ลืมรหัสผ่าน
 สมัครเข้าเรียน
ค้นหา
ดู: 45|ตอบกลับ: 1

เล่ห์อนธการ ตอนที่ 3

[คัดลอกลิงก์]

มาเฟียนักศึกษา

กระทู้
230
ตอบกลับ
54
พลังน้ำใจ
9041
Zenny
36243
ออนไลน์
2990 ชั่วโมง
โพสต์ เมื่อวาน 19:27 | ดูโพสต์ทั้งหมด |โหมดอ่าน






พายุสวาทที่โหมกระหน่ำได้พัดผ่านพ้นไป ทิ้งไว้เพียงเสียงสายฝนภายนอกที่เริ่มซาลงเหลือเพียงเสียงพรำๆ ขับกล่อมราตรีอันแสนหวาน


ธารานนท์นอนตะแคงซบหน้าอยู่กับแผงอกกว้างที่ชื้นเหงื่อ ฟังเสียงหัวใจของท่านขุนที่เต้นเป็นจังหวะหนักแน่นราวกับเสียงกลองศึกที่สงบลงแล้ว ร่างกายเปลือยเปล่าทั้งสองแนบชิดกันใต้ผ้าห่มผืนหนา แลกเปลี่ยนไออุ่นให้แก่กันเพื่อคลายความหนาวเหน็บจากอากาศยามค่ำคืน


ขุนวรกานต์โอบกอดร่างนุ่มนิ่มไว้แน่น มือหนาลูบไล้แผ่นหลังเนียนลื่นไปมาอย่างเพลินมือ พลางกดจูบลงบนกลุ่มผมนุ่มหอมกรุ่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความเอ็นดู


"เหนื่อยหรือไม่... เจ้าตัวดี"


เสียงทุ้มเอ่ยถามทำลายความเงียบ ธารานนท์ขยับตัวเล็กน้อย พยักหน้าหงึกหงักกับอกแกร่งแทนคำตอบ ความอ่อนเพลียทำให้เปลือกตาเริ่มหนักอึ้ง แต่ความสุขใจกลับทำให้เขาไม่อยากหลับใหล อยากจะซึมซับช่วงเวลานี้ไว้นานที่สุด


"ธารานนท์..." ท่านขุนเรียกชื่อเต็มเสียงนุ่ม "ชื่อของเจ้านั้นไพเราะ ความหมายดี... แปลว่าความยินดีในสายน้ำ สมกับที่เป็นคนใจเย็นและเย็นฉ่ำเยี่ยงนี้"


"เป็นชื่อที่ท่านแม่ตั้งให้ขอรับ" ธารานนท์ตอบเสียงอู้อี้ "ท่านบอกว่า อยากให้ชีวิตข้าสงบเย็นเหมือนสายน้ำ ไม่ร้อนรุ่มเหมือนไฟนรกในหอโคมแดง"


"แล้ว..." ท่านขุนเว้นจังหวะเล็กน้อย เชยคางมนให้เงยขึ้นสบตา "ยามอยู่กับแม่เจ้า ท่านแม่เรียกเจ้าว่ากระไร? มีชื่อเล่นที่ใช้เรียกขานกันในครอบครัวหรือไม่?"


ธารานนท์นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะระบายยิ้มจางๆ ที่มุมปาก ดวงตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงความทรงจำวัยเยาว์ "ท่านแม่มักเรียกข้าสั้นๆ ว่า 'เจ้านนท์' ขอรับ... นางบอกว่าเรียกง่าย"


ขุนวรกานต์หัวเราะในลำคอ "เจ้านนท์... อืม เข้าที เหมาะกับเด็กดื้อตาใสอย่างเจ้าจริงๆ" เขาใช้นิ้วเกลี่ยแก้มใสเบาๆ "งั้นนับแต่นี้ ข้าจะเรียกเจ้าว่า 'นนท์' ... ดีหรือไม่? ให้เหมือนกับที่คนที่รักเจ้าเรียกขาน"


หัวใจของธารานนท์พองโตคับอก เพียงแค่สรรพนามที่เปลี่ยนไป ก็เหมือนกำแพงชนชั้นได้ทลายลงไปอีกขั้น "ขอรับ... ท่านพี่"


"แล้วเจ้าล่ะ... อยากรู้ชื่อเล่นของข้าบ้างหรือไม่?" ท่านขุนเลิกคิ้วถาม


ธารานนท์ทำตาโตด้วยความประหลาดใจ "ข้า... ข้ามิบังอาจเจ้าค่ะ ท่านขุนเป็นถึงขุนนางผู้ใหญ่ ข้าเป็นเพียง..."


"หยุดพูดจาแบ่งชั้นวรรณะเดี๋ยวนี้" ขุนวรกานต์เอ่ยดุไม่จริงจังนัก "ยามอยู่บนเตียง ยามตระกองกอดกันเยี่ยงนี้ เราเป็นเพียงผัวเมีย หาใช่เจ้านายกับบ่าวไพร่... ข้าอนุญาตให้เจ้าเรียก"


ธารานนท์เม้มปากด้วยความขัดเขิน ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ "งั้น... ท่านพี่มีชื่อเล่นว่ากระไรหรือขอรับ?"


ขุนวรกานต์ยิ้มละมุน นัยน์ตาฉายแววอ่อนโยนที่สุดเท่าที่ธารานนท์เคยเห็น "คนในครอบครัว... ท่านพ่อท่านแม่ และญาติผู้ใหญ่ มักเรียกข้าว่า 'พ่อกานต์' ตัดมาจากชื่อจริงนั่นแล... แต่คนภายนอกน้อยคนนักที่จะได้เรียก"


เขาโน้มหน้าลงมากระซิบชิดริมฝีปาก "แต่สำหรับเจ้า... ข้าให้สิทธิ์พิเศษ เรียกว่า 'พี่กานต์' เถิด... ข้าอยากได้ยินเสียงหวานๆ ของเจ้าเรียกชื่อนี้ข้างหูทุกค่ำคืน"


ธารานนท์หน้าแดงซ่าน ร้อนวูบวาบไปทั้งตัว ความรู้สึกพิเศษที่ได้รับมันท่วมท้นจนน้ำตาแห่งความตื้นตันรื้นขึ้นมาอีกครา เขาโผเข้ากอดรอบเอวสอบแน่น ซุกหน้าลงกับอกอุ่น


"ขอรับ... พี่กานต์"


เสียงเรียกแผ่วเบาแต่หวานจับใจนั้น ทำให้ขุนวรกานต์ต้องกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีก ราวกับจะหลอมรวมร่างน้อยให้จมหายเข้าไปในอก "ดีมาก... เจ้านนท์ของพี่ นอนเสียเถิดดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ตื่นมาพี่จะพาเจ้าไปดูอะไรดีๆ"


"ฝันดีขอรับ พี่กานต์"









ความสุขในห้วงเวลารักมักผ่านพ้นไปรวดเร็วดั่งสายน้ำไหล แสงตะวันยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาในห้องหอ เพิ่งจะขับไล่ความมืดมิดไปได้ไม่นาน เสียงเคาะประตูไม้สักที่หน้าเรือนก็ดังรัวเร็วและหนักแน่น ทำลายบรรยากาศอันแสนหวานที่อบอวลอยู่รอบกายของคนทั้งสองให้แตกกระเจิง


"ท่านขุนขอรับ! ... ท่านขุน!"


เสียงร้อนรนของไอ้สน ที่ดังลอดเข้ามาทำให้ขุนวรกานต์ ที่กำลังนอนตระกองกอดร่างนุ่มนิ่มของ เจ้านนท์แสนรัก จำต้องลืมตาตื่นขึ้นด้วยความหงุดหงิด คิ้วเข้มขมวดมุ่นเตรียมจะตวาดกลับไปที่ถูกขัดจังหวะการพักผ่อน


"มีเรื่องอันใด! หากมิใช่เรื่องคอขาดบาดตาย เอ็งเตรียมหลังลายได้เลย!"


"เรื่องด่วนขอรับ!" น้ำเสียงของไอ้สนเจือความตื่นตระหนก "คนที่เรือนใหญ่มาแจ้งว่า ขบวนของ ท่านหญิงพิมพากำลังจะเสด็จมาถึงที่ท่าน้ำในอีกไม่กี่ชั่วยามขอรับ ท่านหญิงจะมาตรวจดูความเรียบร้อยที่เรือนใหญ่กะทันหัน!"


ชื่อของ 'หม่อมแม่' เปรียบเสมือนอาญาสิทธิ์ที่ทำให้ขุนวรกานต์ชะงักกึก ความง่วงงุนและความหลงใหลเลือนหายไปในพริบตา เหลือไว้เพียงความตึงเครียดของหน้าที่และความลับที่ต้องปกปิด


ธารานนท์ที่นอนฟังอยู่เงียบๆ รับรู้สถานการณ์ได้ในทันที ร่างบางรีบขยับตัวลุกขึ้นจากอ้อมกอดอุ่น ผละออกมานั่งพับเพียบที่ปลายเตียงด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม ความใกล้ชิดเมื่อครู่มลายหายไป กลับกลายเป็นความห่างเหินของสถานะที่แท้จริง


"พี่กานต์... รีบไปเถิดขอรับ"


ธารานนท์เอ่ยเตือนสติด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พลางเอื้อมมือไปหยิบเสื้อผ้าอาภรณ์ของท่านขุนมาส่งให้ กิริยานั้นนอบน้อมและรู้ความราวกับบ่าวไพร่ที่ปรนนิบัตินาย มิใช่ภรรยาที่เพิ่งผ่านค่ำคืนวิวาห์


ขุนวรกานต์มองหน้าคนรักด้วยแววตาอาวรณ์ระคนรู้สึกผิด เขาอยากจะเอ่ยคำปลอบโยน หรือรั้งร่างนั้นมากอดลา แต่เวลาที่กระชั้นเข้ามาทำให้เขาทำได้เพียงรับเสื้อผ้ามาสวมใส่อย่างเร่งรีบ


"พี่ต้องรีบไปรับเสด็จท่านแม่... เจ้าอยู่ที่นี่เงียบๆ อย่าเพิ่งออกไปเดินเพ่นพ่านให้ใครเห็น รอพี่จัดการธุระทางโน้นเสร็จแล้ว พี่จะรีบหาทางมาหา"


"ขอรับ... ท่านพี่ไม่ต้องกังวล" ธารานนท์รับคำพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ส่งไปให้เพื่อให้ท่านขุนสบายใจ


เมื่อร่างสูงสง่าของขุนวรกานต์ก้าวพ้นประตูเรือนและหายลับไปกับไอ้สน ความเงียบงันก็กลับเข้ามาครอบงำเรือนหลังน้อยอีกครา... แต่คราวนี้ มันช่างดูเวิ้งว้างและหนาวเหน็บกว่าเดิมหลายเท่า


ธารานนท์ทอดสายตามองไปยังที่นอนยับย่น ร่องรอยความรักที่ยังหลงเหลืออยู่ดูเหมือนจะเป็นเพียงภาพฝันตื่นหนึ่ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าอกข้างซ้ายที่เริ่มเต้นช้าลง พลางบอกกับตัวเองในใจว่า... นี่แหละคือความจริง


เขาไม่ได้รู้สึกโศกเศร้าฟูมฟาย หรือน้อยเนื้อต่ำใจจนน้ำตาตกในอย่างที่ใครอาจเข้าใจ ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด ราวกับเตรียมใจรับมือกับเรื่องเช่นนี้ไว้อยู่แล้ว


'เจียมตัวไว้เถิด ธารานนท์...'


เขารำพึงกับเงาของตนเองในกระจก 'ท่านขุนเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ มีหน้ามีตา มีวงศ์ตระกูลที่ต้องรักษา ส่วนตัวเอ็งเป็นเพียงนายบำเรอจากหอโคมแดง เป็นความลับที่น่าอับอาย... แค่ท่านเมตตามอบความสุขให้ชั่วครู่ชั่วยามก็นับว่าเป็นวาสนาเกินตัวแล้ว'


ธารานนท์ตระหนักดีว่า พื้นเพเดิมของขุนวรกานต์หาใช่คนที่นิยมชมชอบในบุรุษเพศ การที่ท่านหลงใหลในตัวเขา อาจเป็นเพียงความแปลกใหม่ หรือความสงสารชั่ววูบ ยามใดที่ไฟสวาทมอดลง หรือยามใดที่โลกแห่งความเป็นจริงรุกรานเข้ามา... ที่ยืนของเขาก็มีเพียงในเงามืดแห่งนี้เท่านั้น


เขาควรจะเผื่อใจเอาไว้แต่เนิ่นๆ ดีกว่าปล่อยให้ใจถลำลึกไปจนกู่ไม่กลับ... เพราะกำแพงที่กั้นขวางระหว่างเขากับท่านขุนนั้น แม้จะมองไม่เห็น แต่มันก็สูงตระหง่านและแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่ากำแพงวัง


ร่างบางลุกขึ้นเก็บกวาดที่นอน จัดแจงข้าวของให้เข้าที่ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งริมหน้าต่าง มองดูสายน้ำไหลเอื่อย... รอคอยเวลาอย่างเงียบเชียบ ดั่งดอกหญ้าที่รอคอยเพียงแค่เศษเสี้ยวของแสงตะวัน โดยไม่คิดเรียกร้องสิ่งใดเกินตัว













ณ หอโถงใหญ่แห่งเรือนรับรอง บรรยากาศอันโอ่อ่าวิจิตรตระการตา กลับแฝงไว้ด้วยความอึมครึมที่กดทับลงบนบ่าของเจ้าของเรือน


'หม่อมเจ้าหญิงพิมพา' ประทับนั่งสง่านิ่งบนตั่งไม้มะเกลือประดับมุก ท่วงท่าสง่างามดั่งนางพญาหงส์ แม้วัยจะล่วงเลยเข้าสู่วัยชรา แต่ความเฉียบขาดและบารมีมิได้ลดน้อยถอยลง นัยน์ตาคมกริบที่ถอดแบบมาสู่บุตรชาย จ้องมองขุนวรกานต์ที่ก้มกราบอยู่แทบเท้าด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา


หลังจากไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบตามประสาแม่ลูกพอเป็นพิธี หม่อมแม่ก็มิรอช้าที่จะเข้าสู่ประเด็นสำคัญอันเป็นจุดประสงค์หลักของการมาเยือนในครานี้


"พ่อกานต์..."


น้ำเสียงทรงอำนาจเอื้อนเอ่ยขึ้น ทำลายความเงียบ "ปีนี้อายุอานามของลูกก็มิใช่น้อยแล้ว เพื่อนฝูงรุ่นราวคราวเดียวกันต่างก็ออกเรือนมีทายาทสืบสกุลกันไปหมด เหลือก็แต่ลูกนี่แล ที่ยังลอยชายครองตัวเป็นโสด ให้แม่ต้องคอยเป็นห่วง"


ขุนวรกานต์นั่งนิ่ง สองมือประสานกันแน่นบนหน้าตัก ลางสังหรณ์บางอย่างเตือนให้รู้ว่า พายุลูกใหญ่กำลังจะพัดเข้ามา "งานราชการของลูกรัดตัวนักขอรับหม่อมแม่ ลูกยังมิอยากห่วงหน้าพะวงหลัง"


"ข้ออ้าง!" หม่อมแม่สวนกลับทันควัน เสียงพัดด้ามจิ๋วในมือสะบัดปิดดัง พับ "ชายชาติทหาร ย่อมต้องมีหลังบ้านที่มั่นคง คอยดูแลเป็นศรีสง่าแก่เรือน... และแม่ก็เห็นว่า ถึงเวลาอันสมควรแล้ว"


นางขยับตัวเล็กน้อย แววตาเป็นประกายวาวโรจน์เมื่อเอ่ยถึงเป้าหมาย "แม่ได้เจรจาทาบทามทางฝั่งท่านเจ้าคุณกลาโหมไว้แล้ว... 'แม่หญิงบุษบา' ธิดาคนเล็กของท่าน เพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติ คุณสมบัติ และชาติตระกูลที่ทัดเทียมกับเรา กิริยามารยาทก็งดงามเรียบร้อยหาที่ติมิได้ เหมาะสมที่จะมาเป็นสะใภ้หลวง เชิดชูเกียรติวงศ์ตระกูลวรกานต์สืบไป"


ถ้อยคำเหล่านั้นเปรียบเสมือนก้อนหินมหึมาที่ทุ่มลงมากลางอกของขุนวรกานต์ ลมหายใจของเขาติดขัด ภาพใบหน้าหวานซึ้งของเจ้านนท์ ที่เพิ่งผละจากอ้อมกอดมาเมื่อครู่ ผุดขึ้นมาซ้อนทับกับภาพสตรีสูงศักดิ์ที่หม่อมแม่พรรณนาถึง


ความแตกต่างราวฟ้ากับเหว... คนหนึ่งคือยอดดวงใจที่เขาปรารถนา แต่อยู่ในมุมมืด ส่วนอีกคนคือหน้าที่และความเหมาะสมที่สว่างจ้าจนแสบตา


"หม่อมแม่... เรื่องนี้ลูกขอ..."


"อย่าได้ปฏิเสธ!" หม่อมแม่ยื่นคำขาด ตัดบทอย่างเด็ดขาด "แม่ได้รับปากทางผู้ใหญ่ฝั่งโน้นไว้แล้ว ว่าจะพาพ่อกานต์ไปดูตัวและพูดคุยกันให้เป็นกิจจะลักษณะในอีกสองวันข้างหน้า... นี่มิใช่การขอความเห็น แต่เป็นคำสั่ง"


ขุนวรกานต์ก้มหน้าลง ขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน ความกดดันถาโถมเข้ามาจากรอบทิศทาง โซ่ตรวนแห่งหน้าที่และเกียรติยศที่เขารักษามาตลอดชีวิต บัดนี้กำลังรัดรึงเขาให้แน่นจนแทบขาดอากาศหายใจ


เขาจะทำเช่นไร... หากต้องแต่งงานกับหญิงที่ไม่ได้รัก เพียงเพื่อรักษาหน้าตาทางสังคม และเขาจะทำเช่นไร... กับดอกไม้ริมน้ำที่เขาเพิ่งจะให้คำมั่นสัญญาว่าจะดูแล


ความเงียบเข้าปกคลุมห้องโถงอีกครา แต่ในใจของท่านขุนนั้น กลับเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องของความอัดอั้นตันใจที่มิอาจระบายให้ผู้ใดล่วงรู้













สิ้นเสียงขบวนของหม่อมแม่ที่เคลื่อนคล้อยกลับไป... ความเงียบงันก็โรยตัวลงมาปกคลุมเรือนไทยหลังใหญ่อีกครา หากแต่เป็นความเงียบที่หนักอึ้งราวกับมีหินผาถล่มลงมาทับกลางอกของขุนวรกานต์


ร่างสูงสง่าทรุดกายลงนั่งกุมขมับ ดวงตาคมกริบเหม่อมองสายน้ำเจ้าพระยาที่ไหลเชี่ยว กราดเกรี้ยวไม่ต่างจากกระแสความคิดในหัว


สำหรับเขา... 'ความรัก' คือมายาภาพที่กวีเพ้อฝันแต่งแต้มให้สวยหรู เกินความเป็นจริง เขาไม่เคยศรัทธาในสิ่งที่จับต้องไม่ได้เหล่านั้น สิ่งเดียวที่เขายึดถือคือหน้าที่ ความรับผิดชอบ และความสงบสุขส่วนตัว


"แต่งงานรึ..."


ท่านขุนแค่นหัวเราะในลำคอด้วยความขมขื่น เพียงแค่คิดภาพตนเองต้องร่วมเรียงเคียงหมอนกับสตรีแปลกหน้า สตรีผู้สูงศักดิ์ที่ถูกอบรมมาให้อยู่ในกรอบระเบียบจุกจิก ต้องคอยปั้นหน้ายิ้มแย้มเสแสร้งเอาอกเอาใจกันทั้งที่ใจไร้รัก... เพียงแค่นั้น เขาก็รู้สึกเหมือนอากาศรอบกายขาดห้วงจนหายใจไม่ออก


งานราชการในกรมกองที่ต้องแบกรับ ก็สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้ามากพออยู่แล้ว ในแต่ละวันเขาต้องรบรากับเล่ห์เหลี่ยมขุนนางและความวุ่นวายของบ้านเมือง สิ่งที่เขาปรารถนาที่สุดยามกลับถึงเรือนชาน คือความเงียบสงบ คือการได้ทิ้งตัวลงพักผ่อนโดยไม่ต้องมีใครมาวุ่นวายกวนใจ


หากต้องรับ 'แม่หญิงบุษบา' หรือหญิงใดเข้ามาเป็นคุณหญิงตราตั้งในเรือน... บ้านที่เคยเป็นวิมานคงกลายเป็นสนามรบ ความเป็นส่วนตัวที่เขาหวงแหนคงมลายสิ้น เขาคงต้องสูญเสียพื้นที่หายใจสุดท้ายไปให้กับคำว่า 'ความเหมาะสม' และ 'หน้าที่ของลูกผู้ชาย'


"ข้าไม่อยากได้ตุ๊กตาชาววังมาประดับเรือน…”


ความคิดนั้นแล่นพล่าน ท่านขุนหลับตาลงแน่น พยายามข่มความเครียดที่เต้นตุบๆ อยู่ข้างขมับ ยิ่งคิดถึงอนาคตที่ถูกขีดเส้นไว้ เขาก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดจนอยากจะอาเจียน


ในห้วงความมืดมิดของเปลือกตา... ภาพของใครบางคนก็ปรากฏขึ้น ไม่ใช่ภาพของหญิงงามสูงศักดิ์... แต่เป็นภาพของเด็กหนุ่มหน้าหวานที่เจียมเนื้อเจียมตัวอยู่ที่เรือนเล็กท้ายสวน คนที่ไม่เคยเรียกร้อง คนที่ไม่เคยสร้างความวุ่นวาย คนที่เป็นเหมือนน้ำเย็นชะโลมใจ และมอบความสุขสมให้เขาได้โดยไม่มีข้อผูกมัดทางสังคม


'ธารานนท์'


ใช่... สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่คู่ชีวิตที่เชิดหน้าชูตา แต่เป็นเพียงมุมเล็กๆ ที่เขาสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ เป็นที่พักพิงที่ไร้หัวโขน






กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสองสามราตรีที่ขุนวรกานต์เลือกที่จะเก็บตัวเงียบ ขังตนเองอยู่แต่ในห้องทำงานและเรือนใหญ่ มิได้ย่างกรายไปหาความสำราญที่เรือนริมน้ำ แม้ใจจะโหยหาเพียงใด แต่ความว้าวุ่นใจเรื่องงานมงคลทำให้เขาจำต้องเว้นระยะห่าง เพื่อทบทวนและเตรียมใจรับมือกับพายุลูกใหญ่


และแล้ว... วันนัดดูตัวก็มาถึง


ณ เรือนรับรองของท่านเจ้าคุณกลาโหม บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้สดและขนมหวานที่จัดเตรียมไว้อย่างประณีต 'แม่หญิงบุษบา' ปรากฏตัวขึ้นในชุดสไบสีกลีบบัว ขับผิวขาวอมชมพูให้ดูผุดผ่อง ใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา เครื่องหน้าสวยคมบาดตา ราวกับนางในวรรณคดีที่หลุดออกมาเดินดิน


ใครได้พบเห็นต่างก็ต้องตกตะลึงในความงามนี้ แม้แต่ขุนวรกานต์เองก็มิอาจปฏิเสธได้ว่า นางคือ 'เพชรน้ำงาม' ที่หาตัวจับยาก กิริยามารยาทเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ ทุกย่างก้าวแช่มช้อยนุ่มนวลสมกับเป็นกุลสตรีชาววัง


ทว่า... ความงามนั้นมิอาจสั่นคลอนหัวใจที่ด้านชาของท่านขุนได้ เขายังคงสวมหน้ากากแห่งมารยาท ปั้นหน้ายิ้มแย้มพูดคุยตอบรับผู้หลักผู้ใหญ่ด้วยถ้อยคำที่ไพเราะเสนาะหู แต่แววตากลับว่างเปล่าไร้ความรู้สึก


กระทั่งเมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้สนทนากันตามลำพังที่ระเบียงชมสวน เพื่อ 'ทำความรู้จัก' ให้คุ้นเคยกัน บรรยากาศรอบกายของขุนวรกานต์ก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน


เมื่อลับสายตาผู้คน รอยยิ้มการค้าบนใบหน้าคมคายก็เลือนหายไป แทนที่ด้วยความเย็นชาและแววตาที่แข็งกร้าว เขาถอนหายใจยาวอย่างเบื่อหน่าย เลิกปั้นท่าทีสุภาพบุรุษผู้แสนดี


"แม่หญิง..." ขุนวรกานต์เอ่ยเสียงเรียบ สายตาจ้องมองไปที่กอไผ่มากกว่าจะมองคู่สนทนา "ข้าเป็นคนพูดตรงไปตรงมา... ข้ามิได้มีความปรารถนาที่จะออกเรือนในเวลานี้ และตัวข้าก็เป็นชายโสดที่หวงแหนความสงบส่วนตัวยิ่งนัก หากท่านคาดหวังสามีที่คอยพะเน้าพะนอเอาใจ ข้าเกรงว่าท่านคงจะต้องผิดหวัง"


เขาจงใจใช้ถ้อยคำตัดรอน เพื่อหวังให้หญิงสาวแสนดีตรงหน้าเกิดความหวาดกลัวและเป็นฝ่ายปฏิเสธการแต่งงานนี้ไปเอง


แต่ทว่า... สิ่งที่ได้รับกลับมา กลับมิใช่ท่าทีตกใจหรือน้ำตาของกุลสตรีขี้แย เสียงหัวเราะใสๆ ดังขึ้นเบาๆ ในลำคอระหง แม่หญิงบุษบายกพัดขึ้นปิดปาก นัยน์ตาที่เคยดูหวานเชื่อมบัดนี้กลับเป็นประกายวาววับด้วยความฉลาดเฉลียวและขบขัน


"ท่านขุนช่างเป็นคนตรงไปตรงมาสมคำร่ำลือ..." นางเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง ผิดวิสัยหญิงชาววังที่ขี้อาย "แต่ท่านเข้าใจผิดไปอย่างหนึ่ง... ข้ามิได้ต้องการสามีที่คอยเดินตามต้อยๆ หรือมานั่งปอกผลไม้ป้อนใส่ปากหรอกนะเจ้าคะ มันน่ารำคาญจะตายไป"


ขุนวรกานต์หันขวับมามองหน้านางด้วยความประหลาดใจ คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง "เจ้า... ว่ากระไรนะ?"


บุษบารวบพัดเก็บลง วางมาดนางพญาที่ซ่อนอยู่ภายใน "ข้าเองก็เบื่อหน่ายกับการถูกจับคู่ดูตัวเต็มทน... ท่านพ่อท่านแม่เห็นข้าเป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ จะจับวางตรงไหนก็ได้ แต่ใจจริงของข้า ข้าปรารถนาอิสระ อยากอ่านหนังสือ อยากเขียนกลอน อยากใช้ชีวิตในแบบของข้า มิใช่วันๆ ต้องมานั่งเฝ้าเรือนคอยปรนนิบัติสามี"


นางสบตาขุนวรกานต์อย่างไม่เกรงกลัว "ในเมื่อเราต่างก็ตกที่นั่งเดียวกัน... ถูกมัดมือชกด้วยคำว่า 'หน้าที่' และ 'ความเหมาะสม' เช่นนั้นเรามาทำข้อตกลงกันมิดีกว่าหรือเจ้าคะ?"


"ข้อตกลง?" ท่านขุนทวนคำ เริ่มสนใจในตัวสตรีผู้นี้ขึ้นมาในแง่มุมใหม่


"แต่งงานกันแค่ในนาม... เพื่อให้ผู้ใหญ่สบายใจ และเพื่อรักษาหน้าตาทางสังคมของทั้งสองฝ่าย" บุษบายื่นข้อเสนออย่างฉะฉาน "แต่เมื่ออยู่ลับหลังผู้คน... เราต่างคนต่างอยู่ ท่านจะไปราชการ ไปดื่มสุรา หรือไปหาความสำราญที่ใดก็เรื่องของท่าน ส่วนข้าก็จะครองเรือนในส่วนของข้า ทำสิ่งที่ข้าชอบ"


นางยิ้มมุมปากอย่างรู้ทัน "ข้าจะไม่ก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของท่าน... และท่านก็ห้ามมาก้าวก่ายชีวิตของข้า... เราจะเป็นเพียง 'เพื่อนร่วมเรือน' ที่สวมบทบาทสามีภรรยาแค่ยามออกงานเท่านั้น... ท่านเห็นดีด้วยหรือไม่เจ้าคะ?"


ขุนวรกานต์นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความถูกใจในความเฉลียวฉลาดและความใจเด็ดของหญิงสาวผู้นี้ นางช่างเป็นสตรีที่ประหลาดและน่าสนใจยิ่งนัก มิใช่ผ้าพับไว้ธรรมดา แต่เป็นผ้าลายวิจิตรที่ซ่อนลวดลายไว้ภายใน


"ประเสริฐ!" ท่านขุนเอ่ยรับด้วยความโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก "ข้าไม่นึกเลยว่า ใต้ร่มเงาของความงามที่อ่อนหวาน จะซ่อนนางเสือที่เฉลียวฉลาดเช่นเจ้าเอาไว้... ข้อเสนอนี้ ข้าตกลง"


"ถือว่าเป็นอันตกลงนะเจ้าคะ ท่านขุน" บุษบาย่อกายลงถวายความเคารพอย่างงดงามตามจารีต แต่สายตานั้นสื่อถึงพันธมิตรที่เท่าเทียม


เมื่อขุนวรกานต์และแม่หญิงบุษบาก้าวเท้ากลับเข้ามายังหอโถงรับรองอีกครา บรรยากาศที่เคยเต็มไปด้วยความคาดหวังระคนกดดัน ก็มลายหายไปสิ้น เพียงแค่ท่านขุนก้มศีรษะลงเล็กน้อยพร้อมเอ่ยปากรับคำเรื่องการแต่งงาน รอยยิ้มแห่งความปิติยินดีก็ผลิบานขึ้นบนใบหน้าของเหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ราวกับดอกไม้ได้รับน้ำฝน


"จริงรึพ่อคุณ! พ่อกานต์ตกลงปลงใจแล้วรึลูก!"


หม่อมหญิงพิมพาอุทานออกมาด้วยความดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ พระหัตถ์ที่ประดับด้วยแหวนเพชรน้ำงามยกขึ้นทาบอก แววตาที่เคยดุดันเคร่งเครียด บัดนี้ฉายประกายแห่งความสุขสมหวังอย่างที่สุด นางหันไปสบตากับท่านเจ้าคุณกลาโหมและคุณหญิงภริยาด้วยความชื่นมื่น


"นับเป็นวาสนาของตระกูลเราแท้ๆ เจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ" หม่อมแม่เอ่ยเสียงหวาน "ที่พ่อกานต์จะได้แม่หญิงบุษบามาเป็นศรีสะใภ้ ช่างเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก หาที่ติมิได้เลยจริงๆ"


"ทางข้าก็ยินดีนักขอรับ" ท่านเจ้าคุณกลาโหมหัวเราะร่าด้วยความพึงพอใจ "ได้ท่านขุนวรกานต์มาเป็นเขยขวัญ ก็เหมือนได้เพชรมาประดับบ้าน การงานก็รุ่งโรจน์ ชาติตระกูลก็สูงส่ง... ดี! ดีจริงๆ!"


เมื่อความตกลงปลงใจเกิดขึ้น บทสนทนาเรื่อง 'สินสอดทองหมั้น' และ 'ฤกษ์ยาม' ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยในทันทีราวกับเตรียมการไว้ล่วงหน้า


เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ถึงจำนวนทองคำแท่ง หนักกี่ชั่ง เงินกี่หาบ ที่ดินกี่แปลง และเครื่องเพชรนิลจินดาที่จะนำมาเป็นเครื่องค้ำประกันเกียรติยศของทั้งสองตระกูล ทุกอย่างถูกกำหนดด้วยตัวเลขที่มหาศาล สมฐานะของผู้เป็นบ่าวสาว


ขุนวรกานต์นั่งฟังมหรสพแห่งความยินดีตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ริมฝีปากประดับรอยยิ้มจางๆ ตามมารยาท แต่ภายในใจกลับรู้สึกว่างเปล่า ราวกับกำลังนั่งดูละครฉากใหญ่ที่ตนเองเป็นเพียงตัวละครตัวหนึ่งที่ต้องเล่นไปตามบทบาท


เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของหม่อมแม่ คือสิ่งที่เขาแลกมาด้วยอิสรภาพครึ่งหนึ่งของชีวิต และกองเงินกองทองที่พวกผู้ใหญ่กำลังตกลงกันอยู่นั้น ก็คือราคาที่เขาต้องจ่าย เพื่อซื้อ 'เกราะกำบัง' ให้แก่ความลับที่เรือนริมน้ำ


แม่หญิงบุษบาเองก็นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ข้างบิดามารดา ส่งยิ้มเอียงอายตามบทบาทกุลสตรีที่ดี แต่ยามที่สายตาของนางสบประสานกับท่านขุนวรกานต์ ทั้งคู่ต่างรู้กันดีในความหมายที่ซ่อนอยู่... ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของพันธสัญญาหน้ากากที่พวกเขาได้ร่วมมือกันสร้างขึ้น


"เรื่องฤกษ์ยาม เดี๋ยวข้าจะรีบให้โหรหลวงหาฤกษ์มงคลที่เร็วที่สุด" หม่อมแม่สรุปความด้วยความกระตือรือร้น "จะชักช้ามิได้ เดี๋ยวตลาดจะวาย... ต้องจัดงานให้ยิ่งใหญ่สมเกียรติ ให้ชาวพระนครได้เล่าลือไปเจ็ดวันเจ็ดคืน!"






นับตั้งแต่วันนั้นที่ขุนวรกานต์ จากไปพร้อมคำสัญญาว่าจะรีบกลับมา หลายทิวาราตรีได้ผันผ่านไปโดยไร้ซึ่งเงาของเจ้าของเรือน ความเงียบเหงาเริ่มกลับมาเกาะกินหัวใจของธารานนท์อีกครา รอยจูบที่เคยประทับไว้เริ่มจางหาย เหลือเพียงความหนาวเหน็บที่คืบคลานเข้ามาแทนที่


ธารานนท์พยายามปลอบใจตนเองว่า ท่านขุนคงติดพันราชกิจสำคัญ หรือมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน จึงมิอาจปลีกตัวมาหาได้ เขาจึงทำได้เพียงเฝ้ารออย่างอดทน ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่เพียงในเรือนและชานระเบียงริมน้ำ มิกล้าย่างกรายออกไปให้ไกลเกินอาณาเขตที่ถูกกำหนด


ทว่าในยามบ่ายที่แดดร่มลมตก ธารานนท์เดินลงไปนั่งเล่นที่ท่าน้ำ หวังให้สายลมช่วยพัดพาความฟุ้งซ่านในใจ ทันใดนั้น... เสียงพูดคุยจอแจของกลุ่มบ่าวไพร่ที่กำลังพายเรือขนของผ่านคลองด้านข้างเรือนก็ดังแว่วมาเข้าหู


"เร่งมือเข้าหน่อยพวกเอ็ง! ... ประเดี๋ยวจะขนดอกไม้สดไปส่งที่เรือนใหญ่ไม่ทันกาล งานมงคลระดับนี้จะให้มีข้อผิดพลาดมิได้เด็ดขาด" เสียงบ่าวหญิงคนหนึ่งร้องสั่งการ


"โฮ้ย... ป้าก็อย่าเร่งนักสิ ข้าก็จ้วงจนแขนจะหลุดแล้วเนี่ย" อีกเสียงบ่นอุบ "ว่าแต่... ท่านขุนของเรานี่ช่างโชคดีเสียจริงนะ ได้แม่หญิงบุษบามาเป็นคู่ครอง งามหยดย้อยปานนางฟ้าเดินดิน สมกันราวกับกิ่งทองใบหยก"


"ก็เออสิวะ! ... ข้าได้ยินหม่อมแม่ท่านคุยฟุ้งไปสามบ้านแปดบ้าน ว่างานแต่งครานี้จะจัดให้ใหญ่โตมโหฬาร ให้สมเกียรติท่านขุนวรกานต์กับสะใภ้หลวง สินสอดทองหมั้นนี่กองสูงท่วมหัวเชียวหนา"


ถ้อยคำเหล่านั้นเปรียบเสมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางแสกหน้า ธารานนท์นั่งตัวแข็งทื่อ มือที่กำเสารั้วท่าน้ำสั่นระริกจนข้อขาว หูอื้ออึงไปชั่วขณะ ราวกับโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมาตรงหน้า


'งานมงคล... งานแต่ง... แม่หญิงบุษบา...'


คำศัพท์เหล่านี้วนเวียนก้องอยู่ในหัว ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนเสียงสะท้อนในหุบเหวแห่งความสิ้นหวัง


ที่แท้... เหตุผลที่ท่านขุนหายหน้าไปหลายวัน มิใช่เพราะงานราชการอันหนักหน่วง แต่เป็นเพราะท่านกำลังเตรียมตัวเข้าพิธีวิวาห์กับหญิงสาวผู้เพียบพร้อม... หญิงสาวที่คู่ควรจะเดินเคียงข้างท่านในที่แจ้ง มิใช่นายบำเรอที่ต้องหลบซ่อนอยู่ในเงามืดเช่นเขา


น้ำตาเม็ดโตไหลรินลงอาบสองแก้มโดยไม่รู้ตัว ธารานนท์ยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นไห้ที่กำลังจะหลุดออกมา ความเจ็บปวดที่ได้รับครานี้ มันสาหัสสากรรจ์ยิ่งกว่าตอนถูกแม่เล้าด่าทอ หรือตอนถูกลูกค้าหยาบคายใส่เสียอีก


เพราะคราวนี้... มันคือแผลใจที่เกิดจากความ 'เชื่อใจ'


"ท่านพี่..." เขาตัดพ้อกับสายน้ำด้วยน้ำเสียงที่แหลกสลาย "คำว่าหวงแหน ที่ท่านพร่ำบอก... คำว่ามีข้าคนเดียว ที่ท่านสัญญา... แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงลมปากที่ใช้หลอกล่อให้ข้าตายใจกระนั้นหรือ?"


ภาพฝันที่เริ่มก่อตัวขึ้นพังทลายลงไม่มีชิ้นดี ธารานนท์ตระหนักได้ในวินาทีนั้นเองว่า ตนเองเป็นเพียงของเล่นชิ้นโปรด ที่ท่านขุนเก็บซ่อนไว้เชยชมยามเบื่อหน่ายจากภรรยาหลวง เป็นเพียงเมียน้อย หรือนางบำเรอลับๆ ที่ไม่มีวันมีตัวตนในโลกของท่าน


รัตติกาลเคลื่อนตัวเข้าปกคลุมน่านน้ำเจ้าพระยาอีกครา ทว่าค่ำคืนนี้ แสงจันทร์ที่เคยสาดส่องดูงดงาม กลับดูซีดเซียวและหม่นหมองในสายตาของผู้อาศัยในเรือนหลังน้อย


เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่คุ้นเคยดังขึ้นที่หน้าชานเรือน 'ขุนวรกานต์' กลับมาแล้ว... หลังจากหายหน้าไปหลายวันเพื่อเตรียมงานมงคลของตนเอง ร่างสูงสง่าก้าวเข้ามาในห้องหอด้วยความเหนื่อยล้า หวังจะมาหาความสุขและความผ่อนคลายจาก 'พื้นที่ส่วนตัว' ที่เขาหวงแหน


"พี่กลับมาแล้ว... เจ้านนท์"


ท่านขุนเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พลางอ้าแขนออกกว้าง หวังจะรับร่างนุ่มนิ่มที่มักจะวิ่งเข้ามากอดออดอ้อนเหมือนเช่นเคย


ทว่า... สิ่งที่รอรับเขาอยู่กลับมีความว่างเปล่า


ธารานนท์นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ที่ปลายเตียง ใบหน้าหวานที่เคยประดับด้วยรอยยิ้มสดใส บัดนี้ราบเรียบราวกับผิวน้ำที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง ดวงตาคู่โศกมองตรงมายังเขา แต่กลับว่างเปล่าไร้ซึ่งประกายแห่งความยินดี หรือแม้แต่ความน้อยใจ ก็มิอาจค้นหาเจอ


"ยินดีต้อนรับขอรับ... ท่านขุน"


น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยนั้นราบเรียบ ไร้จังหวะจะโคน และสรรพนามที่ห่างเหินกลับมาแทนที่คำว่า 'พี่กานต์' ที่เขาเคยอนุญาตให้เรียก ขุนวรกานต์ชะงักไปเล็กน้อย คิ้วเข้มขมวดมุ่นด้วยความแปลกใจ


"เป็นกระไรไป? ... เหตุใดจึงทำปั้นปึงใส่พี่เยี่ยงนั้น หรือโกรธที่พี่หายหน้าไปนาน?" ท่านขุนพยายามเดินเข้าไปประชิดตัว เอื้อมมือหมายจะเชยคางมนขึ้นมา


แต่ธารานนท์กลับเบี่ยงหน้าหลบสัมผัสนั้นอย่างสุภาพ ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นยืน แล้วเริ่มลงมือปลดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ของตนเองออกทีละชิ้น... ทีละชิ้น... ด้วยท่าทีที่เฉยชา ราวกับกำลังทำหน้าที่กิจวัตรประจำวัน


"ข้ามิบังอาจโกรธเคืองนายเหนือหัวดอกขอรับ" ธารานนท์เอ่ยตอบโดยไม่สบตา มือเรียวปลดผ้าคาดเอวทิ้งลงพื้น เผยให้เห็นเรือนร่างขาวผ่องที่เปลือยเปล่าต่อหน้าแสงตะเกียง "ท่านมาที่นี่... ก็เพื่อต้องการสิ่งนี้มิใช่หรือขอรับ?"


ร่างบางเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้าง แยกเรียวขาออกกว้างอย่างรู้งาน สองมือวางแนบลำตัว นัยน์ตาจ้องมองเพดานว่างเปล่า ราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่ไร้ชีวิตจิตใจ รอคอยให้เจ้าของมาเชิดเล่นตามอำเภอใจ


"เชิญท่านขุน... ใช้งานข้าได้ตามสบายเถิดขอรับ"


ขุนวรกานต์ยืนนิ่งงันมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกจุกแน่นในอก ความปรารถนาที่เคยพุ่งพล่านเริ่มถูกความเย็นชาเข้ากัดกิน เขาเดินเข้าไปที่เตียง มองร่างที่นอนทอดกายถวายตัวให้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่มันช่างดูแห้งแล้งเหลือเกิน


"นนท์... เจ้าเป็นอะไร?" เขาถามเสียงเครียด พยายามจะดึงตัวคนตัวเล็กเข้ามากอด แต่ร่างกายในอ้อมแขนกลับแข็งทื่อ ไม่มีการกอดตอบ ไม่มีการซุกไซ้ มีเพียงการยินยอมให้เขาทำอะไรก็ได้


"ข้าก็เป็นเพียง 'บ่าว' ที่ทำหน้าที่ปรนนิบัตินายขอรับ" ธารานนท์ตอบเสียงเรียบ "ท่านจ่ายเงินซื้อข้ามาแพง ข้าก็ต้องตอบแทนให้คุ้มค่า... เชิญท่านเสพสมให้สำราญเถิด อย่าได้ใส่ใจความรู้สึกของตุ๊กตาอย่างข้าเลย"


ความอดทนของท่านขุนขาดผึงด้วยความหงุดหงิดระคนสับสน เขาโถมกายเข้าทาบทับ บดจูบลงบนริมฝีปากอิ่มอย่างรุนแรง หวังจะเรียกปฏิกิริยาตอบสนอง หรือแม้แต่เสียงประท้วงก็ยังดี


แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความว่างเปล่า... ริมฝีปากของธารานนท์เปิดรับจูบนั้น แต่ลิ้นเล็กมิได้เกี่ยวตวัดตอบสนอง ร่างกายขยับโยกไหวไปตามแรงกระแทกกระทั้นของเขา แต่ไร้ซึ่งเสียงครวญครางหวานหู มีเพียงเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอและดวงตาที่ลืมโพลง มองผ่านไหล่เขาไปราวกับเขาไม่มีตัวตน


ขุนวรกานต์ดำเนินบทรักไปด้วยความรู้สึกที่อึดอัดทรมานยิ่งกว่าครั้งใด แม้ร่างกายจะแนบชิดจนแทบหลอมรวม แม้ช่องทางรักจะตอดรัดเขาแน่นหนาเพียงใด แต่เขากลับรู้สึกเหมือนกำลังร่วมรักกับร่างไร้วิญญาณ


ไม่มีคำรัก... ไม่มีคำหวาน... มีเพียงหน้าที่ของนางบำเรอที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า


จนกระทั่งเมื่อถึงจุดฝั่งฝัน ท่านขุนปลดปล่อยสายธารอุ่นร้อนออกมาพร้อมกับเสียงคำรามแห่งความหงุดหงิดใจ เขาฟุบหน้าลงกับซอกคอขาว หอบหายใจหนักหน่วง รอคอยให้คนใต้ร่างกอดปลอบหรือเช็ดเหงื่อให้


ทว่าธารานนท์เพียงแต่นอนนิ่ง ปล่อยให้น้ำตาหยดหนึ่งไหลรินออกมาจากหางตาเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่บาดลึกไปถึงขั้วหัวใจ


"ท่าน... เสร็จกิจแล้วใช่หรือไม่ขอรับ? ... ข้าจะได้ไปชำระกาย"


คำถามนั้นเปรียบเสมือนการตบหน้าฉาดใหญ่ ความเงียบงันที่เข้าปกคลุมห้องหอหลังจากพายุสวาทสงบลงนั้น ช่างหนักอึ้งและบีบคั้นหัวใจเสียยิ่งกว่าเสียงตะโกนด่าทอ


ขุนวรกานต์ผละออกจากร่างบอบบางที่นอนนิ่งราวกับขอนไม้ด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก ความหงุดหงิดระคนสับสนตีตื้นขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอย เขาคาดหวังการออดอ้อนฉอเลาะ คาดหวังแววตาหวานซึ้งที่คอยมองเขาดั่งเป็นโลกทั้งใบ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมีเพียงความว่างเปล่าและความเย็นชาที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างที่เขาเพิ่งตระกองกอด


"..."


ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากท่านขุน เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความอัดอั้น ทนแบกรับบรรยากาศที่ชวนให้หายใจไม่ออกนี้ต่อไปไม่ไหว ร่างสูงสง่าลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว คว้าเสื้อผ้าอาภรณ์ที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาสวมใส่อย่างลวกๆ ด้วยมือไม้ที่สะเปะสะปะจากแรงโทสะ


นัยน์ตาคมกริบตวัดมองร่างบนเตียงเป็นครั้งสุดท้าย หวังจะเห็นปฏิกิริยาตอบโต้ หรือการรั้งรอ... แต่ธารานนท์ยังคงนอนตะแคงหันหลังให้ ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับไม่แยแสต่อการมีอยู่ของเขา


ความน้อยใจแล่นปราดขึ้นมาวูบหนึ่ง ขุนวรกานต์กัดฟันกรอด ตัดสินใจกระแทกส้นเท้าเดินลงส้นหนักๆ ตรงไปที่ประตูเรือน เสียงลงน้ำหนักเท้าที่ดังสนั่นบ่งบอกถึงอารมณ์ที่คุกรุ่นของผู้เป็นนาย


ปัง!


เสียงประตูเรือนถูกปิดกระแทกตามหลังอย่างแรง ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่ก้าวยาวๆ ลงบันไดเรือนไปอย่างรวดเร็ว แล้วค่อยๆ ห่างออกไป... ห่างออกไป... จนกระทั่งเงียบหายไปในความมืดของรัตติกาล


วินาทีนั้นเอง... เมื่อความเงียบสงัดที่แท้จริงกลับคืนมา เกราะกำบังอันเปราะบางที่ธารานนท์สร้างขึ้นก็พังทลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี


ร่างที่เคยนอนนิ่งราวกับหุ่นเชิด เริ่มสั่นเทาขึ้นทีละน้อย จากแรงสั่นสะเทือนแผ่วเบา กลายเป็นการกระตุกเกร็งอย่างรุนแรง ก้อนสะอื้นที่กลั้นไว้จนเจ็บอก ตีตื้นขึ้นมาจนสุดกลั้น


"ฮึก... ฮือออออ!"


เสียงร้องไห้โฮดังลั่นออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้น ธารานนท์ขดตัวงอเข้าหากันดั่งกุ้ง ร้องไห้ปานจะขาดใจตายอยู่บนเตียงกว้างที่ยังอุ่นระอุด้วยไอร้อนของคนที่เพิ่งจากไป


ความเจ็บปวดที่ต้องแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง มันย้อนกลับมาทิ่มแทงหัวใจจนเป็นแผลเหวอะหวะ เขาเจ็บ... เจ็บเหลือเกินที่ต้องทำตัวห่างเหินใส่คนที่รักสุดหัวใจ แต่หากไม่ทำเช่นนี้ เขาจะทนมองหน้าท่านขุนได้อย่างไร โดยไม่นึกถึงภาพงานวิวาห์ที่กำลังจะเกิดขึ้น


ธารานนท์กำหมัดทุบลงบนที่นอนระบายความอัดอั้น คราบน้ำรักที่เปรอะเปื้อนอยู่ตามเนื้อตัว ยิ่งตอกย้ำสถานะอันน่าสมเพชของตนเอง


น้ำตาเม็ดโตไหลทะลักออกมาไม่ขาดสาย เปียกชุ่มหมอนหนุนจนชุ่มโชก เสียงสะอื้นไห้ดังระงมไปทั่วเรือนหลังน้อยที่โดดเดี่ยว สะท้อนความรวดร้าวของวิหคปีกหักที่ถูกขังลืมอยู่ในกรงทอง... เพียงลำพัง


-----------------------------------
ฝากติดตามด้วยนะครับ


🌸 一期一会 (いちごいちえ)

นายกสโมสร

กระทู้
0
ตอบกลับ
54884
พลังน้ำใจ
280470
Zenny
109297
ออนไลน์
22226 ชั่วโมง
โพสต์ เมื่อวาน 22:17 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | สมัครเข้าเรียน

รายละเอียดเครดิต

A Touch of Friendship: สังคมจะน่าอยู่ เมื่อมีผู้ให้แบ่งปัน ฝากไวเป็นข้อคิดด้วยนะคะชาวจีโฟกายทุกท่าน
!!!!!โปรดหยุด!!!!! : พฤติกรรมการโพสมั่วๆ / โพสแต่อีโมโดยไม่มีข้อความประกอบการโพส / โพสลากอักษรยาว เช่น ครับบบบบบบบบ, ชอบบบบบบบบ, thxxxxxxxx, และอื่นๆที่ดูแล้วน่ารำคาญสายตา เพราะถ้าท่านไม่หยุดทีมงานจะหยุดท่านเอง
ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่านโปรดโพสตอบอย่างอื่นนอกเหนือจากคำว่า ขอบคุณ, thanks, thank you, หรืออื่นๆที่สื่อความหมายว่าขอบคุณเพียงอย่างเดียวด้วยนะคะ เพื่อสื่อถึงความจริงใจในการโพสตอบกระทู้ และไม่ดูเป็นโพสขยะ
กระทู้ไหนที่ไม่ใช่กระทู้ในลักษณะที่ต้องโพสตอบโดยใช้คำว่าขอบคุณ เช่นกระทู้โพล, กระทู้ถามความเห็น, หรืออื่นๆที่ทีมงานอ่านแล้วเข้าข่ายว่า โพสขอบคุณไร้สาระ ทีมงานขอดำเนินการตัดคะแนน และ/หรือให้ใบเตือนสมาชิกที่โพสขอบคุณทันทีที่เจอนะคะ

รูปแบบข้อความล้วน|โทรศัพท์มือถือ|ติดต่อลงโฆษณา|จีโฟกายดอทคอม

ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บจีโฟกายดอทคอมนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ หากท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศิลธรรม ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link “แจ้งลบโพสนี้” ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือ ลืมพาสเวิดล๊อกอิน/ลืมชื่อที่ใช้สมัคร หรือข้อสงสัยใดๆแจ้งมาที่ G4GuysTeam[at]yahoo.com ขอขอบพระคุณที่ให้ความร่วมมือ

กรณีที่ข้อความ/รูปภาพในกระทู้นี้จัดสร้างโดยผู้ลงข้อมูลเอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้ลงข้อมูลโดยตรง หากจะทำการคัดลอก/เผยแพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ลงข้อมูลก่อนนะคะ หรือลงที่มาไว้ด้วยค่ะ

©ขอสงวนสิทธิ์คอนเซ็ปต์,คำอธิบาย,หัวข้อ/หมวดหมู่เว็บ ห้ามลอกเลียนแบบ คิดเอาเองนะคะอย่าเอาแต่ลอก

GMT+7, 2025-12-2 00:26 , Processed in 0.160732 second(s), 26 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.8

© 2001-2025 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้