ลืมรหัสผ่าน
 สมัครเข้าเรียน
ค้นหา
ดู: 183|ตอบกลับ: 4

เล่ห์อนธการ ตอนที่ 5

[คัดลอกลิงก์]

มาเฟียนักศึกษา

กระทู้
246
ตอบกลับ
56
พลังน้ำใจ
9619
Zenny
38473
ออนไลน์
3292 ชั่วโมง




ยามสายของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลงมายังชานเรือนใหญ่ที่ถูกขัดจนมันปลาบ 'ธารานนท์' ในชุดผ้าแพรสีนวลสะอาดตา ก้าวเท้าตามหลัง 'ขุนวรกานต์' ขึ้นมาบนเรือนด้วยอาการสั่นเทาราวกับลูกนกตกน้ำ ยิ่งเข้าใกล้ห้องโถงรับรอง หัวใจดวงน้อยก็ยิ่งเต้นรัวแรงด้วยความหวาดกลัว


เมื่อก้าวพ้นธรณีประตูเข้าไป ภาพเบื้องหน้าคือสตรีผู้สูงศักดิ์ 'แม่หญิงบุษบา' นั่งพับเพียบอยู่บนตั่งไม้มะเกลือ เบื้องหน้ามีพานดอกมะลิและเข็มร้อยมาลัยวางอยู่ นางสวมเสื้อลูกไม้สีขาวทับด้วยสไบสีอัญชัน ท่วงท่าสง่างามและดูทรงอำนาจสมตำแหน่งคุณหญิงตราตั้ง


ธารานนท์รีบทรุดกายลงหมอบกราบแทบเท้าท่านขุนและแม่หญิงทันที หน้าผากจรดพื้นไม้ไม่กล้าเงยขึ้นมอง


"มาแล้วรึเจ้าคะ... เจ้าตัวดีของท่านพี่"


เสียงหวานที่เอ่ยขึ้นนั้นเจือความเย็นชาอยู่หลายส่วน บุษบาวางเข็มร้อยมาลัยลงช้าๆ ปรายตามองร่างที่หมอบสั่นงันงกอยู่เบื้องล่างด้วยสายตาคมกริบ นางแสร้งปั้นหน้านิ่งขรึม วางมาดนางพญาผู้เคร่งครัดในระเบียบ


"เงยหน้าขึ้นซิ... ให้ข้าดูหน้าชัดๆ หน่อย" คำสั่งนั้นเฉียบขาดจนธารานนท์สะดุ้ง


ร่างบางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ สบตาเข้ากับดวงตาคู่สวยที่จ้องมองมาอย่างพินิจพิเคราะห์ บุษบาหรี่ตามองสำรวจเครื่องหน้าหวานหยด ตั้งแต่ดวงตา จมูก ปาก ไปจนถึงผิวพรรณ


บรรยากาศในห้องเงียบกริบจนได้ยินเสียงเข็มตก ธารานนท์กลั้นหายใจ เตรียมใจรับคำด่าทอหรือสายตาดูแคลน


ทว่า... เพียงชั่วอึดใจ รอยยิ้มกว้างขวางก็ผุดพรายขึ้นบนใบหน้าจิ้มลิ้มของแม่หญิงบุษบา เสียงหัวเราะใสๆ ดังขึ้นทำลายความเงียบงัน


"โฮะๆๆ... ตายจริง! ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าเชียวพ่อคุณ"


นางทิ้งมาดขรึมเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น กวักมือเรียกธารานนท์หยอยๆ ด้วยท่าทีเป็นกันเอง "ขยับเข้ามาใกล้ๆ นี่สิ... ข้าไม่กินตับกินไส้เจ้าหรอก แหม... ข้าก็แค่แกล้งวางมาดลองใจไปอย่างนั้นเอง เห็นท่านพี่หวงนักหวงหนา ข้าก็อยากรู้ว่าเด็กคนนี้จะจิตใจมั่นคงเพียงใด"


ธารานนท์กะพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงง หันไปมองท่านขุนเป็นเชิงถาม ขุนวรกานต์ยิ้มขำ พยักหน้าอนุญาต


"มาเถอะ... มาช่วยข้าเด็ดขั้วดอกมะลินี่หน่อย" บุษบายื่นพานดอกไม้ให้ "หน้าตางามจิ้มลิ้มผิวพรรณผู้ดีอย่างเจ้า ไม่น่าแปลกใจที่ท่านพี่จะหลงหัวปักหัวปำ... มาอยู่เป็นเพื่อนคุยกับข้าดีกว่า นั่งร้อยมาลัยไปคุยไป จะได้ไม่เหงา"


ความใจดีและเป็นกันเองของบุษบา ทำให้กำแพงความกลัวของธารานนท์พังทลายลง เขาค่อยๆ ขยับเข้าไปนั่งใกล้ๆ เริ่มลงมือช่วยหยิบจับงานฝีมืออย่างคล่องแคล่ว บรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่กลับกลายเป็นความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ


ขุนวรกานต์มองภาพภรรยาในนามกับคนรักของตนนั่งคุยกันถูกคอด้วยความโล่งใจ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี เขาจึงขอตัวลาไปราชการที่กรม


"ฝากเจ้านนท์ด้วยนะน้องหญิง... ตอนเย็นพี่จะรีบกลับ" ท่านขุนสั่งความก่อนจะเดินลงเรือนไป


ทันทีที่แผ่นหลังกว้างของท่านขุนลับสายตาไป... บรรยากาศบนเรือนก็เปลี่ยนไปอีกครา แต่คราวนี้มิใช่ความเคร่งขรึม หากแต่เป็นความ 'อยากรู้อยากเห็น' ตามประสาหญิงสาว


บุษบาวางมือจากงานร้อยมาลัยทันควัน หันขวับมาหาธารานนท์ด้วยดวงตาที่เป็นประกายวาววับ นางขยับตัวเข้ามาใกล้จนไหล่ชนไหล่ กระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น


"นี่ๆ... พ่อนนท์ คุณพี่ไปแล้ว..." นางยิ้มกรุ้มกริ่ม "เล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ"


"เล่า... เล่าเรื่องอันใดหรือขอรับ?" ธารานนท์ถามซื่อๆ


"ก็เรื่อง... ในมุ้ง... ไงเล่า!" บุษบาหัวเราะคิกคัก พลางเอาพัดปิดปาก "ปกติข้าเห็นท่านขุนทำหน้าเคร่งขรึม เป็นพ่อพระอิฐพระปูน พูดน้อยต่อยหนัก... ข้าอยากรู้นักว่าเวลาอยู่บนเตียงกับเจ้า เขาเป็นเช่นไร?"


ธารานนท์หน้าแดงเถือก ร้อนวูบวาบไปทั้งตัว "คะ... คุณหญิง..."


"ไม่ต้องมาเรียกคุณหญิง... ตอบข้ามานะ" นางรบเร้าอย่างสนุกสนาน "เขาดุเดือดเลือดพล่านสมชายชาติทหารหรือไม่? ... หรือว่าเขาจะขี้อ้อนเหมือนแมว? ... ข้าได้ยินมาว่าพวกผู้ชายเงียบๆ นี่แหละ ตัวดีนักแล... บทจะร้ายก็ร้ายจนเตียงหัก จริงหรือไม่?"


ธารานนท์อึกอัก ทำตัวไม่ถูกเมื่อเจอคำถามตรงไปตรงมาเช่นนี้ "อะ... เออ... คือท่านพี่... ก็... ก็ดุดันบ้าง... อ่อนโยนบ้างขอรับ" เขาตอบเสียงอ้อมแอ้ม ก้มหน้างุดด้วยความอาย


"อุ๊ยตาย! ... ดุดันด้วยรึ?" บุษบาทำตาโต ตบเข่าฉาด "เห็นไหมล่ะ ข้าว่าแล้ว! ภายใต้หน้ากากน้ำแข็งนั่น ต้องซ่อนเสือร้ายเอาไว้แน่ๆ ... ไหนเล่าซิ คืนแรกเป็นยังไง? เขาทำเจ้าช้ำไปทั้งตัวเลยรึเปล่า?"


ธารานนท์ได้แต่นั่งบิดผ้าเช็ดหน้าไปมาด้วยความเขินอาย ในขณะที่แม่หญิงบุษบายังคงซักไซ้ไล่เลียงเรื่องลึกๆ ลับๆ อย่างออกรสออกชาติ ราวกับได้เพื่อนสาวคนสนิทมานั่งปรับทุกข์ แกมอยากรู้เรื่องสามี โดยไม่มีท่าทีรังเกียจหรือหึงหวงแม้แต่น้อย


แม่หญิงบุษบายังคงขยับพัดด้ามจิ๋วในมือไปมาเบาๆ เพื่อคลายร้อน หากแต่ดวงตาคู่สวยกลับลุกวาวด้วยความใคร่รู้ที่มิอาจปิดบัง นางขยับตัวเข้ามาใกล้อีกนิด จนกลิ่นน้ำอบไทยหอมฟุ้งแตะจมูกธารานนท์


"ไหน... เล่าให้ละเอียดกว่านี้อีกนิดเถิดพ่อนนท์" นางกระซิบเสียงหวานหยด "ที่เจ้าว่าดุดัน น่ะ... พ่อพระอิฐพระปูนของข้า เขาทำกระไรกับเจ้าบ้าง? เขา... จับเจ้ามัดรึ? หรือว่าเขาชอบให้เจ้าเป็นฝ่ายรุก?"


ธารานนท์หน้าแดงก่ำจนลามไปถึงลำคอ ความขัดเขินตีตื้นขึ้นมาจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี แต่เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูและมิได้มีเจตนาร้ายของอีกฝ่าย เขาก็ยอมเปิดปากเล่าเรื่องราวที่น่าอายเหล่านั้นออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก


"คะ... คือว่า... ท่านพี่... เอ๊ย ท่านขุน..." ธารานนท์รีบแก้สรรพนามเมื่อนึกขึ้นได้ แต่บุษบาโบกมือห้าม


"เรียกว่าท่านพี่ ตามที่เจ้าถนัดเถิด ข้าไม่ถือ" นางยิ้มกว้าง


"ขอรับ..." ธารานนท์สูดหายใจลึก "ท่านพี่... เวลาอยู่ต่อหน้าบ่าวไพร่หรือราชการ ท่านจะดูสุขุมนุ่มลึก... แต่พอลับตาคน หรือยามอยู่บนเตียง ท่านจะเปลี่ยนไปราวกับคนละคนขอรับ... ท่านมีความต้องการสูงมาก... เอ้อ... เรียกได้ว่าตะกละตะกลาม ราวกับพายุที่โหมกระหน่ำมิรู้จบ"


บุษบาตาโต ยกมือทาบอก "ตายจริง! ... คุณพี่กานต์เนี่ยนะ?"


"ขอรับ..." ธารานนท์ก้มหน้างุด พลางใช้นิ้วเขี่ยดอกมะลิในพานเล่นแก้เขิน "ท่านชอบ... ชอบทิ้งรอยไว้ตามตัวข้า บอกว่าเพื่อตีตราจอง... และท่านก็ชอบพูดจา... เอ้อ... หยาบโลน ยามที่ท่านถึงจุดสุดยอด ท่านชอบให้ข้าร้องดังๆ และชอบบังคับให้ข้าพูดคำลามกเพื่อเอาใจท่าน"


"ว้าย! ... อกอีแป้นจะแตก!" แม่หญิงบุษบาหัวเราะร่าอย่างชอบอกชอบใจ "ใครจะไปนึกว่าพ่อขุนนางเนื้อหอม ผู้เคร่งครัดในจารีต จะมีรสนิยมดิบเถื่อนถึงเพียงนี้... มิน่าเล่า เขาถึงได้หวงเจ้านัก เพราะเจ้าเป็นคนเดียวที่รองรับอารมณ์ดิบของเขาได้นี่เอง"


นางมองดูรอยแดงจางๆ ที่โผล่พ้นคอเสื้อของธารานนท์ด้วยสายตาเข้าใจ ก่อนที่แววตาขี้เล่นจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนและจริงจังขึ้น


บุษบาวางพัดลง แล้วเอื้อมมือไปแตะหลังมือของธารานนท์เบาๆ "พ่อนนท์..." นางเอ่ยเรียกเสียงนุ่ม "ข้าถามจริงๆ เถิด... ก่อนที่จะมาอยู่ที่นี่ ก่อนที่ท่านพี่จะไปไถ่ตัวเจ้ามา... ชีวิตของเจ้าลำบากมากหรือไม่?"


คำถามที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ทำให้รอยยิ้มเขินอายบนหน้าธารานนท์จางหายไป แทนที่ด้วยความหมองหม่นที่ฉายชัดในดวงตา เขาเงยหน้าขึ้นสบตาหญิงสูงศักดิ์ เห็นเพียงความห่วงใยที่ฉายชัด มิใช่ความสมเพชเวทนา


"ลำบาก... ลำบากมากขอรับคุณหญิง" ธารานนท์ตอบเสียงเครือ "ข้าเกิดและโตในที่อโคจร แม่ข้าเป็นนางโลม ข้าเห็นความโสมมมาตั้งแต่จำความได้... พอเริ่มโตเป็นหนุ่ม ก็ถูกนายแม่จับฝึกวิชาปรนนิบัติบุรุษ ถูกตีถูกโขกสับสารพัด หากทำไม่ถูกใจลูกค้า"


เขาเล่าพลางเผลอลูบแขนตนเองเบาๆ ราวกับความเจ็บปวดจากไม้เรียวยังคงฝังอยู่ "ศักดิ์ศรีของข้า... มีค่าเท่ากับศูนย์ ชีวิตข้าแขวนอยู่บนความพอใจของคนอื่น ต้องคอยปั้นหน้ายิ้มรับอารมณ์ตัณหาของชายแปลกหน้าทุกค่ำคืน... ข้าไม่เคยคิดเลยว่าชาตินี้จะหลุดพ้นจากนรกขุมนั้นได้"


ธารานนท์น้ำตาซึม "จนกระทั่งท่านพี่ไปไถ่ตัวข้ามา... แม้ตอนแรกข้าจะนึกว่าเป็นเพียงการเปลี่ยนกรงขัง แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่า... ท่านคือผู้ชุบชีวิตข้าขึ้นมาใหม่"


แม่หญิงบุษบาฟังแล้วก็น้ำตาคลอเบ้าด้วยความสงสาร นางบีบมือธารานนท์แน่นขึ้น "โถ... พ่อคุณของข้า ผ่านเรื่องร้ายๆ มามากเหลือเกิน มิน่าเล่าแววตาเจ้าถึงได้ดูเศร้าสร้อยนัก"


นางยิ้มให้กำลังใจ "แต่มันจบแล้วหนา... นับจากนี้ไป เจ้าคือคนของเรือนนี้ เจ้ามีท่านพี่ดูแล และมีข้าเป็นเพื่อน... ใครหน้าไหนก็มาทำร้ายเจ้าไม่ได้อีกแล้ว ต่อไปนี้เจ้าไม่ต้องปั้นหน้ายิ้มให้ใครที่เจ้าไม่รักอีกแล้วนะ"


ธารานนท์มองสตรีตรงหน้าผ่านม่านน้ำตา ความอบอุ่นที่ได้รับจากเมียหลวงผู้แสนดี ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้พี่สาวเพิ่มมาอีกคน... พี่สาวที่จะคอยปกป้องน้องชายในเรือนหลังนี้ตลอดไป


บรรยากาศในห้องโถงเรือนใหญ่ดูผ่อนคลายลงอย่างถนัดตา เมื่อความโศกเศร้าในอดีตถูกระบายออกมาจนหมดสิ้น แม่หญิงบุษบามองดูธารานนท์ที่กำลังปาดน้ำตาด้วยความเอ็นดู นางตัดสินใจแล้วว่า เด็กหนุ่มผู้นี้สมควรแก่การได้รับความไว้วางใจ และเป็นสหายร่วมชะตากรรมที่นางตามหามานาน


บุษบาขยับตัวเข้าไปใกล้อีกนิด เหลียวซ้ายแลขวาดูให้แน่ใจว่าไม่มีบ่าวไพร่คนอื่นอยู่ใกล้ๆ นอกจาก 'อีอิ่ม' บ่าวคนสนิทที่นั่งหมอบอยู่ไม่ห่าง นางกวักมือเรียกบ่าวคู่ใจให้ขยับเข้ามาใกล้ แล้วหันมากระซิบกระซาบกับธารานนท์ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกับสายลม


"พ่อนนท์... ในเมื่อเจ้าเปิดใจเล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังจนหมดเปลือกแล้ว ข้าเองก็มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกเจ้า... เป็นความลับที่ข้าซ่อนไว้ใต้สไบผืนนี้มานานแรมปี"


ธารานนท์เงยหน้าขึ้นมองด้วยความฉงน "ความลับหรือขอรับ?"


บุษบายิ้มบางๆ นัยน์ตาฉายแววอ่อนโยนยามทอดมองไปที่ 'อีอิ่ม' บ่าวสาวหน้าตาคมขำที่นั่งก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มขัดเขินอยู่ข้างๆ "เจ้าคงนึกสงสัยสินะ ว่าเหตุใดข้าถึงยอมตกลงปลงใจแต่งงานกับท่านพี่ง่ายดายนัก ทั้งที่รู้ว่าท่านมีเจ้าอยู่เต็มอก... นั่นก็เพราะข้าเอง... ก็มี 'ยอดดวงใจ' ที่ข้ามิอาจเปิดเผยให้โลกรู้ได้เช่นกัน"


นางเอื้อมมือไปแตะไหล่ของอีอิ่มเบาๆ อย่างทะนุถนอม ราวกับกำลังสัมผัสของรักของหวง "คนรักของข้า... หาใช่ชายชาตรีที่ไหนไม่ แต่คืออิ่ม... บ่าวคนสนิทที่เติบโตมาพร้อมกับข้านี่แล"


ธารานนท์เบิกตากว้าง อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง "คะ... คุณหญิง... กับพี่อิ่ม?"


"ใช่จ้ะ..." บุษบายอมรับอย่างภาคภูมิ "ชาววังเขาเรียกกันว่า 'เล่นเพื่อน' ... ข้ามิได้พิศวาสในรสบุรุษ แต่ใจข้าผูกพันอยู่กับความอ่อนหวานนุ่มนวลของสตรีเพศ... อิ่มดูแลข้ามาตั้งแต่เล็ก ปรนนิบัติพัดวี รู้ใจข้าเสียยิ่งกว่าตัวข้าเอง ความผูกพันนั้นมันแปรเปลี่ยนเป็นความรักที่ลึกซึ้งเกินกว่านายกับบ่าว"


นางถอนหายใจเบาๆ ด้วยความโล่งอก "แต่โลกภายนอก โดยเฉพาะท่านเจ้าคุณพ่อกับคุณหญิงแม่ ท่านรับเรื่องวิปริตผิดเพศเยี่ยงนี้มิได้หรอกหนา... ข้าจึงต้องจำใจยอมแต่งงาน เพื่อหาทางออกให้ตัวเอง"


บุษบามองไปรอบๆ เรือนใหญ่ด้วยสายตาที่เป็นประกายแห่งความหวัง "การได้แต่งออกเรือนมาอยู่ที่นี่... ลับหูลับตาผู้หลักผู้ใหญ่ นับว่าเป็นวาสนาของข้าแท้ๆ ที่นี่ข้ามีอำนาจสิทธิ์ขาดในเรือนใหญ่ ท่านพี่ก็ไม่เข้ามายุ่งย่าม... ข้ากับอิ่มจะได้พลอดรักกัน ได้ดูแลกันอย่างอิสระ ไม่ต้องคอยหวาดระแวงสายตาใคร หรือกลัวจะถูกจับแยกจากกันอีกต่อไป"


อีอิ่มที่นั่งเงียบมานาน เงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นนายด้วยแววตารักใคร่สุดซึ้ง ก่อนจะหันมายิ้มอายๆ ให้ธารานนท์ "ฝากตัวด้วยนะเจ้าคะคุณนนท์... พวกข้าเองก็หัวอกเดียวกันกับเอ็ง”


ธารานนท์มองภาพหญิงสาวสองคนตรงหน้า... นายหญิงผู้สูงศักดิ์กับบ่าวผู้ต่ำต้อย ที่ทลายกำแพงชนชั้นด้วยความรักที่บริสุทธิ์ ความรู้สึกหนักอึ้งในใจพลันมลายหายไปสิ้น แทนที่ด้วยความอบอุ่นและความเข้าอกเข้าใจอย่างประหลาด


ที่แท้... ในเรือนแห่งนี้ มิได้มีเพียงเขาและท่านขุนที่ต้องหลบซ่อน แต่ยังมีคู่รักดอกไม้คู่นี้ ที่ซุกซ่อนความงดงามไว้ภายใต้เงาของสังคมเช่นกัน


"ข้าดีใจด้วยจริงๆ ขอรับคุณหญิง พี่อิ่ม..."


บุษบาหัวเราะเสียงใส เอื้อมมือมาจับมือธารานนท์ไว้ข้างหนึ่ง และจับมืออีอิ่มไว้ข้างหนึ่ง "เช่นนั้น... ต่อไปนี้พวกเราสามคน กับท่านพี่อีกคน ก็มาช่วยกันรักษาวิมานแห่งความลับนี้ไว้เถิดนะ... ต่างคนต่างมีความสุขในแบบของตน ไม่ต้องสนโลกภายนอก... ดีหรือไม่?"


"ดีขอรับ... ดีที่สุดเลยขอรับ"


ตะวันบ่ายคล้อยเริ่มลาลับขอบฟ้า ทิ้งแสงสีส้มอ่อนฉาบไล้ไปทั่วเรือนชาน 'ขุนวรกานต์' ก้าวเท้าขึ้นบันไดเรือนใหญ่ด้วยความเหนื่อยล้าจากการตรากตรำงานราชการมาทั้งวัน ใจหนึ่งก็พะวักพะวนด้วยความเป็นห่วง เกรงว่าการพา 'เมียลับ' มาฝากไว้กับ 'เมียแต่ง' จะเกิดเรื่องขุ่นข้องหมองใจกันหรือไม่


ทว่า... เสียงที่ลอยมากระทบโสตประสาท มิใช่เสียงด่าทอหรือเสียงร้องไห้คร่ำครวญอย่างที่นึกกลัว แต่กลับเป็นเสียงหัวเราะประสานกันอย่างครื้นเครง ราวกับมีงานรื่นเริงขนาดย่อมเกิดขึ้นบนเรือน


ท่านขุนขมวดคิ้วมุ่น เร่งฝีเท้าก้าวเข้าไปยังชานเรือนด้านใน ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทำเอาขุนนางหนุ่มผู้เจนจัดโลกถึงกับชะงักค้าง ยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ตรงธรณีประตู


ภาพเบื้องหน้าคือ 'แม่หญิงบุษบา' กำลังนั่งพับเพียบหัวเราะร่าจนตัวงอ ข้างกายมี 'อีอิ่ม' คอยปอกมะม่วงอกร่องใส่จาน ส่วนอีกด้านหนึ่ง... คือ 'เจ้านนท์' ของเขา ที่กำลังนั่งตาแป๋ว ตั้งอกตั้งใจร้อยพวงมาลัยอย่างขะมักเขม้น โดยมีแม่หญิงบุษบคอยชี้แนะอย่างใกล้ชิด


"นั่นแหละๆ พ่อนนท์... สอดเข็มเข้าไปเบาๆ อย่าให้กลีบช้ำ... โอ้ย! งาม! งามแต้ๆ พ่อคุณเอ้ย หัวไวจริงเชียว" บุษบาเอ่ยชมเปาะ


"จริงหรือขอรับคุณหญิง? ... ข้ากลัวว่ามันจะเบี้ยว" ธารานนท์ถามด้วยรอยยิ้มกว้างที่ท่านขุนไม่เห็นมานาน


"เบี้ยวที่ไหนเล่า! สวยกว่าอีอิ่มร้อยเสียอีกกระมัง ฮ่าๆๆ"


ขุนวรกานต์ยืนกะพริบตาปริบๆ ปรับอารมณ์ไม่ถูก ความหวาดระแวงที่สะสมมาทั้งวันมลายหายไปสิ้น แทนที่ด้วยความงุนงง... นี่มันเกิดอะไรขึ้น? สองคนนี้ไปสนิทกันปานจะกลืนกินตั้งแต่เมื่อใด?


"อ้าว... ท่านพี่! กลับมาแล้วรึเจ้าคะ?"


บุษบาเหลือบไปเห็นสามีที่ยืนทื่ออยู่ จึงเอ่ยทักขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส แต่ก็มิได้มีท่าทีจะลุกขึ้นมาปรนนิบัติพัดวีแต่อย่างใด นางเพียงแค่ขยับตัวเว้นที่ว่างเล็กน้อย "มานั่งสิเจ้าคะ... วันนี้พ่อนนท์เขาทำผลงานชิ้นเอกเชียวหนา"


ท่านขุนเดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ธารานนท์ สายตาคมจ้องมองคนรักด้วยความคิดถึง มือหนาเอื้อมไปหมายจะแตะไหล่เนียน "นนท์..."


"ประเดี๋ยวขอรับท่านพี่! ... อย่าเพิ่งกวน ข้ากำลังจะจบช่อ"


ธารานนท์ร้องห้ามเสียงหลง โดยไม่หันมามองหน้าท่านขุนเลยแม้แต่น้อย ดวงตากลมโตยังคงจดจ่ออยู่กับอุบะดอกจำปีในมือ นิ้วเรียวบรรจงผูกเงื่อนอย่างระมัดระวัง ราวกับกลัวว่าหากวอกแวกเพียงนิด งานศิลป์ตรงหน้าจะพังทลาย


ขุนวรกานต์ชักมือกลับเก้อ หน้าเหวอไปเล็กน้อย ความรู้สึกน้อยใจแล่นริ้วขึ้นมาจุกที่อก... อะไรกัน? เมื่อคืนยังนอนกอดออดอ้อนข้าอยู่หยกๆ มาวันนี้เห็นดอกไม้สำคัญกว่าผัวเชียวรึ?


เขาได้แต่นั่งกอดอกมองดูภาพบาดตาบาดใจ... ภาพที่ธารานนท์หันไปยิ้มหวานให้บุษบา หันไปหัวเราะคิกคักกับอีอิ่ม แล้วก็ก้มหน้าก้มตาร้อยมาลัยต่อ โดยทิ้งให้เขาเป็นเหมือน 'อากาศธาตุ' หรือส่วนเกินในวงสนทนา


"ดูสิเจ้าคะท่านพี่..." บุษบาแกล้งเย้าเมื่อเห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับของสามี "พ่อนนท์นี่หัวไวสอนง่าย สอนอะไรก็จำได้หมด ไม่เหมือนบางคน... สอนให้กลับบ้านตรงเวลาไม่ค่อยจะจำ"


"บุษบา..." ท่านขุนกดเสียงต่ำเชิงปราม แต่แววตากลับฉายแววขบขัน


"เสร็จแล้วขอรับ!"


จู่ๆ ธารานนท์ก็ร้องขึ้นอย่างดีใจ ชูพวงมาลัยดอกมะลิรูปทรงสวยงามขึ้นอวด เขาหันขวับมาทางท่านขุนเป็นครั้งแรก รอยยิ้มหวานหยดย้อยส่งมาให้จนท่านขุนใจเต้นรัว


"ท่านพี่... ข้าร้อยให้ท่านพี่ขอรับ"


ธารานนท์วางพวงมาลัยลงบนตักแกร่งของท่านขุน ก้มลงกราบที่ตักเบาๆ "เป็นพวงแรกในชีวิตของข้า... มอบให้ท่านพี่เจ้าเรือนขอรับ"


วินาทีนั้น ความน้อยใจและความหึงหวงเล็กๆ ของท่านขุนก็ปลิวหายไปราวกับควันไฟ เขายิ้มแก้มแทบปริ หยิบพวงมาลัยขึ้นมาดมด้วยความชื่นใจ "หอม... หอมมากพ่อนนท์ สวยงามประณีตบรรจงนัก"


สายตาที่เขามองธารานนท์เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู จนบุษบาต้องแกล้งกระแอมไอขัดจังหวะ "อะแฮ่ม! ... หวานกันจนมดจะขึ้นเรือนข้าแล้วกระมัง... เอาล่ะๆ แยกย้ายกันไปพักผ่อนเถิด ข้าเองก็จะพาอีอิ่มไปนวดเส้นเสียหน่อย วันนี้หัวเราะจนเมื่อยกรามไปหมดแล้ว"


นางขยิบตาให้คู่รักข้าวใหม่ปลามันอย่างรู้กัน ก่อนจะลุกขึ้นเดินนำอีอิ่มเข้าห้องไป ปล่อยให้ท่านขุนและธารานนท์ได้ใช้เวลาส่วนตัวสานต่อความหวาน... หลังจากที่ปล่อยให้ท่านขุนนั่งรอเก้อมานานสองนาน




แสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องลงมากระทบผิวน้ำเจ้าพระยาเป็นประกายระยิบระยับ ขับกล่อมให้เรือนไทยหลังน้อยริมน้ำดูสงบเงียบและเป็นส่วนตัวยิ่งขึ้น


ขุนวรกานต์เดินประคองธารานนท์กลับเข้ามาในเรือนเล็ก มือหนายังคงถือพวงมาลัยดอกมะลิฝีมือคนรักไว้อย่างทะนุถนอมราวกับเป็นของมีค่าควรเมือง เขานำมันไปวางไว้บนพานทองหัวเตียง เพื่อให้กลิ่นหอมกรุ่นของมะลิช่วยขับกล่อมราตรีนี้ให้หวานชื่นยิ่งขึ้น


เมื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองที่เบาสบาย ทั้งคู่ก็พากันล้มตัวลงนอนบนฟูกหนา ขุนวรกานต์รวบร่างนุ่มนิ่มเข้ามาในอ้อมกอดทันที จมูกโด่งกดลงสูดดมความหอมที่ซอกคอขาวฟอดใหญ่


"เฮ้อ... ชื่นใจจริง" ท่านขุนรำพึงเบาๆ "อยู่ที่เรือนใหญ่ต้องคอยปั้นหน้าขรึมต่อหน้าบ่าวไพร่ กลับมาเรือนเรา ได้กอดเจ้าเยี่ยงนี้ค่อยหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง"


ธารานนท์ยิ้มหวาน ซุกตัวเข้าหาไออุ่นที่คุ้นเคย "ท่านพี่เหนื่อยมากหรือไม่ขอรับวันนี้?"


"กายไม่เหนื่อยเท่าใดหรอก แต่ใจนี่สิ... พะวงหน้าพะวงหลัง" ท่านขุนผละออกมาเล็กน้อยเพื่อสบตาคนในอ้อมแขน แววตาฉายแววห่วงใยระคนกังวล "ว่าแต่เจ้าเถิด... วันนี้อยู่กับแม่หญิงบุษบาทั้งวัน นาง... รังแกเจ้าบ้างหรือไม่?"


ธารานนท์เลิกคิ้วสูง ก่อนจะหลุดหัวเราะคิกคัก "รังแก? ... ท่านพี่หมายถึงคุณหญิงน่ะหรือขอรับ?"


"ก็ใช่น่ะสิ" ท่านขุนทำหน้ายุ่ง "เห็นต่อหน้าข้านางยิ้มแย้มใจดี แต่ลับหลังข้า นางอาจจะวางมาดข่มเจ้า หรือหยิกเล็บเจ้าตอนข้าเผลอก็เป็นได้ นางยิ่งเป็นลูกผู้ลากมากดี อารมณ์แปรปรวนยากจะเดา"


"โธ่... ท่านพี่มองคุณหญิงผิดไปถนัดตาเลยขอรับ"


ธารานนท์ขยับตัวขึ้นมานอนหนุนแขนท่านขุน ดวงตาเป็นประกายวิบวับเมื่อนึกถึงวีรกรรมของแม่หญิงบุษบา "คุณหญิงท่านไม่ได้รังแกข้าเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำ... ท่านยังเป็นคนตลกขบขันยิ่งนัก เวลาอยู่ลับตาบ่าวไพร่ ท่านชอบเคี้ยวหมากแล้วบ่นเรื่องชาววังให้ข้าฟัง ข้าล่ะกลั้นขำแทบแย่"


"หืม? ... นางนินทาใครให้เจ้าฟังรึ?" ท่านขุนเริ่มสนใจ


"ก็นินทาท่านพี่นั่นแหละขอรับ" ธารานนท์ตอบเสียงใส


"อ้าว! ไหงมาลงที่ข้าเล่า"


"ก็คุณหญิงท่านบอกว่า..." ธารานนท์ดัดเสียงเล็กเสียงน้อยเลียนแบบบุษบา "พ่อนนท์เอ้ย... เอ็งดูผัวข้าสิ วันๆ ทำหน้าตึงเปรี๊ยะเหมือนหนังกลองเพล ข้าล่ะกลัวว่ายิ้มแล้วแก้มจะแตก ยามกินข้าวก็เงียบกริบเหมือนเปรตวัดสุทัศน์... ดีนะที่เอ็งมาเล่าว่าเรื่องบนเตียงเขา 'ดุเดือด' ข้าถึงค่อยโล่งใจว่าเขายังเป็นมนุษย์มนาอยู่!"


ขุนวรกานต์ฟังแล้วถึงกับอ้าปากค้าง ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ "ฮ่าๆๆ! ... นางว่าข้าหน้าตึงเหมือนหนังกลองเพลเชียวรึ? ร้ายกาจนักแม่คนนี้!"


"ยังมีอีกนะขอรับ" ธารานนท์เล่าต่ออย่างออกรส "ตอนที่สอนข้าร้อยมาลัย ท่านก็เผลอทำเข็มตำมือตัวเอง พอเลือดซิบ ท่านก็สบถคำว่า 'อุแม่เจ้า! เจ็บฉิบหาย!' ออกมาดังลั่น... ข้านี่ตกใจแทบตกตั่ง ไม่นึกว่ากุลสตรีชาววังจะสบถได้คล่องปากเยี่ยงนี้"


"ฮ่าๆๆ..." ท่านขุนหัวเราะจนตัวงอ น้ำตาเล็ด "ข้าดูลคนไม่ผิดจริงๆ ที่แท้นางก็เป็นแม่เสือซ่อนเล็บที่แก่นแก้วไม่เบา... มิน่าเล่า ถึงได้เข้าขากับเจ้าได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย"


ขุนวรกานต์กระชับกอดธารานนท์แน่นขึ้น กดจูบที่หน้าผากมนด้วยความเอ็นดู "เห็นเจ้ามีความสุข เข้ากับนางได้ ข้าก็เบาใจ... ต่อไปนี้เรือนของเราคงครื้นเครงพิลึก มีทั้งเมียแต่งที่แก่นเซี้ยว กับเมียรักที่ขี้ฟ้องเยี่ยงเจ้า"


"ข้าไม่ได้ขี้ฟ้องเสียหน่อย" ธารานนท์ย่นจมูกใส่ "ข้าแค่เล่าสู่กันฟังต่างหาก"


"จ้ะๆ พ่อคนปากแข็ง" ท่านขุนยิ้มละมุน "นอนเถิดคนดี พรุ่งนี้ถ้าเจ้าอยากไปหานางอีก ข้าก็ไม่ห้าม... แต่อย่าเพลินจนลืมกลับมาปรนนิบัติผัวที่เรือนนี้เสียล่ะ"


"ไม่ลืมหรอกขอรับ…”









ข่าวเรื่องงานบุญใหญ่ประจำปีที่ วัดสระเกศ แพร่สะพัดไปทั่วพระนคร ชาวบ้านร้านตลาดต่างพากันตื่นเต้นเตรียมข้าวของไปทำบุญและเที่ยวชมมหรสพที่จะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่


ณ เรือนใหญ่ของท่านขุนวรกานต์ บรรยากาศยามสายเต็มไปด้วยความวุ่นวายของการจัดเตรียมสำรับคาวหวานและเครื่องสังฆทาน 'แม่หญิงบุษบา' ในชุดไทยห่มสไบสีกลีบบัวงดงาม นั่งบัญชาการบ่าวไพร่ด้วยความคล่องแคล่ว โดยมี 'ขุนวรกานต์' นั่งจิบชาดูความเรียบร้อยอยู่ไม่ห่าง


ทว่า... สายตาของท่านขุนกลับคอยชำเลืองมองไปทางบันไดเรือน หวังจะเห็นเงาของใครบางคนที่เขาจำต้องสั่งให้อยู่เฝ้าเรือนริมน้ำ เพราะเกรงว่าหากพาออกงานด้วยจะเป็นที่ครหา


"เฮ้อ..." ท่านขุนลอบถอนหายใจเบาๆ ด้วยความสงสารเจ้านนท์ ที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในกรงทอง ทั้งที่มีงานรื่นเริงอยู่แค่เอื้อม


"ถอนหายใจทิ้งจนเรือนจะทรุดแล้วเจ้าค่ะคุณพี่"


เสียงใสของแม่หญิงบุษบาเอ่ยดักคอ นางวางมือจากการจัดพานดอกไม้ หันมาส่งยิ้มรู้ทันให้สามี "เป็นห่วงคนทางโน้น กลัวเขาจะเหงาใช่หรือไม่เจ้าคะ?"


ท่านขุนสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ายอมรับตามตรง "ก็งานบุญใหญ่ทั้งที... พี่ก็อยากพาเขาไปเปิดหูเปิดตาบ้าง แต่ติดที่ฐานะของเขา หากพาเดินเคียงกันไป ชาวบ้านร้านตลาดคงได้นินทากันสนุกปาก"


บุษบาหัวเราะหึๆ ในลำคอ แววตาเจ้าเล่ห์เพทุบายฉายวาบขึ้นมาทันที นางขยับตัวเข้ามาใกล้ กระซิบกระซาบแผนการอันแยบยล "เรื่องแค่นี้จะยากอะไรเล่าเจ้าคะ... คุณพี่ก็พาเขาไปสิ”


"หมายความว่ากระไร?" ท่านขุนเลิกคิ้ว


"ก็ให้พ่อนนท์ปลอมตัวเป็นบ่าวชาย ผู้ติดตามของข้าอย่างไรเล่า!"


นางดีดนิ้วเปาะอย่างชอบใจในความคิดตัวเอง "จับเขาถอดชุดผ้าไหมเนื้อดีออก ให้ใส่เสื้อผ้าฝ้ายมอซอ นุ่งโจงกระเบนสีเข้ม แล้วให้ช่วยถือตะกร้าของ หรือแบกปิ่นโตตามหลังเราต้อยๆ... แค่นี้ใครหน้าไหนจะไปสนใจมองบ่าวไพร่กันเล่า?"


ขุนวรกานต์นิ่งคิดตาม... จริงอย่างที่นางว่า ในขบวนขุนนาง ผู้คนมักจับจ้องเพียงนายผู้ทรงยศ หากธารานนท์แต่งกายปอนๆ เดินปะปนกับบ่าวไพร่ ย่อมไม่มีใครสังเกตเห็น หรือต่อให้เห็น ก็คงจำไม่ได้ว่าคือนายบำเรอผู้โด่งดัง


"เจ้าแน่ใจรึว่าแผนนี้จะได้ผล?" ท่านขุนยังลังเล


"เชื่อมือข้าเถิด!" บุษบายืดอกรับประกัน "เดี๋ยวข้าจะจัดการแปลงโฉมน้องนนท์ให้เอง รับรองว่าเนียนสนิทจนท่านพี่จำแทบไม่ได้เชียวล่ะ!"


...


ไม่นานนัก ที่เรือนริมน้ำก็เกิดความโกลาหลขนาดย่อม เมื่อแม่หญิงบุษบาบุกเข้ามาพร้อมกับอีอิ่มและกองเสื้อผ้าเก่าๆ ของบ่าวชาย


ธารานนท์ยืนงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อถูกจับถอดเสื้อผ้าเนื้อดีออก แล้วจับยัดใส่เสื้อคอกลมสีมอๆ กับโจงกระเบนสีตุ่นๆ แถมแม่หญิงบุษบายังใจกล้า เอาฝุ่นผงถ่านมาป้ายตามแก้มและแขนขาขาวผ่องของเขาให้ดูมอมแมมเหมือนคนทำงานหนัก


"อยู่นิ่งๆ สิพ่อนนท์!" บุษบาดุขำๆ ขณะกำลังเอาผ้าขาวม้ามาโพกหัวให้ธารานนท์เพื่อปิดบังใบหน้าหวาน "ผิวเจ้าขาวเกินไป ขืนเดินออกไปทั้งอย่างนี้ แสงกระแทกตาชาวบ้านเขาพอดี... ต้องทำให้ดูซอมซ่อหน่อย"


"โธ่... คุณหญิงขอรับ" ธารานนท์บ่นอุบอิบขณะมองสภาพตัวเองในกระจก "ข้าดูเหมือนขอทานมากกว่าบ่าวติดตามนะขอรับ"


"เอาน่าๆ... เพื่อแลกกับการได้ไปเที่ยวงานวัด เจ้าทนหน่อยเถิด" นางตบไหล่ให้กำลังใจ "เอาตะกร้าหมากนี่ไปถือ... แล้วจำไว้ เดินก้มหน้าก้มตา สงบเสงี่ยมเจียมตัว อย่าเผลอส่งสายตาหวานเชื่อมให้ท่านพี่เด็ดขาด เข้าใจไหม?"


"ขอรับ..." ธารานนท์รับคำเสียงอ่อย แต่ในใจกลับเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น ที่จะได้ก้าวเท้าออกจากรั้วเป็นครั้งแรก


เมื่อแปลงโฉมเสร็จสิ้น ทั้งสามคนพร้อมอีอิ่ม ก็พากันเดินไปขึ้นรถม้า โดยมีธารานนท์ในคราบ 'ไอ้นนท์ บ่าวแบกของ' เดินรั้งท้าย แบกปิ่นโตเถาใหญ่และตะกร้าหมากด้วยท่าทางทะมัดทะแมงที่แสร้งทำ


ขุนวรกานต์ที่ยืนรออยู่ที่รถม้า เมื่อเห็นสภาพของคนรักก็ถึงกับหลุดขำออกมาพรืดใหญ่ จนต้องรีบยกมือป้องปากแก้เก้อ


"เป็นอย่างไรเจ้าคะคุณพี่?" บุษบาถามยิ้มๆ "บ่าวคนใหม่ของข้า หน่วยก้านพอใช้ได้หรือไม่?"


ท่านขุนพยายามกลั้นยิ้ม มองดูใบหน้ามอมแมมที่โผล่ออกมาจากผ้าโพกหัวด้วยความเอ็นดูสุดหัวใจ "อืม... ดูท่าจะใช้งานหนักได้ดี... ถ้าเช่นนั้นก็รีบขึ้นรถกันเถิด เดี๋ยวจะเพลเสียก่อน"


ขบวนเดินทางมุ่งหน้าสู่วัดสระเกศ ท่ามกลางเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอของเจ้านายทั้งสอง และรอยยิ้มกว้างขวางของบ่าวจำเป็นที่นั่งกอดปิ่นโตด้วยหัวใจที่พองโต... วันนี้แหละ เขาจะได้เห็นโลกกว้างเสียที!


บรรยากาศภายในวัดสระเกศงดงามราวกับเมืองสวรรค์ เสียงปี่พาทย์ลาดตะโพนจากวงมโหรีดังกระหึ่ม ประสานกับเสียงจอแจของผู้คนที่หลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศ


'ไอ้นนท์' บ่าวหน้ามอมในชุดซอมซ่อ เดินกอดตะกร้าหมากตามหลังเจ้านายต้อยๆ แต่ดวงตากลมโตภายใต้ผ้าโพกหัวกลับส่องประกายวาววับด้วยความตื่นตาตื่นใจ


นี่เป็นครั้งแรกที่ธารานนท์ได้มาสัมผัสโลกภายนอกในฐานะ 'คนธรรมดา' ที่ไม่ใช่สินค้าในตู้กระจก กลิ่นหอมยั่วน้ำลายของข้าวเกรียบว่าว ขนมเบื้อง และหมี่กรอบที่ทอดร้อนๆ โชยมาแตะจมูกจนท้องร้องจ๊อกๆ


ความวิจิตรตระการตาทำให้ธารานนท์เผลอลืมตัว ลืมสิ้นถึงสถานะบ่าวไพร่ที่ต้องสงบเสงี่ยม เขาชะเง้อคอพยายามมองดูการแสดง 'กระตั้วแทงเสือ' ที่กำลังโห่ร้องอย่างสนุกสนาน จนเท้าที่ก้าวเดินเริ่มเปะปะไม่เป็นจังหวะ


ตุบ!


"ว้าย! / เฮ้ย!"


ด้วยความมัวแต่จดจ้องอยู่กับศิราภรณ์ของนักแสดง ธารานนท์จึงเดินชนเข้ากับร่างท้วมของบ่าวหญิงคนหนึ่งที่เดินสวนมาอย่างจัง แรงกระแทกทำให้ถาดขนมมงคลในมือของนางร่วงหล่นกระจายเต็มพื้น ส่วนตัวธารานนท์เองก็เซถลาจนตะกร้าหมากเกือบหลุดมือ


"ตายแล้ว! ... ตาบอดรึไงยะไอ้ไพร่สกปรก!"


บ่าวหญิงร่างท้วมแผดเสียงด่าทอลั่น นางเท้าสะเอวชี้หน้าด่าด้วยความโมโหสุดขีด "เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ! รู้ไหมว่าขนมพวกนี้ข้าจะเอาไปถวายคุณนายท่าน ... เอ็งจะชดใช้อย่างไรฮะ!"


ธารานนท์หน้าซีดเผือด รีบก้มหัวปลกๆ ด้วยความตกใจ "ขะ... ขอประทานโทษขอรับป้า... ข้าไม่ได้ตั้งใจ คือข้า..."


เสียงที่เอ่ยออกมานั้น แม้จะพยายามดัดให้ห้าว แต่ความตกใจทำให้เผลอหลุดน้ำเสียงที่นุ่มนวลไพเราะ และคำพูดคำจาที่สุภาพเกินวิสัยบ่าวไพร่ก้นครัวออกมา


บ่าวหญิงคนนั้นชะงักกึก หรี่ตามองไอ้หนุ่มหน้ามอมตรงหน้าอย่างจับผิด "เดี๋ยว... เสียงเอ็งนี่มันยังไงพิกลๆ ฟังดูดัดจริตไม่เหมือนพวกขี้ข้า..."


นางก้าวเข้ามาประชิดตัว มืออวบอูมเอื้อมมาจะกระชากผ้าโพกหัวที่ปิดบังใบหน้าออก "ไหนขอดูหน้าชัดๆ ซิ... ตัวขาวจั๊วะผิดกับหน้าดำๆ นี่มันชอบกลนัก เป็นขโมขโจรปลอมตัวมารึเปล่า!"


วินาทีนั้น หัวใจของธารานนท์หยุดเต้น ขุนวรกานต์ที่เดินนำหน้าไปเล็กน้อยหันขวับกลับมา มือหนาเผลอแตะที่ด้ามดาบโดยสัญชาตญาณเตรียมจะเข้าขวาง แต่ทว่า... 'แม่หญิงบุษบา' กลับไวกว่า


"ไอ้นนท์! ... เอ็งนี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ!"


เสียงหวานแต่ทรงอำนาจตวาดลั่น แม่หญิงบุษบาเดินปรี่เข้ามาแทรกกลาง แล้วใช้พัดด้ามจิ๋วเคาะหัวธารานนท์ดัง โป๊ก! (แต่ยั้งแรงไว้)


"ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามัวแต่ห่วงเล่น! ... เดินซุ่มซ่ามไปชนคนอื่นเขาจนข้าวของเสียหาย ขายขี้หน้าข้านัก!" นางแสร้งทำเป็นโมโหบ่าวในเรือนตนเองเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ


บ่าวหญิงคู่กรณีพอเห็นว่าเป็นบ่าวของแม่หญิงบุษบา ผู้เป็นถึงสะใภ้ท่านขุนวรกานต์ ก็รีบเปลี่ยนท่าทีเป็นนอบน้อมทันที "อุ๊ย... กราบเจ้าค่ะคุณหญิง บ่าวของบ่าวเองเจ้าค่ะที่ซุ่มซ่าม"


"ต้องขออภัยแม่ด้วยนะจ๊ะที่คนของข้ามันเซ่อซ่า" บุษบาเอ่ยเสียงเรียบ พลางหันไปพยักหน้าให้ 'อีอิ่ม' หยิบเงินถุงเล็กยื่นให้บ่าวหญิงคนนั้น "รับนี่ไปเถิด ถือเป็นค่าเสียหายและค่าทำขวัญ... แล้วก็อย่าได้ถือสาหาความไอ้ทึ่มมันเลย มันเพิ่งมาจากบ้านนอกคอกนา ไม่ค่อยรู้ประสา"


"จะ... เจ้าค่ะคุณหญิง เป็นพระคุณเจ้าค่ะ" บ่าวหญิงรับเงินแล้วยิ้มแก้มปริ รีบเก็บกวาดของแล้วถอยฉากออกไปทันที โดยลืมเรื่องสงสัยเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น


เมื่อพ้นวิกฤตมาได้ ขุนวรกานต์รีบเดินเข้ามาประกบ พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ "เกือบไปแล้วไหมเล่า..." ท่านขุนกระซิบเสียงเครียด ดุธารานนท์ด้วยสายตา แต่ก็แฝงความโล่งใจ


ธารานนท์ก้มหน้างุด ตัวสั่นงันงก "ข้า... ข้าขอโทษขอรับ"


"เอาน่าๆ ท่านพี่ อย่าดุน้องนักเลย" บุษบาไกล่เกลี่ย พลางแอบขยิบตาให้ธารานนท์ "ขวัญเอ้ยขวัญมานะพ่อนนท์... แต่คราวหลังต้องระวังกว่านี้ เข้าใจไหม? ... ไปกันเถิด ตรงนี้คนพลุกพล่านนัก เดี๋ยวความจะแตกจริงๆ"


หลังจากรอดพ้นจากสถานการณ์หวาดเสียวเมื่อครู่มาได้ ทั้งสามคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขุนวรกานต์พาคณะเดินเลี่ยงออกมายังโซนขายของเก่าและเครื่องลายคราม ซึ่งผู้คนบางตากว่าโซนมหรสพ


"เดินดูแถวนี้เถิดพ่อนนท์ คนไม่พลุกพล่าน" แม่หญิงบุษบาเอ่ยเสียงเบา พลางชี้ชวนให้ดูถ้วยชามเบญจรงค์เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ


ธารานนท์พยักหน้าหงึกหงัก พยายามรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงให้กลับคืนมา มือที่กำสายตะกร้าหมากยังคงชื้นเหงื่อ เขาบอกตัวเองให้สงบใจ... ที่นี่มีท่านพี่ มีคุณหญิง คอยคุ้มกันภัย ไม่มีใครจำเขาได้ในสภาพมอมแมมเช่นนี้หรอก


ทว่า... ในขณะที่เขากำลังจะก้าวเท้าตามหลังท่านขุนไปนั้น เสียงหนึ่งก็ดังแทรกผ่านเสียงจอแจของฝูงชนเข้ามา... เป็นเสียงแหลมสูงที่บาดหูและคุ้นเคย


"อีแช่ม! ... ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าให้ผ้าพวกนี้เปื้อนฝุ่น! ของราคาแพง เอ็งจะทำชุ่ยๆ ไม่ได้นะนังโง่!"


ธารานนท์ชะงักฝีเท้า ลมหายใจสะดุดกึกเมื่อจำเจ้าของเสียงนั้นได้แม่นยำ... 'นายแม่' เจ้าของหอโคมแดง นางกำลังยืนเท้าสะเอวด่าทอบ่าวไพร่ของตนอยู่ไม่ไกล


ความรู้สึกแรกที่แล่นเข้ามาในอกมิใช่ความหวาดกลัวต่อการถูกจับตัวกลับไป เพราะเขารู้ดีว่าการไถ่ถอนนั้นเสร็จสิ้นสมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมายและธรรมเนียม นายแม่เป็นคนหน้าเลือดแต่รักษาคำพูดเรื่องเงินทอง นางคงไม่คิดจะทวงคืนสินค้าที่ขายไปแล้วเป็นแน่


ทว่า... สิ่งที่ทำให้ธารานนท์มือเย็นเฉียบ คือ 'ความกังวล' ที่มีต่อชายสูงศักดิ์ข้างกายต่างหาก


สมองของเขากำลังประมวลผลอย่างรวดเร็ว... นายแม่เป็นคนปากสว่างและชอบโอ้อวด หากนางหันมาเห็น 'ขุนวรกานต์' ยืนอยู่ตรงนี้ นางอาจจะปรี่เข้ามาทักทายเสียงดังเพื่ออวดบารมีว่ารู้จักกับขุนนางใหญ่ หรือแย่กว่านั้น นางอาจจะพลั้งปากพูดถึงเรื่อง 'การไถ่ตัว' กลางที่สาธารณะ


หากเป็นเช่นนั้น... ชื่อเสียงเกียรติยศของท่านขุนที่สั่งสมมา จะต้องมัวหมองกลายเป็นขี้ปากชาวบ้าน ว่าแอบซุกซ่อนเลี้ยงดูนายบำเรอจากซ่องโจร


'ไม่ได้การ... จะให้ท่านพี่ต้องมาเสื่อมเสียเพราะข้าไม่ได้'


ธารานนท์ขบกรามแน่น ตัดสินใจขยับตัวถอยห่างจากท่านขุนเล็กน้อย เพื่อเว้นระยะห่างมิให้ดูสนิทสนมเกินงาม พร้อมกับกระตุกชายสไบของแม่หญิงบุษบาเบาๆ เพื่อส่งสัญญาณ


"คุณหญิง... ท่านพี่..." ธารานนท์กระซิบเสียงเครียด ร้อนรน "นั่นนายแม่ของหอโคมแดงขอรับ... นางปากสว่างนัก หากนางเห็นท่านพี่ แล้วเข้ามาทักทาย จะเป็นเรื่องใหญ่ ท่านพี่รีบหลบหน้าเถิดขอรับ อย่าให้นางจำได้เด็ดขาด"


ขุนวรกานต์หันมามองธารานนท์ด้วยความแปลกใจ ที่เห็นคนตัวเล็กมิได้ห่วงตัวเอง แต่กลับห่วงหน้าตาของเขามากกว่า ท่านขุนทำท่าจะเอ่ยปากว่าไม่แคร์ แต่ธารานนท์รีบสวนขึ้นด้วยแววตาเว้าวอน


"ได้โปรดเถิดขอรับ... ข้าไม่อยากเป็นรอยด่างพร้อยในชีวิตท่าน ให้คนเขาเอาไปนินทาว่าท่านเกลือกกลั้วกับคนอย่างข้า... รีบไปเถิดขอรับ"


ความจงรักภักดีและเจียมตนของธารานนท์ ทำให้ท่านขุนรู้สึกจุกในอก เขาพยักหน้าเข้าใจในเจตนาดีนั้น ก่อนจะหันไปสบตาแม่หญิงบุษบาที่รู้ความ


"บังข้าหน่อยนะแม่หญิง" ท่านขุนกระซิบ


บุษบารับลูกทันควัน นางกางพัดด้ามจิ๋วออกกว้าง แล้วขยับตัวมายืนบังเหลี่ยมมุมระหว่างท่านขุนกับนายแม่ไว้อย่างแนบเนียน แสร้งทำเป็นชี้ชวนดูข้าวของในร้านค้าอีกฝั่ง


"ตายจริง! ร้านโน้นมีปิ่นปักผมลายแปลกตา รีบไปดูกันเถิดเจ้าค่ะท่านพี่ อย่ามัวชักช้าอยู่ตรงนี้เลย คนพลุกพล่าน เหม็นสาบเหงื่อไคลจะแย่"


นางจงใจพูดเสียงดังเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ แล้วใช้ร่างระหงของตนเป็นเกราะกำบัง ดันหลังท่านขุนและธารานนท์ให้เดินเลี่ยงออกไปในเงามืดด้านข้างวิหารอย่างรวดเร็ว


ทางด้านนายแม่ เมื่อได้ยินเสียงเอะอะของพวกผู้ดี ก็เพียงแค่ปรายตามองแวบหนึ่ง เห็นเพียงแผ่นหลังไวๆ ของขุนนางและบ่าวไพร่ที่เดินจากไป นางจึงไม่ได้ติดใจสงสัย ยักไหล่แล้วหันกลับไปด่าทอบ่าวของตนต่อ


เมื่อพ้นระยะอันตราย ทั้งสามคนมายืนหลบมุมอยู่ที่ข้างกำแพงวัด ธารานนท์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ซึมตามไรผมด้วยความโล่งอก


"เกือบไปแล้ว..." ธารานนท์พึมพำ "ข้าเกือบจะนำความเดือดร้อนมาให้ท่านพี่เสียแล้ว"


ขุนวรกานต์มองดูท่าทางนั้นด้วยสายตาที่อ่อนแสงลง เขาเอื้อมมือไปจับไหล่ธารานนท์ บีบเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ "ขอบใจเจ้ามากนะนนท์... ที่ห่วงเกียรติของพี่มากกว่าความรู้สึกของตัวเอง ทั้งที่จริงๆ แล้ว พี่ไม่เคยนึกรังเกียจที่จะให้ใครรู้เลยสักนิด"


"แต่ข้ารังเกียจขอรับ..." ธารานนท์สวนทันควัน "ข้ารังเกียจที่จะเห็นใครมามองท่านด้วยสายตาดูแคลน... ท่านอยู่สูงส่งดีแล้ว อย่าลงมาเปื้อนโคลนเพราะข้าเลย"


คำพูดที่ซื่อตรงและภักดีนั้น ทำให้ท่านขุนและแม่หญิงบุษบามองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม... เด็กคนนี้ ช่างรักและเทิดทูนท่านขุนหมดหัวใจจริงๆ


นางเอ่ยเรียกพร้อมกับใช้ด้ามพัดจิ้มไปที่ต้นแขนของธารานนท์เบาๆ "เลิกทำหน้าเป็นตูดลิงได้แล้ว เห็นแล้วข้าพาลจะหมดสนุกไปด้วย... เรื่องมันผ่านไปแล้ว ก็ให้มันแล้วกันไปเถิด อย่าเก็บมาคิดให้รกสมอง"


"แต่ว่า..."


"จุ๊ๆ ไม่ต้องแต่!" บุษบาตัดบทฉับไว นัยน์ตาเป็นประกายซุกซนเมื่อเหลือบไปเห็นร้านค้าข้างทาง "นั่นปะไร! ... ข้าเจอของดีที่จะแก้โรคหน้าบึ้งของเจ้าแล้ว"


ไม่พูดพร่ำทำเพลง นางคว้าข้อมือธารานนท์แล้วออกแรงดึงกึ่งลาก ให้เดินตามไปยังแผงลอยเล็กๆ ที่มีเด็กๆ มุงดูกันอยู่เต็มหน้าร้าน กลิ่นหอมหวานของน้ำตาลเคี่ยวลอยมาแตะจมูก


มันคือร้านขาย 'น้ำตาลปั้น' สีสันสดใส ที่คุณลุงคนขายกำลังใช้มือปั้นน้ำตาลร้อนๆ ให้เป็นรูปสัตว์ต่างๆ อย่างคล่องแคล่ว


"ลุงจ๊ะ!" บุษบาร้องสั่งเสียงใส "ขอลิงทะโมนตัวหนึ่ง ปั้นให้หน้าตาเหมือนเจ้านี่เลยนะจ๊ะ!" นางชี้มือมาที่ธารานนท์พร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก


ธารานนท์ที่กำลังยืนงง ถึงกับตาโต ร้องประท้วงเสียงหลง "คะ... คุณหญิง! ข้าไม่ใช่เด็กนะขอรับ จะมาซื้อขนมหลอกเด็กให้ข้าทำไม"


"ก็เจ้าทำตัวเหมือนเด็กขี้งอน ข้าก็ต้องโอ๋แบบเด็กๆ นี่ล่ะ" นางยักคิ้วให้ "เอ้า... หรือเจ้าอยากได้รูปอื่น? รูปกระต่ายตื่นตูมดีไหม? เหมาะกับเจ้าตอนเจอหน้ายักษ์เมื่อกี้ดี"


ขุนวรกานต์ที่ยืนคุมเชิงอยู่ด้านหลัง อดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมาเบาๆ เมื่อเห็นภรรยาในนามแหย่คนรักของตนจนหน้าแดงซ่าน "เอาน่าเจ้านนท์... นางอุตส่าห์ซื้อให้ ก็รับไว้เถิด ถือว่ากินแก้เคล็ด ของหวานๆ จะได้ช่วยล้างความขมขื่นในใจ"


ไม่นานนัก น้ำตาลปั้นรูป 'ลิงขี่ม้า' สีส้มสดใสเสียบไม้ไผ่ ก็ถูกยื่นมาตรงหน้าธารานนท์ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปรับมาถือไว้ด้วยความขัดเขิน


"ลองชิมสิ" บุษบายุ


ธารานนท์ค่อยๆ แลบลิ้นออกมาเลียน้ำตาลปั้นเบาๆ รสชาติหวานหอมละมุนลิ้นที่แผ่ซ่านไปทั่วปาก ทำให้ความตึงเครียดที่ขมึงเกลียวมาตลอดทางค่อยๆ คลายลง รอยยิ้มจางๆ ที่มุมปากเริ่มปรากฏขึ้นทีละน้อย จนกลายเป็นรอยยิ้มกว้างจนตาหยี


"อร่อยไหม?" ท่านขุนถามพลางมองด้วยสายตาเอ็นดู


"อร่อยขอรับ... หวานมาก" ธารานนท์ตอบเสียงใส กลับมาร่าเริงสมวัยอีกครั้ง


"ดี!" บุษบาตบมือชอบใจ "กินเสร็จแล้ว เดี๋ยวข้าจะพาไปดู 'ปลาตะเพียนสาน' ร้านโน้น ข้าเห็นสีสวยนัก จะซื้อไปฝากอีอิ่มมันสักตัว... เจ้าเองก็มาช่วยข้าเลือกด้วย อย่ามัวแต่ยืนแทะน้ำตาลเพลินล่ะ!"


ว่าแล้วนางก็เดินนำลิ่วไปที่ร้านของเล่นพื้นบ้าน ปล่อยให้สองหนุ่มเดินตามหลัง ขุนวรกานต์เดินเข้ามาโอบไหล่ธารานนท์เบาๆ กระซิบข้างหู


"ยิ้มได้เสียทีนะเจ้าตัวดี…”




บรรยากาศยามเย็น ณ ที่แห่งนี้เงียบสงบ มีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรและเสียงสายน้ำไหลเอื่อย แสงจันทร์วันเพ็ญสาดส่องลงมากระทบผิวน้ำเป็นประกายสีเงินยวง งดงามจับตา


'แม่หญิงบุษบา' จัดแจงซื้อกระทงใบตองเรียบง่ายมาสามใบ นางยื่นให้ท่านขุนใบหนึ่ง ให้ธารานนท์ใบหนึ่ง และเก็บไว้เองใบหนึ่ง


"มาเถิดเจ้าค่ะ..." นางเอ่ยชวนด้วยรอยยิ้มละมุน "เรามาขอขมาพระแม่คงคา และอธิษฐานขอพรให้ชีวิตของเรานับจากนี้ มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขเหมือนสายน้ำ"


ทั้งสามคนย่อกายลงนั่งริมตลิ่ง แสงเทียนวูบไหวจากกระทงในมือส่องกระทบใบหน้าของพวกเขา ให้ดูอบอุ่นและอ่อนโยน


ขุนวรกานต์หลับตาลง อธิษฐานในใจขอให้เขาสามารถปกป้องดูแล 'หัวใจ' ทั้งสองดวงนี้... ทั้งเมียคู่คิดและเมียคู่ชีวิต ให้อยู่รอดปลอดภัยจากมรสุมทั้งปวง


แม่หญิงบุษบาอธิษฐานขอให้ความรักต้องห้ามของนางกับอีอิ่ม ยั่งยืนและมั่นคง และขอให้มิตรภาพประหลาดในเรือนวรกานต์นี้คงอยู่ตลอดไป


ส่วน 'ธารานนท์' ... ในคราบไอ้หนุ่มหน้ามอม เขาประคองกระทงด้วยสองมือที่สั่นน้อยๆ ดวงตากลมโตจ้องมองเปลวเทียนแน่วแน่ 'ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์... ข้ามิกล้าขอสิ่งใดเพื่อตนเอง ขอเพียงให้ท่านพี่กานต์เจริญรุ่งเรือง และขอให้คุณหญิงบุษบามีความสุข... ขอให้พวกเราได้อยู่เคียงข้างกัน แบ่งปันรอยยิ้มให้กันเยี่ยงนี้ตลอดไป'


มือทั้งสามคู่ค่อยๆ วางกระทงลงบนผิวน้ำพร้อมกัน กระทงใบตองสามใบลอยละล่องเคียงคู่กันไปตามกระแสน้ำ ไม่แยกจาก ราวกับโชคชะตาที่ผูกพันกันไว้


"สวยจังเลยนะขอรับ..." ธารานนท์พึมพำ รอยยิ้มกว้างแต่งแต้มบนใบหน้ามอมแมม


ขุนวรกานต์เผลอตัว เอื้อมมือไปโอบไหล่บางของ 'บ่าวชาย' ไว้หลวมๆ ด้วยความรักใคร่ ในขณะที่บุษบาก็ยืนพิงไหล่สามีอีกข้างหนึ่ง เป็นภาพครอบครัวที่ดูแปลกตาแต่แสนจะอบอุ่น


ทว่า... ในขณะที่พวกเขากำลังดื่มด่ำกับความสุขอยู่นั้น หารู้ไม่ว่าในเงามืดหลังพุ่มเข็มริมรั้ววัด มีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองมาอย่างไม่วางตา


'ไอ้จุก' ทาสเรือนเบี้ยของ 'พระยาเดโช' ... ขุนนางคู่ปรับทางการเมืองของขุนวรกานต์ กำลังหรี่ตามองภาพตรงหน้าด้วยความสงสัย


มันจำใบหน้าหล่อเหลาของขุนวรกานต์ได้แม่นยำ และจำแม่หญิงบุษบาผู้เลอโฉมได้ดี แต่สิ่งที่สะกิดใจมันอย่างจัง คือท่าทีสนิทสนมเกินงามที่ท่านขุนมีต่อ 'ไอ้บ่าวหน้ามอม' ผู้นั้น


"นั่นมันท่านขุนวรกานต์มิใช่รึ?" ไอ้จุกพึมพำกับตัวเอง "มาลอยกระทงกับเมียก็ไม่แปลก... แต่เหตุใดถึงต้องไปโอบไหล่ไอ้บ่าวรับใช้นั่นด้วย? สายตาที่มองมัน... หวานเชื่อมยิ่งกว่ามองเมียตัวเองเสียอีก"


มันเพ่งมองฝ่าความมืด สังเกตเห็นมือไม้ที่แตะต้องกัน และรอยยิ้มที่มอบให้กัน มันมิใช่วิสัยของนายกับบ่าว แต่เหมือน... คนรัก


"หึๆๆ..." รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไอ้จุก "ดูท่าว่าพ่อขุนนางตงฉิน จะซุกซ่อน 'ของดี' เอาไว้เสียแล้วกระมัง... หากเรื่องนี้รู้ไปถึงหูท่านเจ้าคุณพระยาเดโช นายข้าคงตบรางวัลให้อย่างงาม"


มันแสยะยิ้ม จ้องมองแผ่นหลังของทั้งสามคนที่กำลังเดินจากไป เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะรีบมุดหายเข้าไปในความมืด เพื่อนำข่าวเด็ดนี้ไปรายงานผู้เป็นนาย... ข่าวที่จะสั่นคลอนเรือนขุนวรกานต์ให้สะเทือนเลื่อนลั่นในไม่ช้า




--------------------------------------
ฝากติดตามต่อด้วยนะครับ
เม้นต์พูดคุยกันได้น้าาา




🌸 一期一会 (いちごいちえ)

นายกสโมสร

กระทู้
0
ตอบกลับ
55744
พลังน้ำใจ
284824
Zenny
111064
ออนไลน์
22570 ชั่วโมง
โพสต์ 2025-12-2 09:16:21 | ดูโพสต์ทั้งหมด

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
0
ตอบกลับ
2698
พลังน้ำใจ
15724
Zenny
7155
ออนไลน์
617 ชั่วโมง
โพสต์ 2025-12-2 23:19:53 | ดูโพสต์ทั้งหมด
สนุกมากครับ ขอบคุณครับ

ประธานนักศึกษา

กระทู้
0
ตอบกลับ
11796
พลังน้ำใจ
63757
Zenny
10654
ออนไลน์
5641 ชั่วโมง
โพสต์ 2025-12-3 02:16:57 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณนะครับ

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
0
ตอบกลับ
91
พลังน้ำใจ
23996
Zenny
11157
ออนไลน์
4148 ชั่วโมง
โพสต์ 2025-12-10 04:27:16 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อยากให้ท่านขุนโดนรุมเย็ด แบบโดนดูถูกด้วย
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | สมัครเข้าเรียน

รายละเอียดเครดิต

A Touch of Friendship: สังคมจะน่าอยู่ เมื่อมีผู้ให้แบ่งปัน ฝากไวเป็นข้อคิดด้วยนะคะชาวจีโฟกายทุกท่าน
!!!!!โปรดหยุด!!!!! : พฤติกรรมการโพสมั่วๆ / โพสแต่อีโมโดยไม่มีข้อความประกอบการโพส / โพสลากอักษรยาว เช่น ครับบบบบบบบบ, ชอบบบบบบบบ, thxxxxxxxx, และอื่นๆที่ดูแล้วน่ารำคาญสายตา เพราะถ้าท่านไม่หยุดทีมงานจะหยุดท่านเอง
ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่านโปรดโพสตอบอย่างอื่นนอกเหนือจากคำว่า ขอบคุณ, thanks, thank you, หรืออื่นๆที่สื่อความหมายว่าขอบคุณเพียงอย่างเดียวด้วยนะคะ เพื่อสื่อถึงความจริงใจในการโพสตอบกระทู้ และไม่ดูเป็นโพสขยะ
กระทู้ไหนที่ไม่ใช่กระทู้ในลักษณะที่ต้องโพสตอบโดยใช้คำว่าขอบคุณ เช่นกระทู้โพล, กระทู้ถามความเห็น, หรืออื่นๆที่ทีมงานอ่านแล้วเข้าข่ายว่า โพสขอบคุณไร้สาระ ทีมงานขอดำเนินการตัดคะแนน และ/หรือให้ใบเตือนสมาชิกที่โพสขอบคุณทันทีที่เจอนะคะ

รูปแบบข้อความล้วน|โทรศัพท์มือถือ|ติดต่อลงโฆษณา|จีโฟกายดอทคอม

ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บจีโฟกายดอทคอมนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ หากท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศิลธรรม ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link “แจ้งลบโพสนี้” ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือ ลืมพาสเวิดล๊อกอิน/ลืมชื่อที่ใช้สมัคร หรือข้อสงสัยใดๆแจ้งมาที่ G4GuysTeam[at]yahoo.com ขอขอบพระคุณที่ให้ความร่วมมือ

กรณีที่ข้อความ/รูปภาพในกระทู้นี้จัดสร้างโดยผู้ลงข้อมูลเอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้ลงข้อมูลโดยตรง หากจะทำการคัดลอก/เผยแพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ลงข้อมูลก่อนนะคะ หรือลงที่มาไว้ด้วยค่ะ

©ขอสงวนสิทธิ์คอนเซ็ปต์,คำอธิบาย,หัวข้อ/หมวดหมู่เว็บ ห้ามลอกเลียนแบบ คิดเอาเองนะคะอย่าเอาแต่ลอก

GMT+7, 2026-1-1 06:15 , Processed in 0.096520 second(s), 26 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.8

© 2001-2025 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้