ช่วยผมด้วย..ผมโดนมาเฟียรุมข่มขืน!? ตอนพิเศษ 1.1 (เรนxเจบี)
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-7-11 08:43ตอนพิเศษ 1.1หน้าร้อน🔥Day 1 มาญี่ปุ่นทั้งที ก็ต้องพาไปแนะนำให้คนที่บ้านรู้จักน่ะสิ
“อ๊า~”
เรนเอี้ยวตัวบิดขี้เกียจ ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นพาดเหนือศีรษะพร้อมอ้าปากหาวหวอด ดวงตาเรียวรีปรือปรอยเหมือนคนยังไม่ตื่นเต็มที่ ทั้งที่เครื่องบินแลนดิ้งแตะพื้นมาได้ไม่ถึงสิบนาที ร่างโปร่งที่สวมเสื้อยืดสีซีดกับกางเกงลำลองเนื้อเบาสบาย ก้าวลงจากที่นั่งเฟิร์สคลาสด้วยท่าทีงัวเงียอย่างคนที่เพิ่งหลุดจากความฝันในคืนยาวข้ามทวีป
“ดูสดชื่นดีเนอะ นายเนี่ย” เจบีพึมพำ ขณะดึงซิปกระเป๋าใบเล็กแนบตัว ปากก็ยังอดไม่ได้จะแซวคนที่นอนเต็มอิ่มตลอดไฟลต์ตรงข้ามกับตัวเองที่ดูแทบไม่ได้นอนเลย
“ก็เตียงมันนุ่มอะ ห้องโดยสารเงียบฉี่ มีนายอยู่ข้าง ๆ แบบนี้จะนอนไม่หลับได้ไง” เรนพูดติดจะล้อ เสียงงัวเงียแต่แฝงด้วยแววเจ้าเล่ห์ในแววตา ก่อนจะยักคิ้วให้แล้วยื่นมือไปยีผมอีกฝ่ายเบา ๆ “ว่าแต่...อย่าบอกนะว่าไม่ได้หลับเลยทั้งคืน?”
“ชิ… อย่ามายุ่งผม” เจบีเบือนหน้าหนี ยกมือปัดเบา ๆ แม้แก้มจะแดงวูบขึ้นเพราะมืออุ่น ๆ ที่จู่ ๆ ก็มาแตะหัวโดยไม่ขออนุญาต
เสียงประกาศต้อนรับจากสนามบินภาษาญี่ปุ่นดังแทรกขึ้นเป็นระยะ ตัดกับเสียงเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำในอาคารขาเข้า ความร้อนจากภายนอกที่ทะลุทะลวงกระจกเข้ามาทักทายบ่งบอกชัดว่าฤดูร้อนของญี่ปุ่นเริ่มต้นแล้วจริง ๆ
“เดี๋ยวนะ เรน นายจะเอาช็อกโกแลตแท่งนี้ใส่กระเป๋าด้วยจริงดิ?”
เจบีพูดพลางขมวดคิ้ว มองอีกฝ่ายที่ยืนงัวเงียอยู่ข้างสายพานกระเป๋า มือหนึ่งถือแท่งขนมที่หยิบติดมาจากบนเครื่อง ส่วนอีกมือยัดลงกระเป๋าเป้ลวก ๆ แบบคนที่ยังไม่ตื่นดี
“ก็ชอบนี่นา…” เรนตอบเสียงยาน ขยี้ตาตัวเองเบา ๆ แล้วทำท่าจะหาวอีก “...ถ้านายไม่ห้าม ฉันก็จะเอาติดตัวไปกินตอนขึ้นรถ”
“เป็นเด็กหรือไง...” เจบีพึมพำ แต่สุดท้ายก็ยอมยื่นมือไปรับขนมนั้นมาเก็บเองอย่างจำใจ “ถ้าละลายเลอะกระเป๋าฉันล่ะก็ โดนนะ”
“โห ใจร้ายอะ” เรนยื่นหน้ามาใกล้ หยักยิ้มนิด ๆ อย่างกับกำลังอ้อน “เจบีคุงงง~ เก็บขนมให้หน่อยน้า~”
เจบีหันหน้าหนีทันที “ไม่ต้องทำเสียงแบบนั้นเลย มันหลอน”
...แต่ก็ยังเก็บให้อยู่ดี
เสียงหัวเราะเบา ๆ ระหว่างทั้งคู่ดังอยู่ไม่กี่วินาที ก่อนที่ประตูเลื่อนอัตโนมัติจะเปิดออกพร้อมเสียงประกาศต้อนรับภาษาญี่ปุ่น เสียงฝีเท้าหนักแน่นสี่คู่ก็ดังขึ้นแทนที่ และทุกอย่างรอบตัวเงียบลงราวกับโลกหยุดหมุน
ทันทีที่ร่างของชายในชุดสูทดำก้าวเข้ามาในระยะสายตา เรนที่เมื่อครู่ยังขี้อ้อนเหมือนแมวตัวโต ๆ ก็เปลี่ยนสีหน้าทันที
“เรนซามะ ยินดีต้อนรับกลับญี่ปุ่นครับ”
เจบีชะงักมองอีกฝ่ายที่ยืนตัวตรงโค้งให้อย่างเคารพสุดตัว พร้อมลูกน้องอีกสามคนที่ยืนเรียงหลัง พวกเขามีแววตาคมกริบ การเคลื่อนไหวเป๊ะทุกจังหวะ เหมือนพร้อมหยิบมีดออกมาได้ทุกเมื่อ
เรนไม่ยิ้ม ไม่อ้าปากหาวอีก เขายืดตัวขึ้นตรง ดวงตานิ่งเฉียบเหมือนดึงหน้ากากอีกอันกลับมาใส่ในพริบตา
“รถล่ะ?” เสียงเรียบเย็นที่ออกจากปากเรนแทบจะเป็นคนละคนกับเมื่อครู่
“รออยู่ทางออกด้านตะวันตกครับ ทีมคุ้มกันรอบนอกพร้อมแล้ว”
“ดี” เรนตอบสั้น ๆ ก่อนจะหันกลับมาหาเจบีด้วยท่าทีเปลี่ยนทันที มือข้างหนึ่งเอื้อมไปจับข้อมืออีกฝ่ายอย่างเบามือ
“ไปกันเถอะ”
คำพูดที่พูดกับลูกน้องนั้นคมเหมือนมีด แต่คำพูดที่พูดกับเจบี...กลับนุ่มกว่าผ้าฝ้ายที่ผ่านแดดอ่อนในฤดูร้อน
เจบียังอึ้งอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไร ระหว่างทางที่เดินออกไป เสียงฝีเท้าของเรนดังกังวานชัดจนน่าขนลุกเหมือนทั้งสนามบินมีแค่เขาคนเดียวที่ ไม่มีใครกล้าเดินชน
…เจบีปรายตามองคนข้างตัวด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ แม้เรนจะยิ้ม หรือเอียงหน้าพูดเล่นเหมือนแมวขี้อ้อน...แต่เขารู้ดีว่าเบื้องหลังรอยยิ้มนั้นคือแรงอำนาจของนักล่าที่ไม่เคยปรานีใครนอกจากเขา
“เมื่อกี้...นายน่ากลัวชะมัด”
ประโยคนั้นเหมือนจะหลุดออกมาจากในใจมากกว่าตั้งใจพูดให้ได้ยิน
คนที่เพิ่งถอนหายใจเบา ๆ ไปเมื่อครู่หันมามองเขาทันที ก่อนจะยิ้มมุมปากด้วยแววตานิ่ง ๆ ที่ดูจะซ่อนบางอย่างไว้ข้างใน
“ตรงไหนล่ะ?” น้ำเสียงทุ้มถามอย่างไม่รู้สึกอะไร
เจบีเบือนหน้าหนีไปมองอีกทางทันที แก้มร้อนวูบขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
“…ตอนพูดกับคนของนาย เสียงเย็นจนขนลุกหมดเลย”
“ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว” เรนเอียงหน้ามองคนข้างกาย แววตาเจ้าเล่ห์ทว่าแฝงด้วยความนิ่งลึก “ที่นี่คือญี่ปุ่น ถ้าฉันแสดงความอ่อนแอให้เห็น...คิดว่าจะมีใครยอมก้มหัวให้ไหมล่ะ?”
คำพูดนั้นไม่ได้ดัง แต่หนักแน่นเสียจนเจบีรู้สึกได้ถึงน้ำหนักของโลกอีกใบที่อีกฝ่ายแบกไว้บนบ่า
“…งั้นกับฉันล่ะ” เจบีถามเสียงเบา ดวงตาสบกับอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา
เรนหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะโน้มตัวเข้ามากระซิบข้างหูเจบีด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะจริงจัง แต่ปลายเสียงดันแฝงความขี้เล่นเกินควร
“嫁には逆らえません〜 怖いから。”
(โยะเมะ นิ วะ ซะคะระเอะมะเซ็น~ โคะไว คะระ)
เจบียืนนิ่งไปนิดหนึ่ง คิ้วขมวดเล็กน้อย เหมือนกำลังประมวลผลภาษาต่างดาวในหัว
“…โยะเมะ?”
เสียงนั้นเบาราวกับพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นนิดหนึ่ง ดวงตาค่อย ๆ เบิกกว้างช้า ๆ
“โยะเมะ… เมีย?”
แล้วประโยคนั้นก็ดังขึ้นในหัวอย่างชัดเจน
‘ไม่กล้าหือกับเมียหรอก~ ก็กลัวนี่นา~’
ใบหน้าของเจบีแดงวาบขึ้นมาแทบจะทันที ร้อนจนเหมือนจะลามไปถึงใบหู ความเขินอายตีตื้นขึ้นมาพร้อมกับคำว่า เมีย ที่เรนใช้แบบหน้าตาเฉย
ยังไม่ทันจะได้หันไปโวยอะไร คนต้นเรื่องก็เดินลิ่วขึ้นรถไปอย่างหน้าตาเฉยเสียแล้ว แถมยังเปิดประตูเองนั่งไขว่ห้างรอด้วยท่าทางที่ดูพอใจอย่างแรง
เจบียืนค้างอยู่หน้ารถ มือยกค้างราวกับจะพูดอะไรซักอย่าง แต่ทำได้แค่กำชายเสื้อแน่นพลางหันหน้าหนี
“บ้าเอ๊ย…”
...
รถยนต์สีดำธรรมดาแล่นไปตามถนนในเมืองโกเบอย่างนุ่มนวล กระจกเปิดรับลมบางส่วนให้กลิ่นอากาศยามเช้าปะทะเข้ามาเบา ๆ ผสมกับเสียงเครื่องปรับอากาศในรถที่ทำงานเงียบ ๆ แดดฤดูร้อนยังไม่แรงจนเกินไป แค่พออุ่นให้รู้สึกได้ถึงบรรยากาศเมืองชายทะเลในญี่ปุ่น
เจบีนั่งมองวิวข้างทางที่เคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า อาคารไม้แบบญี่ปุ่นดั้งเดิมสลับกับตึกปูนสมัยใหม่ ถนนสะอาด มีผู้คนเดินกันไม่มาก บรรยากาศดูสงบจนเหมือนทุกอย่างเคลื่อนไหวอย่างใจเย็น
“เรากำลังจะไปไหนกันหรอ” เขาเอ่ยถามขึ้นในที่สุด เพราะตลอดทางเรนยังไม่ยอมบอกจุดหมายปลายทางจริง ๆ ของวันนี้เสียที
เรนที่นั่งข้างกันขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะเอนตัวเข้ามาใกล้แล้วทำหน้าตาอ้อน ๆ ใส่แบบไร้สาเหตุ มือหนึ่งวางแหมะลงบนต้นขาเจบีแล้วบีบเบา ๆ เหมือนหยอกเล่น
“มาญี่ปุ่นทั้งที ก็ต้องพาไปแนะนำให้คนที่บ้านรู้จักน่ะสิ”
เจบีเลิกคิ้ว “คนที่บ้าน?”
เขาพอจะรู้มาบ้างว่าตระกูลของเรน “ไม่ธรรมดา” เลยสักนิด เคยได้ยินผ่าน ๆ ว่าเป็นหนึ่งในสายเลือดของกลุ่มยากูซ่าเก่าแก่ที่ฝังรากอยู่ในเมืองนี้มาหลายชั่วอายุคน แต่เรนไม่ค่อยพูดถึงเรื่องนี้...อย่างน้อยก็ไม่พูดตรง ๆ
“อืม...” เรนพยักหน้ารับง่าย ๆ พลางหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง
“แต่ไม่ต้องกลัวนะ ถ้ากลัวก็หลบอยู่หลังฉันไว้”
เขาหันกลับมายิ้มนิด ๆ “พวกเขาไม่กล้าทำอะไรนายหรอก”
เจบีขมวดคิ้วเล็กน้อย ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ไม่ได้กลัว...แค่ไม่รู้จะวางตัวยังไงมากกว่า”
“วางตัวบนตักฉันไหมล่ะ จะได้ไม่ต้องคิดเยอะ”
เรนหยอดทันควัน ทำเอาเจบีหันขวับมามองอย่างเอาเรื่อง
“อย่าพูดมั่ว ๆ ได้ไหม”
“ไม่ได้พูดมั่ว พูดจากใจเลย” เรนยักไหล่ มือยังค้างอยู่บนต้นขาเจบีราวกับตั้งใจจะบอกว่า ที่พูดเมื่อกี้น่ะ หมายความตามนั้นจริง ๆ
เจบีเบือนหน้าหนีไปทางกระจกอย่างไม่อยากต่อความยาว แต่อุณหภูมิที่แล่นวูบขึ้นบนใบหน้ากลับทำให้เขาดูสงบยิ่งกว่าเดิมไม่ได้เลย
“…บ้า”
เสียงพึมพำนั้นเบาแทบไม่ได้ตั้งใจพูดออกมา
แต่คนข้างตัวก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ทันที เหมือนเพิ่งชนะอะไรสักอย่างในใจตัวเอง
ไม่นานนัก รถแล่นผ่านประตูไม้บานใหญ่ที่เปิดออกอย่างเงียบงันโดยไม่ต้องมีการบอกล่วงหน้า คนที่อยู่ในป้อมรักษาการณ์โค้งให้ทันทีที่เห็นป้ายทะเบียน ก่อนจะขยับกลับไปยืนในท่าเดิม ราวกับทุกอย่างเป็นกิจวัตรที่ทำมาเป็นพันครั้ง
เส้นทางด้านในปูด้วยหินธรรมชาติเรียงสวย ต้นสนญี่ปุ่นที่ได้รับการตัดแต่งอย่างประณีตเรียงรายสองข้างทาง แสงแดดอุ่นส่องลอดผ่านปลายใบไม้ลงมากระทบตัวรถเป็นจังหวะ ราวกับเวลาถูกเร่งให้ช้าลงอย่างจงใจ
เจบีชะโงกหน้ามองผ่านกระจกไปยังภาพตรงหน้า ไม่มีรั้วลวดหนาม ไม่มีกล้องวงจรปิดพรึ่บพรับ ไม่มีแม้กระทั่งคนถือปืนยืนเฝ้าอย่างที่เคยเห็นในหนัง แต่มันกลับให้ความรู้สึก...ปลอดภัยในแบบที่แปลกประหลาด
รู้ตัวอีกทีรถก็ค่อย ๆ ชะลอหน้าบันไดหินที่ทอดขึ้นสู่เรือนหลัก
เรนเป็นฝ่ายเปิดประตูก่อน มือที่วางบนต้นขาเขาถอนออกไปอย่างนุ่มนวล และยังไม่ทันเจบีจะตั้งหลัก รถก็หยุดสนิทพอดี
เสียงเปิดประตูดังเบา ๆ ตามด้วยอากาศภายนอกที่พัดเข้ามาแตะหน้า เจบีสูดลมหายใจลึกโดยไม่รู้ตัว และนั่นคือจังหวะที่เขาเห็น ลูกน้องชุดสูทสีดำสองคนยืนรออยู่ตรงบันได คนหนึ่งอายุราวสามสิบกว่า ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาเฉียบคมจนดูเหมือนไม่เคยหลับ อีกคนดูอ่อนกว่านั้นเล็กน้อย ยืนหลังตรงในท่าทางที่แทบไม่ขยับเลยแม้แต่ปลายเท้า
เจบีเลื่อนสายตากลับไปที่เรน ก่อนจะถามเบา ๆ อย่างอดไม่ได้
“ส่วนใหญ่แก๊งค์นาย...ใส่สูทกันแบบนี้ประจำเลยเหรอ?”
คำถามนั้นออกมาด้วยความสงสัยจริงจัง เพราะในหัวเขายังมีภาพพวกยากูซ่าในหนัง ที่มักใส่เสื้อฮาวาย กางเกงขาสั้น เดินถือไม้เบสบอลอยู่ริมถนน
เรนหัวเราะในลำคอ พลางตอบเรียบ ๆ ขณะขยับลงจากรถก่อน
“ไม่หรอก ก็แค่วันสำคัญเท่านั้นแหละ”
เขาหันกลับมายื่นมือให้เจบีพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ “วันธรรมดาก็แต่งตัวเหมือนคนทั่วไปนั่นแหละ บางคนก็ใส่ชุดกีฬา บางคนก็เสื้อยืดย้วย ๆ นายเห็นแล้วอาจจะช็อกด้วยซ้ำ”
“แบบนั้นน่าจะดูกันเองกว่านี้เยอะเลย” เจบีพึมพำพลางวางมือลงบนฝ่ามือที่ยื่นมา แล้วก้าวลงจากรถอย่างระวัง
เรนเดินนำไปอย่างใจเย็น ขณะที่เจบีเดินตามหลังไม่ห่าง มองทุกอย่างรอบตัวด้วยความเงียบ ทว่าข้างในกลับรู้สึกเหมือนเสียงหัวใจดังชัดกว่าปกติ
บานประตูไม้บานใหญ่ของเรือนรับรองถูกเลื่อนเปิดออกอย่างช้า ๆ โดยชายในชุดดำที่โค้งให้อย่างสุภาพ เผยให้เห็นห้องกว้างที่ปูเสื่อทาทามิสะอาดเรียบ
ในห้องนั้นมีชายชราสองคนที่ดูน่าเกรงขามนั่งอยู่ฝั่งหนึ่ง สตรีในชุดกิโมโนสีเทาเรียบ นั่งหลังตรงในท่วงท่าที่ดูมีอำนาจโดยไม่ต้องพูด ส่วนชายวัยกลางคนอีกคนกำลังจิบชาอยู่เงียบ ๆ แต่สายตาไม่ละไปจากพวกเขาแม้แต่น้อย
ทุกสายตาหันมาทางพวกเขาในเวลาเดียวกัน
เจบีชะงักในใจ แม้ภายนอกจะพยายามรักษาสีหน้าให้สุภาพ
เขาโค้งตัวลงอย่างนอบน้อม ก่อนจะคุกเข่านั่งลงข้างเรนในตำแหน่งที่ห่างพอเหมาะ รักษามารยาทไว้ทุกจุดที่เคยฝึกมา แม้ในใจจะยังตึงเครียดอยู่พอสมควร
เรนไม่ได้พูดอะไรในทันที แค่หันมามองเขาแวบหนึ่งเหมือนจะบอกว่า แค่นั่งเฉย ๆ ก็พอ
บรรยากาศดูนิ่งเกินจริง จนกระทั่งสตรีในชุดกิโมโนที่นั่งตรงกลางเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก
เสียงของเธอไม่ดัง แต่แฝงไว้ด้วยพลังบางอย่างที่นุ่มลึก
“เด็กคนนี้...ชื่อว่าอะไรหรือจ๊ะ?”
เจบีเงยหน้าขึ้นอย่างระวัง เห็นรอยยิ้มที่ปรากฏบนริมฝีปากของหญิงชรา แม้เส้นผมของเธอจะขาวแล้วทั้งศีรษะ แต่ดวงตาคู่นั้นยังคมชัดและเปี่ยมด้วยความเมตตาอย่างน่าประหลาด
“เจบีครับ”
เขาตอบสุภาพ เสียงไม่เบานักแต่ไม่แข็งเกินไป
“เจบี…” เธอทวนชื่อนั้นอย่างช้า ๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ
“หน้าตาดีจังนะ ดวงตาก็สะอาด น่ามอง”
คำพูดนั้นทำให้ชายวัยกลางคนที่กำลังจิบชาหยุดมือกลางอากาศ และชายชราอีกสองคนที่นั่งข้าง ๆ กันเหลือบตามามองสตรีชราแทบพร้อมกัน
เรนหลุดยิ้มมุมปากอย่างพอใจ หันมาพูดเสียงเบากับเจบี
“เห็นไหม ย่าฉันชอบนายแล้ว”
เจบีแทบไม่กล้าขยับ ปากพึมพำเบา ๆ กลับไป
“…นายไม่ต้องพูดให้คนอื่นได้ยินก็ได้”
“ฉันพูดให้ทุกคนได้ยินนั่นแหละ” เรนตอบทันที พร้อมรอยยิ้มที่เจบีอยากจะผลักให้ล้ม
ย่าของเรนยิ้มละมุน ก่อนจะเอียงหน้าเล็กน้อยเหมือนตั้งใจมองเจบีชัด ๆ อีกรอบ
“ยินดีต้อนรับนะ บ้านหลังนี้อาจดูน่ากลัวไปหน่อยสำหรับคนนอก...แต่สำหรับคนที่เรนพามาเอง ฉันถือว่าเป็นคนของเราเหมือนกัน”
เจบีรีบก้มโค้งศีรษะให้ใหม่อย่างสุภาพ “ขอบคุณครับ”
ย่าหัวเราะเบา ๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะหันไปทางสมาชิกคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ในห้อง
“มาสิ เดี๋ยวฉันจะแนะนำให้รู้จัก”
เธอชี้ไปยังชายชรารูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้ม แม้จะแฝงริ้วรอยจากวัย แต่ท่วงท่าก็ยังเปี่ยมด้วยอำนาจ
“คนนั้นคือคุณปู่ของเรน ผู้นำของตระกูลคุโรซาวะในรุ่นก่อน...แต่ตอนนี้ให้เรนเป็นคนจัดการแทนแล้ว ส่วนตัวเขาก็แค่ถอยออกมายืนอยู่ข้างหลังเงียบ ๆ เฉย ๆ น่ะ”
คุณปู่พยักหน้าเบา ๆ ให้เจบี สีหน้าไม่ยิ้มแต่ก็ไม่ได้ดุ ดวงตาคู่นั้นดูหนักแน่นและทรงอิทธิพลในแบบที่ไม่ต้องพูดอะไรมาก
ถัดมาเล็กน้อย ย่าชี้ไปที่ชายชราอีกคนที่นั่งเคียงข้างกัน
“ท่านนี้คือคุณอิโต คนสนิทของคุณปู่ อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่สมัยหนุ่ม ๆ เป็นเหมือนเงาตามตัว ช่วยดูแลทุกอย่างเวลาที่ครอบครัวเรามีเรื่องสำคัญ”
คุณอิโตยกถ้วยชาขึ้นเล็กน้อยแทนคำทักทาย
ท่วงท่าของเขาสงบนิ่งเหมือนคนที่ผ่านลมพายุมาหลายสิบปี เจบีโค้งให้อย่างนอบน้อมทันที
ย่าหันไปทางชายวัยกลางคนอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งขวา
“แล้วก็ทาเคโอะ อาเขยของเรนเอง ดูแลกิจการฝั่งคันไซให้ครอบครัวมาตลอด ใจดีนะ แค่หน้าไม่ค่อยรับแขกเท่าไหร่”
เจบีเลื่อนสายตามองอีกฝ่ายอย่างเกร็ง ๆ แต่ก็ยังพยักหน้าทักทายด้วยท่าทีสุภาพตามมารยาท ทาเคโอะไม่ได้พูดอะไรตอบกลับ เพียงยกคิ้วขึ้นนิดหนึ่งเหมือนเป็นการรับรู้ ก่อนจะหันกลับไปยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างสบาย ๆ
เจบีสูดลมหายใจเบา ๆ พับมือวางลงบนหน้าตักตัวเองอย่างเรียบร้อย พยายามตั้งใจฟังบทสนทนาที่ดำเนินต่อไปตรงหน้าแทนการไปโฟกัสกับความประหม่าในอก
“ส่วนฉัน...โยชิโนะ ย่าของเรนจ้ะ” หญิงชราในชุดกิโมโนสีเทาอ่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส รอยยิ้มบนใบหน้าเธอกว้างอย่างอบอุ่นจนชวนให้บรรยากาศรอบตัวผ่อนคลายตามไปด้วย
เธอขยับตัวเล็กน้อย หัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี ขณะพูดต่อ
“ตั้งแต่เรนยังตัวแค่นี้น่ะนะ ฉันก็รู้แล้วว่าเด็กคนนี้หัวแข็ง ดื้อเป็นที่หนึ่ง ไม่ฟังใครง่าย ๆ หวงตัวเองยิ่งกว่าหวงสมบัติ”
ย่าโยชิโนะพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชัดถ้อยชัดคำ ก่อนเหลือบไปยังมือของเจบีที่วางอยู่ใกล้มือของเรนราวกับตั้งใจจับสังเกต
“แต่ดูเอาเถอะ วันดีคืนดี เจ้าหัวดื้อคนนี้กลับพาใครบางคนเข้าบ้านได้เอง”
น้ำเสียงเธอเต็มไปด้วยความขบขันและเอ็นดูไม่ปิดบัง
“แถมนั่งข้างกันเรียบร้อยขนาดนี้ ฉันจะไม่ชอบได้ยังไงล่ะ”
เรนแอบหัวเราะในลำคอด้วยท่าทีสบาย ๆ ด้านข้าง ขณะที่เจบีรู้สึกใบหน้าร้อนวูบขึ้นมาโดยไม่ต้องส่องกระจกดูให้เสียเวลา
ทุกครั้งที่เรนกลับมาญี่ปุ่น เขามักจะเล่าเรื่องของเจบีให้ย่าโยชิโนะฟังอยู่เสมอ บางครั้งก็แต่งเติมเกินจริงจนกลายเป็นเรื่องตลก บางครั้งก็เอ่ยถึงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนคนฟังเผลอยิ้มตาม แม้จะไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แต่หญิงชราผู้นั่งอย่างสง่างามตรงหน้าก็จดจำชื่อของเด็กหนุ่มคนนี้ได้ขึ้นใจ
ย่าโยชิโนะอมยิ้มอย่างใจดี พลางหันมามองเจบีอีกครั้ง ดวงตาเปล่งประกายด้วยความสนอกสนใจ
"เจ้าหนูนี่...ทำอะไรกับหัวใจหลานฉันกันนะ ถึงได้เชื่องได้ขนาดนี้"
เจบีชะงักนิดหนึ่ง ไม่รู้จะตอบอย่างไร มือที่วางบนตักเริ่มเกร็งขึ้นโดยอัตโนมัติ
เรนที่เห็นท่าทีเก้อ ๆ ของเขาก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอย รีบหันไปตอบแทนด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นเกินจริง
"เห็นไหมล่ะครับย่า เจบีน่ารักขนาดนี้ ใครจะไม่หลงได้ลง"
น้ำเสียงภาคภูมิใจจนคนฟังยังรู้สึกได้ ขณะที่เจบีหันขวับมามองเรนด้วยสีหน้าอยากผลักอีกฝ่ายลงไปนอนกับพื้นตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
ย่าโยชิโนะหัวเราะเบา ๆ อย่างเอ็นดู มองทั้งสองคนด้วยแววตาเปี่ยมความสุข ราวกับกำลังเห็นภาพอนาคตที่ตัวเองไม่ต้องเป็นห่วงอะไรอีกต่อไปแล้ว
หลังจากนั่งพูดคุยกับผู้ใหญ่อยู่พักใหญ่ เรนก็หันมาหาเจบี เอ่ยขึ้นอย่างสบาย ๆ
"ไปกินข้าวกันเถอะ นายยังไม่ได้กินอะไรเลยใช่ไหม"
เจบีพยักหน้ารับอย่างเงียบ ๆ เขาเองก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาแล้วเหมือนกัน ตั้งแต่ลงจากเครื่องมายังแทบไม่ได้แตะอะไรเข้าปากเลย
เรนลุกขึ้นด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย ก่อนจะหันไปขออนุญาตจากย่าโยชิโนะและผู้อาวุโสในห้องด้วยท่าทีเรียบร้อย ซึ่งก็ได้รับการพยักหน้าอนุญาตอย่างอบอุ่น
พอเดินออกมาจากห้องรับรองเท่านั้นเอง เจบีก็สังเกตเห็นว่าด้านนอกมีลูกน้องของเรนในชุดสูทสีเข้มยืนเรียงแถวรออยู่เป็นแนวยาว ทั้งบริเวณโถงและทางเดินทอดไปถึงเรือนอาหาร
เจบีชะงักไปนิด ไม่แน่ใจว่าควรทำตัวอย่างไรดี ขณะที่เรนเพียงเอื้อมมือมาดันแผ่นหลังเขาเบา ๆ ให้ก้าวต่อไปอย่างไม่ต้องคิดมาก
"ไม่ต้องเกร็ง เดี๋ยวก็ชิน" เรนพูดเหมือนเรื่องปกติธรรมดา
เจบีไม่ได้คิดอะไรมากนัก นึกว่าเป็นเรื่องธรรมเนียมธรรมดาของที่นี่ แต่สิ่งที่เขาไม่รู้เลยก็คือ วันนี้ไม่ใช่การต้อนรับธรรมดา
ก่อนที่เขาจะมาถึง เรนได้ส่งคำสั่งออกไปแล้วให้สมาชิกแก๊งค์ทุกคนมารวมตัวกัน เพื่อทำความรู้จัก และทำความเคารพ "คนสำคัญ" ของเขาอย่างเป็นทางการ
...ในฐานะ "นายหญิง" คนแรกและคนเดียวของ คุโรซาวะ เร็นยะ
แน่นอนว่าเรื่องนี้มีแค่เรนกับลูกน้องที่รู้กันเงียบ ๆ
เพราะถ้าหลุดปากบอกไปแม้แต่นิดเดียว มีหวังเด็กข้างตัวได้หนีกลับลอนดอนทันทีแบบไม่ต้องคิดให้เสียเวลา
เรนเหลือบมองใบหน้าข้าง ๆ ที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ก่อนจะหัวเราะในใจเบา ๆ
หนีไม่ทันแล้วล่ะ เจบี...นายหนีฉันไม่พ้นแล้วจริง ๆ
ลูกน้องในชุดสูทสีเข้มทยอยโค้งคำนับให้เจบีอย่างเป็นทางการทีละคน ขณะเขาเดินตามหลังเรนไปเงียบ ๆ โดยไม่ได้เอะใจอะไรเป็นพิเศษ แม้จะรู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมา แต่เจบีก็เลือกก้มหน้าก้มตาเดินอย่างสงบ
เรนนำเขาเดินลึกเข้าไปยังเรือนอีกหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่เงียบ ๆ ท่ามกลางสวนไผ่ โต๊ะไม้เตี้ยถูกจัดเรียงเป็นแนวยาวตลอดห้อง บนโต๊ะมีสำรับเล็ก ๆ วางอย่างเรียบร้อย ข้าวร้อน ๆ กับกับข้าวญี่ปุ่นแบบบ้าน ๆ ถูกจัดเตรียมไว้ครบทุกที่นั่ง กลิ่นหอมของอาหารจาง ๆ ลอยคลุ้งไปทั่ว
กลางโต๊ะวางขวดสาเกอย่างดีเรียงไว้หลายขวด พร้อมถ้วยสาเกใบเล็กสำหรับรินดื่มอวยพรเหมือนเป็นธรรมเนียมเฉพาะของที่นี่
บรรยากาศไม่ได้เคร่งขรึมอย่างที่เจบีจินตนาการไว้ หากแต่ให้ความรู้สึกเรียบง่าย เป็นกันเอง และเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดมากมาย
เรนหยุดลงที่หัวโต๊ะ ก่อนจะหันมามองเขาอย่างสบาย ๆ แล้วผายมือเชิญให้เจบีนั่งลงข้างตัว
เจบีลังเลเพียงครู่เดียว ก่อนจะคุกเข่านั่งลงอย่างสุภาพโดยไม่เอ่ยถามอะไร แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความสงสัยที่เริ่มก่อตัวขึ้นเงียบ ๆ
สมาชิกแต่ละคนในแก๊งค์ทยอยเข้ามานั่งประจำที่เรียบร้อย บรรยากาศไม่ได้อึดอัดอย่างที่เจบีกังวลตอนแรก ทุกการเคลื่อนไหวแฝงด้วยความเคารพและยอมรับที่เจบีเองก็สัมผัสได้ แม้ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ
เรนขยับตัวเข้ามาใกล้ ก้มหน้าลงเล็กน้อยกระซิบข้างหูเจบีเบา ๆ
"เดี๋ยวจะมีพิธีเล็ก ๆ อวยพรให้"
น้ำเสียงของเขาติดขำเบา ๆ ราวกับกำลังหยอกเล่น แต่แววตาที่มองมากลับมีประกายจริงจังอยู่ลึก ๆ
เจบีเงยหน้าขึ้นช้า ๆ มองคนตรงหน้าอย่างงง ๆ ก่อนจะถอนหายใจนิดหนึ่ง แล้วยิ้มบาง ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว
ทันทีที่ขวดสาเกถูกเปิดออก เสียงพูดคุยเบา ๆ ดังขึ้นทั่วห้อง บางคนแซวกันเอง บ้างก็ส่งยิ้มให้เจบีราวกับเป็นการทักทายอย่างเป็นกันเอง
เรนยื่นขวดสาเกมาให้เจบี มือข้างหนึ่งถือถ้วยของตัวเองไว้อย่างมั่นคง
"แลกกัน" เขาว่า เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความหมาย
เจบีชะงักไปนิด แต่ก็ยื่นมือไปรับขวดจากเรนอย่างระวัง มือทั้งสองคนแตะกันชั่วครู่ ความอุ่นวาบผ่านเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว
เรนรินสาเกให้เจบีอย่างเงียบ ๆ ขณะที่เจบีก็รินกลับให้เรนด้วยท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ
มันเหมือนภาพของพิธีแต่งงานตามแบบโบราณ ที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวต้องรินเหล้าแลกกันดื่มแทนคำสัญญา
เมื่อสาเกในถ้วยเต็มทั้งสองใบ เรนยกถ้วยขึ้นนิดหนึ่ง รอจนเจบียกขึ้นตาม ก่อนจะชนถ้วยกันเบา ๆ
กริ๊ก
เสียงแก้วกระทบกันใสกริ่งเหมือนเสียงสัญญาณเล็ก ๆ ที่เชื่อมโลกของทั้งสองเข้าด้วยกัน
จากนั้นทั้งสองก็กระดกถ้วยดื่มรวดเดียวจนหมด
ในเวลาเดียวกัน สมาชิกทุกคนในห้องต่างยกถ้วยขึ้นพร้อมกันอย่างสุภาพ ก่อนจะดื่มรวดเดียวจนหมด เป็นการอวยพรพวกเขาอย่างพร้อมเพรียง
"ขอให้โชคดี"
"ขอให้อยู่กันนาน ๆ"
"ยินดีต้อนรับ"
เจบีสะดุ้งน้อย ๆ กับคำอวยพรที่ไหลมาแบบไม่ทันตั้งตัว แต่พอเห็นรอยยิ้มของเรนข้าง ๆ เขาก็เผลอยิ้มตามออกมาโดยไม่รู้ตัว
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นจากบางมุม โต๊ะอาหารเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นเรื่อย ๆ ใครบางคนเริ่มเปิดบทสนทนา บ้างก็แซวเรนอย่างขำขัน จนเจ้าตัวอดหัวเราะตามไม่ได้
เมื่อบรรยากาศเริ่มผ่อนคลาย เรนจึงขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะเอนตัวเข้ามาหาเจบี กระซิบเบา ๆ
"มาทำความรู้จักกับครอบครัวของฉันหน่อย..."
เจบีเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ อย่างงุนงง แต่ก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
เรนหันไปส่งสัญญาณมือเรียกชายสองคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลให้เดินเข้ามา โต๊ะเล็ก ๆ ขยับวุ่นวายนิดหน่อย แต่ทุกคนยังคงรักษามารยาทและท่าทีสุภาพไว้ได้อย่างดี
ชายคนแรกก้าวเข้ามาด้วยท่าทีมั่นคง เขาเป็นชายวัยสามสิบต้น ๆ รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาเฉียบคมภายใต้สีหน้าที่สงบนิ่ง
เรนผายมือแนะนำอย่างสบาย ๆ
"คนนี้ ฮิโรมุ มือขวาของฉัน ดูแลเรื่องความปลอดภัยทั้งหมดที่นี่"
ฮิโรมุโค้งศีรษะให้เจบีอย่างสุภาพ
"ยินดีที่ได้รู้จักครับ" น้ำเสียงทุ้มต่ำและนิ่งสงบของเขาเปล่งออกมาด้วยความหนักแน่นจนรู้สึกได้ถึงประสบการณ์ที่ไม่ธรรมดา
เจบีรีบโค้งศีรษะตอบ พร้อมกับส่งยิ้มบาง ๆ อย่างเก้อ ๆ กลับไป
จากนั้นเรนจึงหันไปเรียกชายอีกคนที่ยืนรออยู่ใกล้ ๆ
ชายหนุ่มผู้นี้ดูอายุน้อยกว่าฮิโรมุเล็กน้อย ใบหน้าเรียบเฉยแต่แววตาเต็มไปด้วยความเป็นมิตร มีรอยสักบางส่วนโผล่พ้นแขนเสื้อขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไม่ตั้งใจ
"ไอสุเกะ" เรนเอ่ยแนะนำ "เขาดูแลเรื่องข่าวสารและการประสานงานทั้งหมดที่ญี่ปุ่น"
ไอสุเกะยกมือขึ้นทักทายเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มจาง ๆ แบบไม่เป็นทางการนัก
"ฝากตัวด้วยครับ นายหญิง"
เจบีชะงักน้อย ๆ กับคำเรียก แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เรนก็ขยับตัวเข้ามาบังเล็กน้อยราวกับกันไม่ให้เจบีหนี
"เรียกแบบนั้นแหละ ดีแล้ว" เรนกระซิบข้างหูเบา ๆ น้ำเสียงแฝงความขำ แต่แววตากลับแน่วแน่จนไม่เปิดทางให้ปฏิเสธ
เจบีได้แต่ถอนหายใจนิดหนึ่งอย่างยอมจำนน ก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้ไอสุเกะอย่างเขิน ๆ
"ครับ...ฝากตัวด้วยเหมือนกัน"
เจบีพูดพลางโค้งศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะรีบหันกลับมาสนใจกับของกินตรงหน้าต่อ เขาตักข้าวคำเล็ก ๆ เข้าปากอย่างหิวจัด รสชาติของข้าวญี่ปุ่นหุงร้อน ๆ กับกับข้าวง่าย ๆ กลับอร่อยกว่าที่คิด
สาเกที่เพิ่งกระดกไปเมื่อครู่เริ่มส่งผล ความร้อนวาบลามจากท้องขึ้นมาที่ใบหน้าโดยไม่รู้ตัว เจบียกมือขึ้นปัดผมลวก ๆ แต่แก้มกลับขึ้นสีแดงเรื่ออย่างชัดเจน
เรนที่นั่งมองอยู่ข้าง ๆ อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู
"น่ารักจัง~"
...
ช่วงเย็น ท้องฟ้านอกหน้าต่างเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อน เจบีนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวของเรนที่ชั้นบน ห้องกว้างตกแต่งอย่างคลาสสิกด้วยโทนสีเข้ม เฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อดีวางเรียบง่ายแต่พิถีพิถัน ของบางชิ้นดูเก่าแก่จนแทบจะกลายเป็นของสะสม ทว่าทุกอย่างกลับถูกจัดวางอย่างลงตัวจนดูทันสมัยในแบบของมันเอง
ของใช้สมัยเด็ก และแม้แต่รูปถ่ายเก่า ๆ ยังถูกรักษาเอาไว้อย่างดี ทุกอย่างยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม ราวกับหยุดเวลาเอาไว้
เรนไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครก้าวเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวได้ง่าย ๆ หากไม่จำเป็น แต่เจบีคือข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวที่เขาเปิดประตูต้อนรับด้วยความเต็มใจ
เจบีกวาดตามองรอบห้อง ก่อนจะหยุดที่กรอบรูปหนึ่งบนชั้นวาง เขาหยิบมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เด็กชายตัวเล็กในชุดกิโมโนสีขาวยืนอยู่ท่ามกลางผู้ใหญ่ ดวงตากลมโตที่น่าจะไร้เดียงสาในวัยนั้นกลับนิ่งเรียบเกินเด็กทั่วไป ราวกับเป็นเด็กที่ถูกบังคับให้เติบโตเร็วกว่าที่ควร
แววตาในรูป...ทั้งเงียบ ทั้งแข็งกร้าว แม้จะยังอยู่ในร่างเล็ก ๆ ก็ตาม
เจบีไล้นิ้วเบา ๆ ไปตามขอบกรอบรูป พลางนึกถึงคนที่ตอนนี้หัวเราะได้ง่ายขึ้น พูดมากขึ้น และกลายเป็นคนที่ยอมยิ้มอย่างเปิดเผย...อย่างน้อยก็เฉพาะต่อเขา
ความแตกต่างระหว่างเรนในภาพถ่ายกับเรนที่เขารู้จัก...ชัดเจนจนเจบีอดขมวดคิ้วบาง ๆ ไม่ได้
ขณะที่เจบีกำลังจดจ่ออยู่กับภาพถ่าย
เรนก็เดินเข้ามาทางด้านหลังโดยไม่มีเสียง
แผ่นอกเปลือยเปล่าเปล่งประกายเมื่อแสงเย็นสะท้อนผิวเนียนแน่น รอยสักสีเข้มพาดผ่านแผ่นหลังต่อเนื่องมาจนถึงแผงอก ลวดลายซับซ้อนราวกับเรื่องราวที่เขียนทับไว้บนร่างกาย
เจบีสะดุ้งนิดหน่อย แต่สายตากลับเผลอไล่ตามรอยสักไปโดยไม่ตั้งใจ เรนเห็นเข้าก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้ แล้วเอื้อมมือมาจับข้อมือของเจบีเบา ๆ กดลงบนอกตัวเองตรงตำแหน่งที่รอยสักตัดผ่านหัวใจ
กล้ามเนื้อแข็งแน่นสั่นไหวเพียงเล็กน้อยใต้ฝ่ามือ เจบีรู้สึกได้ถึงความร้อนจากร่างกายของเรนอย่างชัดเจน
เจบีเงยหน้าขึ้นสบตากับเรนโดยไม่ทันตั้งตัว
อีกฝ่ายโน้มตัวลงมาใกล้ รอยยิ้มที่แตะอยู่ตรงมุมปากดูทั้งเจ้าเล่ห์และอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน
ลมหายใจอุ่น ๆ ของเรนแผ่วผ่านใบหน้าของเขาเพียงเล็กน้อย ทำให้เจบีเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
"อยากรู้ไหม..." เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเบา ๆ ราวกับกระซิบ
เจบีขยับปลายนิ้วเล็กน้อย ความร้อนจากอกแกร่งยังคงแล่นขึ้นมืออย่างชัดเจน
"…ว่ารอยสักนี้มีความหมายว่าอะไร"
เรนพูดพลางจับมือเจบีขยับช้า ๆ ไล่ไปตามแนวลายสักที่ทอดยาวจากอกผ่านไปยังซี่โครง สัมผัสที่กึ่งจงใจ กึ่งขี้เล่น ทำเอาเจบีรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกลากเข้าสู่บางอย่างที่ห้ามตัวเองไม่ได้
เจบีเม้มริมฝีปากแน่น ไม่กล้าพูดอะไรออกไป ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายนำมือเขาไปตามลวดลายที่แฝงความหมายเงียบ ๆ บนร่างกาย
เรนยกยิ้มที่มุมปาก ดวงตาในระยะประชิดทอประกายระคนหยอกเย้าและอ่อนโยนอย่างห้ามไม่ได้ นิ้วของเขายังคงกอบกุมมือเจบีไว้แน่นหนา
"รอยเส้นนี้..." เรนกระซิบเบา ๆ ขณะลากปลายนิ้วของเจบีไปตามแนวลายสักที่พาดผ่านหน้าอก
"หมายถึงการปกป้อง"
เขาขยับมือเจบีลงต่ำ ไล้ผ่านแนวซี่โครงที่รอยสักพันเกี่ยวเป็นเส้นสายซับซ้อน ราวกับโอบรัดบางสิ่งที่มองไม่เห็น
"เส้นนี้...คือคำสาบาน" เรนเอ่ยต่อเสียงนุ่ม ลมหายใจอุ่น ๆ ของเขาแตะข้างแก้มเจบีแผ่ว ๆ
"สัญญาว่าจะไม่หันหลังให้กับคนที่ฉันรัก"
Talk with me.
มาลงตอนพิเศษให้หายคิดถึง ❤️
ตอนของเรนจะยาวนิดนึงนะ เพราะในเรื่องเรนแทบค่อยไม่มีซีนเท่าไหร่
น่าฉงฉาน 🤣 แต่ไรท์จะแบ่งพาร์ทลงนะ อย่าเพิ่งเบื่อกันล่ะ ฮรืออ
ขอบคุณขอรับ สนุกมากครับ ขอบคุงมากคร้าบ เรน แอบวางแผน น่ารักจัง
หน้า:
[1]