NOOFONG โพสต์ 2025-6-27 18:21:04

ช่วยผมด้วย..ผมโดนมาเฟียรุมข่มขืน!? Chapter 24





Chapter 24แค่มีใครสักคนใจดีกับผมบ้าง มันคงจะดีกว่านี้…

| ซิลเวอร์ทาวเวอร์ (Silver Tower)


ภายในห้องทำงานส่วนตัวที่อยู่ชั้นบนสุดของตึกสำนักงานหลัก ไฟโคมตั้งโต๊ะสาดแสงสีอุ่นลงบนแฟ้มเอกสารที่เปิดค้างอยู่ ราฟาเอโร่นั่งพิงพนักเก้าอี้หนังแท้สีเข้ม มือข้างหนึ่งคีบแก้วไวน์ ส่วนอีกมือพลิกหน้ากระดาษอย่างเชื่องช้า แต่สายตาของเขาไม่ได้อยู่ที่ตัวอักษรเลยแม้แต่น้อย


“หืม...” เขาพึมพำในลำคอ ขณะเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วมองหน้าจอแท็บเล็ตที่โชว์ภาพจากกล้องวงจรปิดชุดล่าสุด


“หรือว่า... ฉันเล่นแรงไป?” เขายกไวน์ขึ้นจิบเบา ๆ แต่ก็ยังไม่ละสายตาจากภาพบนจอ


เขาจำได้ว่า ตอนที่เดินกลับขึ้นรถ เจบีไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว แววตานิ่งเฉยเหมือนเคย แต่ใบหน้าขาวขึ้นเล็กน้อย และริมฝีปากที่เม้มแน่นกว่าปกติ


ตั้งแต่วันแรกที่เจบีก้าวเข้ามา เขาเป็นคนวางแผนทั้งหมด บีบเสี่ยวไป๋ให้กลับจีนด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัยจากดีลบางอย่างในฮ่องกง แล้วใช้โอกาสนั้นเก็บเจบีไว้ข้างตัว


แต่เขาไม่ได้คิดจะให้เจบี “แค่ช่วยงานเบื้องหลัง” ตั้งแต่ต้น


เขาแค่ต้องการให้เจบีอยู่ในระยะที่เขาควบคุมได้ พอที่จะจับจังหวะ สังเกตพฤติกรรม แล้วตัดสินใจว่าจะจัดการยังไงต่อ


แต่ยิ่งอยู่ใกล้...ทุกอย่างกลับไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด


เจบีไม่เหมือนคนอื่น ไม่โวยวาย ไม่ต่อต้าน ไม่แสดงอะไรทั้งนั้น แต่ก็ไม่เคยยอมอยู่ในกรอบของเขาเต็มที่ ไม่ว่าจะวางหมากแบบไหน เด็กคนนั้นก็จะหาทางเดินเลี่ยงได้เสมอ


และนั่นมันกำลังทำให้เขาหงุดหงิด


แต่ที่ทำให้เขาหงุดหงิดยิ่งกว่า…คือเขายัง “หาต้นทาง” ของเจบีไม่เจอ


ใครส่งเจบีมา? เพื่ออะไร? จุดประสงค์คืออะไร? เขาไม่เชื่อว่าเป็นแค่ ‘บังเอิญ’ ไม่มีอะไรในโลกใต้ดินนี้ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเจตนา


โดยเฉพาะในช่วงที่เครือข่ายธุรกิจของเขาเริ่มโดนก่อกวนจากกลุ่มอำนาจนอกระบบที่ไม่มีใครระบุตัวได้


เขายังไม่กล้าฟันธงว่าเกี่ยวข้องกันโดยตรง


แต่ถ้าใช่...ถ้าเจบีมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายที่พยายามเจาะเข้ามาในระบบของเขาจริง เขาก็หวังว่าจะใช้เด็กคนนั้นเป็นเหยื่อล่อ เพื่อลากตัวการเบื้องหลังออกมาให้เผชิญหน้ากันตรง ๆ ดีกว่าการลอบกัดที่ไม่รู้มาจากทิศไหน


แต่ทุกอย่างมันไม่ง่ายขนาดนั้น ดูเหมือนว่าในกลุ่มขนนกสีเงินทุกคนจะพากันปกป้องเจบีเป็นพิเศษ


และนั่นทำให้เขาต้องเดินเกมนี้เพียงลำพัง รอจนกว่าจะมีข้อมูลที่ชัดเจนพอจะเปิดโปงทุกอย่างโดยไม่กระทบต่อความสัมพันธ์กับกลุ่มอำนาจขนนกสีเงิน


เพราะหากเขาพลาด นี่อาจไม่ใช่แค่เกมล่อเหยื่อ


แต่มันจะกลายเป็นจุดแตกหักระหว่างเขากับคนที่ไม่ควรเป็นศัตรู


เขายังไม่พร้อมจะแลกความสัมพันธ์ทั้งหมดกับเพียงแค่ความสงสัย


แต่ถ้าเขาไม่ทำอะไรเลย...ก็อาจสายเกินไป


ราฟาเอโร่ยกมือขึ้นแตะขมับเบา ๆ คล้ายจะบรรเทาความหนักหน่วงที่สะสมมาเป็นวัน เส้นประสาทใต้ผิวเริ่มตึงเครียดขึ้นทุกครั้งที่เขานั่งคิดเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมา ปมบางอย่างในเรื่องนี้มันไม่คลี่คลายง่าย ๆ เหมือนที่ผ่านมา


อาการนอนไม่หลับของเขาทวีความรุนแรงขึ้นทุกคืน ยาเม็ดเดิมที่เคยพอช่วยให้หลับ เริ่มไร้ประสิทธิภาพ ร่างกายเขาดูเหมือนจะดื้อดึงขึ้นทุกวัน ไม่ใช่แค่ดื้อยา...แต่ดื้อกับความคิดที่ไม่ยอมปล่อยให้พักเลยแม้แต่ชั่ววินาที


ราฟาเอโร่หลับตาลงช้า ๆ เสียงในหัวเงียบลงชั่วขณะ แต่ภายในยังคงเดือดระอุเหมือนไฟใต้เถ้า มองจากภายนอกเขาอาจยังนิ่ง แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยคำถามที่ต้องการคำตอบ และเจบี คือจุดเริ่มต้นของทุกคำถามนั้น





ก๊อก ก๊อก…


เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้งก่อนที่เจบีจะก้าวเข้ามาในห้อง มือหนึ่งแบกแฟ้มเอกสารสูงท่วมหัว อีกมือดึงประตูให้ปิดสนิทลงตามหลัง เขาเดินตรงไปยังโต๊ะตัวเดิม วางแฟ้มทั้งหมดลงด้วยเสียงหนักแน่น ตึ้ง คล้ายจะปล่อยน้ำหนักทั้งหมดทิ้งไว้ตรงนั้น


เด็กหนุ่มไม่ได้ปริปากแม้แต่คำเดียว เขานั่งลง เปิดแฟ้ม แล้วเริ่มพิมพ์งานต่อราวกับกลไกที่ถูกตั้งเวลาไว้ ไม่มีท่าทีเหนื่อยล้า ไม่มีการหยุดพัก แม้ดวงตาจะเริ่มหม่นลง และปลายนิ้วจะชาวูบด้วยความเมื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวัน


ราฟาเอโร่ปรายตามองเพียงแวบเดียวจากหลังโต๊ะ ก่อนจะเบนสายตากลับไปยังจอแท็บเล็ตในมือ ท่ามกลางความเงียบที่อบอวลอยู่ในห้อง ทั้งสองไม่ได้พูดกันแม้แต่คำเดียว


เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เขาวางแท็บเล็ตลง ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างเงียบเชียบแล้วเดินตรงไปหยุดอยู่ข้างหลังเจบี ดวงตาคมกริบกวาดมองการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างพินิจพิจารณา เงียบพอจนได้ยินแม้แต่เสียงพิมพ์คีย์บอร์ดเบา ๆ จากมือที่เริ่มล้า


ใบหน้าคมโน้มลงเล็กน้อย เหมือนกำลังสังเกตว่าอีกฝ่ายทำอะไร ทั้งที่เขาเองนั่นแหละ...ที่เป็นคนสั่งงาน


เจบีรับรู้ถึงการจ้องมองนั้นชัดเจน แม้ไม่เห็นโดยตรงก็ตาม เขาหยุดมือชั่วครู่ก่อนจะพูดโดยไม่เงยหน้า


“มีอะไรหรือเปล่าครับ”


ราฟาเอโร่นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ฟังไม่ออกว่าอารมณ์ไหน


“ได้กินข้าวหรือยัง”


คำถามง่าย ๆ แต่กลับทำให้เจบีชะงักไปนิดหนึ่ง ราวกับไม่แน่ใจว่าฟังผิด หรืออีกฝ่ายแค่พูดเล่น


“…ยังครับ ผมกะว่าจะทำงานตรงนี้ให้เสร็จก่อน แล้วค่อยไป”


“ไปตอนนี้” น้ำเสียงไม่ได้แข็ง แต่ก็ไม่ใช่คำขอ คล้ายคำสั่งกลาย ๆ มากกว่า


เจบีเงียบ เขาไม่ได้ตอบรับ และก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรเช่นกัน แค่ยังนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม ราวกับกำลังชั่งใจ


ราฟาเอโร่ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงหันหลังกลับ เดินตรงไปยังประตูด้วยจังหวะเนิบช้า แต่สายตาเฉียบคมเหลือบกลับมามอง ก่อนหยุดลงนิดหนึ่งตรงมือจับประตู รอให้คนข้างหลังตัดสินใจ


เจบีถอนหายใจเบา ๆ อย่างยอมจำนนกับความดื้อเงียบของอีกฝ่าย ก่อนจะดันเก้าอี้ออกช้า ๆ ลุกขึ้นตามไปโดยไม่พูดอะไร


เขาไม่ได้กินข้าวเที่ยงแบบตรงเวลาเลยมาหลายวันแล้ว บางวันก็กินรวบไปมื้อเดียวตอนค่ำ จากที่ผอมอยู่แล้วก็ยิ่งดูบอบบางกว่าเดิม เสื้อเชิ้ตสีอ่อนที่ใส่ประจำดูหลวมขึ้นเล็กน้อยตรงช่วงเอว ราวกับตัวเล็กลงไปโดยไม่รู้ตัว


เจบีเดินตามเงียบ ๆ มองแผ่นหลังกว้างของชายร่างสูงที่ก้าวนำหน้าไปโดยไม่หันกลับมาแม้แต่ครั้งเดียว ก่อนจะตัดสินใจถามเสียงเบา


“เราจะไปกินข้าวกัน...ข้างนอกเหรอครับ?”


คำถามนั้นไม่ได้รับคำตอบในทันที จนกระทั่งราฟาเอโร่เปิดประตูรถก่อนจะตอบเรียบ ๆ โดยไม่หันมามอง


“ใช่”


“ผมว่า...ไม่ไปดีกว่า ผมยังมีงานค้างอยู่” เจบีพูดเสียงเบา ไม่ได้หวังให้อีกฝ่ายเห็นใจ แค่อยากรักษาระยะห่างที่เขารู้สึกว่านับวันมันยิ่งน้อยลงเรื่อย ๆ


แต่ราฟาเอโร่หันมาทันที ดวงตาคมใต้เงาผมมองเขานิ่ง ก่อนจะถามกลับด้วยเสียงต่ำ


“นายจะไปขึ้นรถดี ๆ หรืออยากให้ฉันลากขึ้นไป?”


ไม่มีเสียงตอบรับในทันที เจบียืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วเปิดประตูขึ้นรถไปนั่งข้าง ๆ อย่างจำยอม


เขานั่งข้าง ๆ ราฟาเอโร่ โดยพยายามชิดประตูฝั่งตัวเองให้มากที่สุด ท่าทางเหมือนเด็กหนุ่มที่ไม่รู้จะวางมือไว้ตรงไหนของตัวเอง นั่งนิ่งจนแทบไม่ได้หายใจ


ไม่ใช่เพราะกลัวจะล้ำอาณาเขตของอีกฝ่าย แต่เพราะเขาไม่รู้ว่าราฟาเอโร่คิดอะไรอยู่ และความเงียบในรถคันนี้...มันอึดอัดยิ่งกว่าคำพูดใด ๆ ทั้งหมด


ราฟาเอโร่เหลือบตามามองเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงเอนหลังพิงเบาะ พลางยกมือแตะแก้มตนเองเบา ๆ เหมือนคิดอะไรบางอย่าง


คิดว่าเด็กคนนี้...อาจไม่ได้อ่อนแออย่างที่พยายามแสดงออกมาเลยสักนิด





เมื่อมาถึงร้านอาหารหรูใจกลางเมือง ราฟาเอโร่ไม่เสียเวลาเลือกนาน เขาเดินตรงไปยังโซนส่วนตัวที่ถูกจองไว้ล่วงหน้า พนักงานเปิดประตูให้โดยไม่ต้องมีคำสั่ง รอรับด้วยท่าทีเงียบสงบ


ห้องสว่างด้วยแสงวอร์มไวท์อุ่นตา กลิ่นไวน์แดงลอยอ่อน ๆ คลอไปกับดนตรีบรรเลงเบา ๆ จากลำโพงซ่อนผนัง ราฟาเอโร่นั่งลงก่อนอย่างไม่รีบร้อน พนักงานตามเข้ามารินไวน์ให้ทั้งคู่ เขายกแก้วขึ้นจิบเพียงเล็กน้อย ก่อนจะวางลงช้า ๆ ดวงตาคมหรี่ลงคล้ายกำลังพิจารณาบางอย่าง


ตรงกันข้าม เจบียังคงนิ่ง ไม่แม้แต่จะสบตาอีกฝ่าย ตั้งแต่นั่งลงเขาเอาแต่มองโต๊ะตรงหน้า ราวกับกลัวว่าการสบตาจะกลายเป็นการท้าทาย


“อยากกินอะไร” น้ำเสียงเรียบเย็นดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ


เมนูถูกราฟาเอโร่เลื่อนมาตรงหน้าเจบีโดยไม่ถามความเห็น เจบีรับมาเงียบ ๆ ไล่สายตาไปบนรายการอาหารโดยไม่มีคำตอบ เขาดูสงบเกินไป จนคนที่นั่งตรงข้ามเริ่มสงสัยว่านั่นคือความเคยชิน หรือความระแวงกันแน่


“นายเป็นคนเกาหลีใช่มั้ย” ราฟาเอโร่ถามขึ้น ขณะเอียงศีรษะเล็กน้อย “มาทำอะไรที่ลอนดอน?”


คำถามนั้นเหมือนกระดุมที่ปลดเบา ๆ บนเสื้อเชิ้ตเมนู เจบีชะงักเล็กน้อย มือที่จับเมนูขยับนิดหน่อยอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนจะตอบเสียงนิ่ง


“ผมคิดว่าจะมาตั้งหลักที่นี่ชั่วคราวน่ะครับ”


“ชั่วคราว?” ราฟาเอโร่ทวนเบา ๆ “แต่นายดูตั้งใจจะอยู่ยาวเลยนะ”


เจบีไม่ตอบ เขาเพียงเลื่อนนิ้วบนเมนูไปช้า ๆ จนกระทั่งอีกคำถามก็ตามมา


“นายทำตามคำสั่งได้ดีจนน่าประทับใจ...” เสียงของราฟาเอโร่ไม่ได้ชื่นชม แต่ออกไปทางเย้ยหยัน “งั้นถ้าฉันสั่งให้นายไปตายตอนนี้... นายจะทำมั้ย?”


คำถามนั้นเงียบงันอยู่กลางห้องราวกับตอกตะปูลงบนโต๊ะ


เจบีหยุดนิ้วทันที ไม่มองหน้า ไม่เคลื่อนไหว ดวงตายังคงจดจ่ออยู่บนหน้ากระดาษ แต่แววบางอย่างในแววตาเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย


“ถ้ามันจำเป็น...แล้วคุณมีเหตุผลที่ดีพอ” เขาตอบเสียงเรียบ เบาจนแทบเป็นเพียงลมหายใจ


“หึ” ราฟาเอโร่หัวเราะในลำคอ มุมปากยกขึ้นนิด ๆ อย่างพอใจในคำตอบที่เหมือนจะยอม แต่ก็แฝงอะไรบางอย่างที่อ่านไม่ออกอยู่ดี


เขาเทไวน์เพิ่มลงในแก้วตัวเอง และมองเจบีเหมือนคนที่ยังอ่านหนังสือเล่มเดิมซ้ำ...ทั้งที่ไม่เคยเข้าใจเนื้อหาสักหน้า


เขาไม่ได้รีบร้อนจะพูดอะไร แต่บรรยากาศกลับไม่ได้ผ่อนคลายอย่างที่ควร


ไวน์ในแก้วถูกยกขึ้นแตะริมฝีปาก ก่อนจะวางลงเบา ๆ พร้อมคำถามเรียบเรื่อย


“นายเคยทำงานกับใครมาก่อนรึเปล่า?”


เจบีเงยหน้าขึ้นช้า ๆ แววตานิ่งไม่สะท้าน “หมายถึงก่อนมาทำกับคุณหรือครับ?”


“อืม” ราฟาเอโร่ตอบแผ่ว ๆ คล้ายไม่ใส่ใจนัก “แค่สงสัยน่ะ…ดูเหมือนจะจัดการกับหลายอย่างได้ดีเกินไปสำหรับคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่”


เจบีเลื่อนสายตากลับไปยังเมนูในมือ ไม่ตอบทันที ราวกับกำลังเลือกอาหาร แต่จริง ๆ แล้วคือการเลี่ยงสายตานั้น


“เคยทำงานธุรการนิดหน่อยครับ งานเอกสารทั่วไป” เขาตอบโดยไม่เหลือบมองคนถาม


ราฟาเอโร่หัวเราะเบา ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรกลับในทันที เขาเพียงพยักหน้าอย่างเชื่องช้า เหมือนไม่ได้เชื่อสนิท


“งั้นเหรอ…” เขาพึมพำ “หน้าตาแบบนั้นไม่น่าเหมาะกับโต๊ะทำงานเท่าไร”


คำพูดนั้นไม่ได้มีนัยตรงไปตรงมา แต่ก็พอจะมีแรงสะเทือนให้เจบีชะงักนิดหนึ่ง เขากระพริบตาเบา ๆ ก่อนจะวางเมนูลง


“งั้นคุณอยากให้ผมไปยืนหน้าเคาน์เตอร์แทนเหรอครับ?”


คำตอบนั้นไม่ได้กวน แต่ก็ไม่ได้ประนีประนอม ราฟาเอโร่มองอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด ไม่ใช่เพราะไม่พอใจ แต่เพราะเจบีไม่เคยปล่อยให้เขาเห็นช่องโหว่เลยสักครั้ง


“เปล่า” เขาตอบพร้อมยิ้มบาง “ฉันแค่กำลังคิดว่า...คนแบบไหนกันที่สามารถอยู่รอดได้ในที่แบบนี้ โดยไม่หลุดคำบ่นสักคำ”


เจบีไม่ตอบ คราวนี้เขาแค่ยกแก้วน้ำขึ้นจิบ ราวกับจะปล่อยให้บทสนทนานั้นผ่านไปเหมือนไม่สำคัญ


อาหารถูกเสิร์ฟอย่างเรียบร้อยบนโต๊ะ ราฟาเอโร่เพียงพยักหน้าให้พนักงานถอยออกไปก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ขาไขว่ห้างตามสไตล์ มือหนึ่งยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ ดวงตายังคงจับจ้องอีกฝ่ายอยู่เงียบ ๆ


เจบีพยายามตั้งหน้าตั้งตากินข้าวโดยไม่สนใจสายตานั้น แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น


“คุณจ้องผมแบบนั้นผมกินไม่ลงนะครับ”


ราฟาเอโร่เลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ ก่อนจะวางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะช้า ๆ ดวงตาเปล่งประกายเจ้าเล่ห์บางอย่างที่เจบีไม่ค่อยชอบเท่าไหร่


“อ้อเหรอ...งั้นฉันควรทำยังไงดีล่ะ?” เขาพูดเสียงเรียบก่อนจะเอนตัวไปด้านหน้า วางแขนบนโต๊ะอย่างสบาย ๆ “หรือว่านายอยากให้ฉันป้อน?”


เจบีชะงักไปนิดหนึ่ง มือที่กำลังจะจิ้มส้อมหยุดค้างกลางอากาศ ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะรีบก้มหน้ากลับไปเหมือนเดิม


“ไม่จำเป็นครับ ผมกินเองได้”


“แน่ใจนะ?” ราฟาเอโร่ถามซ้ำ หน้าตายิ่งกว่าตอนประชุมกับพวกมาเฟียในลอนดอน “ฉันเคยป้อนน้องหมาที่บ้านบ่อย ๆ มันก็เชื่องดีนะ”


เจบีเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเหมือนเดิม


“ผมไม่ได้เลี้ยงง่ายขนาดนั้นหรอกครับ”


คำตอบนั้นทำให้มุมปากของราฟาเอโร่กระตุกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เขาหัวเราะเบา ๆ เหมือนไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้จากอีกฝ่ายจริง ๆ













ทันทีที่ถึงห้อง ผมทิ้งตัวลงบนเตียงราวกับหมดแรงทั้งกายและใจ ไม่ได้หลับเต็มตื่นมาหลายคืนแล้ว วันนี้ราฟาเอโร่ปล่อยให้กลับก่อนเวลา หลังจากมื้อกลางวันประหลาดนั่นที่ผมไม่เข้าใจเจตนาเขาเลยแม้แต่น้อย


สายตาของเขา...การกดดันแบบแนบเนียนที่ไม่มีคำขู่ ไม่มีการคาดคั้นชัดเจน แต่กลับทำให้ผมต้องระวังแทบทุกการกระพริบตา มันเหนื่อยกว่าการถูกด่าตรง ๆ เสียอีก


เขาไม่ได้พูดอะไรแรง ๆ แต่ทุกคำพูดของเขา มันมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่เสมอ


ผมนอนนิ่ง จ้องเพดานในห้องที่มีเพียงแสงจากโคมตั้งโต๊ะส่องลอดผ่านม่านบาง เสียงลมหายใจของตัวเองดังชัดขึ้นเมื่อไม่มีอะไรมาเบนความสนใจ


ราฟาเอโร่ดูเหมือนจะหยอกเล่นในบางที แต่ผมไม่เคยคิดว่าเขาจะพูดเล่นจริง ๆ


คนแบบนั้น ไม่มีคำว่า ‘เล่น’ ในพจนานุกรม


ตอนเขาถามว่า "งั้นถ้าฉันสั่งให้นายไปตายตอนนี้... นายจะทำมั้ย?" ผมตอบไม่ได้ ไม่ใช่เพราะลังเล แต่เพราะไม่แน่ใจว่าเขาจะเอาคำตอบนั้นไปทำอะไรต่อ


ผมกำลังเดินอยู่บนเส้นด้ายบาง ๆ ระหว่างความไว้ใจที่ถูกบังคับ กับความไม่ไว้ใจที่ถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียน


และที่น่ากลัวที่สุดคือ...บางที ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่ากำลังเล่นบทของเหยื่อ หรือกลายเป็นบางอย่างที่เขาเริ่มจะสนใจจริง ๆ เข้าให้แล้ว


ผมไม่ได้ติดต่อเสี่ยวไป๋หรือแคสเปอร์มาสักพัก ไม่ใช่เพราะลืม แต่แทบไม่มีเวลาได้แตะโทรศัพท์ วันทั้งวันต้องจดจ่ออยู่กับเอกสาร คำสั่ง งานตรวจสอบ งานจัดเรียงที่ดูเหมือนจะจงใจปั่นหัวมากกว่าทำให้เกิดประโยชน์อะไรจริงจัง


ผมรู้...ว่าเขากำลังแกล้ง แต่ผมก็ยังเล่นตามเกมนั้นอยู่ดี


ผมไม่ได้เก่งทุกอย่าง ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองฉลาดที่สุด หรือเป็นคนที่เหมาะจะอยู่ในตำแหน่งใด ๆ ด้วยซ้ำ แต่ในช่วงชีวิตก่อนหน้านี้ ผมเคยอยู่กับคนคนหนึ่งที่ทำให้ผมเชื่อว่าผมอาจจะมีค่ามากกว่าที่คิด


"จำให้ได้ในสิบวิ ถ้านายลืม นายจะตาย" เสียงนั้นยังอยู่ในหัวเสมอ แม้เวลาจะผ่านมาหลายปี


ฮันแจไม่ได้พูดประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงจริงจังเสียทีเดียว เขาพูดมันตอนที่เรานั่งอยู่ในห้องเก่า ๆ ใต้โรงงานแห่งหนึ่งในอินชอน แสงไฟกระพริบจากสายไฟที่ต่อแบบชั่วคราวสะท้อนบนหน้าจอมอนิเตอร์เก่า ๆ ที่โชว์ภาพโครงสร้างของระบบภายในหน่วยงานที่พวกเราต้องเจาะเข้าไป


ผมนั่งเงียบในตอนนั้น มือสั่นน้อย ๆ เพราะไม่เคยเห็นระบบที่ซับซ้อนขนาดนั้นมาก่อน ฮันแจมองผมแล้วยิ้มอย่างใจเย็น เขาไม่เคยดุผมเลย มีแต่จะถาม


"นายกลัวเหรอ?"


"มันยาก ฉันแค่ไม่มั่นใจว่าจะทำได้"


"นายทำได้" ฮันแจพูดแค่นั้น แล้วโยนแฟ้มบางอย่างมาให้ผม "นายไม่ได้ต้องเก่งเท่าฉัน แค่นายจำให้แม่นพอ แล้วใช้มันให้ถูกเวลา"


ผมไม่รู้ตอนนั้นว่าทำไมเขาถึงย้ำแบบนั้น


แต่วันนี้...ผมเริ่มเข้าใจ


ผมไม่ใช่คนที่วิเคราะห์ระบบได้ลึกซึ้งเท่าฮันแจ ไม่สามารถเขียนโค้ดทะลุเข้าไปในหน่วยงานระดับโลกแบบเขา แต่ผมมีสิ่งที่เขาไม่มี ผมจำทุกอย่างได้ในระยะเวลาอันสั้น ไม่ว่าจะเป็นฐานข้อมูลซับซ้อนหรือโครงสร้างเครือข่ายที่เชื่อมโยงกันซับซ้อนแค่ไหน ผมจำได้หมด


ถ้าผมเคยเห็น...ผมก็เรียกมันกลับมาได้


แต่คิมบอมไม่เคยสนใจด้านนั้น เขาไม่ต้องการคนจดจำ เขาต้องการนักฆ่า คนที่พร้อมกดไกโดยไม่ลังเล ผมจึงต้องกลายเป็นคนแบบนั้น


แต่อยู่ตรงนี้...กับเกมของราฟาเอโร่ ผมเริ่มคิดแล้วว่า ความสามารถที่ผมเคยทิ้งไว้ อาจถึงเวลาต้องหยิบมาใช้อีกครั้ง


ช่วงหลายวันที่ผ่านมา ผมเคยคิดว่าความเหนื่อยทั้งหมดมาจากการต้องรับมือกับราฟาเอโร่เพียงคนเดียว แต่ไม่ใช่เลย


สิ่งที่หนักไม่แพ้กัน คือคนรอบข้างในสำนักงาน


พวกเขาไม่ได้พูดอะไรโต้ง ๆ แต่ทุกสายตาที่มองมา มันพูดแทนได้ดีกว่าคำพูดเสียอีก ความเงียบที่เต็มไปด้วยความหมางเมิน การส่งงานที่จงใจส่งผิด การปล่อยเอกสารปะปนกันมาให้ผมต้องแกะเองทีละหน้า หรือแม้กระทั่งการหายตัวไปจากโต๊ะตอนผมจำเป็นต้องถามอะไรด่วน ๆ


มันไม่ใช่ความบังเอิญแน่ ๆ


ผมรู้ดีว่าผมเข้ามาในตำแหน่งที่ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมถึงได้มา พวกเขาคงสงสัยว่าเด็กหน้าใหม่คนนี้มีดีอะไรถึงได้อยู่ในสายตาของเจ้านายที่ใคร ๆ ต่างเกรงกลัว


ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คนในออฟฟิศเริ่มปฏิบัติกับผมราวกับว่าผมไม่ใช่หนึ่งในพวกเขา


เช้านั้น ผมเดินเข้ามาที่โต๊ะเหมือนทุกวัน แต่สิ่งแรกที่ผมเจอคือเอกสารกองใหญ่ที่ผมไม่ได้เป็นคนรับผิดชอบ วางกองทับโต๊ะทำงานของผมโดยไม่มีโพสต์อิท ไม่มีโน้ต ไม่มีแม้แต่ชื่อคนส่ง


ผมลองถามหัวหน้าแผนกที่เกี่ยวข้อง เขายิ้มมุมปากแล้วบอกว่า “ก็นายเก่งนี่ เจ้านายไว้ใจให้นายดูหมดแหละ” ก่อนจะหันหลังกลับไปคุยกับคนอื่นอย่างอารมณ์ดี


วันต่อมา ผมขอไฟล์ประชุมจากแผนกข้อมูล แต่พอเปิดไฟล์ในที่ประชุม มันกลายเป็นเวอร์ชันเก่าที่ถูกแก้ชื่อไฟล์อย่างแนบเนียน พอผมหันไปมอง คนส่งไฟล์กลับยักไหล่ทำหน้าตาย ๆ ว่าไม่รู้เรื่อง มันไม่ใช่ความผิดพลาด แต่มันคือการจงใจทำให้ผมขายหน้า


แม้แต่ตอนเข้าลิฟต์ เวลาผมเดินตามคนกลุ่มเดิมเข้าไป ทุกคนจะเงียบเสียงลงอย่างเห็นได้ชัด เหมือนเพิ่งหยุดพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับผม แล้วทำเป็นคุยเรื่องอื่นแทน


ผมไม่รู้ว่าราฟาเอโร่รู้หรือเปล่าว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น หรือบางทีเขาอาจจะรู้อยู่แล้ว…และปล่อยให้มันเกิดขึ้นต่อไป เพื่อดูว่าผมจะรับมือยังไง


ผมไม่แน่ใจว่าอันไหนแย่กว่ากัน


บางที...อาจจะเป็นเพราะสายตาของเขาในแต่ละวันที่มองมา ราวกับกำลังคาดหวังอะไรบางอย่างจากผมอยู่เงียบ ๆ มากกว่าคำพูดหรือการกระทำของคนอื่นทั้งหมดเสียอีก


ผมก็ต้องอยู่ต่อให้ได้ จนกว่าจะถึงจุดที่ผมต้องไปเอง และจนกว่าจะถึงวันนั้น ผมจะอดทนกับทุกอย่าง เหมือนที่เคยทำมาตลอดชีวิต


แค่มีใครสักคนใจดีกับผมบ้าง มันคงจะดีกว่านี้…










5:40 PM | อาคารสำนักงานใหญ่ซิลเวอร์เนสต์, ลอนดอน


เสียงเคาะแป้นคีย์บอร์ดยังคงดังเป็นจังหวะเดียวในห้องทำงานที่ผู้คนเริ่มบางตาลงเรื่อย ๆ เจบียังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะ ไม่ใช่โต๊ะประจำของเขาภายในห้องของราฟาเอโร่ แต่เป็นโต๊ะชั่วคราวที่ถูกจัดให้ภายในแผนกบัญชี


เพราะช่วงบ่ายมีพนักงานหญิงคนหนึ่งเข้ามาหาเขาโดยตรงในห้องพักเบรคพร้อมเอกสารในมือและคำพูดที่ฟังดูเหมือน “ขอความช่วยเหลือ”


"ขอโทษที่ต้องรบกวนด่วนนะคะ เจ้านายฉันสั่งให้สรุปรายงานนี้ก่อนหกโมง แต่คนของเราออกไปประชุมหมดแล้ว…" เธอพูดพร้อมรอยยิ้มบางที่ดูไม่ค่อยจริงใจนัก “คุณพอจะช่วยได้ไหมคะ?”


เจบีไม่ทันได้คิดมาก เขารับเอกสารมาด้วยความสุภาพตามนิสัย เพราะปฏิเสธไปก็ไม่ต่างจากปัดความรับผิดชอบ แม้เขาจะรู้ดีว่านี่ไม่ใช่งานในหน้าที่ของเขาเลยก็ตาม


ราฟาเอโร่ก็ไม่ได้อยู่ในออฟฟิศตั้งแต่ช่วงสาย บอกเพียงว่าจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงของภาคีทุนจากยุโรปตะวันออก ซึ่งจะกินเวลาไปจนดึก เจบีจึงไม่ได้หวังว่าอีกฝ่ายจะกลับเข้ามาในสำนักงานอีก


เย็นวันนั้น ท้องฟ้าลอนดอนคลุมเครือกว่าทุกวัน ฝนตกปรอย ๆ ตั้งแต่บ่าย ทำให้คนในออฟฟิศเริ่มทยอยเก็บของเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย ทุกคนดูเหมือนจะรีบกลับบ้านอย่างพร้อมเพรียง รอยยิ้ม ท่าทางเหนื่อยล้า และคำพูดลาแบบสั้น ๆ ดังผ่านหลังประตูห้องกระจกออกไปทีละคน ทีละคน…


เสียงฝนเบา ๆ เคาะกระจกหน้าต่างจากด้านนอก ลมเย็นพัดไอเย็นผ่านช่องแอร์ลงมาเจือจางกับแสงจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ที่ยังเปิดอยู่เพียงแถวเดียวบนเพดานเหนือโต๊ะเขา


เจบียังนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดิมในมุมห้อง ชุดเอกสารอีกชุดที่ถูก “ฝาก” ไว้ให้เขาอย่างไร้ชื่อส่ง ยังเรียงอยู่ตรงหน้า ไม่มีเสียงใครเรียก ไม่มีแม้แต่คนเหลือมาเป็นเพื่อนคุย


เขาก้มดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ — 6:11 PM


“ทำอีกสักหน่อยแล้วค่อยกลับก็แล้วกัน...” เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ พลางนั่งจัดเรียงเอกสารต่อ


เขาคิดว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะจัดการงานชุดนี้เสร็จ และจะได้กลับเสียที


แต่ทันทีที่เขาเอื้อมมือจะปิดแฟ้ม


พรึ่บ!


เสียงไฟฟ้าดับทั้งชั้นดังขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ทุกหลอดไฟดับวูบลงพร้อมเสียงระบบอากาศที่หยุดชะงัก ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความมืดสนิท ความเงียบรอบตัวขยายกว้างจนได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจตัวเอง


เจบีเงยหน้าขึ้น สายตาเริ่มชินกับความมืดในเวลาไม่นาน มือเลื่อนไปหยิบโทรศัพท์ขึ้น แต่หน้าจอขึ้นแค่ข้อความ “No Signal” พร้อมไอคอนแบตเตอรี่ที่กระพริบเตือนว่าเหลือเพียง 3%


เขาลุกขึ้นทันที เดินตรงไปยังประตูทางออก แต่เมื่อแตะมือจับ...


ติ๊ด — ติ๊ด — ติ๊ด


ระบบล็อกอัตโนมัติไม่ตอบสนอง


“ระบบล็อกแบบไฟฟ้า…” เขาพึมพำ ก่อนจะลองแตะอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ไม่มีแม้แต่เสียงเตือน


เขารีบเปิดฝาครอบแผงควบคุมเล็ก ๆ ข้างประตู ตาไล่ดูวงจรในความมืดอย่างคล่องแคล่ว เขาพยายามรีเซ็ตระบบด้วยการตัดวงจรสำรอง แต่ก็ไร้ผล เพราะระบบหลักไม่ได้ทำงานจากแบตเตอรี่ปกติ มันถูกแยกออกจากสายสำรองไปแล้ว


“…มีคนตั้งใจ” เขาพึมพำเบา ๆ รู้ทันทีว่าไฟที่ดับไม่ใช่ความผิดพลาดธรรมดา


เขาหยิบสาย USB ที่ซ่อนไว้ในปกแฟ้มออกมา เสียบเข้ากับแผงควบคุม และต่อกับโทรศัพท์ที่เหลือแบตอีกนิดเดียว พยายามใช้เป็นพอร์ตแทรกคำสั่งในระบบควบคุมอาคาร แต่หน้าจอค้างนิ่งไม่ตอบสนอง


“ระบบหลักถูกตัดออกจากวงจรส่วนกลาง...” เขานิ่ง คิ้วขมวดตึง


ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ เขาอาจถอดรหัสแฮกเข้าระบบได้ แต่ตอนนี้ไม่เพียงไม่มีสัญญาณ ไม่มีพลังงานสำรอง แม้แต่ระบบควบคุมภายในก็ถูกตัดจากแหล่งหลักโดยสิ้นเชิง เหมือนกับว่ามีใคร ‘ตั้งใจ’ ทำให้ที่นี่กลายเป็นกับดัก


เจบียืนพิงกำแพง สูดหายใจลึกเพื่อระงับความเหนื่อยล้า แสงสุดท้ายจากหน้าจอโทรศัพท์ดับลงในมือ


เขายังไม่กลัว...แต่เริ่มหนาว


อุณหภูมิในอาคารลดลงตามระบบที่ถูกตัด ไร้เครื่องปรับอากาศ ไม่มีระบบกรองอากาศใด ๆ ใช้งานได้อีก


เขานั่งลงช้า ๆ ใช้เสื้อสูทคลุมตัวเองเอาไว้ สายตาเหม่อลอยไปในความมืด ก่อนจะค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลงอย่างเงียบงัน


“ราฟาเอโร่…คุณจงใจงั้นเหรอ”










7:12 AM | อาคารสำนักงานใหญ่ซิลเวอร์เนสต์, ลอนดอน


ประตูเลื่อนหน้าตึกเปิดออกด้วยเสียงเบา ๆ ราฟาเอโร่ก้าวเข้ามาในล็อบบี้ด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงนัก แต่ถ้าสังเกตดี ๆ วันนี้เขามาถึงสำนักงานเร็วกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด


เมื่อคืนเขาออกไปงานเลี้ยงด่วนที่ต้องพบเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกลุ่มการเงินยุโรป สายโทรศัพท์เต็มไปด้วยการประชุมและอีเมลสำคัญจนไม่มีแม้แต่เวลาจะเช็กข้อความจากใคร แต่เมื่อเขากลับเข้าที่พักในช่วงตีสาม กลับพบว่าข้อความที่เขาส่งไปหาเจบีตั้งแต่ตอนหัวค่ำ ไม่มีแม้แต่การเปิดอ่าน


ราฟาเอโร่ไม่ใช่คนที่จะ “ห่วง” ใครง่าย ๆ แต่เขาไม่ชอบความคลาดเคลื่อน ไม่ชอบอะไรที่ไม่อยู่ในสมการ และเจบีก็คือหนึ่งในสมการที่เขายังหาคำตอบไม่ได้เสียที


เขาเดินเข้าลิฟต์ด้วยท่าทางราบเรียบ ระหว่างที่ลิฟต์ค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปยังชั้นบน ดวงตาคมสะท้อนแสงจากผนังเหล็กเงาวับ เงียบ...แต่วูบหนึ่ง เขาพึมพำกับตัวเองในน้ำเสียงต่ำจนแทบไม่ได้ยิน


“ถ้าหนีงาน...ฉันจะจัดการนายแน่”


ติ๊ง! ประตูลิฟต์เปิดออก กลิ่นเย็นชื้นและความเงียบงันผิดปกติเข้ามาปะทะทันที มันไม่ใช่อากาศยามเช้าทั่วไป แต่มันเย็นจนรู้สึกถึงบางอย่าง


ไฟในบางส่วนของสำนักงานยังไม่เปิด ไม่มีเสียงคน ไม่มีแสงจอคอมพิวเตอร์ ไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้า พนักงานควรเริ่มทยอยมาแล้ว แต่นี่เงียบราวกับยังไม่ถึงเวลาเปิดทำการ


ราฟาเอโร่เดินผ่านแผนกต่าง ๆ อย่างเงียบงัน ท่ามกลางความว่างเปล่าของพื้นที่ที่ควรจะเริ่มมีผู้คนเข้ามาแล้ว แต่สิ่งที่สะดุดตาเขากลับเป็นเงาร่างหนึ่งที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในมุมของสำนักงาน


เด็กหนุ่มยังคงอยู่ในชุดทำงานของเมื่อวาน ร่างผอมบางนั่งหอบตัวอยู่ที่มุมห้อง ใกล้กำแพงกระจกเย็นเฉียบ แผ่นหลังพิงผนัง ขาทั้งสองข้างชันขึ้น กอดตัวเองไว้แน่นอย่างคนที่หมดเรี่ยวแรงจนไม่สามารถประคองตัวได้อีก


ราฟาเอโร่ชะงักไปครู่หนึ่ง สายตาคมเรียบนิ่ง แต่ความตึงเครียดเริ่มสั่นไหวที่ปลายคิ้ว เขาเดินเข้าไปใกล้อย่างเงียบเชียบจนกระทั่งมายืนอยู่ตรงหน้า


"เจบี"


ไม่มีเสียงตอบ ไม่มีการขยับ


ราฟาเอโร่โน้มตัวลง ใช้มือจับไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ประคองร่างนั้นให้เอนออกจากกำแพง พิงตัวไว้กับแขนของเขา ใบหน้าของเจบีซีดเซียวจนแทบไม่มีสีเลือด เปลือกตาหนักอึ้ง ริมฝีปากแตกและแห้ง ผิวกายเย็นจัดจนเหมือนอยู่กลางหิมะ มือสองข้างยังเกร็งจากการกอดตัวเองทั้งคืน


"...ให้ตายสิ" ราฟาเอโร่กัดกรามแน่น พึมพำเสียงต่ำ เขาตบแก้มเบา ๆ สองครั้ง


"เจบี!"


ไม่มีการตอบรับใด ๆ


“เวรเอ๊ย...” ครั้งนี้เขาสบถอย่างจริงจัง ก่อนจะกดโทรศัพท์หาทีมแพทย์ภายในอย่างเร่งด่วน น้ำเสียงเย็นเฉียบกลายเป็นสั่งการ “ห้องสำนักงาน เรียกทีมแพทย์ขึ้นมาเดี๋ยวนี้ มีคนหมดสติ”


เขายืนเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอดสูทของตัวเองออกคลุมตัวเจบีไว้ ชายหนุ่มนิ่งเงียบ มองใบหน้าซีดเซียวที่ซบพิงเก้าอี้ด้วยแววตาแข็งกร้าว และในนาทีนั้นเอง…


ความรู้สึกบางอย่างก็พุ่งขึ้นมาในใจ ไม่ใช่แค่ความโกรธ หรือความหงุดหงิดแบบที่ผ่านมา แต่มันเป็นความรู้สึก...ห่วง และไม่พอใจจนแทบกดไม่ลง


ใครทำ?


ใครมันกล้าทำแบบนี้?


เขาไม่เคยสั่งให้ใครแกล้งเจบีถึงขั้น ‘หมดสติ’ หรือปล่อยไว้จนเกือบเป็นอันตรายถึงชีวิต เกมที่เขาเล่น ไม่ใช่แบบนี้ ไม่เคยเป็น และไม่ควรเป็นแบบนี้


ใครก็ตามที่กล้าล้ำเส้น…


เขาจะลากมันออกมาด้วยตัวเอง


และเจบี...ไม่ว่าเขาจะมาทำอะไรที่นี่ ไม่ว่าเขาจะมีจุดประสงค์อะไร ยังไง...เด็กคนนี้ ‘เป็นของเขา’ ในตอนนี้


และไม่มีใครหน้าไหนที่มีสิทธิ์แตะต้องของของเขา โดยไม่ได้รับอนุญาต





lekthai โพสต์ 2025-6-27 18:32:47

ขอบใจหลาย

nuangnut1996 โพสต์ 2025-6-27 18:42:37

สนุกมากครับ

GuN009 โพสต์ 2025-6-28 18:35:42

เจบีจะซื้อใจราฟาเอโรได้ไหมนะ สนุกครับ รอตามต่อเลย
ขอบคุณครับ
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: ช่วยผมด้วย..ผมโดนมาเฟียรุมข่มขืน!? Chapter 24