หัวใจดีไซน์ Ep.9 (สถาปนิกxคนงานก่อสร้าง)
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-8-28 17:23ตอนที่ 8
สองสามวันที่ผ่านมา บรรยากาศที่ไซต์งานไม่ได้ราบรื่นเหมือนเคย
นับหนึ่งนั่งกางแบบแปลนออกต่อหน้า สายตาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น รายละเอียดหลายอย่างถูกขีดฆ่าและแทนที่ด้วยเส้นใหม่ ๆ ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“อะไรของมันวะ…” เสียงทุ้มต่ำลอดออกมาระหว่างที่เขากัดฟันแน่น
งานก่อสร้างเดินหน้ามาเกินครึ่ง แต่จู่ ๆ ก็มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้าง เสริมวัสดุ หรือแม้แต่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ล้วนทำให้การทำงานสะดุดอย่างรุนแรง ถ้าเขาทำตามนี้ ก็เท่ากับต้องรื้อเกือบทั้งโครงการเพื่อเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น
ลูกน้องหลายคนยืนเกาหัวมองหน้ากันอย่างงุนงง ก่อนหันไปถามนับหนึ่งโดยตรง
“หัวหน้า…สรุปเราจะเอายังไงครับ”
นับหนึ่งกำมือแน่นจนเส้นเลือดปูด “แบบบ้าอะไรของมัน! เดินงานมาขนาดนี้ อยู่ ๆ จะให้เปลี่ยน มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันง่าย ๆ นะเว้ย!”
เสียงดังจนลูกน้องบางคนถึงกับสะดุ้ง แต่เขาก็รีบเงียบเสียงลง กดอารมณ์ไม่ให้ระเบิดออกมาไปมากกว่านี้ ก่อนจะสูดลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วหันหลังเดินออกไป
“กูขอไปดูดบุหรี่สักมวนก่อน”
เขาเดินหลบไปนั่งเงียบอยู่มุมตึกที่ยังสร้างไม่เสร็จ สายตาจ้องแบบแปลนในมือด้วยความขุ่นมัว นี่มันครั้งแรกที่เขาแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่
นะโมที่แอบยืนอยู่ไม่ไกล มองตามหัวหน้าเงียบ ๆ แววตาสงบแต่มีความคิดวิ่งวนไม่หยุด
“แปลก ๆ แฮะ…” เขาพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง
ตั้งแต่เขาเข้ามาทำงาน ไม่เคยมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงกะทันหันขนาดนี้มาก่อน ปกติการแก้ไขแบบจะต้องมีการประชุม แจ้งเหตุผล และทำเอกสารยืนยันชัดเจน แต่ครั้งนี้กลับเป็นเพียงกระดาษก๊อปปี้บางแผ่นที่แนบมากับแฟ้มงาน ไม่มีชื่อคนสั่ง ไม่มีตราประทับที่ถูกต้องอะไรทั้งนั้น
นะโมขมวดคิ้วพลางคิดในใจ หรือว่านี่…มีใครจงใจเล่นงานหัวหน้ากันแน่
เขาแอบเหลือบมองไปยังร่างของนับหนึ่งที่กำลังนั่งกุมขมับอยู่ไกล ๆ แล้วแววตาก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นทันที
นับหนึ่งกำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เขาตั้งใจจะโทรหาคีตะเพื่อถามเรื่องเอกสารเปลี่ยนแบบที่ทำให้ปวดหัวแทบขาดใจ แต่ยังไม่ทันได้กดโทรออก เสียงเรียกคุ้น ๆ ก็ดังขึ้นเสียก่อน
“อ้าว…คุณนับหนึ่ง ทำไมสีหน้าไม่ดีเลยครับ?”
นับหนึ่งเงยหน้าขึ้น เห็นพระพายยืนยิ้มอยู่ตรงทางเข้าไซต์งาน ใส่เสื้อเชิ้ตเรียบร้อยจนผิดที่ผิดทางกับฝุ่นควันรอบข้าง
หัวใจนับหนึ่งกระตุกวูบ คน ๆ นี้โผล่มาทำไม? และที่สำคัญ คีตะไม่อยู่ด้วย
“คุณพระพาย มาที่นี่ได้ยังไงครับ?” น้ำเสียงของนับหนึ่งแข็งขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ยังพยายามรักษามารยาท
พระพายหัวเราะเบา ๆ พลางก้าวเข้ามาใกล้ “ก็แวะมาเยี่ยมเฉย ๆ ครับ เห็นได้ข่าวว่าหน้างานมีปัญหา ก็เลยอยากมาช่วยดู เผื่อผมจะช่วยอะไรได้บ้าง”
คำว่า ช่วย ทำให้นับหนึ่งกำโทรศัพท์แน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ก่อนที่เขาจะทันตอบ เสียงของนะโมก็ดังแทรกขึ้นมาจากด้านหลัง ขณะเดินหอบถังปูนมาวางดังโครม
“โอ้โห…คนที่ไม่เคยแตะปูนแตะทรายสักครั้ง จะมาช่วยอะไรได้ล่ะครับนอกจากเกะกะ”
นับหนึ่งหันไปมองนะโมทันที “นะโม!”
แต่พระพายเพียงยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคมหันมามองคนงานตัวเล็ก ๆ ที่พูดจาหาเรื่องแบบไม่เกรงใจ “พูดแบบนี้กับผม…นายชื่ออะไรนะ?”
นะโมเช็ดเหงื่อที่ไหลลงมาที่คางก่อนตอบเสียงเรียบ “ก็แค่คนแบกของครับ ไม่สำคัญหรอก แต่ที่สำคัญ…งานตรงนี้มันละเอียด ถ้าไม่รู้จริงก็อย่ามายุ่งเลย เดี๋ยวคนทำงานเขาจะพลาด”
คำพูดไม่ดังนัก แต่ชัดถ้อยชัดคำพอให้คนงานที่ยืนใกล้ ๆ ได้ยิน และเริ่มหันมามองพระพายด้วยสายตาแปลก ๆ
รอยยิ้มบนใบหน้าของพระพายแข็งค้างไปครู่หนึ่ง เขาพยายามเก็บอารมณ์ไม่ให้หลุด แต่แววตากลับฉายแววหงุดหงิดออกมาอย่างชัดเจน
“ผมก็แค่หวังดีนะครับคุณนับหนึ่ง” พระพายหันมาพูดกับนับหนึ่งตรง ๆ “ถ้าอย่างนั้น…เอาไว้วันหลังดีกว่า”
เขาหันหลังเดินจากไป โดยมีเสียงหัวเราะหึ ๆ เบา ๆ ของนะโมดังไล่หลังอยู่
นับหนึ่งถอนหายใจยาว รู้สึกทั้งโล่งใจและวุ่นวายใจในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าพระพายโผล่มา โดยที่คีตะไม่รู้เรื่องเลยสักนิด
เสียงเครื่องจักรกลับมาดังกลบความเงียบอีกครั้ง หลังจากที่พระพายเดินออกไปจนลับสายตา นับหนึ่งยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ราวกับกำลังใช้ความคิดหนักหน่วง
นะโมเดินเข้ามาใกล้ วางมือลงกับด้ามจอบแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “พี่นับหนึ่งครับ…”
นับหนึ่งหันไปมอง “หือ?”
“เมื่อกี้คน ๆ นั้น…อย่าไว้ใจมากนักเลยนะครับ” นะโมพูดพลางมองไปยังทิศทางที่พระพายหายไป “บางทีสิ่งที่ดูเหมือนหวังดี มันก็อาจจะมีอะไรมากกว่านั้น”
นับหนึ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย “พูดเหมือนรู้อะไร”
นะโมยักไหล่ ทำเป็นไม่ใส่ใจ “ผมมันก็แค่คนงาน จะไปรู้อะไรได้ล่ะครับ แต่เวลาเจอคนแบบนั้นทีไร…สัญชาตญาณมันฟ้องให้ระวังไว้ก่อนทุกที”
คำพูดนั้นฟังดูธรรมดา แต่กลับฝังแน่นอยู่ในใจนับหนึ่ง เขาหลุบตาลง คำพูดของคีตะลอยมาในหัวอีกครั้ง ที่ผ่านมา...ผมไม่เคยได้เป็นฝ่ายรักใครก่อน ผมเพียงแค่ถูกทำให้รัก และไม่สามารถมองเห็นใครนอกเหนือจากเขา
หัวใจนับหนึ่งเต้นแรงขึ้น เขาเริ่มต่อภาพในหัว คีตะที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด กับพระพายที่โผล่มาโดยไม่บอกกล่าว และรอยยิ้มที่ดูเสแสร้งจนผิดที่ผิดทาง…
ใช่แล้ว คน ๆ นั้นที่คีตะหมายถึง…อาจจะเป็นพระพายจริง ๆ
นับหนึ่งเม้มปากแน่น ความไม่สบายใจแล่นวูบขึ้นมาในอก ก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อโดยไม่พูดอะไรออกมา
แดดเย็นยามเย็นสาดลงบนไซต์งาน เสียงเครื่องจักรค่อย ๆ เบาลงเมื่อคนงานทยอยเก็บของ คีตะก้าวเข้ามาในพื้นที่ ดวงตาคมกวาดมองรอบ ๆ อย่างเคยชิน ก่อนจะตรงเข้ามาหานับหนึ่งที่ยังนั่งเช็กแบบอยู่บนโต๊ะไม้เก่า ๆ
“พี่ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอครับ” คีตะถามพลางวางขวดน้ำเย็นลงตรงหน้า
นับหนึ่งหยิบขึ้นมาดื่มเล็กน้อย ก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “ยัง…พี่อยากเช็กงานให้ชัวร์ก่อน พรุ่งนี้จะได้ไม่พลาดอีก”
คีตะพยักหน้าเงียบ ๆ สายตาคมเฝ้ามองใบหน้าเรียบขรึมของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่านับหนึ่งกำลังมีเรื่องในใจ
ความเงียบแผ่คลุมอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งนับหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงเบาเหมือนกำลังหยั่งเชิง
“คีตะ…ช่วงนี้นายเจอคุณพระพายบ้างมั้ย?”
เพียงเอ่ยชื่อนั้น แววตาของคีตะก็เปลี่ยนไปทันที ความแข็งกร้าวแทรกเข้ามาแทนรอยยิ้มที่มักประดับอยู่ “พี่…เจอเขามาที่นี่เหรอครับ”
นับหนึ่งหลบตาเล็กน้อย ก่อนตอบเพียงสั้น ๆ “ก็…ผ่านมา”
คีตะกำมือแน่น ความเงียบปกคลุมอีกครั้ง แต่คราวนี้เต็มไปด้วยความกดดัน เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะถามกลับตรง ๆ
“เขาทำอะไรพี่หรือเปล่า”
นับหนึ่งส่ายหน้า “ไม่หรอก แค่…พี่รู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล”
คีตะนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะก้มหน้าลง ใช้เสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมา “พี่…ระวังเขาไว้เถอะครับ พระพายไม่ใช่คนที่จะเชื่อใจได้ง่าย ๆ”
นับหนึ่งเงยหน้าขึ้นสบตา ดวงตาสองคู่สื่อสารกันโดยไม่ต้องพูดมาก แต่แค่ประโยคสั้น ๆ ของคีตะ ก็เพียงพอให้นับหนึ่งเริ่มเข้าใจบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในอดีตของชายหนุ่มตรงหน้า
หัวใจของเขาเต้นแรงโดยไม่รู้ว่าเพราะกลัว…หรือเพราะเริ่มผูกพันเกินกว่าจะถอนตัวแล้ว
วันต่อมา…
เสียงเหล็กกระทบกันดัง แกร๊งง อยู่ไม่ไกล นับหนึ่งยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานตรวจแบบในไซต์ โดยไม่รู้เลยว่ามีเงาหนึ่งแอบสอดสายตาอยู่จากมุมสูง พระพาย กำลังถือโทรศัพท์แนบหู น้ำเสียงกดต่ำเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์
“ใช่…พอเครนยกเหล็กเสร็จ ให้ปล่อยเชือกช้า ๆ ล่ะ อย่าให้มันชัดเจนมาก แค่ให้มันหล่นพลาด ๆ ลงใกล้ ๆ คนงานพอนะ…โดยเฉพาะไอ้หัวหน้าหน้าเข้มคนนั้น”
นะโมที่บังเอิญเดินผ่านมาพอดี ชะงักไปทันทีเมื่อได้ยินประโยคนั้น ดวงตาคมของเขาหรี่ลง เงี่ยหูฟังจนแน่ใจ ก่อนจะก้าวเข้าไปอย่างเงียบกริบ แล้วใช้แรงคว้าข้อมือพระพายกระชากออกมา
“เฮ้ย! อะไรของมึง!” พระพายสะบัดข้อมือแต่ไม่ทัน นะโมลากอีกฝ่ายออกไปยังมุมลับตาหลังโกดังเก็บอุปกรณ์
“คิดจะทำเหี้ยอะไรห๊ะ!?” นะโมกดเสียงต่ำ ดวงตาเอาเรื่อง
พระพายหัวเราะในลำคออย่างไม่สะทกสะท้าน “หึ…ก็แค่เล่นสนุกนิดหน่อย จะอะไรนักหนา”
ยังไม่ทันพูดจบ นะโมก็ดันร่างพระพายกระแทกเข้ากับผนังไม้เก่า ๆ มืออีกข้างปิดปากทันทีเพราะทนฟังความปากดีไม่ไหว แต่พระพายยังพยายามดิ้นและเปล่งเสียงอู้อี้ออกมา
“หุบปากซะทีเถอะ” นะโมกดเสียงเย็น ดวงตาแข็งกร้าว แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มกวน ๆ เหมือนไม่คิดจะปล่อยง่าย ๆ
พระพายที่ยังดิ้นอยู่ถูกนะโมใช้แรงกดข้อมือไว้แน่น ก่อนที่อีกฝ่ายจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจปะทะกันตรงปลายจมูก แล้ว…
จุ๊บ
ริมฝีปากของนะโมกดลงมาปิดปากพระพายแทนมือที่เคยอุดเอาไว้ สัมผัสนั้นรวดเร็วแต่แน่นหนาพอที่จะทำให้พระพายหยุดดิ้นในทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจและความโกรธที่ถูกหักหน้า
นะโมผละออกเล็กน้อยแล้วกระซิบข้างหูเสียงกวน ๆ
“อยากปากเก่งมากใช่มั้ย… เป็นไงล่ะ รสชาติของคนงานก่อสร้าง”
พระพายกัดฟันแน่น หน้าแดงด้วยทั้งความโกรธและความอับอาย แต่กลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ
พระพายยังคงหอบหายใจแรง ๆ หลังจากถูกนะโมบุกจู่โจมริมฝีปากเมื่อครู่ ดวงตาที่มักจะอ่อนโยนเวลายิ้มให้ใครกลับแดงก่ำเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด
“ไอ้…” พระพายกัดฟันด่าออกมา แต่ยังไม่ทันได้ต่อว่าก็ถูกนะโมจับคางเชยขึ้น บีบแน่นจนเจ็บ
“อย่าทำหน้าแบบนั้นเลย มึงเองก็รู้ ว่ากูไม่ใช่คนงานโง่ ๆ ที่จะมองไม่ออกว่ามึงกำลังคิดอะไร” เสียงทุ้มต่ำของนะโมเอ่ยช้า ๆ ดวงตาแข็งกร้าวจนทำให้พระพายเผลอหลบสายตา
พระพายหัวเราะเยาะในลำคอ พยายามเก็บความสั่นของริมฝีปาก “หึ…แล้วมึงคิดว่าจะหยุดกูได้เหรอ?”
นะโมโน้มหน้าเข้ามาอีกครั้งจนปลายจมูกแทบชนกัน “ถ้าเรื่องมันเกี่ยวกับพี่นับหนึ่ง…กูหยุดมึงได้แน่ และถ้ามึงยังไม่หยุด กูจะทำมากกว่าปิดปากมึงด้วยปากของกูอีก”
น้ำเสียงกดต่ำแบบเอาจริง ทำเอาพระพายขนลุกซู่ไปทั้งแผ่นหลัง หัวใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ ทั้งโกรธ ทั้งอับอาย และ…ทั้งสั่นไหว
“อย่าคิดว่าแค่เป็นลูกน้องแล้วกูจะกลัว” พระพายกัดฟันพูด ทั้งที่ในใจสั่นไม่ต่างจากเด็กถูกจับได้
นะโมคลายมือออกจากคางช้า ๆ แต่ยังคงโน้มตัวกดไว้กับผนัง ใกล้พอที่พระพายยังได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นแรง “จำเอาไว้…ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับพี่นับหนึ่ง ไม่ว่ามันจะเล็กน้อยแค่ไหน กูจะหามึงก่อนเป็นคนแรก”
สิ้นคำขู่ นะโมก็ปล่อยตัวพระพายออกมาราวกับไม่คิดใส่ใจ แต่แววตากลับเต็มไปด้วยประกายจริงจังจนพระพายกัดริมฝีปากแน่น ความอับอายพลุ่งพล่านจนแทบเผาอก
พระพายยกมือขึ้นเช็ดริมฝีปากตัวเองแรง ๆ เหมือนอยากลบสัมผัสเมื่อครู่ทิ้ง แต่ยิ่งทำเท่าไหร่ ภาพริมฝีปากของนะโมที่บดทับลงมากลับยิ่งชัดขึ้นในหัว จนหัวใจสับสนไปหมด
“ไอ้เวรเอ๊ย…” พระพายพึมพำ ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีออกไปอย่างหัวเสีย ทิ้งให้นะโมยืนมองตามด้วยสายตาลึกล้ำ
พระพายสะบัดหน้าตัวเองแรง ๆ ตอนก้าวเข้ามาในห้องพัก ความหงุดหงิดตีรวนจนแทบจะขว้างข้าวของระบายอารมณ์ แต่เพียงสายตาเหลือบไปเห็นกระจกเงาที่สะท้อนริมฝีปากแดงช้ำของตัวเอง หัวใจก็ร่วงลงไปอยู่กลางตาตุ่ม
ภาพเหตุการณ์ในคืนนั้นแล่นวาบเข้ามา ร่างเขาที่อ่อนปวกเปียกจนแทบขัดขืนไม่ไหว ถูกนะโมกดจนหายใจแทบไม่ทัน ความหนักหน่วงที่ยังตราตรึงอยู่ในเนื้อในใจ แม้ตอนนั้นจะพร่ามัวจากเหล้า แต่ทุกสัมผัสกลับชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด และที่น่าขยะแขยงที่สุด…คือร่างกายเขาดันตอบสนองกับมันโดยไม่ตั้งใจ
พระพายกัดฟันแน่น ความจริงที่เจ็บร้าวคืออีกฝ่าย “ไม่จำอะไรเลย” ปล่อยให้เขาต้องจมอยู่กับความอับอายเพียงลำพัง ขณะที่นะโมกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไอ้เหี้ยนี่…” พระพายสบถเสียงสั่น พลางยกมือกุมขมับ ความโกรธผสมความกลัวแล่นพล่านในอก
เขารู้ดีว่าสายตาของนะโมวันนี้ไม่ใช่คำขู่ลอย ๆ มันคือการประกาศเตือนจากใครบางคนที่พร้อมจะทำได้ทุกอย่างเพื่อปกป้อง “นับหนึ่ง” และพระพายก็ไม่ใช่คนโง่พอจะลองดีซ้ำสอง
ลึก ๆ ข้างใน ร่างกายยังสั่นสะท้านทุกครั้งที่นึกถึงแรงบีบกระชากคืนนั้น ความกลัวกัดกินจนเขาไม่กล้าแม้แต่จะเผชิญหน้าตรง ๆ กับนะโมอีก
“กูจะไม่เข้าใกล้มึงเด็ดขาด…” พระพายพึมพำกับตัวเอง น้ำเสียงสั่นพร่า ทั้งหวาด ทั้งแค้น
ถ้าเส้นทางที่จะเล่นงานนับหนึ่งถูกขวางโดยนะโมจริง ๆ งั้นเขาก็ต้องหาทางอื่น ทางที่ไม่ต้องปะทะกับไอ้ลูกน้องบ้าเลือดนั่นโดยตรง
…
ไซต์งานที่เคยครึกครื้นทั้งวันพลันเงียบลงทันตาเมื่อแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า นับหนึ่งยังนั่งเช็กเอกสารอยู่ใต้เพิงไม้ มีเหงื่อเกาะขมับจากความเหนื่อยล้า นะโมเดินเข้ามานั่งยอง ๆ ข้างเก้าอี้ เอาคางเกยแขนพาดไว้บนพนักพิง กวน ๆ ตามสไตล์
“พี่หนึ่ง...” เสียงทุ้มติดขี้เล่นเอ่ยขึ้นเหมือนจะชวนคุยเล่นธรรมดา “พักบ้างก็ได้มั้งครับ นั่งทำหน้ายุ่ง ๆ เดี๋ยวแก่ก่อนวัย”
นับหนึ่งเหลือบตามามองนิดหนึ่ง ก่อนถอนหายใจ “นี่ถ้าช่วยทำงานแทนกูได้ กูก็จะไม่ยุ่งแบบนี้หรอก”
นะโมยักไหล่ หัวเราะเบา ๆ “ผมไม่ถนัดหรอกพวกตัวเลข เอาไว้ให้พี่เก่ง ๆ ไปเหอะ ผมถนัดเฝ้ามากกว่า”
“เฝ้าอะไร” นับหนึ่งขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจคำพูดของเด็กตรงหน้า
“ก็เฝ้าพี่นั่นแหละ” นะโมพูดหน้าตาย แต่แววตากลับจริงจังขึ้นเล็กน้อย “ช่วงนี้มันแปลก ๆ นะพี่…พี่ก็ระวังตัวไว้บ้างก็ดี”
คำพูดที่เหมือนเล่นแต่ไม่ใช่เล่นทำให้นับหนึ่งหยุดมือจากเอกสารเงยหน้ามองเต็ม ๆ นะโมเลยรีบหันหน้าหนี ทำท่าเหมือนไม่ได้ตั้งใจพูดอะไรสำคัญออกไป
“อะไรของมึงอีก” นับหนึ่งบ่น แต่ในน้ำเสียงกลับแฝงความครุ่นคิด
“ก็แค่…ไม่อยากให้พี่ซวยโดยไม่รู้เรื่อง” นะโมเกาท้ายทอย ทำเสียงยียวนกลบเกลื่อน “ใครมันจะมาป่วนอะไรอีกก็ไม่รู้ แต่ผมว่า...ถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมคงไม่ทันไปอุ้มพี่หนีหรอกนะ ตัวพี่หนักจะตาย”
นับหนึ่งถึงกับหลุดหัวเราะออกมา “ปากดีจริงนะ”
หลายวันต่อมา…
เสียงเครื่องจักรยังดังระงมในไซต์งานที่เริ่มสลัวลงเรื่อย ๆ ทุกคนต่างเร่งมือให้งานวันนี้เสร็จตามกำหนด นับหนึ่งเองก็หันกลับไปโฟกัสกับการตรวจเอกสารและคุมงานเหมือนเดิม ไม่ได้เก็บคำพูดของนะโมมาใส่ใจนัก แม้ในใจลึก ๆ จะยังติดอยู่บ้าง
ทว่าในจังหวะที่คนงานกำลังขนย้ายท่อนเหล็กขนาดใหญ่ เกิดการพลาดท่า เสียงเหล็กเสียดสีกันดัง ครืด ก่อนท่อนหนึ่งจะไถลหลุดจากที่ค้ำยัน ร่วงลงมาด้วยน้ำหนักมหาศาล
“พี่หนึ่ง!” นะโมตะโกนสุดเสียง แต่เสียงเครื่องจักรที่กำลังเดินเครื่องกลบจนแทบไม่ได้ยิน นับหนึ่งยังยืนอยู่ตรงจุดอันตรายโดยไม่รู้ตัว
โครม!
ท่อนเหล็กกระแทกลงพื้นเฉียดร่างของนับหนึ่งไปเพียงคืบเดียว แรงสะบัดทำให้เขาเสียหลักล้มลงกับพื้น แขนถลอกเป็นทางยาว
นะโมวิ่งพรวดเข้ามาทันที ใบหน้าซีเรียสผิดจากปกติ ลากร่างนับหนึ่งออกห่างจากกองเหล็กที่ยังโยกคลอนอยู่
“บอกให้ระวังแล้วใช่มั้ย!” เสียงเข้มเอ่ย ทั้งโกรธทั้งตกใจ ดวงตาไหววูบด้วยความกังวลที่ปิดไม่มิด
นับหนึ่งหอบหายใจแรง ใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะ ก่อนฝืนหัวเราะกลบเกลื่อน “กูไม่เป็นไร…แค่ถลอกนิดเดียวเอง”
“ไม่เป็นไรบ้าอะไรเล่า!” นะโมคว้าข้อมือเขาไว้แน่นเหมือนกลัวจะหายไปตรงหน้า “อีกนิดเดียวท่อนเหล็กมันหล่นใส่หัวแล้วนะพี่!”
…
ไฟในออฟฟิศเหลือเพียงแสงสลัวจากหลอดฟลูออเรสเซนต์บางดวง พระพายนั่งก้มหน้าจดจ่ออยู่กับเอกสารตรงหน้า เสียงปากกาเสียดสีกระดาษคือสิ่งเดียวที่ดังอยู่ในความเงียบ จนกระทั่งเสียงประตูถูกกระแทกเปิด ปัง! ดังลั่นไปทั้งห้อง
พระพายสะดุ้งเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเจอกับเงาร่างสูงของนะโมที่เดินดุ่ม ๆ เข้ามา ใบหน้ามืดตึง ตาแดงก่ำเหมือนคนพร้อมจะฆ่าใครสักคน
“เหี้ยเอ๊ย...มึงอีกแล้วเหรอ” พระพายสบถเบา ๆ กึ่งหงุดหงิดกึ่งระอา
“เออ กูเองแหละ” นะโมกัดฟันแน่น ก่อนจะพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายจนแทบหลุดจากเก้าอี้ “มึงทำเหี้ยอะไรที่ไซต์วะไอ้หน้าอ่อน!?”
“ไอ้สัด ปล่อยกู! กูไม่ได้ทำเหี้ยอะไรทั้งนั้น!” พระพายพยายามดันอกแรง ๆ แต่ก็สู้แรงคนงานไม่ได้เลย
“อย่ามาโกหก! เหล็กแท่งเบ้อเริ่มเกือบหล่นใส่หัวพี่นับหนึ่ง กูจะเชื่อได้ยังไงว่ามึงไม่ใช่ตัวการ!” เสียงนะโมกระแทกออกมาทีละคำ ดวงตาวาวโรจน์เหมือนจะทะลวงทะลุเข้าไปในใจอีกฝ่าย
พระพายกัดฟันแน่น ดวงตาแดงก่ำเพราะความโกรธและการถูกกดคอเสื้อ “กูบอกว่ากูไม่ได้ทำ! ถ้ามึงจะหาเรื่อง กูก็ไม่มีเหี้ยอะไรจะพูดแล้ว!”
“อย่ามาเล่นลิ้นกับกูนะ ไอ้เหี้ย!” นะโมผลักพระพายกระแทกเข้ากับโต๊ะทำงานดัง โครม เอกสารปลิวกระจายเต็มพื้น เสียงหอบหายใจแรง ๆ ของทั้งคู่ดังชัดท่ามกลางความเงียบร้างในออฟฟิศ
บรรยากาศกดดันจนเหมือนอากาศจะแข็งตัว พระพายจ้องกลับด้วยสายตาเดือดดาล แต่ในแววตาลึก ๆ มีความหวั่นไหวบางอย่างซ่อนอยู่...
เสียงหอบหายใจแรง ๆ สองสายประสานกันในออฟฟิศที่เงียบร้าง พระพายกำลังพยายามดิ้นหนี แต่ยิ่งดิ้น นะโมก็ยิ่งกดแน่น
“ปากมึงนี่นะ...ชอบทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนนักใช่มั้ย” เสียงทุ้มต่ำกดกระแทกใส่หูอีกฝ่าย ก่อนที่นะโมจะบีบกรามพระพายให้หันมาสบตา “งั้นกูจะอุดปากให้มึงเอง...จะได้เลิกพูดเรื่องเหี้ย ๆ สักที”
พระพายยังไม่ทันโต้ เสียงสบถก็ถูกกลืนลงไปในริมฝีปากร้อนจัดของนะโมที่บดขยี้เข้ามาอย่างดุดัน รสจูบไม่ใช่ความอ่อนโยน แต่เป็นการย้ำเตือนเหมือนตรวนโซ่ ลมหายใจถูกขโมยไปจนพระพายแทบหายใจไม่ทัน ร่างกายเกร็งแต่ก็ถูกกดแนบโต๊ะไว้ไม่ให้ขยับ
“อึก… ไอ้เหี้ย ปล่อยกู...” พระพายเปล่งเสียงขาดห้วงออกมา แต่กลับยิ่งถูกบดจูบซ้ำจนขาอ่อนแรง
นะโมหัวเราะหอบต่ำ ๆ ข้างหู ราวกับกำลังสะใจ “หึ แบบนี้แหละ...ถึงจะสมกับที่มึงปากเก่งนัก” มือหนาเลื่อนไปกดไหล่พระพายให้นั่งจมเก้าอี้ ขณะที่อีกมือกระชากเนกไทกับเสื้อเชิ้ตจนกระดุมกระเด็นไปคนละทาง ท่อนอกเปลือยลายผิวขาวจัดเผยออกมา
พระพายกัดฟันแน่น พยายามเก็บเสียงสะอื้นที่ติดอยู่ในลำคอ แต่กลับยิ่งกระตุ้นให้นะโมก้มลงขบกัดซอกคออย่างจงใจ ทิ้งร่องรอยแดงเข้มราวกับสัญลักษณ์ตีตรา
พระพายเผลอครางต่ำหลุดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ยิ่งทำให้นะโมยิ้มมุมปากอย่างผู้ควบคุมเกม “หึ...ทีเมื่อกี้ปากดีนัก ทำไมตอนนี้ถึงครางได้ล่ะวะ?”
เสียงหอบถี่รัวสะท้อนในออฟฟิศว่างเปล่าที่เหลือเพียงแสงไฟสลัวจากโคมด้านบน พระพายถูกกดแนบโต๊ะจนหลังแทบหัก ร่างขาวสะท้านทุกครั้งที่มือหยาบลากไปตามผิว
“มึงยังกล้าปากดีใส่กูอีกมั้ย...” นะโมกระซิบเสียงต่ำติดหอบ พร้อมขยับสะโพกเบียดแนบเข้ามาจนพระพายตัวสั่น
“ไอ้เหี้ย...กูไม่ได้—อ๊ะ!” ประโยคถูกตัดขาดทันทีที่นะโมดันเข้ามาแบบไม่ให้ตั้งตัว ร่างบางกระตุกเฮือก เสียงหอบครางหลุดจากริมฝีปากโดยไม่ตั้งใจ
แรงกดแน่นหน่วงสอดเข้ามาจนลึก ร้อนวาบเกือบทะลุเส้นสติ พระพายกัดริมฝีปากแน่นจนเลือดซึม แต่ยิ่งเก็บเสียง นะโมก็ยิ่งกดสะโพกกระแทกแรงขึ้นเหมือนจงใจให้หลุดเสียงออกมา
“หึ...อย่าทำเป็นเก่งไปหน่อยเลย...กูจะทำให้มึงจำจนลืมไม่ลง” เสียงหอบต่ำชิดข้างหู ก่อนตามด้วยแรงกระแทกหนักหน่วง จังหวะดิบ ๆ ที่ไม่เหลือความอ่อนโยนใด ๆ มีเพียงความตั้งใจจะฝากร่องรอยลงโทษไว้
พระพายเผลอปล่อยเสียงครางแตกพร่าออกมา “อึก…ฮ่า...ไอ้...ไอ้เหี้ย!” มือขาวกำขอบโต๊ะจนเล็บแทบหัก
นะโมยิ้มมุมปาก สะใจที่ทำให้คนปากดีสะดุ้งครางได้ “แบบนี้สิวะ...เสียงมึงตอนนี้โคตรเข้ากับหน้าตอนทำเป็นหยิ่งเลย”
จังหวะขยับเร็วขึ้น เร่งเร้าไม่ปรานี แรงกระแทกดังสะท้อนในห้องโล่ง ๆ ผสมกับเสียงครางที่ถูกกลั้นไม่อยู่ พระพายเหมือนจะทั้งเกลียด ทั้งอับอาย แต่ร่างกายกลับทรยศยอมตอบสนองจนขาอ่อน
“จำไว้ให้ขึ้นใจ...” นะโมกระแทกครั้งสุดท้ายหนักหน่วง ก่อนกดสะโพกแนบจนลึกสุด เสียงหอบพร่าใกล้หูดังชัดเจน “...นี่คือใบเตือน ถ้ายังคิดจะยุ่งกับพี่หนึ่งอีก กูจะเอาให้หนักกว่านี้จนมึงเดินไม่ไหว”
ร่างของพระพายทรุดคาโต๊ะ หอบหายใจแรง ดวงตาสั่นระริกทั้งโกรธทั้งอับอาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะตราบาปที่ถูกย้ำลงบนร่างนั้นมันชัดเจนเกินกว่าจะลบ
แสงไฟสลัวในออฟฟิศยังคงนิ่งสงัด แต่เสียงหอบหนัก ๆ ค่อย ๆ จางลง เหลือเพียงเสียงลมหายใจของคนสองคนที่ยังพัวพันกันอยู่บนโต๊ะทำงาน
พระพายฟุบหน้าลงกับแขน ร่างทั้งร้อนทั้งเหนื่อยจนแทบหมดแรง ขาอ่อนปวกเปียกจนยืนไม่ไหว รู้สึกเหมือนทุกอย่างในร่างกายถูกกวาดเกลี้ยงไปหมด เหลือแต่รอยกัด รอยบีบ และความเจ็บลึกที่ยังสะท้อนขึ้นมาทุกครั้งที่ขยับ
“ไง...ปากดีต่อสิวะ” เสียงทุ้มแหบพร่าของนะโมดังขึ้นข้างหู พร้อมกับมือหนาลากผ่านแผ่นหลังชื้นเหงื่อของอีกฝ่าย เหมือนจงใจย้ำเตือนถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
พระพายกัดฟันแน่น ดวงตาร้อนผ่าวด้วยทั้งความโกรธ อับอาย และ...บางอย่างที่เขาไม่อยากยอมรับ เสียงครางเมื่อกี้มันยังวนเวียนอยู่ในหัว ไม่ว่าพยายามปฏิเสธแค่ไหน ร่างกายก็ทรยศไปแล้ว
“มึงมัน...” เขาสะอื้นหอบ เสียงพร่าขาดห้วง “ไอ้เหี้ย...กูจะฆ่ามึง...”
นะโมหัวเราะหยันเบา ๆ โน้มหน้าลงมากระซิบจนริมฝีปากแทบแตะใบหู “เอาสิ...แต่กูไม่เชื่อหรอกว่ามึงจะกล้า...ตอนนี้มึงยังแทบยืนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
พระพายตัวสั่นระริกทั้งจากโทสะและความเสียศูนย์ แต่ไม่ว่าอย่างไร ใบหน้าก็ยังแดงก่ำจนไม่กล้าหันมาสบตาอีกฝ่าย
นะโมผละออกช้า ๆ กวาดตามองร่างที่ฟุบคาโต๊ะในสภาพเปลือยเปล่าปนเหงื่อ ก่อนหัวเราะในลำคอ “ถ้าไม่อยากเจอแบบนี้อีก...ก็อย่าแม้แต่จะคิดแตะต้องพี่หนึ่ง”
พูดจบเขาก็จัดเสื้อผ้าเดินออกจากห้อง ปล่อยให้พระพายนั่งกัดฟัน กำมือแน่นจนสั่น หัวใจเต้นโครมครามราวกับถูกทุบหนัก ๆ ซ้ำไปมา ทั้งเจ็บ ทั้งเกลียด ทั้งอับอาย แต่ลึก ๆ ...กลับมีบางอย่างแทรกเข้ามาจนเขาเองยังเริ่มกลัวหัวใจตัวเอง
-------------------------------------
ฝากติดตามต่อด้วยนะครับ
ไม่คิดว่าจะได้ขึ้นเป็นกระทู้ฮอต
ขอบคุณที่คอมเม้นท์สนับสนุนนะครับ
แอบสงสารพระพายเหมือนกันนะ เขาค่อนข้างมีปมในชีวิตพอสมควร แต่ก็ยังยึดติดอยู่แบบนั้น
จริงๆเขาก็มีคนที่พร้อมจะรักเขารายล้อมอยู่รอบตัว เพียงแต่เลือกจะปิดกั้นตัวเองเอาไว้
สนุกมากเลยครับ เข้มข้นขึ้นทุกที รอตามต่ออย่างจดจ่อ
นับหนึ่ง คีตะ พระพาย นะโม จะจับคูกันอย่างนี้ป่าวนะ
ขอบคุณนะครับ สนุกมากเลยครับ เข้มข้นขึ้นทุกที รอตามต่ออย่างจดจ่อ
นับหนึ่ง คีตะ พระพาย นะโม จะจับคูกันอย่างนี้ป่าวนะ
ขอบคุณนะครับ สนุกมากครับ การกระทำของนะโม มันค่อยๆเซาะร่องปูนเพื่อทลายกำแพงอิฐที่ปิดกั้นของพระพาย ลงทีละก้อน{:5_137:}{:5_137:}{:5_137:} ขอบคุนครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ไม่เห็นผีเสื้อเหรอนะโม พระพายเปิดใจ ก็จะได้นะโมไปครองแล้ว ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]