ปรสิตสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ ตอนที่ 1.2 – เรื่องราวของชิต (1)
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย AMFUSE เมื่อ 2025-9-15 02:22ตอนที่ 1.2 – เรื่องราวของชิต (1)
ตอนที่ 1.2.1 – หลังงานวัด
เสียงกลองยาวค่อย ๆ เบาลงพร้อมกับแสงไฟงานวัดที่ริบหรี่ลงทีละดวง ค่ำคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของงานประจำปี หมู่บ้านเล็ก ๆ จึงคึกคักกว่าปกติ ผู้คนทยอยกลับบ้านพร้อมของกินในถุงพลาสติก เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วค่อย ๆ จางหายไปเหลือเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรที่แทรกเข้ามาแทน
ชิตในชุดเสื้อเชิ้ตเก่า ๆ กับกางเกงผ้าขาวม้าที่แม่บ้านข้าง ๆ บังคับให้ใส่มาช่วยงาน กำลังยืนยกเก้าอี้ซ้อนกันเป็นตั้ง ๆ เหงื่อยังชุ่มหลังจากทั้งวันต้องวิ่งช่วยงานไม่หยุด เขาไม่บ่นสักคำ เพียงยิ้มเจื่อน ๆ เวลาผู้ใหญ่สั่งงานซ้ำ ๆ
“ชิต มาช่วยตรงนี้หน่อย” เสียงของเมฆ หนุ่มรุ่นพี่ที่ชิตรู้จักเพียงผิวเผินดังขึ้น
ชิตเงยหน้าขึ้น เห็นร่างสูงของเมฆยืนอยู่ข้างกองโอ่งน้ำที่ใช้ตักเลี้ยงคนทั้งงาน ดวงตาคมกริบของเมฆจ้องตรงมาอย่างตั้งใจจนชิตเผลอรู้สึกแปลก ๆ ในอก แต่เพราะนิสัยที่ไม่เคยปฏิเสธใคร เขาจึงพยักหน้ารับแล้วเดินตามไป
บริเวณด้านหลังศาลาวัดเงียบสงัดกว่าด้านหน้า แสงไฟจากหลอดนีออนส่องไม่ทั่วถึง บรรยากาศชื้นและอับด้วยกลิ่นดินเปียก ผืนฟ้ามีเพียงแสงจันทร์สาดลงมาทำให้เห็นเงาของสองหนุ่มทอดยาวบนพื้นดิน
“ช่วยยกโอ่งไปเก็บข้างศาลาหน่อย มันหนัก” เมฆพูดพลางยกโอ่งขึ้นนิดหนึ่ง
ชิตรีบยื่นมือไปช่วยโดยไม่เอะใจอะไร ร่างกำยำของเขาโน้มตัวเข้าหา กล้ามแขนตึงแน่นเพราะแรงกด ทำให้เสื้อเชิ้ตเก่าแนบไปกับลำตัวจนเห็นรูปร่างชัด เสี้ยววินาทีนั้นเองสายตาของเมฆกวาดลงต่ำ และหยุดอยู่ที่เป้าผ้าขาวม้าที่แนบแน่นจากเหงื่อและแรงกด
หัวใจของเมฆเต้นแรงขึ้นทันที ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาอย่างห้ามไม่อยู่—คืนนี้ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครอยู่ด้านหลังวัด มีเพียงเขากับชิต…
ชิตไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในเงื่อนไขของคนตรงหน้า เขายังคิดเพียงว่าจะยกโอ่งเสร็จแล้วกลับบ้านไปนอนพัก แต่บรรยากาศรอบข้างกลับค่อย ๆ กดดัน และเงาที่ทอดยาวจากร่างเมฆก็เหมือนจะคลุมตัวเขาไว้ทุกที
ตอนที่ 1.2.2 – ถูกชวนไปที่เปลี่ยว
หลังจากยกโอ่งน้ำเสร็จ ชิตยกมือปาดเหงื่อที่ไหลอาบหน้าผาก กล้ามอกที่เปียกชื้นสะท้อนแสงจันทร์จนดูเด่นกว่าเดิม เมฆยืนมองอยู่เงียบ ๆ สายตาหนักแน่นเหมือนซ่อนบางอย่างเอาไว้
“เหนื่อยสิท่า ช่วยทั้งวันเลย” เมฆเอ่ยขึ้น น้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ไม่เท่าไรหรอกพี่ แค่ทำงานวัด ใคร ๆ ก็ช่วยกัน” ชิตตอบพร้อมรอยยิ้มจริงใจ ไม่ทันเห็นว่าดวงตาของอีกฝ่ายกำลังจับจ้องไปที่ร่องกางเกงผ้าขาวม้าที่แนบกับเรือนกายจนเห็นเป็นสัดส่วนชัดเจน
เมฆกวาดตามองรอบ ๆ เห็นว่าบริเวณนั้นแทบไม่มีใครอยู่แล้ว มีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟเก่า ๆ ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่และเสียงจิ้งหรีดเรไรเป็นฉากหลัง เขาก้าวเข้าใกล้ชิตอีกนิด ก่อนพูดเสียงเบาราวกับกระซิบ
“ตรงนี้มืดไปหน่อย ช่วยขนเก้าอี้ไปเก็บในศาลาหลังวัดกับพี่หน่อยได้มั้ย ไม่มีใครอยู่แล้ว กลัวจะโดนขโมย”
ชิตไม่ได้เอะใจอะไรเลย เขาพยักหน้าตามง่าย ๆ “ได้สิพี่”
ทั้งสองเดินเลาะไปตามทางดินด้านหลังศาลา ทางนั้นมืดและเงียบมากกว่าที่เดิม ต้นไม้สูงขึ้นเป็นแนวข้างทาง บดบังแสงจันทร์จนแทบไม่เหลือแสงส่องถึง เสียงฝีเท้าทั้งคู่บดกับดินแห้งกรอบดังกรอบแกรบยิ่งขับให้บรรยากาศน่าขนลุก
เมื่อเดินถึงมุมหนึ่ง เมฆหยุดกะทันหัน หันมามองชิตเต็มตา ชายหนุ่มบ้านไร่ยังไม่ทันรู้ตัวก็ถูกสายตาคมกริบตรึงเอาไว้เหมือนเชลย
“พี่…ให้ช่วยยกตรงไหนเหรอ” ชิตถามเสียงแผ่ว แต่คำตอบที่ได้คือมือหนาของเมฆที่วางลงบนไหล่เขาอย่างมั่นคง
บรรยากาศรอบข้างเงียบเกินไป เสียงลมพัดใบไม้ไหวเหมือนกลบลมหายใจของชิต เขารู้สึกถึงแรงกดที่ทำให้ร่างต้องพิงกับผนังไม้เก่าหลังศาลา ใจเต้นแรงแบบไม่เข้าใจว่าทำไม สายตาสับสนแต่ไม่กล้าผลักออก
เมฆยิ้มบาง ๆ แต่เต็มไปด้วยแรงปรารถนา “ตรงนี้แหละ…ไม่ต้องไปไหนแล้ว”
ในเสี้ยววินาทีนั้น ชิตเริ่มรู้สึกได้ว่าเหตุการณ์ไม่เหมือนการช่วยงานปกติ ร่างกายเริ่มร้อนวูบวาบโดยไม่รู้สาเหตุ แต่เพราะความซื่อและไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ เขาทำได้เพียงยืนนิ่งเหมือนถูกสะกด
ตอนที่ 1.2.3 – การลอบได้ครั้งแรก
แรงกดจากมือหนาบนไหล่ทำให้ชิตพิงติดผนังไม้เก่าด้านหลังศาลา หัวใจเขาเต้นแรงจนแทบหลุดออกมา ทั้งเพราะเหนื่อย ทั้งเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ดวงตากลมของเขามองเมฆอย่างสับสน
“พี่…จะทำอะไรน่ะ” น้ำเสียงชิตเบาแทบไม่ต่างจากเสียงลม
เมฆไม่ตอบในทันที เขากลับใช้สายตาคมกริบมองต่ำลงไปยังร่องผ้าขาวม้าที่เปียกชื้นจนแนบกับท่อนลำอวบใหญ่ที่ปูดชัดอย่างไม่อาจซ่อน ร่องรอยเหงื่อและกลิ่นกายจากแรงงานทั้งวันยิ่งทำให้ภาพนั้นเร้าอารมณ์ เมฆกลืนน้ำลายขณะก้าวเข้ามาประชิด
“แค่…อยากลองชิมดูหน่อย” เขากระซิบชิดหู
ชิตเบิกตากว้าง ร่างกายเกร็งสั่น แต่ไม่ทันได้ถอยหนี มือหนาของเมฆก็เลื่อนลงมากดตรงหน้าขา ผ้าขาวม้าถูกดันจนตึง ท่อนลำข้างในผงกหัวดันออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
“อย่า…พี่ อย่าทำแบบนี้” เสียงชิตสั่นเครือ เขาพยายามดันอกอีกฝ่าย แต่แรงของชาวนาที่ผ่านการทำงานมาทั้งวันกลับสู้แรงเมฆไม่ได้เลย
เมฆโน้มหน้าลง ลมหายใจร้อนจัดเป่ารดหน้าท้องที่โผล่พ้นชายเสื้อเก่า ๆ เขาค่อย ๆ คุกเข่าลงตรงหน้า ใช้มือปลดผ้าขาวม้าที่ผูกหลวม ๆ อย่างง่ายดาย ก่อนที่เนื้ออวบยาวสีขาวเนียนกับหัวแดงสดจะดีดผึงออกมาในอากาศ
แสงจันทร์สาดลงบนท่อนลำนั้นจนดูโดดเด่นราวกับ “ของวิเศษ”
หัวใจชิตแทบหยุดเต้น เขารีบเอามือปิดไว้ด้วยความอาย แต่เมฆกลับจับมือทั้งสองของเขากดกับผนัง ไม่ให้ขยับได้
“พี่…อย่าทำเลย” เสียงขอร้องแผ่วเบา แต่กลับเต็มไปด้วยความสับสนและความร้อนผ่าวในกายที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ
เมฆไม่รอช้า เขาก้มลง ใช้ริมฝีปากร้อนจัดครอบลงบนหัวแดงสดทันที เสียงสูดกลืนดังชัดในความเงียบของค่ำคืน
“อ๊ะ…!” ชิตสะดุ้งเฮือก ท่อนลำเกร็งสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
ปากของเมฆขยับช้า ๆ ดูดรัดแน่นราวกับต้องการรีดเอาทุกหยาดหยด ลิ้นร้อนกวาดไปรอบ ๆ จนชิตเผลอกัดริมฝีปากกลั้นเสียงคราง แต่ยิ่งพยายามห้าม ร่างกายก็ยิ่งตอบสนอง น้ำใส ๆ ค่อย ๆ ซึมออกมาที่ปลายหัวแดง ถูกกลืนหายไปในปากของเมฆทุกหยด
“หวาน…จริงด้วย” เมฆพึมพำเสียงพร่า ก่อนจะกลับไปซุกไซ้ต่ออย่างหิวกระหาย
ชิตตัวสั่น หัวใจเต้นถี่จนแทบขาดใจ ความอายและความสุขแปลกประหลาดผสมกันจนเขาไม่รู้จะหนีไปทางไหน แรงกดจากมือที่ตรึงไหล่ไว้ทำให้เขาทำได้เพียงพิงผนัง หลับตาแน่น ปล่อยให้ร่างกายถูกกลืนกินทีละน้อย
แรงดูดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับเมฆตั้งใจจะไม่ปล่อยแม้แต่หยาดเดียว จนในที่สุด ชิตก็ทนไม่ไหว ร่างกายเกร็งกระตุก น้ำอุ่นขาวข้นพุ่งทะลักออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า—ทั้งหมดถูกเมฆกลืนหายลงคอไปจนหมด ไม่มีแม้แต่หยดเดียวที่เหลือร่วงลงพื้น
เมื่อทุกอย่างจบลง ชิตหอบหายใจแรง ใบหน้าแดงก่ำราวกับเพลิง ร่างกายอ่อนแรงพิงกับผนังไม้ สายตาหลบเลี่ยงไม่กล้าสบตาใคร
เมฆลุกขึ้น ปาดปากช้า ๆ แล้วโน้มหน้ามากระซิบเบา ๆ ข้างหู “ของเอ็ง…ไม่เหมือนใครจริง ๆ”
ชิตไม่พูดอะไร เขาเพียงก้มหน้าด้วยความอาย รู้สึกถึงความลับที่หนักอึ้งในอก เขาไม่กล้าบอกใคร ไม่กล้าแม้แต่จะมองตาเมฆอีกครั้ง
ในคืนนั้น ความสัมพันธ์ลับแรกได้เกิดขึ้นแล้ว—และมันคือก้าวแรกที่ทำให้ชิตกลายเป็น “ของที่ทุกคนอยากได้”
ตอนที่ 1.2.4 – ความอายและการเก็บเป็นความลับ
หลังเหตุการณ์ใต้แสงจันทร์จบลง ความเงียบกลับมาอีกครั้ง เหงื่อบนร่างชิตยังชุ่ม เสื้อเก่าแนบไปกับกล้ามอกที่สั่นสะท้าน เขานั่งกอดเข่าพิงผนังไม้ ใบหน้าแดงก่ำจนไม่กล้าเงยขึ้น
เมฆยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มจาง ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาสะบัดผ้าขาวม้า จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ แล้วพูดขึ้นอย่างสบาย ๆ
“กลับบ้านเถอะชิต ดึกแล้ว เดี๋ยวพ่อแม่คนอื่นเขาจะว่าเอา”
คำพูดธรรมดา ๆ นั้นทำให้ชิตยิ่งอับอาย เขาไม่รู้จะตอบอะไร ร่างกายยังอ่อนแรงจากสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น หัวใจเต็มไปด้วยคำถาม—นี่มันคืออะไร? ทำไมเขาถึงไม่กล้าปฏิเสธ? แล้วทำไมร่างกายถึงตอบสนองขนาดนั้น?
เมื่อเดินกลับจากหลังศาลา สายตาของชิตไม่กล้ามองใครเลย เขาก้มหน้าเงียบ ๆ รู้สึกเหมือนทุกคนจะจับได้ ทั้งที่ในความจริง ไม่มีใครรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นนอกจากเขากับเมฆ
คืนนั้น เมื่อถึงกระต๊อบเล็ก ๆ ริมนา ชิตทิ้งตัวลงบนเสื่อขาด ๆ หัวใจยังเต้นแรงไม่หยุด ทุกครั้งที่หลับตา ภาพริมฝีปากของเมฆที่ครอบลงบนหัวแดงสดผุดขึ้นมาไม่หาย เขาพยายามสะบัดหัวไล่ภาพนั้นออก แต่ยิ่งไล่ก็ยิ่งชัดเจน
“ทำไมเราถึงยอม…” เขาพึมพำกับตัวเอง เสียงเบาจนแทบไม่ต่างจากเสียงหายใจ
แต่เขารู้ดีว่า—แม้จะอายเพียงใด ก็ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง ไม่มีใครในหมู่บ้านที่จะเข้าใจได้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไปเขาคงถูกหัวเราะเยาะ ถูกตราหน้าว่าแปลกประหลาด
ดังนั้น ความลับนี้จึงถูกกลบฝังไว้ในใจตั้งแต่คืนนั้น และเมฆเองก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในวันถัดมา เขาทักชิตเหมือนเคย หยอกเล่นตามปกติ ราวกับไม่ได้กลืนกินทุกหยาดหยดจากร่างนั้นเมื่อคืน
เวลาผ่านไป วันกลายเป็นคืน คืนกลายเป็นวัน ชีวิตชิตดำเนินต่อไปเหมือนปกติ แต่ภายในใจกลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ความอาย ความสับสน และความหวาดกลัวปนกันเป็นก้อนใหญ่ที่เขาไม่รู้จะปลดปล่อยอย่างไร
และนี่คือ “กฎเงียบ” ที่ถือกำเนิดขึ้นในหมู่บ้าน—ใครได้ชิม จะเก็บไว้เป็นความลับ ไม่มีใครพูด ไม่มีใครยอมรับออกมา แต่ในเงามืด ทุกสายตายังคงจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่มผู้ซื่อเกินกว่าจะรู้ว่า…ตัวเองได้กลายเป็นเป้าหมายของใครต่อใครไปแล้ว
จบตอนที่ 1.2
ดีนะค่อยปูเรื่องชิตก่อนจะเข้าด้านมืด สนุกมากครับ เยี่ยม เรียกได้ว่าเป็นของอร่อยที่ต้องมาชิม เป็นกำลังใจให้มีผลงานมาให้อ่านอีกครับ ปูเรื่องเริ่มใหม่ก็ดีนะ จะได้รู้ที่มาของตัวละครอื่นด้วย มาต่อไวๆๆน่ะ ขอบคุน
หน้า:
[1]