ลืมรหัสผ่าน
 สมัครเข้าเรียน
ค้นหา
ดู: 164|ตอบกลับ: 3

เล่ห์อนธการ ตอนที่ 4

[คัดลอกลิงก์]

มาเฟียนักศึกษา

กระทู้
246
ตอบกลับ
56
พลังน้ำใจ
9619
Zenny
38473
ออนไลน์
3292 ชั่วโมง






เสียงดนตรีมโหรีบรรเลงขับกล่อมทำนองหวานซึ้ง กังวานไปทั่วเรือนไทยหลังใหญ่ที่ถูกประดับประดาด้วยดอกไม้นานาพรรณ กลิ่นหอมของดอกมะลิและดอกรักลอยอบอวลไปทั่วงานมงคลพิธีหมั้นหมายและตบแต่งระหว่าง 'ขุนวรกานต์' และ 'แม่หญิงบุษบา'


แขกเหรื่อระดับขุนน้ำขุนนางและคหบดีทั่วพระนครต่างตบเท้าเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ขบวนขันหมากเอกขันหมากโทเรียงรายยาวเหยียด ทรัพย์สินเงินทองและเครื่องเพชรนิลจินดาที่นำมาวางกองเป็นสินสอด สะท้อนแสงอาทิตย์วิบวับเป็นประกาย บ่งบอกถึงบารมีอันยิ่งใหญ่ของสองตระกูล


ขุนวรกานต์ในชุดราชปะแตนสีขาวสะอาดตา นั่งตัวตรงสง่าผ่าเผยอยู่กลางวงล้อมของผู้หลักผู้ใหญ่ ใบหน้าคมคายฉาบด้วยรอยยิ้มจางๆ ตามมารยาทที่ฝึกฝนมาอย่างดี หากแต่แววตานั้นว่างเปล่าและเย็นชา ราวกับรูปปั้นหินสลักที่ไร้ความรู้สึก


ในขณะที่พิธีการดำเนินไปอย่างราบรื่น อีกมุมหนึ่งของงาน บริเวณศาลาพักผ่อนที่จัดไว้สำหรับแขกหนุ่มฉกรรจ์ วงสนทนาแกล้มสุราก็เริ่มออกรสออกชาติเมื่อน้ำเมาเข้าปาก


"แหม่... ดูท่านขุนวรกานต์สิ นั่งยิ้มหน้าบานเชียว" ขุนนางหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นพลางยกจอกสุราขึ้นจิบ สายตาจับจ้องไปที่เจ้าบ่าวด้วยความริษยาแกมหมั่นไส้ "ได้เมียสวย รวยทรัพย์ แถมชาติตระกูลดี... ช่างน่าอิจฉาเสียจริง พ่อเทพบุตรผู้สมบูรณ์แบบ ทำอะไรก็ไม่เคยด่างพร้อย"


"สมบูรณ์แบบรึ? ... หึ!" อีกเสียงหนึ่งแค่นหัวเราะเยาะ "คนเรามันก็มีหน้ากากกันทั้งนั้นแหละท่าน เห็นทำตัวเคร่งขรึมเป็นพ่อพระ ถือศีลกินเพลเยี่ยงนั้น ใครจะไปรู้ว่าลับหลังอาจจะซุกซ่อนความวิปริตอะไรไว้บ้าง"


"พูดถึงเรื่องซุกซ่อน..." ขุนนางร่างท้วมขยับตัวเข้ามาใกล้ วางท่าทีลับลมคมใน "พวกท่านได้ยินข่าวลือเรื่องของดีที่หอโคมแดงย่านสำเพ็งหรือไม่?"


"อ้อ... ไอ้เด็กนายบำเรอที่ชื่อธารานนท์นั่นรึ?"


"ใช่! ไอ้ตัวดีนั่นแหละ" ขุนนางร่างท้วมกระตุกยิ้มเหยียด "เห็นเขาลือกันให้แซ่ดว่า จู่ๆ มันก็หายหัวไปจากหอ นายแม่บอกว่ามีเศรษฐีหน้ามืดคนหนึ่งทุ่มเงินถุงเงินถังไถ่ตัวมันออกไปแล้ว... ราคานี่สูงลิบลิ่ว ชนิดที่ซื้อเมียแต่งได้เป็นสิบคนเชียวหนา"


"ถุย! ... ช่างโง่เขลาเบาปัญญานัก!" ชายอีกคนถ่มน้ำลายลงพื้นด้วยความรังเกียจ "เอาเงินทองขนาดนั้นไปไถ่ตัวไอ้พวกผิดเพศมาทำเมียเนี่ยนะ? ... รูทวารหนักมันมีดีวิเศษวิโสตรงไหนกันวะ ถึงได้ยอมจ่ายไม่อั้นขนาดนั้น"


"ท่านไม่รู้อะไร..." ขุนนางคนแรกแสยะยิ้มหยาบโลน "เขาว่ากันว่า รูของไอ้เด็กนั่นมันแน่นเปรี้ยะ ตอดรัดถึงใจยิ่งกว่าอิสตรีที่ผ่านชายมาเป็นร้อย... แถมลีลามันยังเด็ดดวง ทั้งดูด ทั้งอม เก่งกาจนักเชียว ใครได้ลิ้มลองเป็นต้องหลงจนโงหัวไม่ขึ้น ยอมเป็นทาสกามมันกันทั้งนั้น"


"พวกวิปริต!" เสียงด่าทอดังขึ้นสลับเสียงหัวเราะขบขัน "ข้าล่ะอยากเห็นหน้าไอ้เศรษฐีคนนั้นนัก ว่าหน้าตามันจะอัปรีย์เพียงใด ที่ริอ่านเอาสวะกาลกิณีมาเชิดชู... ป่านนี้คงนอนกกกอดกัน พลัดกันแทงข้างหลังอย่างเมามัน น่าสมเพชสิ้นดี!"


เสียงหัวเราะครื้นเครงดังประสานกันอย่างสนุกปาก โดยหารู้ไม่ว่า... ทุกถ้อยคำหยาบช้าเหล่านั้น ลอยตามลมไปเข้าหูของเจ้าของเรื่อง ที่นั่งปั้นหน้านิ่งอยู่ไม่ไกล


ขุนวรกานต์กำมือที่วางอยู่บนตักแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ สันกรามบดเข้าหากันแน่นจนเป็นนูน ความโกรธเกรี้ยวแล่นพล่านในอกจนแทบระเบิด ถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามธารานนท์ และวาจาที่ด่าทอเขาว่าเป็นเศรษฐีหน้าโง่ นั้นเสียดแทงใจดำยิ่งนัก


แต่เขากลับทำได้เพียงนั่งนิ่ง... กล้ำกลืนความเจ็บแค้นลงคอ พร้อมกับรอยยิ้มจอมปลอมที่ยังคงประดับอยู่บนใบหน้า ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของงานมงคลที่กำลังตอกย้ำความขลาดเขลาของตัวเขาเอง


แสงเทียนมงคลในห้องหอวูบไหวส่องสว่าง ขับไล่ความมืดมิดแห่งราตรียาวนานให้จางหาย กลิ่นหอมของดอกกุหลาบและดอกมะลิที่โปรยปรายอยู่บนเตียงนอนส่งกลิ่นอบอวล ชวนให้เคลิบเคลิ้ม


ทว่า... คู่บ่าวสาวที่นั่งอยู่คนละมุมห้อง กลับมิได้มีท่าทีขัดเขินหรือรุ่มร้อนด้วยไฟเสน่หาเฉกเช่นคู่รักทั่วไป


ขุนวรกานต์ปลดเสื้อราชปะแตนตัวนอกออกพาดไว้กับพนักเก้าอี้ สีหน้าเคร่งขรึมและแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวลจ้องมองไปยังแม่หญิงบุษบา ภรรยาหมาดๆ ที่กำลังนั่งปลดเครื่องประดับออกจากเรือนผมอย่างสบายอารมณ์ที่หน้าคันฉ่อง


ความอัดอั้นในใจทำให้ท่านขุนตัดสินใจทำลายความเงียบ เขาไม่อาจเริ่มต้นชีวิตคู่จอมปลอมนี้ได้ หากยังมีความลับดำมืดปิดบัง 'หุ้นส่วนชีวิต' ผู้นี้อยู่


"น้องหญิง..." ท่านขุนเอ่ยเรียกเสียงขรึม "ในเมื่อเราตกลงลงเรือลำเดียวกันแล้ว ข้าก็มิอยากมีความลับปิดบังเจ้า... มีเรื่องหนึ่งที่ข้าจำต้องสารภาพ เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย"


บุษบาหันกลับมามอง เลิกคิ้วเรียวสวยขึ้นเล็กน้อยด้วยความสนใจ "เรื่องอันใดหรือเจ้าคะคุณพี่? ... หรือจะเป็นเรื่องใครบางคน ที่ทำให้ท่านใจลอยตลอดพิธีในวันนี้?"


คำพูดรู้ทันของนางทำให้ท่านขุนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยความจริงที่ยากลำบากที่สุดออกมา "ถูกของเจ้า... ข้ามีคนรักอยู่แล้ว และข้าก็ซุกซ่อนเขาไว้ที่เรือนเล็กริมน้ำมาพักใหญ่... แต่สิ่งที่เจ้าควรรู้คือ คนผู้นั้น... มิใช่อิสตรี แต่เป็นบุรุษเพศเฉกเช่นเดียวกับข้า"


สิ้นคำสารภาพ ห้องหอตกอยู่ในความเงียบงัน ขุนวรกานต์ลอบมองปฏิกิริยาของหญิงตรงหน้า เตรียมใจรับสายตาดูแคลนหรือท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์ที่จะตามมา


ทว่า... สิ่งที่ปรากฏบนใบหน้าจิ้มลิ้มของบุษบา กลับเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนและแววตาที่ฉายแววเข้าอกเข้าใจอย่างน่าประหลาด


"ปัดโธ่... ข้าก็นึกว่าเรื่องคอขาดบาดตายอันใด" นางหัวเราะเบาๆ ในลำคอ พลางหยิบหวีงาช้างขึ้นมาสางผม "เรื่องรสนิยมความชอบ เป็นเรื่องของหัวใจเจ้าค่ะท่านพี่... หากใจท่านปรารถนาในตัวเขา จะเป็นหญิงหรือชาย ก็มิใช่เรื่องที่ข้าจะไปตัดสินหรือรังเกียจ"


"เจ้า... ไม่รังเกียจรึ?" ท่านขุนทวนคำด้วยความไม่อยากเชื่อ


"เหตุใดข้าต้องรังเกียจ?" บุษบาตอบฉะฉาน "คนเราเกิดมาร้อยพ่อพันแม่ ความสุขของคนเราย่อมแตกต่างกัน... ตราบใดที่ท่านให้เกียรติข้าในฐานะเมียแต่ง และไม่ปล่อยให้เรื่องนี้มาทำลายหน้าตาของวงศ์ตระกูล ข้าก็ยินดีที่จะสนับสนุนท่าน"


นางวางหวีลง แล้วลุกเดินเข้ามาหาท่านขุนด้วยท่าทีเป็นกันเอง "อีกอย่าง... การที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อยู่แต่ในเรือนเล็ก คงน่าอึดอัดและน่าสงสารมิใช่น้อย หากวันไหนท่านว่างเว้นจากราชการ... ท่านลองพาเขามาพบข้าสักคราเถิด"


"เจ้าอยากเจอเขารึ?"


"เจ้าค่ะ" บุษบายิ้มกว้าง "ข้าอยากเห็นหน้าคนที่กุมหัวใจราชสีห์หนุ่มอย่างท่าน... และอีกอย่าง หากเขาเอาแต่นั่งงอมืองอเท้าอยู่เฉยๆ คงเบื่อแย่ สู้ให้มาหัดเรียนรู้งานบ้านงานเรือนกับข้าจะมิดีกว่ารึ? ข้าจะช่วยสอนการแกะสลัก ร้อยมาลัย หรือทำเครื่องคาวหวานให้... อย่างน้อยก็จะได้มีวิชาติดตัว ไว้คอยปรนนิบัติท่านให้ถูกใจยิ่งขึ้น"


ขุนวรกานต์มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความทึ่งและความซาบซึ้งใจ เขาไม่นึกเลยว่าสตรีที่เขาถูกคลุมถุงชน จะมีจิตใจที่กว้างขวางและเปี่ยมด้วยเมตตาถึงเพียงนี้ ความหนักอึ้งในอกที่แบกรับมานานพลันเบาบางลงราวกับปลิดทิ้ง


"ขอบใจเจ้ามาก... บุษบา" ท่านขุนเอ่ยจากใจจริง "ข้าโชคดีนักที่ได้เจ้ามาเป็นคู่คิด"


"เช่นนั้นก็พักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ คุณพี่" บุษบาขยิบตาให้อย่างซุกซน "คืนนี้เราคงต้องแกล้งนอนเตียงเดียวกันไปก่อน เพื่อตบตาบ่าวไพร่... ส่วนเรื่องพ่อน้องน้อยคนนั้น ไว้ท่านพร้อมเมื่อใด ค่อยพามาแนะนำให้ข้ารู้จักเถิด"






เช้าวันรุ่งขึ้น ณ เรือนใหญ่ ขณะที่ขุนวรกานต์กำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ไอ้สนก็เข้ามารายงานด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก


"ท่านขุนขอรับ..." ทนายหน้าหอเอ่ยเสียงเครียด "ช่วงนี้ทางเรือนเล็กดูท่าจะไม่ดีนัก... เจ้าตัวไม่ยอมแตะต้องข้าวน้ำเลย กินน้อยเหมือนแมวดม วันๆ เอาแต่นั่งเหม่อลอยมองแม่น้ำ ตาแดงๆ บวมเป่งเหมือนคนร้องไห้ตลอดคืน พอถามไถ่อะไรก็ไม่พูดไม่จา... ข้าเกรงว่าจะตรอมใจจนล้มป่วยไปเสียก่อน"


ถ้อยคำรายงานของไอ้สน เปรียบเสมือนเข็มที่ทิ่มแทงลงกลางใจท่านขุน เขารู้ได้ในทันทีว่าสาเหตุของอาการตรอมใจนั้นมาจากสิ่งใด... เจ้าตัวดีของเขาคงล่วงรู้เรื่องงานแต่งงานเข้าแล้ว และการที่เขาหายหน้าหายตาไปหลายวันโดยไม่ส่งข่าว คงยิ่งตอกย้ำความน้อยเนื้อต่ำใจให้บาดลึก


"โธ่เอ๊ย... เจ้านนท์"


ขุนวรกานต์สบถพึมพำด้วยความร้อนรน รีบคว้าเสื้อผ้าฝ้ายเนื้อดีมาสวมใส่อย่างลวกๆ ไม่รอช้าที่จะสาวเท้าก้าวออกจากเรือนใหญ่ มุ่งหน้าสู่เรือนริมน้ำด้วยหัวใจที่พะวักพะวน


เมื่อมาถึงเรือนหลังน้อย บรรยากาศเงียบเหงาวังเวงจนน่าใจหาย ท่านขุนค่อยๆ เปิดประตูห้องนอนเข้าไป ภาพที่เห็นทำเอาหัวใจแกร่งกระตุกวูบ


ธารานนท์นั่งกอดเข่าคู้อยู่ที่มุมเตียง ร่างกายที่เคยมีน้ำมีนวลดูซูบซีดลงถนัดตา ใบหน้าหวานหมองคล้ำ ขอบตาบวมช้ำแดงก่ำบ่งบอกถึงการผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก


เมื่อได้ยินเสียงคนเข้ามา ธารานนท์เงยหน้าขึ้นมอง ครั้นเห็นว่าเป็นใคร ร่างบางก็รีบขยับถอยหนีจนแผ่นหลังชิดฝาผนัง แววตาตัดพ้อรุนแรงฉายชัดออกมา ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ราวกับไม่อยากมองหน้าคนใจร้าย


"มาทำไมขอรับ..." เสียงแหบแห้งเอ่ยถามโดยไม่หันมามอง "ท่านควรจะอยู่ที่เรือนใหญ่ ปรนนิบัติภริยาเอกของท่านมิใช่หรือ... มาเสียเวลากับนายบำเรอท้ายสวนอย่างข้าทำไม"


ขุนวรกานต์ไม่ถือสาคำประชดประชันนั้น เขาค่อยๆ คลานเข่าเข้าไปหาอย่างใจเย็น ก่อนจะเอื้อมมือไปรวบตัวคนขี้งอนเข้ามากอดไว้แน่น แม้อีกฝ่ายจะขัดขืนดิ้นรนทุบตีอกเขาพัลวัน


"ปล่อยข้านะ! ... ฮึก... คนโกหก! ไหนบอกว่าจะมีแค่ข้า... ไหนบอกว่าหวงข้า... สุดท้ายท่านก็ไปแต่งงานชูชื่นกับคนอื่น ทิ้งข้าให้รอเก้อ... ปล่อย!"


ท่านขุนปล่อยให้ธารานนท์ระบายอารมณ์จนพอใจ รอจนแรงทุบตีแผ่วลงเหลือเพียงเสียงสะอื้นฮัก เขาจึงเชยคางมนให้เงยขึ้นสบตา ใช้นิ้วหัวแม่มือปาดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน


"พี่ขอโทษ..." คำสั้นๆ แต่หนักแน่นด้วยความรู้สึก "พี่รู้ว่าเจ้าน้อยใจ... พี่ผิดเองที่หายไปโดยไม่บอกกล่าว แต่ฟังพี่นะเจ้านนท์... การแต่งงานครั้งนี้เป็นเพียงหน้าที่ที่พี่ต้องทำเพื่อผู้ใหญ่”


"ท่านโกหก..." ธารานนท์สะอื้น "นางงามพร้อมปานนั้น ท่านจะไม่รักนางได้อย่างไร"


"ความรักมันบังคับกันไม่ได้" ท่านขุนจูบซับที่หน้าผากมน "และพี่ก็ได้ตกลงกับแม่หญิงบุษบาแล้ว... นางเข้าใจและไม่รังเกียจเรื่องของเรา นางอนุญาตให้พี่มาดูแลเจ้าได้ตามใจปรารถนา"


ธารานนท์ชะงัก กะพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงง "จะ... จริงหรือขอรับ?"


"จริงสิ... พี่จะโกหกเจ้าทำไม" ขุนวรกานต์ยิ้มละมุน "เลิกงอแงได้แล้ว ดูสิ... ผอมโซจนกอดไม่เต็มไม้เต็มมือแล้วเนี่ย เดี๋ยวไม่สวยสมใจพี่นะ"


เขาหันไปหยิบชามข้าวต้มที่วางเย็นชืดอยู่หัวเตียงขึ้นมา "กินเสียหน่อยนะ... เดี๋ยวพี่ป้อน"


"ข้า... กินไม่ลง"


"ต้องกิน" ท่านขุนทำเสียงดุแต่แววตาพราวระยับ "ถ้าไม่กิน พี่จะใช้วิธีป้อนด้วยปาก... เอาไหม?”


คำขู่นั้นได้ผลชะงัด ธารานนท์หน้าแดงซ่าน รีบอ้าปากรับข้าวต้มที่ท่านขุนตักป้อนแต่โดยดี แม้รสชาติอาหารจะจืดชืด แต่รสสัมผัสแห่งความเอาใจใส่ที่ได้รับ กลับหวานล้ำเสียยิ่งกว่าน้ำตาล


เมื่อเม็ดข้าวต้มคำสุดท้ายถูกกลืนลงคอจนหมดชาม ขุนวรกานต์วางถ้วยกระเบื้องลงบนโต๊ะหัวเตียงอย่างไม่ไยดี ก่อนจะหันกลับมาจ้องมองใบหน้าหวานที่เริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้นด้วยสายตาที่แปรเปลี่ยนไป... จากความอ่อนโยนเมื่อครู่ บัดนี้กลับลุกโชนไปด้วยเปลวไฟแห่งความปรารถนาที่เก็บกกดมาแรมเดือน


"เก่งมาก... เจ้านนท์ของพี่"


เสียงทุ้มเอ่ยชม พลางใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยเช็ดคราบน้ำข้าวที่มุมปากอิ่มให้อย่างอ้อยอิ่ง การกระทำที่ดูเหมือนจะนุ่มนวล แต่แววตานั้นกลับจ้องมองราวกับราชสีห์ที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ


"ในเมื่อเจ้าเป็นเด็กดี ยอมกินข้าวกินปลาจนหมด... พี่ก็ต้องมีรางวัลให้ตามสัญญา"


ขุนวรกานต์โน้มใบหน้าลงไปกระซิบชิดริมหู ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดจนขนอ่อนลุกชัน "และพี่เอง... ก็อดอยากปากแห้งมาหลายวัน คืนนี้พี่จะทบต้นทบดอก คิดบัญชีกับเจ้าให้สาสมกับความคิดถึงที่พี่มี"


สิ้นคำประกาศ ร่างสูงสง่าก็โถมทับร่างบางลงกับฟูกนอนทันทีโดยมิให้ทันได้ตั้งตัว ริมฝีปากหยักได้รูปบดขยี้ลงมาอย่างดุดันและหิวกระหาย ดูดกลืนริมฝีปากล่างของธารานนท์อย่างแรงจนรู้สึกเจ็บแปลบ ลิ้นร้อนสอดแทรกเข้าไปควานหาความหวานล้ำภายในโพรงปาก กวาดต้อนไล่ล่าลิ้นเล็กอย่างไม่ปรานี


"อื้อ! ... อึก... พี่กานต์..."


ธารานนท์ครางประท้วงในลำคอ แต่เรี่ยวแรงที่มีหรือจะสู้แรงปรารถนาของชายชาตรีได้ มือหนาของท่านขุนเริ่มปฏิบัติการอย่างชำนาญ กระชากปมผ้าคาดเอวของธารานนท์ออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแหวกสาบเสื้อออก เผยให้เห็นผิวขาวเนียนละเอียดที่เขาโหยหา


"ผิวเจ้า... หอมหวานไปทั้งตัว"


ขุนวรกานต์พรมจูบไปทั่วแผงอกขาว ขบเม้มสร้างรอยรักสีแดงก่ำไว้ทั่วทุกตารางนิ้ว ราวกับจะประทับตราความเป็นเจ้าของซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อลบเลือนความห่างเหินในช่วงวันที่ผ่านมา


"อ๊า... ท่านพี่... เบา... เบาหน่อยขอรับ" ธารานนท์ร้องขอเสียงกระเส่า เมื่อท่านขุนดูดดึงยอดอกสีหวานอย่างแรงจนบวมเป่ง


"เบาไม่ได้!" ท่านขุนคำรามตอบเสียงพร่า เงยหน้าขึ้นสบตาด้วยแววตาฉ่ำเยิ้ม "พี่หิวเจ้าจะแย่อยู่แล้ว... คืนนี้พี่จะจัดหนัก ให้เจ้าจนลุกไม่ขึ้นเชียว"


ไม่รอช้า ท่านขุนจับขาเรียวแยกออกกว้าง แทรกกายแกร่งเข้าไปตรงกลาง ท่อนเนื้อความเป็นชายที่ขยายตัวจนปวดหนึบดุนดันอยู่ที่ปากทางรักที่ปิดสนิท เขาไม่เสียเวลาเล้าโลมให้มากความ อาศัยความชื้นแฉะจากน้ำมันหอมระเหยที่คว้ามาใกล้มือ ชโลมลงไปอย่างลวกๆ ก่อนจะกดกระแทกแก่นกายเข้าไปทีเดียวจนมิดด้าม


"อ๊ากกก!"


ธารานนท์หวีดร้องลั่น ตัวงอโค้งด้วยความจุกเสียด ช่องทางคับแคบถูกบุกรุกอย่างรุนแรงและรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่ความเจ็บจะจางหาย ท่านขุนก็เริ่มขยับสะโพกกระแทกกระทั้นเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง


ตับ! ตับ! ตับ!


เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังสนั่นลั่นห้องหอ จังหวะรักในครานี้ไร้ซึ่งความปรานี มีเพียงความดิบเถื่อนของความคิดถึงที่อัดอั้น ขุนวรกานต์จับเอวบางไว้แน่นตรึง แล้วโหมแรงกระแทกเข้าใส่จุดกระสันซ้ำๆ ราวกับจะตอกย้ำให้ธารานนท์จดจำสัมผัสของเขาให้ขึ้นใจ


"ซี๊ด... แน่น... แน่นฉิบหาย!" ท่านขุนสบถคำหยาบออกมาด้วยความเสียวซ่าน "รูของเจ้ามันตอดรัดพี่จนแทบคลั่ง... อา... ดี... ดีเหลือเกิน"


ธารานนท์หัวสั่นหัวคลอนไปตามแรงส่ง มือเรียวจิกผ้าปูที่นอนจนยับยู่ยี่ ความเจ็บปวดแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่านที่รุนแรงจนน้ำตาเล็ด ร่างกายบิดเร้าตอบรับสัมผัสที่หนักหน่วงนั้นอย่างถึงพริกถึงขิง


"ท่านพี่... แรงอีก... อึก... ลึกๆ ... เข้ามาลึกๆ"


เสียงวอนขอของคนใต้ร่าง ยิ่งราดน้ำมันลงบนกองไฟ ขุนวรกานต์จับขาเรียวพาดบ่าแกร่ง เปิดทางให้ตนเองเข้าไปได้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะกระหน่ำแทงสวนเข้าไปถี่รัวราวกับพายุบุแคม


"จัดให้ตามคำขอ!"


บทรักดำเนินไปอย่างยาวนานและเร่าร้อน ท่านขุนพลิกตัวธารานนท์ให้เปลี่ยนท่าทางสารพัด ทั้งท่าตะแคง ท่าก้มโค้งจากด้านหลัง เพื่อตักตวงความสุขจากเรือนร่างนี้ให้ครบทุกองศา เสียงครวญครางระงมผสมกับเสียงหอบหายใจหนักหน่วงดังไปทั่วเรือนริมน้ำ


จนกระทั่งเมื่อถึงขีดสุดแห่งอารมณ์ ขุนวรกานต์กระแทกกายเข้าใส่เน้นๆ อีกสามสี่ครั้ง ก่อนจะเกร็งกระตุก ปลดปล่อยธารลาวารักอันร้อนระอุเข้าไปในกายธารานนท์จนล้นทะลัก


"อ๊าาาาา!"


ทั้งคู่หวีดร้องพร้อมกันด้วยความสุขสมที่แทบขาดใจ ร่างกายกระตุกเกร็งกอดรัดกันแน่น ซึมซับความรู้สึกที่ถูกเติมเต็มจนเปี่ยมล้น


ขุนวรกานต์ทิ้งตัวลงทับร่างบางที่หอบฮั่กอย่างหมดแรง ซุกหน้าลงกับซอกคอชื้นเหงื่อ จูบซับแผ่วเบาเพื่อปลอบประโลม


"นี่แค่รอบแรกนะ... เจ้านนท์" ท่านขุนกระซิบเสียงแหบพร่าข้างหู "พี่บอกแล้วว่าจะชดเชยให้... คืนนี้ยังอีกยาวไกลนัก เตรียมตัวรับรางวัลของพี่ให้ดีเถิด"


ไฟราคะที่เพิ่งมอดลงเพียงชั่วครู่ กลับถูกพัดกระพือให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ขุนวรกานต์มิยอมปล่อยให้เวลาอันมีค่าสูญเปล่า แม้เสียงหอบหายใจของคนใต้ร่างจะยังมิทันจางหาย มือหนาก็จัดการพลิกกายบางที่อ่อนระทวยให้พลิกคว่ำลงกับฟูกนอนอย่างไม่ปรานี


"อ๊ะ... ท่านพี่..."


ธารานนท์ร้องประท้วงเสียงหลงเมื่อถูกจับเปลี่ยนท่วงท่าอย่างกะทันหัน ใบหน้าหวานซุกคว่ำลงกับหมอนนุ่ม สะโพกกลมกลึงขาวผ่องถูกมือแกร่งรั้งให้ยกสูงขึ้นลอยเด่นอยู่กลางอากาศ เผยให้เห็นช่องทางรักสีสดที่บวมช้ำและยังคงขมิบตัวเชิญชวน พร้อมกับคราบน้ำรักที่ไหลย้อยลงมาตามง่ามขา ดูลามกและยั่วยวนสายตายิ่งนัก


"ท่านี้แหละ..." ขุนวรกานต์คำรามในลำคอ สายตาจับจ้องมองทิวทัศน์เบื้องหน้าด้วยความหิวกระหาย "ข้าจะได้กระแทกเจ้าให้ลึกถึงไส้ถึงพุง... ให้สมกับที่ข้าอยากจะกลืนกินเจ้าทั้งตัว"


เพียะ!


ฝ่ามือหนาฟาดลงบนแก้มก้นนุ่มเด้งเต็มแรงจนเกิดรอยแดงรูปฝ่ามือ ธารานนท์สะดุ้งสุดตัว ร้องครางออกมาด้วยความเจ็บระคนเสียวซ่าน ความเจ็บปวดที่ได้รับกระตุ้นให้ช่องทางด้านหลังตอดรัดอากาศตุบๆ ราวกับรอคอยการเติมเต็ม


ขุนวรกานต์ไม่รอช้า ขยับกายเข้าประชิดบั้นท้ายงอนงาม จับแก่นกายที่กลับมาแข็งขึงจนปวดหนึบจ่อที่ปากทางฉ่ำเยิ้ม แล้วกดพรวดเข้าไปทีเดียวจนมิดลำ โดยไร้ความปรานี


"อ๊ากกกก! ... จุก! ... ข้าจุก!"


ธารานนท์กรีดร้องอู้อี้ในลำคอ ใบหน้าซุกไซ้กับหมอนเพื่อระบายความจุกเสียดที่แล่นพล่านขึ้นมาถึงลิ้นปี่ ท่วงท่าจากด้านหลังนี้ทำให้ความเป็นชายของท่านขุนเข้าไปได้ลึกยิ่งกว่าท่าใด มันครูดถูผนังเนื้ออ่อนนุ่มและกระแทกเข้ากับจุดกระสันภายในอย่างจังจนร่างกายสั่นสะท้าน


"จุกสิดี! ... จะได้จำ!"


ท่านขุนกัดฟันกรอด เอื้อมมือไปจับเอวคอดกิ่วไว้มั่นราวกับบังเหียนม้า แล้วเริ่มขยับสะโพกกระหน่ำแทงสวนเข้าไปอย่างหนักหน่วงและรุนแรง เสียงเนื้อกระทบเนื้อดัง ตับ ตับ ตับ ถี่รัวและกึกก้องยิ่งกว่าเดิม


"ซี๊ด... อ่า... นนท์... รูของเจ้ามันร้อนระอุไปหมด" ขุนวรกานต์สูดปากด้วยความเสียวซ่าน โน้มตัวลงไปแนบชิดแผ่นหลังเนียน ใช้ลิ้นสากเลียไล้ไปตามแนวกระดูกสันหลัง จนธารานนท์ขนลุกซู่ "ตอดข้าอีก... ตอดแรงๆ แบบนั้นแหละ!"


แรงกระแทกที่โถมเข้ามาดั่งคลื่นยักษ์ ทำให้ธารานนท์หัวสั่นหัวคลอน เขาทำได้เพียงจิกเล็บลงบนหมอนแน่น แอ่นสะโพกรับแรงกระแทกนั้นอย่างจำยอม ทุกครั้งที่ท่านขุนกระแทกเข้ามาโดนจุดเสียว ความสุขสมแล่นพล่านจนเขาต้องครางเสียงหลง


"อ๊า! ... อึก... ท่านพี่... ลึก... มันลึกเกินไป... อ๊า!"


"ยิ่งลึกยิ่งดีมิใช่รึ?" ท่านขุนกระชากเสียงถาม มือข้างหนึ่งเลื่อนลงไปกอบกุมแก่นกายเล็กของธารานนท์ที่เสียดสีกับที่นอนจนแข็งขึง แล้วเริ่มชักรูดให้เป็นจังหวะเดียวกับการกระแทก "ปากบอกว่าจุก... แต่ของเจ้ามันแข็งสู้มือข้าขนาดนี้... ร่านนักนะ!"


ความเสียวซ่านจากทั้งสองทางที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกัน ทำให้ธารานนท์แทบขาดใจตาย สมองขาวโพลน ควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป ได้แต่ร่อนเอวรับสัมผัสอันป่าเถื่อนนั้นอย่างบ้าคลั่ง


"แรงอีก... ท่านพี่... เอาข้าแรงๆ ... อ๊า!"


คำขออนุญาตที่ไร้ยางอายนั้น เปรียบเสมือนการราดน้ำมันลงกองเพลิง ขุนวรกานต์คำรามลั่น เร่งจังหวะสะโพกซอยยิกจนร่างบางสั่นไหวไปทั้งตัว เสียงเตียงไม้สักลั่นเอี๊ยดอ๊าดประสานกับเสียงครางระงม บ่งบอกถึงความรุนแรงของบทรักในยกนี้ได้เป็นอย่างดี


"จะเสร็จ... ข้าจะเสร็จแล้ว... อ๊า!"


"พร้อมกัน!"


ขุนวรกานต์งัดสะโพกกระแทกเน้นๆ เข้าจุดตายอีกสามสี่ครั้ง ก่อนจะกดแช่ลึกสุดใจ ปลดปล่อยสายธารอุ่นร้อนพุ่งทะลักเข้าไปในกายธารานนท์อย่างรุนแรง ขณะเดียวกันมือหนาก็เร่งชักรูดส่วนหน้าจนธารานนท์เกร็งกระตุก ปลดปล่อยน้ำรักออกมาเลอะที่นอนเป็นวงกว้าง


ทั้งสองร่างหอบหายใจหนักหน่วงราวกับเพิ่งผ่านศึกสงคราม ร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อไคล ขุนวรกานต์ค่อยๆ ถอนกายออก แล้วทิ้งตัวลงนอนทับบนแผ่นหลังบาง กอดรัดก้อนเนื้อนุ่มนิ่มใต้ร่างด้วยความหวงแหนและอิ่มเอม


"รางวัลของข้า... หวานล้ำยิ่งนัก"


เมื่อเสียงหอบหายใจกระเส่าเริ่มแผ่วลง เหลือเพียงจังหวะการเต้นของหัวใจที่ยังคงดังประสานกัน ขุนวรกานต์ค่อยๆ พลิกร่างบางที่นอนคว่ำหน้าหมดเรี่ยวแรงให้หงายขึ้นมาเผชิญหน้า


ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทำเอาหัวใจแกร่งอ่อนยวบ ธารานนท์ในยามนี้ดูยับเยินแต่ทว่างดงามจับใจ ผิวขาวเนียนแดงระเรื่อด้วยเลือดฝาดและรอยรักที่เขาจงใจฝากไว้ทั่วตัว เส้นผมสีดำขลับยุ่งเหยิงกระจายเต็มหมอน ดวงตาคู่สวยฉ่ำน้ำปรือปรอยด้วยความง่วงงุนและความอ่อนเพลียจากบทรักที่หนักหน่วง


ท่านขุนดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมกายให้คนตัวเล็กเพื่อกันลมหนาว ก่อนจะสอดแขนเข้าไปรองศีรษะต่างหมอน ดึงร่างนุ่มนิ่มเข้ามาแนบชิดอกกว้าง


"เจ็บหรือไม่? ... เมื่อครู่พี่รุนแรงกับเจ้าไปหน่อย"


ขุนวรกานต์เอ่ยถามเสียงนุ่ม พลางใช้นิ้วเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าผากชื้นเหงื่อออกให้ ธารานนท์ส่ายหน้าเบาๆ ซุกหน้าลงกับอกอุ่นอย่างออดอ้อน


"ไม่เจ็บขอรับ... ข้ามีความสุข" เสียงหวานตอบอู้อี้


ท่านขุนยิ้มละมุน จุมพิตที่ขมับบางเบาๆ ก่อนจะปรับน้ำเสียงให้จริงจังขึ้นเล็กน้อย "นนท์... ฟังพี่นะ พรุ่งนี้เช้าเจ้าตื่นแล้วจงแต่งตัวให้เรียบร้อย เลือกชุดที่ดีที่สุดที่พี่เคยให้"


ธารานนท์เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย "แต่งตัวสวยๆ? ... ท่านพี่จะพาข้าไปเที่ยวที่ใดหรือขอรับ?"


"ไม่ได้ไปเที่ยว..." ท่านขุนเว้นจังหวะ สบตาลึกเข้าไปในดวงตาคู่โศก "แต่พี่จะพาเจ้าขึ้นไปที่เรือนใหญ่... ไปกราบแม่หญิงบุษบา"


สิ้นคำบอกเล่า ร่างในอ้อมกอดก็สะดุ้งเฮือก ธารานนท์เบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก รีบยันตัวลุกขึ้นนั่ง แม้จะยังเจ็บระบมที่ช่วงล่างก็ตาม


"ไป... ไปหาคุณหญิงหรือขอรับ!?" เสียงของเขาสั่นเครือด้วยความหวาดกลัว "ท่านพี่... อย่าพาข้าไปเลยนะขอรับ ข้ากลัว... ข้าเป็นเพียงนายบำเรอต่ำต้อย มิบังอาจไปเสนอหน้าให้ท่านหญิงระคายเคืองตา นางคงรังเกียจข้าเป็นแน่"


ความน้อยเนื้อต่ำใจในชาติกำเนิดทำให้ธารานนท์คิดไปไกล ว่าการถูกเรียกตัวไปพบเมียหลวง คงหนีไม่พ้นการถูกดุด่าว่ากล่าว หรือถูกโขกสับเยี่ยงทาส


ขุนวรกานต์รีบรั้งร่างบางลงมานอนกอดไว้ดังเดิม ลูบหลังปลอบประโลมให้คลายความตื่นกลัว "อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้... แม่หญิงบุษบามิใช่คนใจแคบเยี่ยงนั้น นางรู้เรื่องของเจ้าแล้ว และนางก็เป็นคนเอ่ยปากเองว่าอยากพบเจ้า"


"นาง... รู้เรื่องข้า?"


"ใช่... พี่เล่าให้นางฟังหมดแล้ว" ท่านขุนอธิบายด้วยความใจเย็น "นางเข้าใจและมิได้รังเกียจ นางบอกว่าอยากเจอเจ้า อยากเห็นหน้าคนที่กุมหัวใจพี่... แถมยังบอกอีกว่า หากเจ้าว่างเว้นจากการปรนนิบัติพี่ ก็ให้ขึ้นไปหานางที่เรือนใหญ่ นางจะสอนงานบ้านงานเรือน งานแกะสลัก งานร้อยมาลัยให้เจ้า"


ท่านขุนเชยคางมนให้เงยขึ้นสบตา "นางบอกว่า ไม่อยากให้เจ้าต้องอยู่เหงาๆ คนเดียว... และอยากให้เจ้ามีวิชาติดตัว จะได้ช่วยดูแลพี่ได้ดียิ่งขึ้น"


ธารานนท์ฟังแล้วก็นิ่งอึ้งไป น้ำตาแห่งความตื้นตันรื้นขึ้นมาที่ขอบตา เขาไม่นึกฝันเลยว่า สตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นจะมีจิตใจเมตตาต่อคนต่ำต้อยอย่างเขาถึงเพียงนี้


"จริงหรือขอรับ..." ธารานนท์ถามย้ำเสียงแผ่ว "นางจะไม่ตบตี หรือไล่ข้าออกจากเรือนใช่หรือไม่?"


"พี่เอาเกียรติของพี่เป็นประกัน" ท่านขุนยิ้มกว้าง "แม่หญิงบุษบาเป็นคนสมัยใหม่และใจกว้างนัก เจ้าวางใจเถิด... พรุ่งนี้ทำตัวให้น่ารัก อ่อนน้อมถ่อมตนเข้าไว้ รับรองว่านางต้องเอ็นดูเจ้าแน่"


ธารานนท์พยักหน้ารับคำ แม้ในใจจะยังมีความประหม่าอยู่บ้าง แต่ความอบอุ่นจากอ้อมกอดของท่านขุนก็ช่วยคลายความกังวลไปได้มากโข


"นอนเสียเถิดคนดี..." ท่านขุนกระชับกอดแน่นขึ้น "เก็บแรงไว้พรุ่งนี้... เพราะหากเจ้ายังทำตาแป๋วใส่พี่อยู่แบบนี้ พี่เกรงว่าจะอดใจไม่ไหว จับเจ้ากินอีกสักรอบ แล้วพรุ่งนี้เจ้าจะลุกเดินไปเรือนใหญ่ไม่ไหวเอาหนา"


คำขู่นั้นได้ผลชะงัด ธารานนท์รีบหลับตาปี๋ ซุกหน้าลงกับอกแกร่งทันที เรียกเสียงหัวเราะทุ้มต่ำในลำคอจากท่านขุน ก่อนที่ทั้งคู่จะเข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมกับความหวังใหม่ในวันรุ่งขึ้น




-----------------------------------------
ฝากติดตามด้วยนะครับ


🌸 一期一会 (いちごいちえ)

นายกสโมสร

กระทู้
0
ตอบกลับ
55744
พลังน้ำใจ
284824
Zenny
111064
ออนไลน์
22570 ชั่วโมง
โพสต์ 2025-12-2 09:14:34 | ดูโพสต์ทั้งหมด

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
0
ตอบกลับ
2698
พลังน้ำใจ
15724
Zenny
7155
ออนไลน์
617 ชั่วโมง
โพสต์ 2025-12-2 23:09:09 | ดูโพสต์ทั้งหมด
สนุกมากครับ ขอบคุณครับ

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
1
ตอบกลับ
4734
พลังน้ำใจ
46405
Zenny
24904
ออนไลน์
3004 ชั่วโมง
โพสต์ 2025-12-4 03:14:11 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | สมัครเข้าเรียน

รายละเอียดเครดิต

A Touch of Friendship: สังคมจะน่าอยู่ เมื่อมีผู้ให้แบ่งปัน ฝากไวเป็นข้อคิดด้วยนะคะชาวจีโฟกายทุกท่าน
!!!!!โปรดหยุด!!!!! : พฤติกรรมการโพสมั่วๆ / โพสแต่อีโมโดยไม่มีข้อความประกอบการโพส / โพสลากอักษรยาว เช่น ครับบบบบบบบบ, ชอบบบบบบบบ, thxxxxxxxx, และอื่นๆที่ดูแล้วน่ารำคาญสายตา เพราะถ้าท่านไม่หยุดทีมงานจะหยุดท่านเอง
ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่านโปรดโพสตอบอย่างอื่นนอกเหนือจากคำว่า ขอบคุณ, thanks, thank you, หรืออื่นๆที่สื่อความหมายว่าขอบคุณเพียงอย่างเดียวด้วยนะคะ เพื่อสื่อถึงความจริงใจในการโพสตอบกระทู้ และไม่ดูเป็นโพสขยะ
กระทู้ไหนที่ไม่ใช่กระทู้ในลักษณะที่ต้องโพสตอบโดยใช้คำว่าขอบคุณ เช่นกระทู้โพล, กระทู้ถามความเห็น, หรืออื่นๆที่ทีมงานอ่านแล้วเข้าข่ายว่า โพสขอบคุณไร้สาระ ทีมงานขอดำเนินการตัดคะแนน และ/หรือให้ใบเตือนสมาชิกที่โพสขอบคุณทันทีที่เจอนะคะ

รูปแบบข้อความล้วน|โทรศัพท์มือถือ|ติดต่อลงโฆษณา|จีโฟกายดอทคอม

ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บจีโฟกายดอทคอมนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ หากท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศิลธรรม ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link “แจ้งลบโพสนี้” ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือ ลืมพาสเวิดล๊อกอิน/ลืมชื่อที่ใช้สมัคร หรือข้อสงสัยใดๆแจ้งมาที่ G4GuysTeam[at]yahoo.com ขอขอบพระคุณที่ให้ความร่วมมือ

กรณีที่ข้อความ/รูปภาพในกระทู้นี้จัดสร้างโดยผู้ลงข้อมูลเอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้ลงข้อมูลโดยตรง หากจะทำการคัดลอก/เผยแพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ลงข้อมูลก่อนนะคะ หรือลงที่มาไว้ด้วยค่ะ

©ขอสงวนสิทธิ์คอนเซ็ปต์,คำอธิบาย,หัวข้อ/หมวดหมู่เว็บ ห้ามลอกเลียนแบบ คิดเอาเองนะคะอย่าเอาแต่ลอก

GMT+7, 2026-1-1 06:15 , Processed in 0.108744 second(s), 26 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.8

© 2001-2025 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้