เมื่อผมข้ามมิติและต้องแต่งงานกับผู้ชาย 4 คนพร้อมกัน Ch.7
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-6-16 21:16ตอนที่ 7"อ่อย" วันละนิด... จิตแจ่มใส
ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ ก่อนอื่นก็รีบสำรวจตัวเองอย่างรอบคอบ…แค่ให้แน่ใจว่าเมื่อคืน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ ใช่มั้ย?
ทุกอย่างยังอยู่ดี เสื้อผ้าครบ ผ้าห่มยังห่มมิดชิดอยู่ในตำแหน่ง…โอเค โล่งใจ
กระทั่งผมรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่อบอุ่นจนน่าอ้อน…
ก็ไม่น่าแปลกหรอกถ้าจะเผลอใจเต้นนิดหน่อย เพราะเมื่อคืนเรานอนเตียงเดียวกัน แถมแรนทีลยังห่มผ้าให้ แถม…อือ เรื่องอื่นไม่พูดละกัน
แต่สิ่งแรกที่ผมเห็นหลังลืมตาคือเส้นผมสีเงินสว่างวาบอย่างกับจะสะท้อนแสงอาทิตย์เข้าตา!
ผมกระพริบตาปริบ ๆ มองเรือนผมสีเงินที่สยายอยู่บนหมอน ราวกับมันเรืองแสงได้เอง ยังไม่ต้องพูดถึงใบหน้านิ่งสงบของเจ้าของผมพวกนั้น ที่ตอนนี้กำลังหลับอยู่ข้างผมแบบสวย ๆ เหมือนเทพนิยายที่เขียนบทมาหลอกให้คนอ่อนแอทางใจตกหลุมพราง
สันจมูกของเขาดูคมยิ่งกว่าใบมีดสลักอักษร หน้าผากเรียบขาวนวล ริมฝีปากเป็นทรงได้รูป…น่าจู— แค่ก ผมหมายถึง…ดูดี…มาก…ในแบบที่ไม่ควรจะเห็นตั้งแต่เช้าตรู่ขนาดนี้!
…จะไม่เรียกว่าหลงก็คงโกหก
ผมมองหน้าเขาเงียบ ๆ …ครึ่งหนึ่งก็เพราะตกใจตัวเองที่กำลังแอบเพ้อถึงสามีอยู่ในใจ อีกครึ่งหนึ่งก็เพราะ…ทำไมเขาหลับแล้วดูสงบแบบนี้กันนะ
อืม…จะว่าไป เขาหลับจริงหรือเปล่า?
ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย เอามือโบกเบา ๆ ตรงหน้าตาเขา
ไม่ขยับ…
ลองจิ้มแก้มดูนิดนึงก็ได้…นิดเดียว…แค่ปลายเล็บก็พอ…
…นิ่ง
แต่จังหวะหายใจไม่เหมือนคนหลับเลยอ่ะ! ผมรู้! ผมเคยแกล้งหลับให้ครูไม่เรียกหน้าชั้นเรียนมาแล้ว! อันนี้มันลมหายใจของคน "ทำตัวเหมือนหลับ" ต่างหากเล่า! แล้วทำไมต้องแกล้งหลับใส่ผมด้วยล่ะ! อย่าบอกนะว่า—!
“หึ” เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่คนตรงหน้าจะลืมตาขึ้นอย่างนุ่มนวล
ให้ตายเถอะ แรนทีลยิ้ม…ยิ้มแบบรู้ทันทั้งหมด!
“ตื่นแล้วหรือ เซย์เรน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงง่วง ๆ แต่เต็มไปด้วยความขำ…ขำแบบรู้ว่าผมเพิ่งแอบจิ้มแก้มเขาเมื่อกี้แน่ ๆ
“มะ...ไม่ใช่นะ!” ผมรีบแก้ตัวเสียงสูง “ข้าแค่เช็กว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าเท่านั้นเอง!”
“อืม...งั้นหรือ” เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเลื่อนมือมาแตะผมตรงกรอบหน้าอย่างอ่อนโยน ลูบเบาเหมือนกำลังกล่อมแมวไม่ให้ข่วน
“ฝ่าบาทควรรีบลุกไปแต่งตัวได้แล้วนะ เห็นว่าเช้านี้ท่านต้องไปฝึกยิงธนูกับเอลเซียนไม่ใช่หรือ”
“ต้องไปจริงเหรอ...” ผมบ่นอุบกับตัวเอง ไม่ได้ต้องการคำตอบนัก ผมไม่ได้เก่งเรื่องกีฬาหรือการต่อสู้อะไรนักหรอก แต่ก็รู้ดีว่าอย่างน้อย...เอาตัวรอดได้นิดหน่อย ก็คงดีกว่าทำอะไรไม่เป็นเลย
“เดี๋ยวข้าจะไปส่ง” แรนทีลพูดเรียบ ๆ พลางยันตัวลุกขึ้นจากเตียงอย่างสง่างามเกินไปสำหรับตอนเช้า แล้วเริ่มจัดเสื้อคลุมของตัวเองอย่างเรียบร้อยในพริบตา
แน่นอน เขาไม่ลืมจะเหลือบตามามองผมที่ยังนั่งจมอยู่บนเตียงแบบหมดแรง พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากเล็ก ๆ ...ที่ดูยังไงก็เหมือนกำลังล้อผมอยู่นั่นแหละ
ผมใช้เวลานั่งทำใจอยู่พักหนึ่ง กว่าจะยอมลุกจากเตียงไปล้างหน้า พอเดินออกจากห้องมาก็ยังรู้สึกงัวเงียอยู่หน่อย ๆ แต่ลมเช้าที่เย็นสบายก็ช่วยให้สมองค่อย ๆ ตื่นขึ้นมาทีละนิด
แรนทีลยืนรออยู่แล้วตรงบันไดหน้าประตูใหญ่ เขายืนพิงเสาหน้าวัง มือไพล่หลังอย่างสงบนิ่ง แต่พอเห็นผมเดินออกมา แววตานั้นก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย นิดเดียวจริง ๆ แต่พอจะรู้ว่าเขากำลังยิ้มในใจ
“จะออกไปทั้งแบบนี้เหรอ?”
เขามองผ้าบางบนตัวผม ก่อนจะส่ายหน้าน้อย ๆ แล้วถอดเสื้อคลุมตัวเองมาคลุมให้
“นอกเมืองลมแรงนะ เดี๋ยวโดนลมจะไม่สบาย”
“...ขอบใจ” ผมตอบเสียงเบา แอบมองหน้าเขาอย่างระวัง สีหน้านั้นยังคงนิ่งเฉยอย่างเคย แต่ในดวงตากลับมีอะไรบางอย่างที่อ่อนลงเล็กน้อย จนเผลอรู้สึกอบอุ่นโดยไม่ตั้งใจ
ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ เสียงฝีเท้าม้าก็ดังขึ้นจากลานหน้าวัง
เอลเซียนมาพอดี
เขาสวมเสื้อเกราะบางเฉียบสีเข้ม ขลิบลายอักขระโบราณตรงปกไหล่ ดูสง่างามตามแบบของชนชั้นสูง ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ แต่พอเห็นผม แววตานั้นก็เปลี่ยนไปทันที
“พร้อมหรือยัง?” เขาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ผมได้ยินความห่วงใยที่แฝงอยู่ข้างใน
“อืม...” ผมตอบเบา ๆ กะจะรีบขึ้นม้าให้จบเรื่องโดยไม่ต้องหันไปมองแรนทีลอีก
แต่แรนทีลกลับเดินเข้ามา แล้วดึงชายผ้าคลุมของผมให้เข้าที่อย่างนุ่มนวล
“ดูแลตัวเองด้วย” เขาว่าแค่นั้น ก่อนจะถอยออกไปยืนที่เดิม ราวกับไม่เคยขยับเข้ามา
ใจผมเต้นแรงขึ้นมานิดหน่อยแบบไร้เหตุผล
ผมหันไปมองเอลเซียน เขามองแรนทีลแวบหนึ่ง แล้วถอนหายใจเบา ๆ คล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่างโดยไม่พูดออกมา
ทั้งคู่ไม่พูดอะไรกัน แต่การเงียบก็เหมือนมีบทสนทนาในแบบของตัวเองอยู่แล้ว
ผมขยับตัวขึ้นหลังม้า พยายามเบือนหน้าหนีไม่ให้ใครเห็นว่าแก้มร้อนแค่ไหน
น่ากลัวกว่าดาบ ก็พวกสามีที่นิ่งแต่รุกเงียบ ๆ แบบนี้นี่แหละ...
เอลเซียนควบม้าออกจากพระราชวังโดยมีผมนั่งอยู่ด้านหน้า ส่วนเขาเป็นคนคุมบังเหียนจากด้านหลัง แผ่นหลังของผมแทบจะจมลงไปกับอกกว้าง ๆ นั่นโดยไม่ตั้งใจ
“หนาวหรือไม่ ฝ่าบาท”
เสียงทุ้มเอ่ยเบา ๆ ข้างหู พร้อมกับที่ฝีเท้าม้าชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด อาจเพราะเขากังวลว่าลมเช้าจะตีหน้าและตัวผมแรงเกินไป
“ไม่เท่าไหร่...” ผมตอบไปแบบไม่เต็มเสียง พลางดึงชายเสื้อคลุมที่ห่มทับมาให้แน่นขึ้นนิดหน่อย คงต้องขอบคุณแรนทีลที่ยัดเยียดเสื้อตัวนี้มาให้ก่อนออกมา ไม่อย่างนั้นคงได้นั่งตัวสั่นอยู่บนหลังม้าแน่ ๆ
พอพ้นประตูวัง วิวเบื้องหน้าก็เปลี่ยนเป็นป่าลึก หมอกบางลอยเอื่อยคลุ้งอยู่เต็มอากาศ กลิ่นชื้นเย็นของเช้าแรกในฤดูใบไม้ผลิปะปนกับกลิ่นไม้ เปลือกสน และดินชื้นที่ลอยมาเป็นระยะ ต้นไม้สูงใหญ่ปิดทึบจนแสงเช้าแทบลอดลงมาไม่ถึงพื้น
ไม่นานนัก เราก็มาถึงลานฝึกที่เป็นทุ่งหญ้าเปิดโล่ง รอบข้างกระจายด้วยค่ายพักของทหารที่ตั้งอยู่เป็นระเบียบ เอลเซียนกระโดดลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหันกลับมายกตัวผมลงอย่างระมัดระวัง
หน้าอกของเขาแทบจะชนกับหน้าผมเข้าเต็ม ๆ จนต้องรีบเบือนหน้าหลบอย่างรวดเร็ว
“แล้วนี่…ต้องฝึกยังไง?” ผมถามกลบเกลื่อนไป ทั้งที่จริงในใจไม่ได้สนใจคำตอบนักหรอก แค่อยากพูดอะไรสักอย่างออกมา ความจริงเราเพิ่งห่างกันไม่กี่วันแท้ ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนอยู่กันคนละทวีป
เขาไม่ได้เฉยชา… แต่บางครั้งก็ทำให้ผมเผลอรู้สึกไปเองว่ามีแค่ผมที่พยายาม
อาจเพราะผมเองที่คิดมากไปเองก็ได้
บางที...ก็อาจจะใช่ เพราะเป็นผมเองนั่นแหละ ที่แอบคาดหวังให้เขาทำอะไรสักอย่าง
มองผมก่อนก็ได้ ไม่ต้องถึงขั้นมอบมงกุฎดอกไม้ให้ แค่พยักหน้า ทักเบา ๆ ว่า “อรุณสวัสดิ์” ก็พอใจจะตายแล้ว
แต่พอเขาอยู่ท่ามกลางคนอื่น เขาก็เหมือนเปิดโหมดแม่ทัพเหล็กขึ้นมาเฉย
เหมือนกางเกราะขึ้นมาอีกชั้น สีหน้าท่าทางที่นิ่งขรึมจนน่าเกรงขาม ท่วงท่าตรงเป๊ะ สายตานิ่งเรียบ ทั้งหมดนั้นทำให้เขาดูเท่มาก…มากเสียจนชวนให้รู้สึกเหมือนผมเป็นแค่คนธรรมดาที่เอื้อมไม่ถึง
บางมุมก็ดู…น่ากลัวนิด ๆ ด้วยซ้ำ
และผม...ก็ไม่แน่ใจนักว่าควรยิ้มให้เขาไหม หรือจะทำเป็นไม่รู้สึกอะไรดี
เพราะถ้ายิ้มไปก่อนแล้วเขาไม่ยิ้มกลับนี่...คงหน้าแหกชนิดที่หมอยังต้องส่ายหน้า แล้วบอกว่า "เจ็บที่ใจ หมอรักษาไม่ได้นะครับ"
“ฝ่าบาท... สีหน้าท่านดูไม่ค่อยดีเลยนะ” เอลเซียนหันมาถามเสียงเรียบเมื่อเห็นว่าผมเงียบไป
แต่ผมก็ยังคงไม่ตอบ ไม่ได้อยากให้เขารู้หรอกว่ากำลังน้อยใจอยู่ลึก ๆ เลยเลือกจะเดินดิ่งไปที่เป้าธนูด้วยท่าทีมั่นใจ หรืออย่างน้อยก็แกล้งทำเป็นมั่นใจไว้ก่อน เอลเซียนเองก็เดินตามมาแบบงง ๆ เหมือนยังไม่เข้าใจว่าผมเป็นอะไร
ผมหยิบคันธนูขึ้นมา... หนักเป็นบ้า กล้ามเนื้อบอบบางนี่มันยังไงกัน ยกธนูแค่นี้ก็สั่นเป็นลูกนก ฮึบ! ผมกัดฟันรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายจนยกมันขึ้นมาได้ แล้วก็พยายามเล็งไปที่เป้าไกล ๆ อย่างคนมีประสบการณ์ (ทั้งที่แขนสั่นไปหมดแล้ว)
เอลเซียนขยับเข้ามาเหมือนจะช่วยประคองมือให้ แต่ผมส่ายหน้าเบา ๆ แบบ “ไม่ต้องมายุ่ง” เขาเลยชะงัก ก่อนจะถอยออกไปยืนห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ
ความจริงแล้ว เจ้าของร่างเดิมนี่ก็ใช้ธนูเป็นอยู่นะ แค่ไม่ได้ซ้อม เพราะมัวแต่ไปเสียเวลาอยู่กับไอ้คนเฮงซวยนั่น... ส่วนผมเหรอ? ประสบการณ์เท่ากับศูนย์ ขี่ม้า ยิงธนู ฟันดาบ ไม่ถนัดสักอย่าง ถ้าเกิดสงครามขึ้นมา ผมคงตายก่อนทุกคนแหง ๆ
ลูกธนูดอกแรกของผมถูกปล่อยออกไปกลางอากาศ... ก่อนจะลอยลิ่วหลุดกรอบเป้าไปอย่างน่าอนาถ ผมหน้าเสียนิดหน่อย แต่ก็พยายามเล็งใหม่อีกครั้งอย่างมุ่งมั่น (กลัวเสียฟอร์ม) ทว่าเอลเซียนก็ก้าวเข้ามาเสียก่อน มือของเขาประคองมือผมไว้เบา ๆ ก่อนจะช่วยจับแนวเล็งให้ตรง
“พระองค์ต้องตั้งระยะประมาณนี้... ยกแขนขึ้นหน่อย คลายไหล่” เขาว่าเสียงนุ่ม แต่จังหวะจับมือแน่นพอให้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
“ใครจะไปเก่งเหมือนเจ้าล่ะ ข้าไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นนักรบเหมือนเจ้านี่นา” ผมพ่นลมเบา ๆ พูดออกแนวประชด ประมาณว่า... ฮอร์โมนประชดชีวิตกำลังทำงาน และก็อดจะคิดไม่ได้ว่าสามีแต่ละคน...ทำไมถึงดีขนาดนี้กันนะ
“ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปก็ได้ ฝ่าบาทแค่ต้องฝึกไว้เพื่อป้องกันตัว… เผื่อวันไหนพวกข้าอยู่ไกลเกินกว่าจะปกป้องท่านได้”
“ก็...อย่าอยู่ไกลสิ”
คำพูดหลุดออกไปก่อนที่สมองจะได้อนุมัติ ผมหยุดชะงักนิดหนึ่งแล้วรีบเบือนหน้าหนีราวกับกลัวว่าคนข้างหลังจะได้ยิน ทั้งที่จริงเขายืนอยู่ใกล้จนแทบจะได้ยินเสียงลมหายใจ
ผมมีสิทธิ์พูดอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ...
เอลเซียนเงียบไปพักหนึ่ง เหมือนกำลังทบทวนคำพูดที่ผมเผลอหลุดออกไป
“…หึ”
เสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ดังขึ้นแผ่วเบา
ผมหันขวับไปทันทีโดยไม่ทันคิด แล้วก็เห็นว่าเขากำลังกลั้นยิ้มอยู่จริง ๆ มุมปากยกขึ้นนิด ๆ ดวงตาคู่นั้นยังคงสงบ...แต่ไม่เหมือนเดิม มันดู…นุ่มนวลขึ้น เหมือนกำลังพยายามซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้
ผมรีบเบือนหน้าหนีอีกครั้ง คราวนี้ทั้งหน้า คอ และหูคงแดงยันแผ่นหลัง
“เอาล่ะ” เขาพูดเสียงนุ่ม “ลองอีกลูกนะ คราวนี้ท่านเล็งเอง ข้าไม่ช่วย”
“ก็ได้” ผมพึมพำในลำคอ ทั้งที่ยังไม่กล้าสบตา แต่ก็ตั้งสมาธิกับเป้าธนูตรงหน้าแทน
ลูกธนูถัดไปพุ่งออกจากสายด้วยแรงมือที่ไม่มั่นคงนัก แต่คราวนี้มันไม่หลุดเป้าอย่างที่แล้วมา ถึงจะยังไม่เข้าเป้ากลางเป๊ะ ๆ แต่ก็ถือว่าดีกว่าเดิมมาก
“ดีมาก” เขาว่า พร้อมกับก้าวมายืนข้าง ๆ “ท่านเริ่มมีแรงในแขนมากขึ้นแล้ว”
“เพราะเมื่อกี้เจ้าจับมือข้าจนข้ารู้จุดถ่วงน่ะสิ...” ผมพึมพำออกไปอย่างไม่ได้ตั้งใจอีกแล้ว แล้วก็แทบกัดลิ้นตัวเองตาย จะหลุดอะไรแบบนี้อีกกี่รอบเนี่ย...
เขาหัวเราะเบา ๆ แต่มันฟังยังไงก็เหมือนคนที่กำลังยิ้ม…
“จำได้ก็ดีแล้ว”
เราฝึกกันต่ออีกหลายดอก ผมเริ่มจับจังหวะได้มากขึ้น แม้จะยังไม่เข้าเป้าทุกครั้ง แต่ก็พอจะรู้ว่าควรใช้แรงตรงไหน แขนเริ่มมั่นคงขึ้น และหัวใจก็เริ่มเต้นเป็นจังหวะปกติ… (มั้ง)
“พักก่อนเถอะฝ่าบาท แขนของท่านเริ่มล้าแล้ว”
เอลเซียนเดินไปหยิบผ้ามาผืนหนึ่ง แล้วยื่นให้ผมซับเหงื่อ
ผมนั่งลงกับพื้นหญ้านุ่ม ๆ หอบหายใจนิดหน่อย เหงื่อชื้นตามขมับแต่ก็รู้สึกดี… เป็นความเหนื่อยที่ได้ฝึก ได้ทำอะไรด้วยตัวเองจริง ๆ
เขานั่งลงข้าง ๆ ไม่พูดอะไรสักคำ แค่ส่งกระบอกน้ำให้เงียบ ๆ
บรรยากาศรอบข้างก็เงียบเหมือนกัน เหล่านักฝึกคนอื่นอยู่ห่างออกไป และตรงนี้มีเพียงเราสองคน
“เมื่อกี้ที่ข้าพูด…”
ผมเริ่มจะพูดแก้ตัว แต่เขากลับหันมาสบตาก่อนพูดขัด
“รู้แล้ว”
น้ำเสียงของเขายังคงนิ่ง แต่แววตากลับบอกชัดว่า...เขาเข้าใจ
ในสิ่งที่ผมไม่ได้พูดออกไป...
...
พอช่วงบ่าย ผมกับเอลเซียนก็กินข้าวกลางวันกับเหล่าทหารในกอง แม้จะเป็นแค่อาหารพื้น ๆ อย่างปลาย่างกับเนื้อเกรียม ๆ แต่กลับทำให้ผมรู้สึกคิดถึงบ้านอย่างบอกไม่ถูก ผมกินเงียบ ๆ ฟังเสียงพวกเขาคุยกันไปเรื่อย เอลเซียนยังคงนั่งข้าง ๆ ช่วยแงะก้างปลาให้ พอหมดมื้อ เขาก็ลุกขึ้นไปรับผิดชอบงานของตัวเอง
ตอนที่เอลเซียนมัววุ่นอยู่กับกองเอกสาร ผมก็แอบเดินออกมาเงียบ ๆ โดยไม่ได้บอกใคร แค่รู้สึกอยากอยู่เงียบ ๆ สักพัก ไม่ได้มีเหตุผลซึ้งอะไรหรอก แค่อยากทำตัวเหมือนพระเอกในหนังที่ชอบหายไปยืนใต้ต้นไม้ตอนแดดรำไร แล้วคิดอะไรเรื่อยเปื่อยแบบนั้น
แต่ผมไม่ใช่พระเอกไง ผมแค่คนธรรมดาที่จู่ ๆ ก็มาโผล่ในร่างองค์ชายที่ใคร ๆ ก็เอาใจซะเหลือเกิน
ที่โลกเดิมของผม ไม่มีบ้านให้คิดถึง ไม่มีแม้แต่คนให้กลับไปหา ชีวิตที่ผ่านมามันก็แค่เอาตัวรอด เป็นแค่พนักงานกินเงินเดือนที่เช้าตื่นไปทำงาน ตกเย็นก็มานั่งคิดว่า "วันนี้เหลือเงินกินข้าวเท่าไหร่" แล้วพรุ่งนี้ต้องใส่เสื้อยับ ๆ ไปประชุมมั้ย เพราะไม่มีเวลารีด
ไม่มีเจ้าชาย ไม่มีสนามฝึก ไม่มีธนู จะมีก็แต่...บิลค่าไฟกับมาม่ารสต้มยำ
เอาจริง ๆ ผมก็เห็นแก่ตัวนั่นแหละ ที่แอบคิดว่าอยากอยู่ที่นี่ต่อไป อยากใช้ชีวิตในร่างของ "เซย์เรน" คนที่มีคนรัก มีคนห่วง มีชีวิตที่ดูมีความหมายหน่อย…แม้มันจะไม่ใช่ของผมก็ตาม
ระหว่างที่เดินแบบพระเอกซีรีส์ในหัวตัวเอง ผมก็เพิ่งรู้ตัวว่า...เอ่อ นี่มันป่าใช่มั้ย แล้วผมเดินมาทางไหนนะ?
หันซ้ายก็มีแต่ต้นไม้ หันขวาก็มีแต่ต้นไม้ สุดท้ายคือมีแค่ผมกับความไม่แน่ใจในชีวิตอีกครั้ง
เก่งนักไม่ใช่เหรอ...อยากอยู่คนเดียวเองไง นี่ไง ได้อยู่สมใจเลย ติดอยู่กลางป่า ไม่รู้ทางกลับ ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มี GPS มีแค่ความมั่นหน้าบวกขาอ่อน ๆ ที่เดินมาไกลเกินจะเรียกสติทัน
แต่ทันใดนั้น—ฟิ้วว~!
เสียงแหวกอากาศเฉียดหูไปเสี้ยววินาที ผมแทบทรุดลงไปกองกับพื้นโดยไม่ต้องใช้สมองประมวลผล เพราะลูกธนูดอกนั้นพุ่งวาบผ่านหน้าไปฝังแน่นเข้ากับลำต้นไม้ใกล้ ๆ อย่างแม่นยำจนน่าขนลุก
ผมจะโดนฆ่าตายอยู่ในป่านี่จริง ๆ ใช่มั้ย… โดนเก็บกลางวันแสก ๆ แล้วกลายเป็นผีเฝ้าป่าแบบไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีแม้แต่ข่าวลงหน้าหนึ่ง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!?
ทันทีที่สติเข้าที่ ผมรีบกระโจนหลบหลังต้นไม้ตามสัญชาตญาณเอาตัวรอดที่ไม่รู้มีอยู่ในตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกเหมือนจะหลุดออกมานอกอก
ใครเป็นคนยิง? ตั้งใจเล็งมาที่ผมหรือเปล่า? หรือผมแค่เผลอเดินเข้ามาในพื้นที่หวงห้ามของใครบางคน?
ตั้งแต่ข้ามมาโลกนี้ ยังไม่เคยมีใครหมายหัวผมแบบจริงจังขนาดนี้มาก่อนเลยนะ! ย้ำอีกที ประสบการณ์การเอาชีวิตรอดของผมเท่ากับศูนย์ อาวุธ? ไม่มีติดตัวสักชิ้น ขวัญกำลังใจ? กำลังจะติดลบ แล้วผมยังจะหวังให้ใครโผล่มาช่วยอีกเหรอ...
หรือจะยอมยกธงขาว เดินออกไปแล้วพูดว่า “เอาเลย ยิงให้จบ ๆ ไป จะได้ไม่ต้องเครียดแล้ว” ง่ายดีไหมนะ...
แต่ยังไม่ทันได้คิดแผนอะไรต่อ เสียง ฉึก! ฉึก! ฉึก! ก็ดังรัว ๆ ขึ้นใกล้ ๆ ลูกธนูอีกหลายดอกพุ่งมาแบบไม่ปรานี ตรงไปยังที่ที่ผมกำลังซ่อนตัว
นี่มันไม่ใช่การยิงเตือนแล้ว นี่มันเล็งจะฆ่ากันชัด ๆ ...
ผมกอดตัวเองแน่น ใจเต้นโครมคราม คิดในหัวว่าถ้าเกิดตายตรงนี้ขึ้นมาจริง ๆ อย่างน้อยก็ขอให้ไม่ต้องทรมาน
และแล้ว—ฉึก!
ลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งตรงมาทางผมอีกครั้ง แต่ก่อนที่มันจะถึงตัว กลับมีลูกธนูอีกดอกพุ่งเข้ามาปะทะกลางอากาศ สกัดไว้ได้อย่างหวุดหวิด และในวินาทีนั้น ผมก็รู้สึกว่ามีบางอย่างคว้าร่างผมไว้แล้วดึงหลบออกมาอย่างรวดเร็ว
“เป็นอะไรมั้ย!? ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า!”
เสียงนั้น...ผมจำได้ดีไม่มีทางลืม
ผมซุกหน้าลงกับอกของเขาทันที น้ำตาไหลพรากเหมือนเด็กที่เพิ่งรอดตายจากฝันร้าย ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะยังมีชีวิตอยู่ เพราะเมื่อกี้ ความตายมันอยู่ใกล้แค่เอื้อมจริง ๆ
“เซย์เรน ท่านรอข้าอยู่ตรงนี้นะ ห้ามไปไหน เดี๋ยวข้ากลับมา”
“เอลเซียน...” ผมเรียกชื่อเขาเบา ๆ เหมือนเสียงนั้นจะช่วยรั้งเขาให้อยู่กับผมอีกนิด เพราะตอนนี้ผมยังช็อกจนทำอะไรไม่ถูก ร่างกายเย็นเฉียบ สายตาเหม่อลอย ในหัวขาวโพลนไปหมด
เอลเซียนไม่ได้พูดอะไรอีก เขาแค่กดมือเบา ๆ ลงบนหัวผม ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างสูงในชุดเกราะเบาเคลื่อนไหวเงียบเชียบ แต่แววตาในขณะหันหลังให้...แข็งกร้าวและอันตรายอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
เขาหายเข้าไปในแนวป่าทางเดียวกับที่ลูกธนูพุ่งมา
เสียงฝีเท้าของเขาเงียบราวกับลม เงียบจนน่ากลัว ผมพยายามควบคุมตัวเองให้ไม่สั่น แต่ความตื่นกลัวเมื่อครู่ยังคงอยู่เต็มอก
เวลาผ่านไปไม่นานนัก แม้สำหรับผมมันจะเหมือนผ่านไปเป็นชั่วโมง เสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็กลับมา พร้อมกลิ่นโลหะอ่อน ๆ ที่แตะจมูก
“เซย์เรน” เสียงทุ้มนั้นเรียกเบา ๆ
ผมเงยหน้าขึ้นอย่างช้า ๆ เอลเซียนยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว กลับมาอย่างไม่มีรอยขีดข่วน ใบหน้าสงบนิ่ง แต่เปื้อนฝุ่นเล็กน้อยจากการต่อสู้ เส้นผมของเขาถูกลมป่าพัดไหว แต่ดวงตาคู่นั้นกลับนิ่งลึกอย่างเดิม
“พวกมันหนีไปแล้ว” เขาบอก พลางย่อตัวลงนั่งตรงหน้าผม
“ข้าไม่แน่ใจว่าพวกมันเป็นใคร แต่ไม่ใช่พวกชาวบ้านแน่ การยิงแบบนั้น...เป็นฝีมือของคนที่ได้รับการฝึกมา”
ผมพยักหน้าเบา ๆ ยังพูดไม่ออก เขามองผมนิ่ง ๆ แล้วค่อย ๆ เอื้อมมือมาจับมือของผมไว้
“มือท่านสั่นอยู่” เขาว่าเบา ๆ ก่อนจะขยับตัวนั่งข้าง ๆ แทน แล้วดึงตัวผมเข้าไปในอ้อมแขนอย่างไม่พูดอะไรต่อ
ผมไม่พูดอะไรเช่นกัน แค่เอนหัวซบกับไหล่เขา เงียบ ๆ
อ้อมแขนของเขาแน่นพอดี ไม่แน่นเกินไป ไม่อ่อนเกินไป แค่นั้นก็ทำให้ลมหายใจของผมเริ่มกลับมาเป็นปกติ
“ข้าขอโทษ...ที่มาช้า” เขากระซิบใกล้หู
“ไม่ใช่ความผิดเจ้าสักหน่อย” ผมตอบเสียงเบา มือลูบปลายแขนเสื้อเขาไปมาอย่างไร้จุดหมาย
เรานั่งกันอยู่อย่างนั้นนานพอสมควร จนผมเริ่มหายตกใจลงบ้าง แม้หัวใจยังเต้นแรง แต่สมองก็เริ่มกลับมาใช้งานได้แล้ว …พอหันมามองตัวเองถึงได้รู้ว่า สภาพหลังหนีตายแบบทุลักทุเลของผมนั้นไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำตัวหนึ่ง
เนื้อตัวมอมแมมเต็มไปด้วยดินกับเศษใบไม้ ผมเปียกยุ่ง ดูแล้วไม่ต่างจากนางเอกนิยายที่หลงป่า แต่เป็นเวอร์ชันที่โดนฝนตกใส่ ลื่นล้มสี่รอบ แล้วกลิ้งตกเขาเบา ๆ ถึงจะสมจริง
เอลเซียนไม่พูดอะไร แค่ย่อตัวลงให้ผมขึ้นขี่หลังอย่างง่ายดาย ก่อนจะลุกขึ้นพาเดินต่อในป่าด้วยท่าทีระมัดระวัง
เดินได้ไม่นาน เสียงน้ำไหลซ่า ๆ ก็ดังขึ้นข้างหน้า พอพ้นแนวต้นไม้ ก็เจอน้ำตกเล็ก ๆ ที่ไหลลงมาจากหน้าผา เหมือนฉากในนิทานที่ไม่ควรโผล่มาในสถานการณ์ตึงเครียดแบบนี้เลยสักนิด
“ทุกคนอาจจะตกใจหากท่านกลับไปในสภาพนี้” เขาว่า ก่อนจะวางผมลงอย่างเบามือ แล้วยืนหันหลังให้ “ท่านชำระกายให้เรียบร้อย ข้าจะยืนรออยู่ตรงนี้”
ผมกะพริบตาปริบ ๆ มองแผ่นหลังกว้างนั่นอย่างอดบ่นในใจไม่ได้...อะไรกัน แบกกันมาตั้งไกล หายใจรดต้นคอขนาดนั้น พอมาถึงจุดนี้กลับยืนหันหลังให้ซะงั้น แต่งงานกันแล้วนะ ยังจะสุภาพกับเมียขนาดนี้อีกเหรอ
ก็เอาเถอะ ถึงจะน้อยใจนิด ๆ แต่ก็ไม่ได้อยากให้เขามาเห็นตัวเปื้อนดินของผมตอนนี้หรอก ผมถอนหายใจพลางปลดเสื้อผ้าออกช้า ๆ พอได้เห็นร่างกายตัวเองที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนก็อดถอนใจไม่ได้
ผมก้าวลงไปในน้ำเย็นจัดอย่างระมัดระวัง น้ำใสแจ๋วจนเห็นปลายเท้าแหวกผ่าน เผลอสะดุ้งเล็กน้อยเพราะความเย็น แต่ก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด บรรยากาศรอบตัวนี่มันดีเกินไปหน่อยไหม... ทั้งที่เมื่อกี้ผมเพิ่งเกือบตายแท้ ๆ
สายตาเหลือบมองไปทางเอลเซียนที่ยืนอยู่ตรงเดิม หันหลัง แขนกอดอก เงียบสงบแบบทหารดีเด่น ผมยิ้มขำในใจ แล้วจู่ ๆ ความคิดซน ๆ ก็ผุดขึ้นมา
ในเมื่อเขาไม่คิดจะหันมาเอง... งั้นก็ต้องหาเหตุผลให้เขาหันสิ
ผมเดินไปตรงจุดที่น้ำลึก แล้วค่อย ๆ ทิ้งตัวลงใต้น้ำให้แนบเนียน แล้วเริ่มดิ้นนิด ๆ ตีน้ำเบา ๆ ก่อนร้องเสียงหลง
“แฮ่ก...! ช่วย...!”
เสียงที่แสร้งให้ดูตื่นตระหนก กับจังหวะที่น้ำแตกกระเซ็นจากการตะเกียกตะกาย ได้ผลเกินคาด
“เซย์เรน!” น้ำเสียงเขาตะโกนลั่น พร้อมเสียงตูมใหญ่ เอลเซียนกระโจนลงมาโดยไม่ลังเล แล้วคว้าตัวผมขึ้นจากใต้น้ำอย่างรวดเร็ว
แต่ดันเป็นว่า...ผมสำลักน้ำเข้าจริง ๆ!
“แค่ก! แค่ก!” เสียงไอดังลั่น หน้าแดงน้ำตาไหลแบบไม่ต้องแสดง
จากที่กะจะอ่อยกลายเป็นเด็กจมน้ำไปซะอย่างนั้น!
เอลเซียนกอดร่างผมแน่นในอ้อมแขน ช้อนตามองด้วยความตกใจ
"ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า!? หายใจลึก ๆ เร็ว!"
"ข—ข้าไม่เป็นไร..." ผมพูดทั้งที่ยังไอจนน้ำตาเล็ด
เขาหยัดตัวขึ้น พาผมเดินขึ้นฝั่ง ประคองให้ผมนั่งพิงหินใกล้ ๆ แล้วนั่งลงข้าง ๆ ยกมือแตะหน้าผากกับแก้มผมเบา ๆ เหมือนจะเช็กอุณหภูมิหรือหาสัญญาณอะไรบางอย่าง
ผมรู้สึกถึงสายตาที่อบอุ่นและกังวล ทว่าก็รู้สึกเขินจนหน้าแดงวูบ ๆ เลยตัดสินใจใช้ความกล้าหาญที่เหลืออยู่
ผมยกมือแตะแก้มเขาเบา ๆ แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ “เอลเซียน…ถ้าท่านไม่รีบดูแลข้าแบบนี้ ข้าคงไม่มีวันให้อภัยท่านแน่”
เขาหยุดมือ สบตาผมช้า ๆ น้ำเสียงทุ้มต่ำพูดออกมาอย่างจริงจัง
“ข้า…ไม่อยากให้ท่านเป็นอะไรไป”
ผมโน้มหน้าเข้าไปใกล้เขาทีละนิด แล้วเอ่ยเบา ๆ
“ถ้าจะห่วงกันขนาดนี้...ทำไมไม่จูบข้าสักทีล่ะ”
เอลเซียนหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย คิ้วขมวดคล้ายลังเล แต่สุดท้ายก็ใจอ่อน เขาค่อย ๆ โน้มตัวเข้ามา ประกบริมฝีปากกับผมอย่างแผ่วเบา จูบนั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่น ความห่วงใย และความรักที่ไม่ได้เอ่ยเป็นคำพูด
เมื่อริมฝีปากผละออกช้า ๆ สายตาของเขายังคงจับจ้องมาที่ผม สีแดงระเรื่อแต้มอยู่บนใบหน้าที่เคยเรียบเฉย ผมยิ้มบาง ๆ แล้วก้มหน้าลงแตะหน้าผากชนกันอย่างแผ่วเบา
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ข้าสัญญา...ว่าจะไม่ปล่อยให้ท่านตกอยู่ในอันตรายเช่นวันนี้อีก”
“ดีแล้ว...เพราะต่อจากนี้ เจ้าต้องดูแลข้าทั้งชีวิตเลยนะ”
-----------------------------------------
ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะ
รักคนอ่าน❤️
สนุกมากครับ ชอบ แต๊งกิ้ว ขอบคุณครับ ชอบมากครับ สนุกมากครับ
อ่อยจังนะเซย์เรน เดี๋ยวเจอของจริงจะรู้สึก 55
ขอบคุณนะครับ ขอบคุนครับ ขอบคุณครับ สนุกมากครับ ขอบคุณครับ{:5_137:} เขินอีกแล้ว
หน้า:
[1]