รักเร่ร่อน...ของคนจรจัด 4 bymod-cup
เร่ร่อน4“ไอ้เล็กมึงจะไปไหน” ไอ้ปอนด์เข้ามากดผมที่กำลังลุกจากเตียงให้นอนราบลง
“ไปโรงพักเขาโดนจับอยู่โรงพักไหน” ผมดันมันออกแล้วลุกขึ้น
“ไปทำไมมึงยังไม่ค่อยดีกูจัดการให้แล้ว” มันกดลงนอน
“จัดการบ้าอะไรล่ะมึงเข้าใจผิดนะ!” ผมลุกขึ้น
“มึงเลิกเป็นคนดีซะทีเถอะ!” มันกดลง
“ถอยไปไอ้ปอนด์” ผมลุกขึ้น
“ไม่!กูไม่ปล่อยให้มึงไปช่วยมันแน่ มึงมันดีเกินไป” มันกดลง
“เขาช่วยกูไว้!” ผมลุกขึ้น
“โกหก!” มัน...
พลั่ก!!!
ยังไม่ทันกดลงผมชิงถีบท้องมันซะก่อน กระเด็นไปไม่ไกลแต่ก็มีระยะห่างพอให้ผมกระโดดลงเตียงมายืนจังก้าชูหมัดสองข้างตั้งการ์ดขึ้น
“มึงอย่าเข้ามานะไอ้ปอนด์แล้วแหกขี้หูฟังกูด้วย!” ผมโมโหแล้วจริงๆ “เขาช่วยกูไว้ กูติดอยู่ในบ้านที่ไฟไหม้แล้วเขาเข้าไปช่วย”
“มะมันอาจจะหวังผล...”
“อย่ามองคนจากภายนอกไอ้ปอนด์มึงก็รู้ว่ากูเกลียดคนประเภทนี้ที่สุด คนเลวจริงน่ะไม่เอาชีวิตไปเสี่ยงแบบนั้นหรอก!เขาช่วยกู! มึงเห็นมั้ยกูบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่ารอยแผลสักนิดก็ไม่มี ถ้าไม่ได้เขากูไม่ปลอดภัยได้หรอกเผลอๆอาจจะตายในกองไฟไปแล้ว และไม่ว่ามึงหรือใครที่เห็นอะไรมากูเชื่อว่ามันต้องมีเหตุผลเพียงแต่ไม่มีใครที่จะถามหาความจริง! หรือมึงจะเถียงว่ามึงถามเขาแล้ว”
“...”
ความเงียบคือคำตอบที่ดีที่สุด
“มึงพากูไปโรงพักเดี๋ยวนี้”
“แต่...”
“เดี๋ยวนี้!!!”
ชอบให้ผมร้ายแล้วถึงจะยอม!!
มาถึงโรงพักผมก็จัดการไปให้ปากคำกับตำรวจซะใหม่ในฐานะเจ้าทุกข์ตัวจริง กว่าจะคุยกันรู้เรื่องว่าเขามาช่วยผมไม่ได้ทำร้ายหรือกระทำชำเราอย่างที่ใครหลายคนเข้าใจก็แทบตรงเข้าไปกระชากหนังหัวนายตำรวจงี่เง่าติดที่ไอ้ปอนด์ลูบหลังให้ผมใจเย็นไว้ไม่อย่างนั้นนอกจากจะช่วย ‘เพื่อน’ ของผมออกมาไม่ได้ผมยังจะเข้าไปนอนกินข้าวแดงด้วยอีกคน
ทำไมวันนี้ใครๆต้องให้ผมเผยด้านนางมารร้ายนะ
“เชิญทางนี้ครับ” จ่าตำรวจนายหนึ่งผายมือไปทางเดินด้านขวาซึ่งเป็นทางไปห้องคุมขัง
“กูรอข้างนอกนะละอายใจเกินกว่าจะเจอหน้าว่ะ ทำใจแป๊บ” ผมพยักหน้าเข้าใจก็สมควรอยู่หรอก
ผมเดินตามจ่ามาถึงห้องคุมขังกวาดตามองเข้าไปในห้องขังก่อนสายตาจะปะทะเข้ากับรูปร่างอันคุ้นเคยการแต่งตัวอันคุ้นตาเขานั่งกอดเข่าเหม่อมองไปยังพื้นเบื้องหน้าที่ถ้าเพ่งมองดีๆจะเห็นว่ามีแมลงสาบตัวหนึ่งกำลังวิ่งวนอยู่ ขาทั้งสองข้างของผมก้าวเข้าไปช้าๆเหมือนเขาจะได้ยินเสียงฝีเท้าจึงเงยหน้าขึ้นมอง ทันทีที่ผมเห็นใบหน้าเขาก็แทบทรุดลงบนพื้นดีที่จับซี่ลูกกรงไว้ได้ก่อน
“นาย...” ส่งเสียงผ่านน้ำลายที่หนืดเหนียวในคอ
ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยซ่อนอยู่ใต้ความมอมแมมแต่บัดนี้ไม่ใช่อีกแล้ว
มันกำลังซ่อนอยู่ภายใต้รอยฟกซ้ำแทน!!!
มุมปากเขียวช้ำ โหนกแก้มแตกมีรอยเลือดที่หยุดไหลไปแล้วเกรอะกรังส่วนแก้มอีกข้างมีรอยแดงจากนิ้วทั้งห้า
“ไม่เป็นไรใช่มั้ย” เขาถามเสียงแหบแผ่วพลางลุกและค่อยๆเดินกระเผลกเข้ามาใกล้ผมขะขาของเขา...
ตัวเองเจ็บขนาดนี้ยังมาห่วงคนอื่นอีก!
“ขานาย...”
“...” ถึงจะมองไม่เห็นเพราะเขาใส่เสื้อและกางเกงขายาวแต่ผมรู้ว่าเขาเจ็บ
“ฮึก”
“อย่าร้อง...ผมไม่เป็นไร” เขายกมือขึ้นแตะหลังมือผมที่จับซี่ลูกกรงอยู่หลังมือใหญ่ดำคล้ำมีรอยแผลเหมือนโดนไฟลวก...เพราะช่วยผมสินะ
ไม่สิทุกรอยแผลบนตัวเขาตอนนี้เกิดมาจากการช่วยผมทั้งนั้น
“ฮึก เจ็บมั้ย” เขาส่ายหน้าเบาๆผมปาดน้ำตาออกก่อนหันไปหาจ่าเฉยที่ยืนห่างไปสี่ห้าก้าว
“ช่วยปล่อยเขาออกมาทีครับ” จ่าพยักหน้าความจริงเขาต้องโดนปล่อยตัวตั้งนานแล้ว ผมนี่แหละมายืนคร่ำครวญอยู่ได้!
หลังจากโดนปล่อยตัวแล้วผมพาเขามายังรถที่ไอ้ปอนด์จอดรออยู่ก่อนแล้ว ผมเปิดประตูหลังเข้าไปนั่งก่อนเขยิบมาอีกด้านเพื่อแบ่งที่ให้เขานั่งอีกคน
แต่เขาไม่ตามเข้ามา ผมจึงกวักมือเรียก
“นาย มาสิ”
“ส่งผมแค่นี้ก็พอ” ว่าแล้วเขาก็หันหลังเดินกระเผลกออกไปเลย ไอ้ปอนด์ที่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับมองมาทางกระจกส่องหลังเป็นเชิงว่าจะเอายังไงต่อ ผมนิ่งชั่วอึดใจก่อนบอกให้มันกลับไปก่อนเลยขณะที่พาร่างตัวเองลงมายืนข้างรถ
“เอางั้นหรอมึง”
“เออตามนี้แหละเดี๋ยวกูขึ้นสองแถวกลับ ไปก่อนนะ” ว่าจบผมก็รีบเดินออกมาเลยขืนชักช้าเดี๋ยวตามไม่ทันหายตัวไปอีกคราวนี้ผมบ้าตายแน่
ผมถอนหายใจโล่งอกเมื่อเดินออกมาถึงริมฟุตบาทข้างโรงพักก็เห็นเขากำลังยืนรอข้ามถนนอยู่ โดยที่ไม่รู้ว่าไปเอาไม้ไผ่มาเป็นไม้เท้าค้ำยันจากไหน
“มา ฉันช่วย” ผมเข้าไปจับแขนช่วยประคองเขาหันมามองหน้าทำท่าเหมือนจะพูดอะไรแต่สุดท้ายก็ไม่พูดออกมา
ดีแล้วล่ะที่ไม่พูด ผมไม่ฟังหรอก
“ป่ะ” เมื่อถนนโล่งผมก็ประคองพาเขาข้ามถนน
เราเดินกันมาเรื่อยๆจนถึงเพลิงไม้ขายกล้วยทอดที่ปิดร้านแล้ว เราเลยถือวิสาสะนั่งลง(ผมบังคับให้เขานั่งเพราะเห็นว่าเขาเริ่มจะเดินไม่ไหวแล้ว) ผมให้เขาถอดเสื้อแจ๊คเก็ตตัวนอกออกอย่างต้องการจะดูว่าเขาบาดเจ็บตรงไหนบ้าง เขาทำท่ายึกยักแต่วันนี้เชื่อเถอะไม่มีใครสู้แรงผมได้หรอก
วินาทีแรกที่ผมได้เห็นรอยฟกช้ำตามร่างกายของเขาทำเอาใจผมกระตุกวูบ
ขนาดสีผิวดำคล้ำยังเห็นรอยได้ชัดเจนขนาดนี้
ใจร้ายกันได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“ไปโรงพยาบาลกัน” ผมจับมือเขาลุกขึ้น แต่เขากลับส่ายหน้าพลางขืนตัวไว้“นายเจ็บ” ผมย้ำ
“ผมไม่...”
“ไม่เจ็บได้ยังไงรอยเขียวช้ำเต็มตัวแบบนี้” ผมดักคออย่างรู้ว่าเขาจะพูดอะไร
“ผมไปโรงพยาบาลไม่ดีหรอก”
“ทำไม”
“ดูสภาพสิคนในโรงพยาบาลคงแตกตื่นกันหมด” เขาส่งเสียงเยาะในคอ
ผมเถียงไม่ออก จะพูดว่าคนเหมือนกันไม่มีใครกลัวก็พูดได้ไม่เต็มปากเพราะรอยตามร่างกายมันฟ้องว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมแบ่งแยกกดเขาลงไปอีกชั้นหนึ่งมากแค่ไหน
ซึ่งผมไม่ชอบใจค่านิยมแบบนี้เลย
ผมนิ่งคิด ถึงยังไงผมก็ปล่อยเขาไว้แบบนี้ไม่ได้ ไม่เกินพรุ่งนี้แผลตามตัวเขาต้องเริ่มอักเสบแน่ถ้าไม่ได้รับการดูแลสุดท้ายไม่พ้นไข้จับแหงๆ
“’งั้นเอางี้นายไปพักห้องฉันก่อน”
กึก
เขานิ่งไปก่อนจ้องผมด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออกจ้องเหมือนมีแมลงสักตัวบินหลงเข้ามาในลูกตาและเขากำลังมองหามันอยู่
“จ้องฉันทำไม”
“เมื่อกี้คุณพูดว่าให้ผมไปอยู่ด้วย”
“อือฮึ” แล้วมันแปลกตรงไหน
“ผมสงสัย” เขาพูดแล้วถอนสายตาออกไปจากใบหน้าผมเหม่อมองตรงไปด้านหน้าแทนผมเลิกคิ้วอย่างงงัน
“สงสัยอะไร”
“มีใครเคยบอกคุณมั้ยว่าคุณไว้ใจคนอื่นมากเกินไป” ผมขมวดคิ้วนิ่งคิดก่อนจะเม้มปากเมื่อเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการสื่อ ผมเลยสวนกลับไปบ้าง
“แล้วมีใครเคยบอกนายมั้ยว่านายพูดกับฉันเยอะขึ้น” จริงๆนะ จำได้ว่าเจอกันครั้งแรกอย่าว่าแต่พูดเลยแม้แต่เข้าใกล้ยังไม่กล้าด้วยซ้ำ ก่อนมันจะพัฒนาเป็นการพูดกับผมสองสามคำ แล้วดูเดี๋ยวนี้สิต่อปากต่อคำได้ทุกประโยค
มันเป็นสัญญาณบอกว่าเขาไว้วางใจผม
เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในกองเพลิงวันนั้นที่ทำให้ผมไว้วางใจเขาเช่นกัน
“ใครจะมาบอกผมล่ะ”
นั่นสิ
แม้แต่ความเห็นใจยังยากที่จะหยิบยื่นให้กัน
“ไปอยู่กับฉันนะ” ผมพูดขึ้นอีกครั้ง
“ไม่ล่ะ”
“แค่ช่วงแผลนายหายก็ได้” ผมต่อรอง หลังจากนั้นค่อยหาวิธีช่วยเหลือกันต่อ ผมไม่ยอมให้เขาไปเร่ร่อนพเนจรเป็นคนจรจัดให้ใครต่อใครรังเกียจอีกแล้ว
คนดีๆอย่างเขาควรได้รับความโชคดีในชีวิตบ้าง
ผมไม่ปล่อยให้คนแอบหัวดื้อคิดนานจัดการเกลี้ยกล่อมต่อทันที
“นะ ให้ฉันได้ตอบแทนที่นายช่วยชีวิตฉัน ถ้าไม่ได้นายฉันอาจจะตายกลายเป็นเถ้าไปพร้อมกับบ้านหลังนั้นแล้ว” จริงๆนะผมยังคิดว่าถ้าวันนั้นผมไม่ได้เขาจะรอดมาจากบ้านที่ล้อมไปด้วยเปลวเพลิงได้ยังไง
อย่างน้อยผมก็ไม่สามารถกระโดดลงมาจากชั้นสองด้วยเท้าเปล่าโดยด้านล่างมีแต่เพลิงทะเลแบบนั้น
“ไม่ได้ครึ่งที่คุณทำให้ผมหรอกผมแค่ช่วยชีวิต แต่คุณ...คือผู้ให้ชีวิต”
ผมชะงัก
ไม่ใช่เพราะคำพูดของเขา
แต่เพราะดวงตาของเขา
ประกายตาที่ทำให้ผมใจเต้นแรง
แม้จะโดนทำร้ายจนเจ็บหนักโดนจับขึ้นโรงพักนอนห้องขังแต่สายตาเขายังว่างเปล่าอย่างไม่ยี่หระต่อสิ่งใดบนโลก
แต่ประโยคที่เขาพูดพร้อมประกายตาแห่งความสุขเมื่อครู่มันทำให้หัวใจผมพองฟู
“สรุปนายไปอยู่กับฉันนะ”
“ไม่”
อะไรอ่ะ คิดว่าคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ!
“ทำไมนายดื้อจัง!” ผมเริ่มขึ้นเสียงเจ็บหนักขนาดนี้ไปนอนข้างถนนตากแดดตากฝนให้ตัวใหญ่แข็งแรงยังไงก็ไม่รอดแน่
เขาอึ้งไปกับท่าทีโมโหของผมก่อนถอนหายใจหนัก
“ผมกลัวคนจะมองคุณไม่ดีใครจะคิดยังไงถ้าคุณเอาคนบ้าเข้าคอนโด” คำว่า‘คนบ้า’ ทำเอาผมเจ็บในอก
“นายไม่ได้บ้า”
“คุณดื้อกว่าผมอีก”
“รู้แล้วก็เลิกปฏิเสธแล้วไปด้วยกันสักทีเถอะครับถือว่ากระผมขอร้อง!”
ในที่สุดผมก็สามารถบังคับคนที่ดื้อสุดๆคนหนึ่งมากับผมได้แต่ก่อนจะกลับคอนโดเขาก็ขอไปที่ๆหนึ่งก่อน
เขาพาผมมายังหลังบริเวณบ้านที่ถูกไฟไหม้จนตอนนี้เหลือแต่ซากไม้ตอตะโกสีดำตรงไปยังท่อระบายน้ำขนาดใหญ่ที่ฝังอยู่ใต้ดินโดยมีปลายท่อด้านหนึ่งโผล่ออกมา เขากระโดดลงไปก่อนมุดหายเข้าไปในท่อระบายน้ำผมชะโงกเข้าไปมองแต่เห็นเพียงก้นของเขาที่อยู่ในท่าคลาน
อย่าบอกนะว่าโดนไล่จากตรอกนั่นก็มาอาศัยอยู่ในท่อระบายน้ำ
และการคาดเดาของผมก็ดูท่าจะจริงเมื่อเขามุดออกมาพร้อมถุงปุ๋ยที่ไว้สำหรับใส่ข้าวสารสิบห้ากิโล ณ ตอนนี้มันถูกตัดแปรรูปเป็นกระเป๋าสะพายข้างไปเรียบร้อยแล้ว
“ถุงอะไรอ่ะ” ก่อนหน้านี้ผมไม่เห็นเขาจะมีอะไรติดตัว
“บ๊อก” เอ๊ะ เสียงอะไร
“น้องหมา!!”
ผมเข้าไปอุ้มเจ้าน้องหมาที่โผล่หน้ามาจากถุงปุ๋ยแล้วส่งเสียงร้องที่ผมขี้ตู่เอาเองว่ามันจำผมได้และกำลังทักทายผมอยู่
“นายเอามันมาไว้ที่นี่หรอดีนะไม่เตลิดหนีไป” ผมพูดพลางจุ๊บปากมันหนึ่งทีและมันก็ส่งลิ้นมาเลียปากผมตอบน่ารักจัง
“มันกลับมาเอง”
“หือ” ผมเงยหน้าขึ้นสนใจผู้ชายตรงหน้า
“มันวิ่งหนีไปตอนที่ผมโดนชาวบ้านรุมทำร้าย”
“แล้วนายรู้ได้ยังไงว่ามันอยู่ที่นี่”
“มันคงจำทางกลับได้หรือไม่ก็มาตามกลิ่นเสื้อผ้าของผม” เขาชูถุงปุ๋ยขึ้นเป็นเชิงว่าในนั้นมีเสื้อผ้าอยู่ ก็เสื้อสูทกับเสื้อผ้าชุดเก่าก่อนที่ผมจะไปซื้อมาให้ผลัดเปลี่ยนนั่นแหละ
“ฉลาดจังเจ้าตัวน้อยรอเจ้านายอยู่สินะ” ผมก้มลงไปคุยกับน้องหมาในอ้อมกอดอีกครั้งก่อนเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มกว้างให้คนตัวโต
“ต่อไปนี้ก็ไปอยู่ด้วยกันนะ^_^”
“ไอ้เล็กยามบอกว่ามึงพาคนบ้าขึ้นคอนโด!” ไอ้ปอนด์เข้ามาเขย่าไหล่ทั้งสองข้างจนหัวโยกคลอนมึนไปหมด ผมเข้ามาในห้องมันเพื่อขอเสื้อกับกางเกงยางยืดสักชุดแต่ยังไม่ทันพูดอะไร พอเคาะห้องมันยังไม่ทันเคาะซ้ำประตูไม้บานใหญ่ก็เปิดผั่วะออกมาแล้วก็เจอจับเขย่าๆเช็กๆไม่หยุด
“พะพอก่อนกูเวียนหัว!”
“บอกกูมาก่อนสิว่าไม่จริง!”
“โอ๊ย ไปคุยกันข้างใน เดี๋ยวห้องข้างๆก็แห่ออกมาหรอก” ผมผลักมันเข้าไปในห้องก่อนปิดประตูปัง พิณกำลังพับผ้าอยู่บนพื้นหน้าโต๊ะเตี้ยหันมามองเราสองคนงงๆ
“ไอ้เล็กกูรู้นะว่ามึงจิตใจดีเลิศแต่แบบนี้มันเกินไปรึเปล่าวะ” มันว่าด้วยน้ำเสียงซีเรียสขั้นสิบ
“กูพูดไปมึงก็ไม่เข้าใจเอาเป็นว่าเขาเป็นคนดีมึงไว้ใจได้”
“มึงเจอมันไม่ถึงเดือนไม่รู้แม้แต่ชื่อด้วยซ้ำ!”มันยกมือขยี้ผมอย่างหัวเสีย
“แต่เขาเป็นคนดี”
“มึงไปแหวกอกมันดูหรือไงถึงรู้น่ะ!”
ผมไม่รู้จะอธิบายให้มันฟังยังไงว่ะ
“ปอนด์ มึงฟังกูนะกูยอมรับว่ากูไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาสักอย่าง แล้วกูก็ไม่เคยไปแหวกอกบ้าบออะไรอย่างที่มึงพูด แต่เขาช่วยชีวิตกูไว้เขาคือผู้มีพระคุณ โอเค ถึงสุดท้ายเขาจะไม่ใช่คนดีหรือถึงแม้เขาจะเป็นคนบ้ากูก็ปล่อยเขาไว้แบบนั้นไม่ได้ มึงเข้าใจกูมั้ย”
“แต่มึงก็ไม่ควรเอาเข้ามาอยู่ในห้องมึงถ้าพ่อแม่และพี่ชายมึงรู้จะเกิดอะไรขึ้น”
“กูขอล่ะปอนด์กูเชื่อว่าเขาเป็นคนดี ไม่ทำร้ายกูแน่นอน กูอยากให้มึงเชื่อใจกูนะกูดูคนไม่ผิดหรอก” ผมส่งสายตาอ้อนวอนขอร้อง
“ที่รัก” ผมส่งสายตาขอบคุณพิณที่ลุกเดินมาลูบแขนไอ้ปอนด์ช่วยอีกแรง
“ที่รักเข้าใจปอนด์ใช่มั้ยมันคนละเรื่องกับความเชื่อใจ”
“พิณรู้ค่ะพิณรู้...ปอนด์เป็นห่วงเล็ก แต่ที่รักเล่าให้พิณฟังเองว่าเขาเป็นคนเข้าไปช่วยเล็กไว้ ถ้าไม่ใช่คนสำคัญไม่มีใครเอาชีวิตกระโจนไปเสี่ยงแบบนั้นหรอกนะคะ แล้วเขาจะทำร้ายคนสำคัญได้หรอ” พิณเอียงคอส่งยิ้มหวานให้ไอ้ปอนด์ที่ขมวดคิ้วคิดตาม
แต่ผมนี่สิรู้สึกหน้าร้อนกับประโยคของพิณยังไงก็ไม่รู้
“แต่เขาหน้าตาน่ากลัวมากมั้ยพิณกลัวนะ” เมื่อเห็นว่าไอ้ปอนด์มีทีท่าอ่อนลงพิณก็หันมาขยิบตาพูดน้ำเสียงขี้เล่นกับผมแทน ถือเป็นการตัดบทและมัดมือชกว่าไอ้ปอนด์โอเคแล้ว
“ไม่หรอกรับรองเงาะถอดรูปเมื่อไหร่พิณจะอยากได้แฟนใหม่ทันทีเลยล่ะ”
“ไอ้เล็ก!”
ไม่ได้พูดเกินจริง ภาพวันที่ผมเอาเสื้อผ้าไปให้เขายังติดตาหล่อมากจริงๆขอบอกผมยังคิดอยู่ว่าถ้าสาเหตุที่ทำให้เขามาเป็นคนเร่ร่อนเพราะว่าตกงานจะจับเอาไปแคสเป็นนายแบบท่าจะรุ่ง
คราวนี้แหละได้ไปเป็นดาวโดดเด่นบนฟากฟ้าแน่ ฮ่าๆ
“แล้วนี่มันอยู่ไหน” ไอ้ปอนด์ถามเสียงขุ่น
“อาบน้ำอยู่กูมาห้องมึงก็จะมาขอเสื้อผ้านี่แหละ” ผมพูดเสียงแผ่วเอานิ้วชี้สองข้างจิ้มๆกัน
“งั้นเดี๋ยวพิณไปดูให้นะตัวใหญ่ๆใช่มั้ย”
“อืม” พิณว่าก่อนเดินหายเข้าไปในห้องนอนไอ้ปอนด์กอดอกมองผมนิ่งก่อนจะว๊ากโวยวายออกมาจนผมสะดุ้ง
“กูอยากจะผ่าสมองมึงออกมาดูจริงๆเล๊ย!!”
“เฮ้ย!!”
อย่ากระโจนมากระชากหัวกูนะไอ้บ้าเอ๊ย!!
ขอบคุณครับ เรื่องสนุกมากๆเลย รอตอนต่อไปนะครับ ขอบคุณมากนะครับ{:5_130:} ขอบคุณครับ ขอบคุณมากเลยครับ ขอบคุณครับ หวังว่าอะไรจะดีขื้นนะ เข้มข้นเข้าจริง ๆ แล้ว นะนี่ {:5_135:} ลุ้น ตาม เงาะถอดรูป
ขอบคุณมากเลยครับ อ่า.......... {:5_119:}ขอบคุณครับ{:5_119:} {:5_119:} ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ไอตัวเล็ก 555 สนุกมากเลยครับ ขอบคุณครับ ;P;P;P ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ