Warr โพสต์ 2013-10-18 23:23:47

ขอบคุณครับ

champsasa โพสต์ 2013-10-19 11:27:19

ขอบคุณครับ

naytuad โพสต์ 2013-10-20 21:23:01

ขอบคุณครับ

weib โพสต์ 2013-10-20 22:22:44

ขอบคุณครับ

irreverse โพสต์ 2013-10-20 23:01:55

ขอบคุณมากครับ

Nut1210 โพสต์ 2013-10-20 23:24:24

สนุกสนานมากมายครับขอบคุณครับ

tow05151 โพสต์ 2013-10-21 00:09:11

ไม่ !ไม่ !ไม่ !ไม่ !

maxzanarak โพสต์ 2013-10-21 10:45:42

ขิอบคุนมากคับ

pop35 โพสต์ 2013-10-21 13:06:56

ขอบคุณครับ

Sylvester โพสต์ 2013-10-21 13:49:42

ขอบคุณมากคับ

Hunter_x โพสต์ 2013-10-21 13:52:37

ขอบคุณครับ

MOS_MOS โพสต์ 2013-10-21 14:27:19

ขอบคุณมากนะคร๊าฟป๋ม

Prince โพสต์ 2013-10-21 14:34:53

ขอบคุณมากครับ

Bababo โพสต์ 2013-10-22 03:37:12

ขอบคุนมากๆคับ

timemye โพสต์ 2013-10-22 15:49:09

ขอบคุณครับ:'(

อาด โพสต์ 2013-10-24 06:06:06

สุดยอดจิงๆว่าวตามเลย

samlaw โพสต์ 2013-10-24 07:53:48

พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
             พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.๒๕๔๑ ได้ผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภา และ
สภาผู้แทนราษฎรได้ประชุมเมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๔๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงลงพระปรมาภิไธยเมื่อ
วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑
ทำให้พระราชบัญญัตินี้จะมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
คือวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๑ พ.ร.บ. นี้เป็นกฎหมายคุ้มครองแรงงานใช้บังคับในภาคเอกชน


สาระสำคัญ
             ๑. กำหนดเวลาทำงานปกติในทุกประเภทงานไม่เกิน ๘ ชั่วโมง/วัน และไม่เกิน ๔๘ ชั่วโมง/สัปดาห์ (เดิมกำหนดตามประเภทงาน) เว้นแต่งานที่อาจเป็นอันตรายไม่เกิน ๗ ชั่วโมง/วัน
และไม่เกิน ๔๒ ชั่วโมง/สัปดาห์
             ๒. ให้จัดวันหยุดประจำสัปดาห์ไม่น้อยกว่า ๑ วัน/สัปดาห์ วันหยุดตามประเพณีไม่น้อยกว่า
๑๓ วัน/ปี และวันหยุดพักผ่อนประจำปีไม่น้อยกว่า ๖ วันทำการ/ปี วันหยุดตามประเพณีให้กำหนดจากวันหยุด
ราชการประจำปี วันหยุดทางศาสนาหรือขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งท้องถิ่น "ในกรณีลักษณะงานไม่อาจหยุด
ตามประเพณีได้ให้ตกลงกันหยุดในวันอื่นชดเชย หรือจ่ายค่าทำงานในวันหยุดแทน"
             ๓. ให้สิทธิลากิจ ลาเพื่อทำหมัน และลาเพื่อฝึกอบรมหรือพัฒนาความรู้ความสามารถ เพิ่มจาก
สิทธิลาป่วย ลาเพื่อคลอดบุตร และลาเพื่อรับราชการทหาร
             ๔. กำหนดพิกัดน้ำหนักขั้นสูงที่ให้ลูกจ้างยก แบก หาม เพื่อคุ้มครองทั้งลูกจ้างชาย หญิง
และเด็กและเป็นการสอดคล้องกับอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 127
             ๕. ขยายการคุ้มครองแรงงานหญิง โดยห้ามใช้ลูกจ้างหญิงมีครรภ์ทำงานที่เป็นอันตรายต่อ
สภาวะการตั้งครรภ์ ห้ามเลิกจ้างหญิงเพราะเหตุมีครรภ์
             ๖. ขยายอายุขั้นต่ำของลูกจ้างเด็กจาก 13 ปี เป็น 15 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนา
ทรัพยากรมนุษย์ และอนุสัญญา ILO
             ๗. การจ้างเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เป็นลูกจ้าง ต้องแจ้งต่อพนักงานตรวจแรงงานภายใน 15 วัน
จัดทำบันทึกสภาพการจ้างกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเก็บไว้ ณ สถานประกอบกิจการ และแจ้งการสิ้นสุด
การจ้างต่อพนักงานตรวจแรงงานภายใน 7 วัน เพื่อให้ทราบความเคลื่อนไหวของเด็ก ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อ
การคุ้มครองดูแลแรงงานเด็กผู้ด้อยโอกาส
             ๘. ให้ลูกจ้างเด็กมีเวลาพักไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง/วัน หลังจากทำงานมาแล้วไม่เกิน 4 ชั่วโมง
และใน 4 ชั่วโมงนั้นให้มีเวลาพักตามที่นายจ้างกำหนดเพื่อให้เด็กได้มีโอกาสพักผ่อนเปลี่ยนอิริยาบถ ขณะที่
กำหนดเวลาพักลูกจ้างทั่วไปไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง/วัน ซึ่งจะจัดเวลาพักครั้งเดียวหลังจากทำงานมาแล้วไม่เกิน
5 ชั่วโมงก็ได้ หรือจัดเป็นช่วง ๆ ก็ได้โดยรวมเวลาพักทุกช่วงแล้วต้องไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง เพื่อให้สอดคล้อง
กับทางปฏิบัติ
             ๙. ห้ามใช้ลูกจ้างเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำงานในเวลาวิกาล เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากอธิบดี
ห้ามทำงานล่วงเวลา ทำงานในวันหยุด และงานบางประเภทที่เป็นผลร้ายต่อเด็ก ขณะที่ลูกจ้างทั่วไปนายจ้างให้
ทำงานล่วงเวลาหรือทำงานในวันหยุดได้ ถ้าลูกจ้างยินยอม โดยมีชั่วโมงทำงานไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
เว้นงานบางประเภทที่นายจ้าสั่งให้ลูกจ้างทำงานทำงานได้เท่าที่จำเป็น แต่ห้ามใช้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลา หรือ
ในวันหยุดในงานที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้าง
             ๑๐. การคุ้มครองค่าตอบแทนในการทำงาน ได้กำหนดประเภทหนี้ที่นำมาหักค่าตอบแทน
ในการทำงานได้ และกำหนดเงื่อนไขการจ่ายเงินช่วยเหลือการดำรงชีพของลูกจ้างไม่น้อยกว่า 50% ของค่าจ้าง
ในกรณีนายจ้างหยุดกิจการชั่วคราว
             ๑๑. ปรับปรุงโครงสร้างคณะกรรมการค่าจ้างให้มีขอบข่ายที่กว้างขึ้นกว่าเดิม และปรับปรุง
โครงสร้างอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ โดยมีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 2 ระดับ คือ
             ๑๑.๑ อัตราค่าจ้างขั้นต่ำพื้นฐานซึ่งคณะกรรมการค่าจ้างกำหนดเพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการ
กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
             ๑๑.๒ อัตราค่าจ้างขั้นต่ำซึ่งคณะกรรมการค่าจ้างกำหนดให้ใช้เฉพาะกิจการประเภทใด
ประเภทหนึ่ง หรือ ทุกประเภทหรือในท้องที่ใดท้องที่หนึ่งก็ได้ ซึ่งมีอัตราไม่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้าง
ขั้นต่ำพื้นฐาน ถ้าไม่มีการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในท้องที่ใด ให้ถืออัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
พื้นฐานเป็นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของท้องที่นั้น
             ๑๒. กำหนดให้มีคณะกรรมการสวัสดิการ ได้แก่ คณะกรรมการสวัสดิการแรงงานซึ่งเป็น
องค์กรระดับชาติ เพื่อกำหนดนโยบายสวัสดิการระดับชาติ และให้มีคณะกรรมการสวัสดิการประจำสถาน
ประกอบกิจการเพื่อร่วมประชุมปรึกษาหารือกับนายจ้างเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ
และควบคุมดูแลการจัดสวัสดิการที่นายจ้างจัดให้แก่ลูกจ้าง
             ๑๓. ให้มีคณะกรรมการความปลอดภัยระดับชาติ เพื่อกำหนดทิศทางบริหารความปลอดภัย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน และให้มีองค์กรเอกชนให้บริการทางด้านวิชาการและเทคนิคแก่
สถานประกอบกิจการได้ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐ
             ๑๔. กำหนดห้ามนายจ้างสั่งพักงานเพื่อสอบสวนความผิดของลูกจ้าง เว้นแต่มีข้อบังคับ
หรือข้อตกลงกำหนดให้มีการพักงานได้ แต่นายจ้างจะสั่งพักงานได้ไม่เกิน 7 วัน และต้องจ่ายเงินในช่วงพักงาน
ตามอัตราที่กำหนดซึ่งไม่ต่ำกว่า 50% ของค่าจ้าง
             ๑๕. กำหนดอัตราค่าชดเชยกรณีเลิกจ้างเป็น 5 อัตรา คือ
            ทำงานครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี ได้ค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน
            ทำงานครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี ได้ 90 วัน
            ทำงานครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี ได้ 180 วัน
            ทำงานครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี ได้ 240 วัน
            ทำงานครบ 10 ปี ขึ้นไปได้ 300 วัน เว้นแต่เข้าข้อยกเว้น ให้ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามที่
             กฎหมายกำหนด ทั้งนี้เพื่อให้ความคุ้มครองลูกจ้างที่ทำงานมานาน ซึ่งโอกาสที่จะหา
            งานทำใหม่เป็นไปได้ยาก
             ๑๖. กำหนดให้มีการจ่ายค่าชดเชยพิเศษนอกเหนือจากค่าชดเชยปกติ กรณีนายจ้างเลิก เพราะ
ปรับปรุงหน่วยงานกระบวนการผลิต เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีโดยลูกจ้างต้องทำงานมาครบ 6 ปี
ขึ้นไปและได้ค่าชดเชยพิเศษปีละไม่น้อยกว่า 15 วัน รวมแล้วไม่เกิน 360 วัน
             ๑๗. ให้การคุ้มครองลูกจ้างกรณีนายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้งท้องที่อื่นซึ่งมีผล
กระทบสำคัญต่อการดำรงชีพตามปกติของลูกจ้างหรือครอบครัว โดยให้นายจ้างบอกกล่าวล่วงหน้าและให้ลูกจ้าง
บอกเลิกสัญญาจ้างได้ถ้าไม่ประสงค์จะย้ายตาม โดยมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษเป็นเงินช่วยเหลือ 50% ของ
ค่าชดเชยปกติ
             ๑๘. จัดตั้งกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง โดยให้นายจ้างที่ไม่ได้จัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ส่งเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเท่ากับจำนวนเงินสะสมที่หักจากค่าจ้างของลูกจ้างนำส่งเข้ากองทุน
เพื่อจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อสิ้นสุดการจ้างเจตนารมณ์ในการจัดตั้งกองทุนนี้เพื่อสร้างหลักประกันในการทำงาน
ป้องกันมิให้มีการย้ายงานบ่อยครั้ง และเป็นการส่งเสริมระบบการออมทรัพย์ของลูกจ้าง
             ๑๙. ห้ามเรียกเงินประกันจากลูกจ้างเว้นแต่ลูกจ้างจะทำงาน เกี่ยวกับการเงินและทรัพย์สิน
เพื่อป้องกันมิให้นายจ้างแสวงหาประโยชน์จากลูกจ้างในทางมิชอบ
             ๒๐. กำหนดให้บรรดาเงินตาม พ.ร.บ. นี้ที่นายจ้างค้างจ่ายลูกจ้างและเงินสะสม เงินสมทบ
กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเป็นหนี้บุริมสิทธิลำดับเดียวกับภาษีอากร เพื่อคุ้มครองสิทธิของลูกจ้างในการได้รับ
ชำระหนี้มิให้ถูกเจ้าหนี้ในลำดับอื่นขอรับไปหมด
             ๒๑. การรับเหมาค่าแรง ให้เจ้าของสถานประกอบกิจการและผู้รับเหมาค่าแรงต่างมีฐานะเป็น
นายจ้างของลูกจ้างที่ผู้รับเหมาค่าแรงจัดเหมา
             ๒๒. ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงนายจ้าง ให้นายจ้างใหม่รับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ ที่นายจ้างเดิมเคยมี
ต่อลูกจ้างทุกประการ เพื่อเป็นการรับรองสิทธิของลูกจ้างมิให้ถูกลดลงเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงตัวนายจ้าง
             ๒๓. กำหนดให้นายจ้างปฏิบัติต่อลูกจ้างตามบทบัญญัติ ป.พ.พ. บรรพ 3 ลักษณะ 6 ว่าด้วยจ้าง
แรงงานด้วย เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถช่วยเหลือทางคดีแก่ลูกจ้างได้
             ๒๔. กำหนดเงื่อนไขการบอกกล่าวล่วงหน้า เพื่อเลิกสัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา และ
ถ้านายจ้างเป็นฝ่ายบอกกล่าวล่วงหน้า จะต้องระบุเหตุผลในการบอกเลิกสัญญาจ้างด้วย ถ้าไม่ระบุไว้นายจ้าง
จะยกข้อยกเว้นขึ้นอ้างในภายหลังเพื่อไม่จ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างไม่ได้
             ๒๕. กำหนดให้นายจ้างปฏิบัติต่อลูกจ้างหญิงและชายโดยเท่าเทียมกันในการจ้างงาน เว้นแต่
ลักษณะหรือสภาพของงาน ไม่อาจปฏิบัติเช่นนั้นได้เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้
ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน
             ๒๖. ห้ามนายจ้าง หัวหน้างาน ผู้ควบคุมงาน หรือผู้ตรวจงานกระทำการล่วงเกินทางเพศต่อ
ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงหรือเด็ก เพื่อเป็นการป้องปรามมิให้บุคคลดังกล่าวใช้อำนาจในทางไม่ชอบโดยการกล่าว
ถ้อยคำหยาบคาย วิพากษ์วิจารณ์ทางเพศ ลวนลาม ซึ่งพฤติการณ์บางอย่างไม่รุนแรงถึงขั้นอนาจาร แต่ไม่เหมาะสม
ที่จะปฏิบัติต่อลูกจ้างหญิงและเด็ก
             ๒๗. ปรับปรุงบทกำหนดโทษจากเดิมที่กำหนดโทษอัตราเดียวเป็นการกำหนดโทษตาม
ความหนักเบาของความผิดที่ได้กระทำ โดยมีอัตราโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ และโทษต่ำสุดปรับไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท และให้อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานและ
ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากบุคคลดังกล่าวมีอำนาจเปรียบเทียบปรับการกระทำความผิดตาม
พ.ร.บ. นี้ได้ตามที่เห็นสมควร

betagenlove โพสต์ 2013-10-24 08:19:04

ขอบคุณคับ {:4_112:}

Tommy1979 โพสต์ 2013-10-25 10:15:54

ขอบคุนครับ

pakka2009 โพสต์ 2013-10-25 10:46:42

ขอบคุณมากครับ
หน้า: 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 [30] 31 32 33 34 35 36 37 38 39
ดูในรูปแบบกติ: ถูกแท็กซี่ข่มขืน [copy]