ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าผ่านไปกี่ชั่วโมงแล้ว…หรืออาจจะเป็นทั้งวัน ร่างของเจบีนอนนิ่งอยู่บนเตียงเหล็กเย็นเฉียบที่แข็งกระด้างไม่ต่างจากพื้นคอนกรีต เขาไม่มีผ้าห่ม ไม่มีหมอน ไม่มีแม้แต่เงาของใครสักคนอยู่ใกล้ น้ำหนักตัวของเขาเหมือนถูกกดทับด้วยบางอย่างที่มองไม่เห็น ความร้อนจากพิษไข้แผ่ซ่านจากภายใน แล่นทะลุขึ้นไปถึงผิวหนังเหมือนมีเปลวไฟเงียบ ๆ ซ่อนอยู่ทั่วร่าง
แม้ไม่ได้ขยับ ร่างกายก็ยังปวดร้าวทุกขณะ ไหล่ทั้งสองตึงรั้งจนเหมือนถูกมัดไว้แน่น ขมับเต้นตุบ ๆ ไม่หยุด ลมหายใจแต่ละครั้งเต็มไปด้วยแรงเสียดแทง เสียงหอบแห้งพร่าที่เล็ดลอดจากริมฝีปากฟังดูห่างไกลราวกับคนกำลังจะหลุดออกจากร่างจริง ๆ ความว่างเปล่าในห้องนั้นหนาแน่นจนแม้แต่เสียงหัวใจของเขาเองยังฟังดูอึดอัดเกินไป
เปลือกตาเขากระตุกเล็กน้อย ก่อนจะพยายามขยับดวงตาช้า ๆ เบือนหน้าหนีแสงจากกล้องวงจรปิดที่กระพริบไม่เป็นจังหวะ แต่แค่การเคลื่อนไหวเล็กน้อยนั้นกลับรุนแรงเกินไปสำหรับร่างกายที่อ่อนแรงถึงขีดสุด ความวิงเวียนตีขึ้นมาอย่างรุนแรง
ท้องเริ่มมวน บิดตัวเองเงียบ ๆ จากข้างใน เหมือนบางอย่างกำลังจะไหลย้อนขึ้นมา เขาเพิ่งนึกออกว่า...เขายังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อวาน ไม่แม้แต่น้ำสักหยดเดียว
กรดในกระเพาะตีกลับขึ้นมาจนถึงลำคอ แสบ ขม และเปรี้ยวจนแทบกลั้นหายใจ เขาเกร็งตัวแน่น พยายามกลืนความรู้สึกนั้นลงไป แต่ทุกอย่างยิ่งทวีความหนักหน่วงขึ้นทุกที
น้ำตาไหลออกมาช้า ๆ โดยไม่ต้องมีเหตุผล ไม่ใช่เพราะเศร้า...แต่เพราะร่างกายทรุดจนไม่มีอะไรหลงเหลือให้ควบคุม
เขายังนอนอยู่ตรงนั้น บนเตียงเหล็กที่เย็นจัดจนเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อและกลิ่นอับ ลมหายใจรวยริน สะท้อนกลับมากระแทกหูของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนเตือนว่าเขายังไม่ตาย ทั้งที่ในหัวของเขายังคงตะโกนด้วยเสียงแผ่วเบา
ว่าทำไมเขาถึงยังมีชีวิตอยู่...
...
เสียงเปิดประตูดังขึ้นเบา ๆ พร้อมกับแสงบางส่วนที่ลอดเข้ามาจากภายนอก เจบีขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาเลื่อนลอยมองไปยังต้นเสียง แต่ไม่มีแรงแม้แต่จะเบือนหน้าให้ชัดกว่านั้น ทุกอย่างพร่าเลือนในเงาสะท้อน สีและรูปทรงปะปนกันเหมือนความฝันที่แตกกระจาย ร่างของใครบางคนเดินเข้ามาช้า ๆ กลิ่นของอาหารอุ่น ๆ ลอยมากระทบจมูกก่อนสิ่งอื่น
เสียงฝีเท้าหยุดลงข้างเตียงนั้น ร่างนั้นวางขวดน้ำและกล่องอาหารไว้ที่ขอบเตียง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ อย่างเงียบเชียบ มือหนึ่งค่อย ๆ ยื่นมาสัมผัสหน้าผากของเจบีเบา ๆ อย่างเช็กไข้ สัมผัสนั้นเย็นกว่าผิวร้อนผ่าวของเขาเล็กน้อย จนเจบีเผลอหลับตาหนี
“อ้าปาก…นายต้องกินอะไรสักหน่อย”
ปลายช้อนแตะริมฝีปาก กลิ่นของข้าวทำให้ท้องของเจบีมวนขึ้นทันที แต่เขาก็พยายามกลืนมันลงไปช้า ๆ มืออีกข้างค่อย ๆ ประคองท้ายทอยของเขาไว้ ขณะที่น้ำตามาถึงคำที่สอง ทุกอย่างก็เปลี่ยน
จู่ ๆ เจบีสะอึก ร่างกายหดเกร็ง และก่อนที่อีกฝ่ายจะตั้งตัวทัน เขาก็เบือนหน้า อาเจียนออกมาอย่างแรง น้ำสีขุ่นพุ่งลงบนพื้นข้างเตียง ทั้งเสียง ไอสะอื้น และแรงสะท้อนจากช่องท้องทำให้ร่างของเขาสั่นระริก
ช้อนในมือของแคสเปอร์ร่วงหล่นลงกระทบกล่องข้าว เสียงเบา ๆ ที่กลับทิ่มแทงเข้าในอกมากกว่าที่คิด เขาชะงัก ดวงตาเบิกขึ้นเล็กน้อยอย่างตกใจ เผลอโน้มตัวเข้ามาโดยไม่รู้ตัว มือทั้งสองประคองไหล่ของเจบีที่ทรุดลงอย่างไม่มีเรี่ยวแรง ร่างกายนั้นเบาและร้อนจัดราวกับไฟลวก
"เจบี อย่าเพิ่งหลับ" เสียงของเขาเครืออยู่ในลำคอ ขณะเขย่าร่างในอ้อมแขนเบา ๆ แต่ไร้การตอบสนอง เนื้อตัวของเจบีร้อนจนผิดปกติ ลมหายใจแผ่วขาด ริมฝีปากซีดจัด ใบหน้าเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อและน้ำตาที่ไหลโดยไม่รู้ตัว
เจบีหมดสติในอ้อมแขนของเขาไปแล้ว...
เสียงประตูถูกปิดเบา ๆ ตามด้วยฝีเท้าหนักแน่นแต่ไม่รีบร้อน เสี่ยวไป๋เดินเข้ามาโดยไม่พูดอะไร สายตาคมกริบจับจ้องที่เจบีเพียงอย่างเดียว ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำและนิ่ง
“เขาอาเจียน?”
แคสเปอร์พยักหน้าช้า ๆ สายตายังจับจ้องที่เจบีเหมือนยังไม่หลุดจากความตกใจ
“แค่สองคำ…ก็แทบหมดแรง” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแผ่วเบา ไม่ใช่เพราะไม่อยากพูด แต่เหมือนเพราะพูดออกมาแล้วเจ็บเอง
เสี่ยวไป๋ไม่ตอบ เขาขยับเข้าไปใกล้ วางมือลงเบา ๆ ที่หน้าผากของเจบีเพื่อเช็กไข้ด้วยตัวเอง แค่นั้นก็รู้สึกได้ถึงไอร้อนที่ระอุทะลุขึ้นมาทันที
“ไข้สูงเกินไปแล้ว” เขาเอ่ยเสียงเรียบ แต่คิ้วขมวดแน่น ดวงตาทอดมองใบหน้าซีดเซียวตรงหน้าอย่างครุ่นคิด
แคสเปอร์ยืนอยู่ข้างเตียง ริมฝีปากขยับเล็กน้อยก่อนจะหลุดคำพูดออกมาด้วยเสียงเบา
“...ทำยังไงดี เรารีบพาเขาไปจากที่นี่เถอะ”
คราวนี้ เสี่ยวไป๋ไม่ลังเล เขาโน้มตัวลง ช้อนร่างของเจบีขึ้นในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง กล้ามเนื้อเล็ก ๆ ใต้ผิวซีดแทบไม่ตอบสนอง น้ำหนักของร่างกายนั้นเบาจนน่าตกใจ เสี่ยวไป๋กระชับวงแขนพลางกระซิบแผ่วชิดใบหู แม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ได้หรือไม่ก็ตาม
“อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ…”
เสียงจากด้านหลังดังขึ้นในความเงียบ แผ่วต่ำและเต็มไปด้วยความลังเลที่กลบไม่มิด
“แล้วราฟาเอโร่ล่ะ…”
แคสเปอร์ยืนอยู่ตรงประตู ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“เขาจะยอมให้เราพาเจบีออกไปง่าย ๆ เหรอ?”
เสี่ยวไป๋เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตานิ่งสนิท มองตรงโดยไม่ลังเลก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ ช้า แต่หนักแน่นเกินกว่าจะค้าน
“ฉันจะรับผิดชอบเอง”
...
รถคันสีดำแล่นฝ่าความมืดของย่านด้านในลอนดอนด้วยความเร็วคงที่ ไม่มีใครพูดอะไรภายในห้องโดยสาร เจบีนอนอยู่ด้านหลัง ตัวร้อนจัดจนกระจกรถขึ้นฝ้าจาง ๆ ตรงที่เขาเอนพิง แคสเปอร์นั่งข้าง ๆ คอยเช็ดเหงื่อให้เขาเป็นระยะด้วยผ้าผืนเล็กที่ชื้นไปหมดแล้ว มือของเขาสั่นน้อย ๆ อย่างไม่ปกปิด
เสี่ยวไป๋อยู่หลังพวงมาลัย ใบหน้าเรียบเฉย แต่แววตาที่ทอดไปยังถนนข้างหน้าดูนิ่งลึก แต่แรงตึงจากภายในตัวเขาแผ่ออกมาชัดเจนในทุกจังหวะเร่งเครื่อง
รถอีกคันขับตามหลังมาติด ๆ ไฟหน้าทาบเงายาวบนถนนอย่างเงียบงัน ไม่เร่ง ไม่ชะลอ ราวกับรู้จุดหมายปลายทางเดียวกัน
เมื่อถึงโรงพยาบาล เสี่ยวไป๋จอดรถหน้าทางเข้าฉุกเฉิน เขาเปิดประตูลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะอ้อมไปอีกฝั่ง เปิดประตูรับเจบีแล้วช้อนร่างในอ้อมแขนอย่างเบามือ แคสเปอร์รีบช่วยประคองอีกแรง
ประตูรถอีกคันเปิดออกพร้อมเสียงรองเท้ากระทบพื้นอย่างมั่นคง ราฟาเอโร่ก้าวลงมาในเสื้อโค้ทยาวสีเข้ม ใบหน้าเย็นชาแต่สายตาที่ทอดมายังเจบีกลับสั่นไหวอย่างปิดไม่มิด เรนเดินตามลงมาเงียบ ๆ ไม่มีคำพูดใดเอื้อนเอ่ย บรรยากาศระหว่างพวกเขาเหมือนถูกดึงให้หยุดนิ่งในวินาทีนั้น
เสี่ยวไป๋ไม่หันกลับไปมอง เขาเดินตรงไปยังห้องฉุกเฉิน น้ำหนักของเจบีในอ้อมแขนเบาเสียจนเขาไม่กล้ากระชับแน่น
ประตูห้องฉุกเฉินเปิดผางออก ทันทีที่เห็นสภาพของเจบีที่เสี่ยวไป๋อุ้มมา กายถึงกับชะงัก
เขาเห็นร่างที่ซีดเซียว เต็มไปด้วยรอยช้ำตามข้อแขนและซี่โครง ผิวหนังบางส่วนมีรอยขีดข่วนแดงคล้ำ และเต็มไปด้วยร่องรอยที่ฟ้องชัดว่า...ถูกทำร้ายมาอย่างหนัก
เสียงของกายตวาดทันทีที่พวกเขาเข้ามา
“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น!?”
สายตาเขากวาดมองพวกเขาทีละคน สีหน้าไม่ใช่ของหมอที่ใจเย็น แต่เป็นสีหน้าของคนที่เพิ่งเห็นใครบางคนถูกทิ้งไว้...อย่างไร้ค่า
“นี่คือสิ่งที่พวกนายทำกับเขาเหรอ?” เขาแทบจะคำรามใส่ราฟาเอโร่ “นายรู้ไหมว่าเขาเกือบจะช็อกจากไข้ แล้วดูนี่…”
เขาชี้ไปยังรอยฟกช้ำตามข้อแขน ซี่โครง และรอยเลือดที่ซึมใต้ผิวหนังอย่างชัดเจน
“รอยพวกนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง? พวกนายคิดว่าเขาเป็นตัวอะไร? แค่ที่รองรับอารมณ์ของใครก็ได้อย่างนั้นเหรอ?”
ไม่มีใครกล้าตอบ ไม่มีแม้แต่คำแก้ตัว เสี่ยวไป๋ค่อย ๆ วางเจบีลงบนเตียงอย่างเงียบงัน
“ออกไปให้หมด”
น้ำเสียงนั้นนิ่ง เรียบ แต่เฉียบคมจนน่าหวั่น
ไม่มีใครขยับ…แต่ก็ไม่มีใครกล้าขัด
“ออกไป—เดี๋ยวนี้” เขาย้ำอีกครั้ง คราวนี้เสียงต่ำและแน่นเสียจนบรรยากาศทั้งห้องเหมือนจะถูกบีบแน่นในอึดใจเดียว
ทีละคน ทั้งเรน แคสเปอร์ เสี่ยวไป๋ และแม้แต่ราฟาเอโร่เอง ก็ค่อย ๆ ก้าวถอยหลังออกจากห้อง
ประตูห้องฉุกเฉินปิดลงอย่างช้า ๆ
เหลือเพียงเสียงลมหายใจแผ่ว ๆ ของเจบี และจังหวะการเต้นของหัวใจที่กำลังไล่ตามความเป็นความตายอยู่ทุกวินาที
...
ภายในห้องฉุกเฉินกลับมาเงียบสนิทอีกครั้งหลังประตูปิดลง เหลือเพียงเสียงเครื่องวัดชีพจรที่ดังเป็นจังหวะเบา ๆ กับเสียงลมหายใจแผ่วราวกระซิบของเจบี
กายยืนอยู่นิ่ง ๆ ข้างเตียงเพียงชั่วครู่ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก แล้วเริ่มลงมือ
เขาถอดถุงมือสวมใหม่ ล้างมืออีกครั้งแม้จะเพิ่งล้างไปเมื่อครู่ จากนั้นจึงค่อย ๆ ตรวจร่างกายของเจบีด้วยมือเปล่า ทุกการแตะต้องเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ปลายนิ้วของเขาไล่ตามแนวกระดูกซี่โครงที่ขึ้นสีคล้ำ จับจังหวะชีพจรตรงคอหอยที่เต้นเบาแทบไม่รู้สึก
“นายผ่านมาได้ขนาดนี้แล้ว…อย่าเพิ่งถอดใจตอนนี้เลยนะ” เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
เขาแนบร่างกายฟังเสียงหัวใจชั่วครู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเร่งสั่งการ
“น้ำเกลือ เตรียมยาลดไข้แรงพิเศษ ฉันจะให้เข้าทางเส้นโดยตรง”
พยาบาลด้านนอกเข้ามาช่วยจัดอุปกรณ์ตามคำสั่งทันทีเมื่อได้รับสัญญาณ กายลงมือด้วยท่าทางที่คล่องแคล่ว เยือกเย็น แต่แววตาในทุกจังหวะยังสะท้อนความขุ่นมัวบางอย่างที่ยังไม่จางหาย
เขาฉีดยาลดไข้เข้าเส้นแขนของเจบี สอดเข็มน้ำเกลือ แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตัวให้อย่างเงียบ ๆ มือเรียวยาวของเขาเคลื่อนไหวช้าและแน่นิ่งเกินกว่าจะเรียกว่าปกติ
“ให้ตายสิ…เด็กอะไรจะทนได้ขนาดนี้”
กายกระซิบอย่างเงียบ ๆ ขณะมองไปยังใบหน้าซีดเซียวที่ยังคงแน่นิ่งอยู่บนเตียง เส้นผมเปียกแนบขมับ ดวงตาหลับสนิท ปากแห้งแตกเป็นรอย
เขาดึงผ้าห่มผืนบางมาคลุมช่วงลำตัวให้พอดี ก่อนจะนั่งลงข้างเตียงเงียบ ๆ ไม่พูดอะไรอีก
ในหัวเขาเต็มไปด้วยคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ
แต่สิ่งเดียวที่แน่ใจ…คือเจบีไม่ควรต้องมาอยู่ในสภาพนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
...
เสียงชีพจรในจอค่อย ๆ คงที่หลังได้รับยา แต่ร่างที่นอนแน่นิ่งยังไม่ขยับแม้แต่นิด
กายนั่งเงียบอยู่ข้างเตียง มือยังจับข้อมือเจบีไว้หลวม ๆ เพื่อเช็กอัตราการเต้นของชีพจรด้วยตัวเอง
เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงจะยังไม่ฟื้น...
แต่แล้ว เปลือกตาของเจบีก็ขยับเล็กน้อย
ไม่ใช่การตื่น
ไม่ใช่การลืมตา
แต่เหมือนร่างกายกำลังดิ้นเบา ๆ จากภายใน ฝันบางอย่างที่ไม่ใช่ฝันดีค่อย ๆ ลากเขาออกจากขอบความมืด
เสียงพึมพำแผ่วเบาดังขึ้นใต้ลมหายใจที่สะดุด
“ขอโทษ…ผมขอโทษ…”
กายชะงัก ปลายนิ้วนิ่งค้าง
เสียงของเจบีเบาจนแทบฟังไม่ออก แต่ชัดพอจะทำให้คนฟังต้องก้มหน้าเข้ามาใกล้
“...ผมจะไม่หนีแล้ว…อย่าทิ้งผมเลยนะ…”
คำพูดขาดห้วงนั้นเหมือนหลุดออกมาจากซากความหวังที่กำลังพังทลายลงเรื่อย ๆ ราวกับว่าเขาไม่ได้พูดกับใครในห้องนี้ แค่เอ่ยมันออกมาให้ตัวเองฟัง…เพื่อย้ำว่าเขาเคยมีใครให้หวังพึ่งพิงมาก่อนจริง ๆ
น้ำเสียงนั้นสั่นพร่า และในวินาทีนั้นเอง..
หยดน้ำตาก็ไหลซึมจากหางตาที่ปิดสนิท ร่วงลงข้างแก้มเงียบ ๆ โดยไม่มีเสียงสะอื้น ไม่มีแรงจะร้อง
มีเพียงหยดน้ำใส ๆ ที่หลั่งออกมาโดยสัญชาตญาณของหัวใจ…ที่รู้ว่าไม่มีอะไรหลงเหลืออีกแล้ว
กายมองภาพตรงหน้า มือเขาเอื้อมออกไปช้า ๆ ใช้ปลายนิ้วแตะน้ำตานั้นออกเบา ๆ อย่างไม่กล้ารบกวน
“เจบี…” เขาเรียกเสียงเบา เหมือนกำลังพูดกับคนที่อาจไม่มีวันลืมตาขึ้นมาอีก
...
ยามเย็นคลี่ตัวลงช้า ๆ ภายในห้องพักฟื้นที่เงียบงัน มีเพียงเสียงเครื่องวัดชีพจรเต้นเป็นจังหวะเนิบสม่ำเสมอ แสงสลัวจากโคมติดผนังทอดเงายาวไปบนพื้นห้องไร้ผู้คน
กลิ่นสะอาดของแอลกอฮอล์ แผ่นผ้าปูเตียงสีขาว และผ้าห่มอุ่นที่ห่มคลุมลำตัว กลับไม่ได้ทำให้รู้สึกปลอดภัยเลยแม้แต่น้อย
ดวงตาคู่นั้นลืมขึ้นช้า ๆ …ไม่แน่ใจว่าระหว่างสติหรือหัวใจ อะไรตื่นขึ้นก่อนกัน
ร่างกายของเขาเจ็บทุกส่วน
แต่ความเจ็บที่อยู่ข้างใน...มันบาดลึกกว่า
ทุกภาพไหลย้อนกลับเข้ามาทีละชิ้น ทีละเสียง
มือของเรนที่กดตรึงเขาไว้
ดวงตาของแคสเปอร์ที่เย็นชา
คำพูดที่ไร้น้ำหนักจากเสี่ยวไป๋
และจูบของราฟาเอโร่…ที่เหมือนจะปิดผนึกบางอย่างไว้ในอกเขาตลอดไป
เขากัดฟันแน่น กลั้นไม่ให้เสียงครางออกมาเพราะแผลในอกและร่างกาย
แต่กับสิ่งที่อยู่ข้างใน…เขากลั้นไม่ไหวอีกแล้ว
น้ำตาหนึ่งหยดไหลลงข้างแก้มโดยไม่มีเสียงสะอื้น
ตามด้วยหยดที่สอง ที่สาม
เขาขยับแขนซ้ายช้า ๆ ปลดเข็มสายน้ำเกลือออกจากหลังมือโดยไม่แม้แต่จะเบือนหน้าหนี
เลือดซึมขึ้นช้า ๆ ที่รอยแผล แต่เขาไม่รู้สึกอะไรเลย
เจบีลุกขึ้นจากเตียง ร่างกายโงนเงนและทรุดลงแทบจะในทันที
แต่เขายังยืนยันจะยืนให้ได้อีกครั้ง ด้วยแรงจากขาที่ไร้เรี่ยวแรง และใจที่เหลืออยู่เพียงเปลือกบาง ๆ
เสื้อคนไข้หลุดหลวมจากบ่า ไม่ได้ใส่รองเท้า ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าย่ำไปบนพื้นเย็นเฉียบโดยไร้เสียง
ทุกย่างก้าวเหมือนจะล้มลงได้ทุกเมื่อ แต่เขายังเดินต่อ…ราวกับมันเป็นเพียงสิ่งสุดท้ายที่ยังควบคุมได้ในชีวิตนี้
เขาหยุดอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในโถงทางเดิน แสงจากตึกสูงของลอนดอนด้านนอกกระพริบไกล ๆ
ท่ามกลางท้องฟ้ามืดสนิท มันสวยงาม…แต่ก็ห่างไกลเกินเอื้อม เหมือนโลกที่เขาไม่เคยมีสิทธิ์เป็นส่วนหนึ่งเลยตั้งแต่ต้น
หัวใจของเขาไม่ใช่แค่แตกสลาย แต่มันเหมือนถูกสลัดทิ้งจากที่สูง ร่วงกระแทกพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนไม่มีชิ้นไหนหลงเหลือให้ซ่อมแซมได้อีก สิ่งที่เขาเคยฝากความหวังไว้ กลับเป็นต้นเหตุของความเจ็บปวดที่ลึกที่สุด
และในวินาทีที่ทุกอย่างเงียบลง...เขาก็เพิ่งเข้าใจ ว่าความโดดเดี่ยวจริง ๆ คือการมีคนอยู่รอบตัว แต่ไม่มีใครยืนอยู่ข้างเขาเลย
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากด้านหลัง กายเดินเข้ามาเงียบ ๆ ไม่พูดอะไรในตอนแรก มือหนึ่งวางลงบนศีรษะของเจบีอย่างแผ่วเบา ลูบลงช้า ๆ ด้วยสัมผัสที่ทั้งอบอุ่นและระมัดระวัง
เขาล้วงบางสิ่งออกจากกระเป๋าเสื้อ ลังเลเพียงครู่ก่อนจะยื่นบัตรกดเงินใบหนึ่ง พร้อมของจำเป็นเล็กน้อยใส่ถุงผ้าให้เจบี
“ดูแลตัวเองด้วยนะ…”
เสียงของเขานุ่ม เรียบ และไม่มีคำสั่งใดเจืออยู่
เป็นเพียงถ้อยคำที่เรียบง่ายที่สุด…แต่กลับหนักแน่นที่สุดในโลกใบนี้
ฝากเรื่องสั้น หมาเด็กคลั่งรักรุ่นพี่ ด้วยนะครับ