ชอบบบบบบบบ, thxxxxxxxx, และอื่นๆที่ดูแล้วน่ารำคาญสายตา เพราะถ้าท่านไม่หยุดทีมงานจะหยุดท่านเอง
ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่านโปรดโพสตอบอย่างอื่นนอกเหนือจากคำว่า ขอบคุณ, thanks, thank you, หรืออื่นๆที่สื่อความหมายว่าขอบคุณเพียงอย่างเดียวด้วยนะคะ เพื่อสื่อถึงความจริงใจในการโพสตอบกระทู้ และไม่ดูเป็นโพสขยะ
กระทู้ไหนที่ไม่ใช่กระทู้ในลักษณะที่ต้องโพสตอบโดยใช้คำว่าขอบคุณ เช่นกระทู้โพล, กระทู้ถามความเห็น, หรืออื่นๆที่ทีมงานอ่านแล้วเข้าข่ายว่า โพสขอบคุณไร้สาระ ทีมงานขอดำเนินการตัดคะแนน และ/หรือให้ใบเตือนสมาชิกที่โพสขอบคุณทันทีที่เจอนะคะ

รูปแบบข้อความล้วน|โทรศัพท์มือถือ|ติดต่อลงโฆษณา|จีโฟกายดอทคอม

ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บจีโฟกายดอทคอมนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ หากท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศิลธรรม ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link “แจ้งลบโพสนี้” ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือ ลืมพาสเวิดล๊อกอิน/ลืมชื่อที่ใช้สมัคร หรือข้อสงสัยใดๆแจ้งมาที่ G4GuysTeam[at]yahoo.com ขอขอบพระคุณที่ให้ความร่วมมือ

กรณีที่ข้อความ/รูปภาพในกระทู้นี้จัดสร้างโดยผู้ลงข้อมูลเอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้ลงข้อมูลโดยตรง หากจะทำการคัดลอก/เผยแพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ลงข้อมูลก่อนนะคะ หรือลงที่มาไว้ด้วยค่ะ

©ขอสงวนสิทธิ์คอนเซ็ปต์,คำอธิบาย,หัวข้อ/หมวดหมู่เว็บ ห้ามลอกเลียนแบบ คิดเอาเองนะคะอย่าเอาแต่ลอก

GMT+7, 2025-8-5 03:11 , Processed in 0.098252 second(s), 27 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.8

© 2001-2025 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้