บันทึกของนนท์22
บันทึกของนนท์22นนท์เริ่มทนกับคำหมิ่นและเหยียดหยามจากพี่น้องไม่ไหว...โดยเฉพาะพี่ชายคนโต...ที่ทำตัวครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของพ่อ...นับตั้งแต่พ่อตาย...คนนี้ก็ยื่นต่อศาลเพื่อขอเป็นผู้จัดการมรดก...ในช่วงเวลาที่พ่อตาย ทุกคนกำลังเศร้าโศกเสียใจ...แต่คนนี้กลับทำหนังสือไปถึงศาลเพื่อขอให้ศาลแต่งตั้งเขาเป็นผู้จัดการมรดก...ทั้ง ๆ ที่ศพพ่อก็ยังไม่ได้เผา...ไม่รู้ว่าใจของมันทำด้วยอะไร...ถ้าคนที่ไม่หวังจะเข้าครอบครองสมบัติทั้งหมด..ก็ควรจะรอให้การจัดงานศพผ่านพ้นไปก่อน....ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่เล็ก...นนท์ไม่เคยคิดว่าจะต้องรอเอาทรัพย์สมบัติอะไรจากที่บ้าน...นนท์คิดตลอดว่า...เขามี 2 มือ 2 เท้า กับสมองและใจที่บริสุทธิ์ ไม่เคยคิดจะแบมือรอรับสมบัติ...เพราะที่ผ่านมาในชีวิตนนท์ก็ไม่เคยได้อะไรที่เท่ากับพี่น้องคนอื่นอยู่แล้ว....บางครั้งเขายังเคยคิดว่า...เขาเป็นใครมาจากไหน...เป็นลูกคนหนึ่งหรือป่าว...
นนท์เคยคิดน้อยใจมาตลอดเวลา...ตลอดเวลาที่ผ่านมา...เขากัดฟันสู้เพื่อที่จะเรียนให้สูง...เพราะนนท์รู้ว่าสิ่งที่เขาจะได้จากครอบครัวนี้...คือการศึกษาที่เขาจะต้องเอามาเป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิตของเขาต่อไป...ตอนที่เรียนใกล้จบปริญญาโท...เขาเคยขอทางบ้านเพื่อจะเรียนต่อในระดับปริญญาเอก...แต่ก็โดนพี่ชายคนโตขัดขวาง...ยุแหย่พ่อไม่อนุญาตให้นนท์ไปเรียนต่อ...ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นนนท์...สามารถสอบสมัครเข้าไปเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่อเมริกาได้แล้ว...ทางมหาวิทยาลัยมีหนังสือตอบรับกลับมาเรียบร้อย...รอเพียงแค่นนท์ตัดสินใจไปหรือไม่...ตัวนนท์ ณ เวลานั้น ...นนท์ไม่ได้มีเงินเก็บมากมายนัก...ลำพังค่าตั๋วเครื่องบินก็ไม่มี...ช่วงที่เรียนโทในเมืองไทย...นนท์เองยังต้องหา job พิเศษทำ เพราะที่บ้านจ่ายให้แต่ค่าเทอม...และก็เป็นค่าเทอมของมหาวิทยาลัยของรัฐ ซึ่งก็ไม่ได้แพงมากมาย...นนท์อาศัยให้ทางบ้านจ่ายเพียงค่าเทอม ๆ แรกเท่านั้น...ส่วนเทอมอื่น ๆ จนกระทั่งเรียนจบ...นนท์หาเงินเพื่อส่งเสียตัวเองมาตลอด...ดีที่สมัยก่อนเครื่องเอกสารยังไม่มากมายขนาดนี้...และราคาก็ยังสูงอยู่...การถ่ายเอกสารเรียนของนนท์แทบจะไม่ใช้เลย...การไปเรียนต่อของนนท์ต้องหยุดชะงักลง...
“ถ้าจะไปก็ไปเรียนเอง...ที่บ้านไม่ยุ่งด้วย”
คำพูดที่พี่ชายพูดออกมากับนนท์ต่อหน้าพ่อ ซึ่งก็เออออไปด้วย...
“ถ้าจะเอาค่าตั๋วเครื่องบินก็ต้องยืม...เรียนจบก็เอามาใช้คืน”
คำพูดนี้มันติดตรึงก้องอยู่ในโสตประสาทของนนท์มาจนทุกวันนี้...นนท์คิดตอนนั้นว่า ถ้าได้ไปแล้วก็คงไม่กลับมาเมืองไทยอีก...จะไปตายเอาดาบหน้า...แต่ตอนนั้น...แค่จดหมายตอบรับจากมหาวิทยาลัยเท่านั้น...ถ้าไปนนท์ก็ยังไม่มี Dorm เลย เพราะตอนที่ติดต่อไปนนท์ติดต่อไปแค่ที่เรียน...นนท์เคยโทรกลับไปที่ U เพื่อถามว่ามี Dorm ให้หรือป่าว ทางนั้นตอบกลับมาว่า ตอนนี้เต็มแล้ว นนท์เลยต้องตัดสินใจไม่ไป เพราะถ้าเป็นหอพักนอกมหาลัย ราคาสูง นนท์สู้ไม่ไหวแน่...นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่นนท์เองตัดสินใจไม่ไป..ถ้าวันนั้นนนท์ตัดสินใจไป...วันนี้นนท์คงไม่ได้เจอนัท...วันนี้นนท์คงเป็น Doctor อยู่ที่อเมริกา ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น...เพราะเขาเองก็คิดเสมอว่า...วันใดที่เขาก้าวเท้าออกจากครอบครัวนี้...เขาจะไม่มีวันหันหลังกลับไปอีกแน่นอน...และความตั้งใจของนนท์ในวันนั้น...ก็เกิดผลขึ้นจริงในวันนี้
บ้านหลังเล็กที่นนท์อยู่นั้นปลูกอยู่บนที่ดินที่เจ้าของคือพี่ชายคนโต...นนท์เข้าไปตกแต่งบ้านใหม่จากที่เดิมเป็นที่เก็บของ...ให้กลายเป็นที่อยู่ที่พักได้ด้วยเงินของนนท์เอง...เหตุการณ์ที่นนท์ถูกกล่าวหานั้น...นนท์พยายามอดทนและอดกลั้นต่อท่าทีและคำพูดถากถางต่าง ๆ นานา...นนท์จึงตัดสินใจไปดูคอนโดแห่งหนึ่ง...เพื่อที่วันหนึ่งหากทนต่อสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นไม่ได้เขาจะเก็บกระเป๋าแล้วก้าวเท้าออกจากบ้านหลังนั้นทันที...คอนโดที่นนท์มาดูนั้นเป็นคอนโดห้องเล็ก ๆ เขาไม่อยากใช้เงินที่มีอยู่จ่ายออกซื้อเป็นก้อนทีเดียว...นนท์จึงทำเรื่องกู้ธนาคาร...และผ่อนคอนโดห้องนั้น...
และแล้วเหตุการณ์ที่นนท์คิดไว้มันก็เกิดขึ้นมาจริง ๆ ...พี่ชายคนโตของนนท์เขียนหนังสือถึงนนท์ว่าเขาไม่เคยอนุญาตให้นนท์เข้าไปพักอาศัยที่บ้านหลังนั้น...นนท์เข้าไปเองโดยพละการ...และให้คัดเอาชื่อออกจากทะเบียนบ้านด้วย....ซ้ำร้ายช่วงที่นนท์ไม่อยู่ต้องไปทำงานต่างจังหวัดหลายวัน...ยังไล่นัทให้ไปอยู่ที่อื่น...นัทโทรมาบอกนนท์...นนท์เลยบอกว่าให้ไปอยู่ที่คอนโดที่วางเงินดาวน์ไปแล้ว...คอนโดห้องนี้ยังไม่มีอะไรเลย...นัทมานอนที่คอนโดนี้สองคืนก่อนที่นัทจะกลับมา....และเมื่อนัทกลับมาถึงบ้านที่เคยพักอาศัย...
ยิ่งเห็นความชั่วร้ายของพี่ชายคนโตที่หวังแต่ทรัพย์สมบัติ....เพราะข้าวของ ๆ นนท์ถูกเก็บมากองไว้หน้ารั้วบ้าน...นนท์รีบโทรหาแจ๊คให้ช่วยหารถกระบะมาขนของ เพราะตอนนั้นเริ่มเย็นแล้ว...เดี๋ยวจะลำบากในการขน...แจ๊คจัดการจ้างรถมาเพื่อขนของนนท์ไปที่คอนโดที่นัทรออยู่...แต่นนท์ต้องการเข้าไปเอาข้าวของที่มีค่าของเขา...เพราะไม่มีใครสามารถเปิดเอาได้...กุญแจอยู่ที่นนท์...แม้แต่การจะเข้าไปไขกุญแจตู้เอาของก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป....นนท์จึงไปสถานีตำรวจเพื่อให้ตำรวจเข้าไปเป็นพยานว่านนท์หยิบเฉพาะของที่เป็นของ ๆ นนท์เท่านั้น….
พอหยิบของออกมาเสร็จเมื่อก้าวผ่านพ้นประตูรั้วบ้าน...นนท์ล้วงหยิบมีดพับในกระเป๋ากางเกงที่นนท์ต้องพกเป็นประจำกับพวงกุญแจรถยนต์...มีดพับเล็ก ๆ ของต่างประเทศที่มีหลายอย่างอยู่ในอันเดียว....นนท์ดึงเอาส่วนที่เป็นมีดเปิดออกมา...แล้วกรีดที่นิ้วตัวเอง....นนท์พยายามกรีดให้ลึกเพื่อให้เลือดในกายของนนท์พุ่งออกมา....แล้วนนท์ก็พลิกนิ้วลงกับพื้น...แขนยื่นเข้าไปในรั้ว..จนเลือดหยดลงไปที่พื้นหลายหยดนนท์ลั่นวาจาออกมา ณ ตรงนั้น เวลานั้นว่า
“ด้วยเลือดที่ออกมาจากตัวข้านี้... ข้าขอคืนให้โคตรตระกูลนี้...ให้แม่ธรณีรับรู้ด้วยว่า จากวันนี้ตราบจนวันที่ข้าสิ้นลมหายใจ...ข้าจะไม่กลับมาเหยียบพื้นดินผืนนี้อีก....และข้าขอคืนเลือดของตระกูลนี้ที่อยู่ในตัวข้า...ขอให้มาเอาคืนไป...ต่อแต่นี้ข้าไม่ใช่คนของตระกูลนี้อีก...”
จากนั้น....นนท์รีบขับรถกลับมาที่คอนโด....นัท แจ๊คและคนขับรถรับจ้างกำลังช่วยกันขนของเข้ามาไว้ในห้องพัก...แต่ทว่า ที่นอนหมอนอะไรก็ยังไม่เลย...คืนนั้น..นัทจึงเอาผ้านวมปูให้นนท์นอน....เพราะก่อนหน้านี้ที่นัทเข้ามาอยู่นัทได้ทำความสะอาดไว้แล้ว...
“พี่นนท์...นอนแบบนี้ได้หรือป่าว”
“ได้ซิ ถึงเวลานี้ยังไงก็ต้องนอนได้...อย่างน้อยห้องนี้ก็เป็นห้องของเรา...เราไม่ได้ไปอาศัยบ้านใครเขานอน...แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว”
“พี่อย่าคิดมาก...ช่างมันเถอะ...เราไม่ได้ทำ...ใครทำคนนั้นเขาก็ต้องรับกรรมของเขาเองแหละ”
“รู้งี้ ถ้าเป็นแบบนี้ พี่โกงมันมานานแล้ว”
“ไม่เอาน่า...เรามีแค่นี้ก็อยู่แค่นี้...กินแค่นี้...ผมห่วงแต่พี่แหละ...ผมมันลำบากแค่ไหนยังไงก็อยู่ได้และอยู่มาแล้ว”
“พี่ก็ไม่กลัวนะ...ถ้าคนที่พี่รักและรักพี่อยู่กับพี่ พร้อมที่จะลำบากไปด้วยกัน...ต่อให้อุปสรรคใหญ่โตแค่ไหน...พี่ก็ไม่กลัว”
“งั้นนอนเถอะ....นี่ก็ดึกแล้ว พรุ่งนี้ตื่นมาค่อยว่ากันอีกที”
เช้าวันรุ่งขึ้น...นนท์ไปหาซื้อเตียง ตู้เสื้อผ้าเพื่อให้ทางร้านเอามาส่งที่ห้องเลย...นนท์จำได้ว่าเคยซื้อที่นอนไว้หลังหนึ่ง...แต่นนท์เอาไปฝากไว้ที่บ้านเพื่อนอีกคน...จึงขับรถไปเอามา แต่ก็เอาใส่รถไม่ได้จึงต้องจ้างรถกระบะมาใส่แล้วให้เอามาส่ง...ชีวิตเหมือนกับต้องเริ่มสร้างใหม่ทุกอย่าง....เพราะแม้แต่เตียงนอนที่นอนที่บ้านหลังนั้น...นนท์เป็นคนซื้อหามา....ก็ยังถูกอ้างว่าเป็นของ ๆ บ้านหลังนี้ ห้ามขนย้ายอะไรออก...เฮ้อคนเรานี่นะ...เวลาที่เงิน ทรัพย์สมบัติมันเข้าตา...สายเลือดก็สายเลือดเถอะ...นนท์ก็ไม่อยากมีสายเลือดอย่างนี้เหมือนกัน....ตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่มีศึกสายเลือดแย่งทรัพย์สมบัติกัน...ฆ่ากันตายมีให้เห็นเยอะแยะ...ไม่รู้จะงกเอาอะไรกันนักหนา...ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้...เกิดมายังมาแต่ตัวเสื้อผ้าสักชิ้นก็ไม่มี...ตายไปยังมาใส่เสื้อผ้ากลับไปอีก...เอาเงินเอาทองใส่ปากไปตอนตาย....ก็ไม่ได้เอาไป...สัปเหร่อเก็บไปหมด...นนท์จำได้ว่าตอนพ่อยังอยู่พ่อสวมแหวนอยู่วงนึง...ไม่นานก็อยู่ที่นิ้วพี่ชายคนโตไปแล้ว...มันคงรูดออกไปจากนิ้วตอนที่พ่อตาย...สักวันเวรกรรมคงต้องตามทัน...ลูกของเขาก็คงจะคอยแย่งสมบัติกันต่อไป...
นนท์เริ่มปรับตัวกับการอยู่คอนโดได้แล้ว....แต่นนท์ยังไปทำงานที่เป็นกิจการของครอบครัวอยู่...เพื่อที่จะเอาเงินเดือน...ทั้ง ๆ ที่ใจของนนท์ไมได้อยากไปเลย แต่แจ๊คนี่ซิ
“เมิงจะไปกลัวไรว่ะ...ไปแม่งงั้นแหละ ไปให้แม่งเห็นหน้า...ดูซิมันจะทำยังไง เมิงทำงานหาเงินให้พวกมันใช้มากี่ปี...มันเคยขึ้นเงินเดือนให้เมิงป่าว...ทำงานเงินเดือนสี่ห้าหมื่นอยู่ดี ๆ ไม่ชอบ เสือกออกมารับเงินเดือนแค่หมื่นห้า...กรูเคยเตือนเมิงแล้ว”
“ตอนนั้นกรูไม่รู้นี่หว่าว่ามันจะเป็นแบบนี้....”
“เออ..ช่างมันแล้ว...แต่ตอนนี้เมิงไปให้มันเห็นตำตาแบบนี้แหละ...สักพักเมิงก็กลับดิ เมิงจะไปสนอะไร”
“กรูอะไม่สนอยู่แล้ว..แต่กรูอึดอัด...”
“ทนดิว่ะ ....กรูว่าคนที่มันอึดอัดยิ่งกว่าเมิงคือพวกมัน...ไม่ใช่เมิง....อีพวกลูกน้องเมิงที่มันไปประจบสอพลอพี่ชายเมิงอ่ะ...เป็นกรู ๆ จะเล่นให้แสบ”
“คนพวกนี้กรูบอกตรงๆ ว่ะ...มันไม่ได้อยู่ในสายตากรูเลย...กรูว่ารองเท้าที่กรูใส่นี่ยังมีค่ากว่าพวกมันอีก...อย่างน้อยรองเท้าก็ยังไม่ทำให้ตีนกรูโดนอะไรบาดเวลาที่กรูเดินไปไหนต่อไหน...อีคนพวกนี้...สำหรับกรูมันไร้ค่าว่ะ...เพราะกรูคิดว่ามันเป็นอากาศธาตุมานานแล้ว…กรูว่ากรูจะหางานใหม่แล้ว”
ช่วงนี้..นัทยังเรียนไม่จบแต่ก็ต้องไปพักหอพักที่โรงเรียน...นนท์จึงอยู่ที่คอนโดคนเดียว...นนท์ใช้เวลาที่อยู่คนเดียวในการไตร่ตรองกับชีวิตเพื่อหาทางออกว่าจะอย่างไร...นนท์เองก็ไม่ลืมที่จะรักษาสุขภาพของตัวเอง...เพราะเรื่องนี้มันบั่นทอนจิตใจ..เขาไม่อยากทำร้ายร่างกาย หรือปล่อยให้ร่างกายทรุด...และนนท์เองก็คิดถึงนัทด้วย...ช่วงชีวิตตอนนี้เหมือนกับอยู่คนเดียว...ไม่มีใครเลย....ทุกเช้านนท์จึงวิ่งออกกำลังกาย...พอวิ่งเสร็จก็พักให้หายเหนื่อยเหงื่อแห้ง ก็อาบน้ำ...แต่งตัวไปนั่งสมาธิที่วัดแห่งหนึ่งวันละหนึ่งชั่วโมง...แล้วถึงขับรถต่อไปที่ทำงาน...เข้าไปเป็นก้างขวาง...ไปให้คนที่มันไม่ชอบเห็นตำตาแบบนั้น...ทานข้าวกลางวันเสร็จถ้าไม่มีงานอะไรสำคัญ นนท์ก็จะขับรถกลับ...แต่ก็จะแวะว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำที่นนท์เป็นสมาชิกก่อน ๆ ที่จะกลับมาที่คอนโด..
นนท์เริ่มมองหางานใหม่ ....ทั้งส่งจดหมายและเมล์ไป...แต่ก็หางานยากมาก....หนำซ้ำ....นนท์ยังถูกพี่ชายคนโตยื่นซองขาวให้ออกจากงาน...โดยไม่ยอมจ่ายเงินชดเชยให้...ยังดีที่นนท์มีเงินสะสมจากที่ทำงานก่อนหนึ่ง...นนท์ก้าวเท้าออกมาจากกิจการครอบครัว และที่บ้านหลังนั้น หลังที่นนท์อยู่มาตั้งแต่เกิดจนโต...บ้านที่เขาเติบโตมาเห็นสภาพของการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น....สภาพของความเห็นแก่ตัว....ความเห็นแก่ได้....ความลำเอียง....ความไม่ยุติธรรม....นนท์คิดมาตลอดว่า แม้ว่าชีวิตนี้จะเลือกเกิดที่จะเกิดมาในครอบครัวที่มีทั้งความรักและความอบอุ่น มีความยุติธรรม ไม่มีความลำเอียง ไม่เลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้....แต่นนท์ระลึกแต่เตือนตัวเองเสมอว่า ยังมี 2 มือ 2เท้า 1 สมอง และ1 หัวใจบริสุทธิ์ที่จะต่อสู้กับชีวิต....เพราะชีวิตคือการต่อสู้....ต่อให้ยากลำบากแค่ไหน...หากแม้นยังมีลมหายใจก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด...หลายครั้งที่นนท์คิดจะปลิดชีวิตตัวเอง...แต่ถ้าหากทำลงไป...คนเหล่านั้นคงไม่เสียกับการจากไปของนนท์แบบนี้แน่....คงจะมีแต่เสียงหัวเราะเยาะ..ซ้ำเติม...และคงคิดว่านนท์ยักยอกเงินของกิจการครอบครัวไปจริง ๆ จึงหนีเอาตัวรอดด้วยการตัดช่องน้อยแต่พอตัวตายไปอย่างนั้น...ไม่มีน้ำหน้าที่จะพบเจอใคร...
ต่อ22
สุขความทุกข์ ไม่มีใครรู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ จะยอมรับความจริงที่เจอได้แค่ไหน
เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน
อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
สุขก็เตรียมไว้ ว่าความทุกข์คงตามมาอีกไม่ไกล จะได้รับความจริงเมื่อต้องเจ็บปวดไหว
เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป
มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน
อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
(เพลงโดย: กมลาโอสถานุเคราะห์)
จบตอนที่ 22
ขอบคุณครับผม{:5_130:} ขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆครับ ขอบคุณนะครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ เป็นกำลังใจให้นะครับ ขอบคุณนะครับ{:5_124:} ขอบคุณนะครับ ขอบคุณครับ สู้ๆนะ
ขอบคุณครับ ขอบคุณมาก อ่านเรื่องตอนนี้แล้ว รู้สึกว่าชีวิตไม่จีรัง คนก้อไม่แน่นอน อย่าไปหวังว่าทุกคนจะเป็นคนดี แต่เราต้องเป็นคนดี เป็นกำลังใจให้ครับนนท์ ขอบคุณครับ ขอบคุณนะครับ
ขอบคุนครับ น่าสงสารนนท์ครับ
หน้า:
[1]
2