ลืมรหัสผ่าน
 สมัครเข้าเรียน
ค้นหา
ดู: 103|ตอบกลับ: 4

เล่ห์อนธการ ตอนที่ 2

[คัดลอกลิงก์]

มาเฟียนักศึกษา

กระทู้
230
ตอบกลับ
54
พลังน้ำใจ
9041
Zenny
36243
ออนไลน์
2990 ชั่วโมง
โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด |โหมดอ่าน
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-11-28 19:40





"ขออภัย... ข้าเพียงแต่มือลื่น"


คำแก้ตัวง่ายๆ นั้นฟังดูสมเหตุสมผลพอที่จะทำให้เหล่าขุนนางเลิกติดใจสงสัย วงสนทนาจึงกลับมาครึกครื้นและดำเนินต่อไปด้วยเรื่องราวหยาบโลนตามเดิม


ทว่าครานี้... ขุนวรกานต์กลับนั่งฟังด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป


ทุกถ้อยคำที่คนพวกนี้พ่นออกมา เหยียดหยามเรือนร่างที่เขาเพิ่งได้ครอบครอง ยิ่งตอกย้ำความจริงข้อหนึ่งให้เด่นชัดขึ้นในใจ... เขาไม่อาจทนเห็นชายอื่นแตะต้อง 'เจ้าดอกไม้งาม' ได้แม้แต่ปลายเล็บ


เพียงแค่จินตนาการว่า ผิวเนื้อขาวผ่องที่เคยแดงเรื่อด้วยฝีมือเขา จะต้องไปรองรับอารมณ์ดิบเถื่อนของชายอื่น จินตนาการว่าเสียงหวานที่เคยครวญครางชื่อเขา จะต้องไปเอื้อนเอ่ยชื่อชายแปลกหน้า... ไฟโทสะก็ลุกโชนขึ้นเผาผลาญอกจนร้อนรุ่ม


'ในเมื่อพวกเจ้ามองว่ามันเป็นเพียงสินค้า... ข้าก็จะกว้านซื้อมันไว้เสียทั้งหมด'


ความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นมาในสมอง เป็นแผนการที่แยบยลและเผด็จการสมกับนิสัยของผู้ที่ไม่เคยยอมให้สิ่งใดหลุดมือ หากเขาเหมาจองตัวธารานนท์ไว้ทุกค่ำคืน จ่ายหนักจนไม่มีใครกล้าสู้ราคา กักขัง 'ดอกไม้จำแลง' ดอกนั้นไว้ในกรงทองที่เขาสร้างขึ้น... ก็จะไม่มีชายหน้าไหนได้เชยชมความงามนั้นอีกต่อไป


รอยยิ้มเยือกเย็นปรากฏขึ้นที่มุมปาก เป็นรอยยิ้มของผู้ชนะที่ถือไพ่เหนือกว่า ขุนวรกานต์ยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมดจอก ราวกับเป็นการดื่มสาบานกับตนเอง


นับแต่นี้ไป... ราตรีทุกราตรีของธารานนท์ จะต้องเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว แม้จะต้องทุ่มเททรัพย์สินเงินทองสักเท่าใด เขาก็ยินดีจะจ่าย เพื่อแลกกับการได้เป็นเจ้าของร่างกายและวิญญาณดวงน้อยนั้น... ตราบเท่าที่เขายังพอใจ


"ไอ้สน..."


ท่านขุนเรียกหาทนายหน้าหอคนสนิทที่นั่งหมอบเฝ้าอยู่ไม่ไกลด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงอำนาจเด็ดขาด "พรุ่งนี้เช้า... เอ็งจงไปที่หอโคมแดง จัดการธุระให้ข้าตามที่สั่ง อย่าให้ขาดตกบกพร่องแม้แต่กระเบียดนิ้ว"






ยามสายของวันใหม่ บรรยากาศภายในหอโคมแดงยังคงเงียบเหงา ผิดแผกจากความคึกคักในยามราตรี กลิ่นแป้งร่ำและควันยาสูบฉุนกึกยังคงลอยอวลเจือจางอยู่ในอากาศ


'ไอ้สน' ทนายหน้าหอผู้เป็นมือขวาของท่านขุนวรกานต์ ก้าวเท้าเข้ามาภายในโถงรับรองด้วยท่วงท่าองอาจ แม้จะเป็นเพียงบ่าวไพร่ แต่ด้วยบารมีของผู้เป็นนายที่แผ่คุ้มกะลาหัว ทำให้ไม่มีใครกล้าขัดขวาง เขาตรงดิ่งเข้าไปยังตั่งไม้สักแกะสลักที่ซึ่ง 'นายหญิง' เจ้าของหอกำลังนอนเอกเขนกสูบยาเส้นอย่างสบายอารมณ์


"ข้ามาตามประสงค์ของท่านขุนวรกานต์..."


ไอ้สนเอ่ยเปิดบทสนทนาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พลางวางถุงเงินกำมะหยี่ใบเขื่องลงบนโต๊ะเบื้องหน้า เสียงโลหะหนักกระทบไม้ดัง ตึง เรียกรอยยิ้มมุมปากจากนางพญาจิ้งจอกเฒ่าได้ในทันที


"ท่านขุนมิได้ต้องการเพียงแค่ค่ำคืน..." ไอ้สนประกาศจุดยืนชัดเจน "แต่ท่านต้องการ 'ไถ่ถอน' สินค้าชิ้นงามของท่าน... ธารานนท์ จะต้องย้ายไปอยู่ที่เรือนท่านขุน เป็นสิทธิ์ขาดของท่านแต่เพียงผู้เดียว นับแต่บัดนี้"


สิ้นคำประกาศ นัยน์ตาเรียวรีของนายหญิงก็เบิกกว้างขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแววตาของผู้ถือไพ่เหนือกว่า นางหัวเราะร่วนในลำคอราวกับได้ฟังเรื่องตลกขบขัน


"ไถ่ตัวรึ? โธ่... พ่อทนายหน้าหอ เอ็งหารู้ไม่ว่าธารานนท์นั้นคือ 'ต้นไม้เงินต้นไม้ทอง' ของข้า" นางลุกขึ้นนั่งไขว่ห้าง ท่วงท่าเย่อหยิ่งจองหอง "เด็กนั่นกำลังเป็นที่เลื่องลือ รูปโฉมงดงามหาตัวจับยาก ยิ่งเป็นของแปลกที่ชายทั่วพระนครต่างถวิลหา ข้าเลี้ยงดูฟูมฟักมาจนโต จะให้มาพรากจากอกไปง่ายๆ ด้วยเงินเพียงถุงเดียว... มันมิดูถูกกันไปหน่อยรึ?"


ไอ้สนรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของแม่ค้าหน้าเลือดผู้นี้ดี เขาล้วงหยิบถุงเงินอีกถุงที่เตรียมมาสำรองออกมาวางสมทบ "เท่านี้... พอหรือไม่?"


นายหญิงปรายตามองกองเงินนั้นด้วยสายตาประเมินมูลค่า สมองของนางคำนวณผลกำไรอย่างรวดเร็ว เงินจำนวนนี้มากพอจะซื้อที่ดินได้หลายไร่ หรือซื้อทาสได้นับสิบชีวิต หากเป็นนางโลมทั่วไป นางคงรีบตะครุบไว้แล้วถีบหัวส่งทันที


ทว่า... กับธารานนท์ ความโลภของนางกลับพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นางรู้ดีว่าท่านขุนวรกานต์นั้นมั่งคั่งเพียงใด และเมื่อราชสีห์ปรารถนาเหยื่อ ย่อมยอมจ่ายไม่อั้นเพื่อให้ได้มา


"จุ๊ๆๆ ..." นางส่ายนิ้วเรียวยาวที่มีแหวนทองประดับอยู่ทุกนิ้วไปมา "เมื่อครู่ราคามันอาจจะเท่านี้... แต่พอข้านึกขึ้นได้ว่า คืนนี้มีเจ้าสัวจากเมืองจีนจ่อคิวรอประมูลตัวธารานนท์ด้วยราคาที่สูงลิ่ว ราคามันก็ต้องขยับขึ้นไปอีกเป็นธรรมดา... สินค้าชั้นดี ย่อมมีราคาที่พุ่งสูงได้ตามความพอใจของผู้ขาย มิใช่หรือ?"


นางเรียกราคาเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวอย่างหน้าไม่อาย เป็นตัวเลขที่สูงลิบลิ่วจนเป็นประวัติการณ์ ชนิดที่ไม่เคยมีใครกล้าจ่ายเพื่อซื้อตัวนายบำเรอมาก่อน


ไอ้สนขบกรามแน่นด้วยความระอาใจในความโลภโมโทสันของหญิงตรงหน้า แต่คำสั่งของท่านขุนนั้นศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าสิ่งใด 'เท่าไหร่ก็ต้องจ่าย เอาตัวมาให้ได้'


"ตกลงตามนั้น..."


ไอ้สนปลดถุงเงินถุงสุดท้ายที่ซ่อนไว้ออกมาวางกระแทกทับลงไปบนกองเดิม จนโต๊ะไม้แทบทรุด "นี่คือเงินทั้งหมดที่ท่านเรียกร้อง... มากพอที่จะซื้อหอนี้ได้ทั้งหอด้วยซ้ำ จงรับไป แล้วรีบไปทำสัญญาปลดปล่อยธารานนท์มาเดี๋ยวนี้"


นายหญิงมองกองภูเขาเงินตรงหน้าด้วยดวงตาที่เป็นประกายวาวโรจน์ นางรีบรวบถุงเงินทั้งหมดเข้ามากอดไวราวกับกลัวว่ามันจะบินหนี รอยยิ้มกว้างขวางฉีกถึงใบหู


"แหม่... ใจป้ำสมกับเป็นคนของท่านขุนจริงๆ ข้าล่ะชอบนักคนพูดง่ายจ่ายคล่องเช่นนี้" นางหัวเราะร่าอย่างมีความสุข โดยมิได้แยแสเลยว่า ตนกำลังขายชีวิตคนคนหนึ่งกิน ราวกับขายผักปลาในตลาดสด


"ถือว่าการค้าเสร็จสิ้น... ธารานนท์เป็นสิทธิ์ขาดของนายเอ็งแล้ว"






ประตูห้องพักที่เคยเป็นดั่งโลกทั้งใบของธารานนท์ถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน พร้อมกับร่างระหงของนายหญิงที่ก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าอิ่มเอิบ แต่แววตากลับเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง


ฟึ่บ!


กระดาษสาแผ่นบางที่จารึกถ้อยคำสัญญาและตราประทับสีแดงสด ถูกปาใส่หน้าของธารานนท์อย่างไม่ไยดี แผ่นกระดาษนั้นปลิวว่อนร่วงหล่นลงบนตักของคนที่นั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียง ราวกับใบไม้แห้งที่ไร้ค่า


"เก็บข้าวของซะ... แล้วไสหัวออกไปจากหอของข้าได้แล้ว"


เสียงหวานที่เอ่ยไล่นั้นบาดลึกยิ่งกว่าคมมีด ธารานนท์สะดุ้งสุดตัว หยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่านด้วยมือที่สั่นเทา ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อเห็นคำว่า 'สัญญาไถ่ตัว' เด่นหราอยู่กลางหน้ากระดาษ


"นะ... นายหญิง นี่มันเรื่องอันใดกันขอรับ? ผู้ใด..." น้ำเสียงของเขาสั่นเครือด้วยความสับสนและความหวาดกลัวที่แล่นริ้วขึ้นจับหัวใจ


"อย่าได้มาถามข้าให้มากความ!" นายหญิงตวาดเสียงแหลม รอยยิ้มเหยียดหยามปรากฏขึ้นบนใบหน้า "บุญหล่นทับจนหลังหักแล้วนะเอ็ง มีเศรษฐีหน้าโง่ยอมทุ่มเงินมหาศาลมาไถ่กาลกิณีอย่างเอ็งออกไป... จงดีใจเสียเถิด แล้วรีบเก็บเสื้อผ้าเน่าๆ ของเอ็งออกไปเสีย เดี๋ยวรถม้าเขาจะรอนาน"


สิ้นคำ นางก็สะบัดหน้าเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันที่หนักอึ้งราวกับหินผา


ธารานนท์นั่งนิ่งงันอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวมิใช่ด้วยความปีติยินดี หากแต่เป็นความหนาวเหน็บที่กัดกินไปถึงขั้วกระดูก


ใครกัน? ... ใครคือผู้ที่ยอมจ่ายเงินมหาศาลเพื่อซื้อตัวนายบำเรอต่ำต้อยเช่นเขา?


ภาพจินตนาการอันเลวร้ายผุดขึ้นในสมอง... คงหนีไม่พ้นเฒ่าเศรษฐีตัณหากลับ หรือเจ้าสัววิปริตสักคนที่ต้องการของเล่นชิ้นใหม่ไปประดับบารมี หรืออาจจะเป็นพวกขุนนางวิปลาสที่ชอบความรุนแรงป่าเถื่อน


เขาเกิดที่นี่... เติบโตที่นี่... แม้หอโคมแดงแห่งนี้จะโสมมและเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่มันก็เป็นเพียง 'บ้าน' หลังเดียวที่เขารู้จัก เป็นนรกที่เขาคุ้นเคยกับเปลวเพลิงของมันดีอยู่แล้ว


การต้องก้าวเท้าออกไปสู่โลกภายนอกที่ไม่รู้จัก... ไปอยู่ในกำมือของคนแปลกหน้า มันช่างน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก


ธารานนท์ฝืนกลั้นน้ำตา ลุกขึ้นเก็บเสื้อผ้าที่มีเพียงไม่กี่ชุดลงในห่อผ้าเก่าๆ สมบัติของเขามีเพียงเท่านี้ ชีวิตของเขามีค่าเพียงเท่านี้... ในขณะที่ราคาค่าตัวของเขานั้นสูงลิ่วจนน่าใจหาย


เขาเหลียวมองห้องสี่เหลี่ยมนี้เป็นครั้งสุดท้าย ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก มันมิใช่การโบยบินสู่อิสรภาพ... มันเป็นเพียงการย้ายจากขุมนรกหนึ่ง ไปสู่อีกขุมนรกหนึ่งที่รออยู่เบื้องหน้า เป็นเพียงการเปลี่ยนมือผู้ถือแส้... จากแม่เล้าหน้าเลือด ไปสู่ 'นายท่าน' คนใหม่ที่เขาไม่อาจล่วงรู้ชะตากรรม


ร่างบอบบางก้าวเดินออกจากหอด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว ราวกับนักโทษประหารที่กำลังเดินเข้าสู่ลานประหาร... โดยที่หารู้ไม่ว่า กรงขังใหม่ที่กำลังรอเขาอยู่นั้น อาจจะกักขังเขาไว้ด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น ตลอดชั่วชีวิต






แดดสายที่สาดส่องลงมายังหน้าหอโคมแดง มิได้ทำให้จิตใจที่มืดมนของธารานนท์สว่างไสวขึ้นแม้แต่น้อย ร่างบางก้าวเท้าออกมาพ้นธรณีประตูด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง สองมือโอบกอดห่อผ้าใบเก่าแนบอกแน่น ราวกับเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงสิ่งเดียวที่เหลืออยู่


ที่ข้างรถม้าสีทึบซึ่งจอดรออยู่ ปรากฏร่างของชายฉกรรจ์ผิวเข้ม รูปร่างสูงใหญ่กำยำราวกับยักษ์ปักหลั่นยืนกอดอกทะมึนอยู่ 'ไอ้สน' ในสายตาของธารานนท์ยามนี้ ดูน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก ใบหน้าคมเข้มที่บึงตึงไร้รอยยิ้ม และแววตาคมดุที่จ้องมองมา ทำให้ธารานนท์นึกไปถึงพวกโจรป่าหรือนักเลงหัวไม้ที่มักคอยดักปล้นฆ่าผู้คน


"คนผู้นี้หรือ... คือสมุนของนายคนใหม่"


ธารานนท์ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ความคิดในหัวเตลิดเปิดเปิงไปไกล นายคนใหม่ของเขาต้องเป็นผู้มีอิทธิพลเถื่อน หรือเศรษฐีใจโหดที่เลี้ยงดูบริวารหน้าตาเหี้ยมเกรียมเช่นนี้ไว้ใช้งานเป็นแน่ ชะตากรรมเบื้องหน้าที่รออยู่คงหนีไม่พ้นการถูกทารุณกรรม หรือถูกใช้งานเยี่ยงทาสในเรือนเบี้ย


ตลอดการเดินทางบนรถม้าที่ปิดมิดชิด ธารานนท์นั่งตัวลีบด้วยความหวาดระแวง ทุกครั้งที่รถม้ากระเทือน เขาจะสะดุ้งสุดตัว เตรียมใจรับความเจ็บปวดที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ


ทว่า... เมื่อรถม้าหยุดลง และประตูถูกเปิดออก ภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏแก่สายตากลับทำให้เขาต้องตะลึงงัน


มิใช่ซ่องโจร หรือเรือนไม้ซอมซ่อกลางป่าอย่างที่นึกกลัว แต่กลับเป็น 'เรือนไทยหมู่ใหญ่' ที่ปลูกสร้างอย่างวิจิตรบรรจง อาณาบริเวณกว้างขวางร่มรื่นด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ บ่งบอกถึงฐานะอันสูงส่งและบุญบารมีของเจ้าของเรือน


ธารานนท์ก้าวลงจากรถม้าด้วยความงุนงง ยังมิทันจะหายสงสัย ไอ้สน... ชายหน้าดุที่เขาหวาดกลัวมาตลอดทาง ก็หันมาพยักหน้าเรียกเขาด้วยท่าทีเรียบเฉย มิได้ข่มขู่คุกคาม แต่ก็มิได้นอบน้อมดั่งเช่นบ่าวไพร่คุยกับนาย


"ถึงแล้ว... ลงมาสิ" น้ำเสียงทุ้มห้วนเอ่ยขึ้น "ตามข้ามาทางนี้"


ไอ้สนเดินนำทางพาธารานนท์ลัดเลาะผ่านสวนไม้อันร่มรื่น ห่างไกลจากเรือนใหญ่และเรือนบริวารอื่นๆ ลึกเข้าไปจนเกือบสุดเขตที่ดิน ติดกับท่าน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา


ณ ที่นั้น... มี 'เรือนไทยหลังเล็ก' ยกใต้ถุนสูงตั้งตระหง่านอยู่อย่างเงียบสงบ แม้จะดูสันโดษและห่างไกลผู้คน แต่ตัวเรือนกลับได้รับการดูแลรักษาอย่างดีเยี่ยม พื้นไม้ขัดมันวาววับสะอาดสะอ้าน เครื่องเรือนถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย


"เรือนหลังนี้เป็นที่พักของเอ็ง"


ไอ้สนหันมาบอกพลางชี้มือไปที่เรือนน้อย "ท่านขุนสั่งให้คนปัดกวาดเช็ดถูไว้เรียบร้อยแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นข้าก็จัดหามาไว้ให้ครบครัน"


ธารานนท์มองไปรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ ท่าทีของชายร่างยักษ์ผู้นี้แม้จะดูน่าเกรงขามและพูดจาห้วนๆ แบบคนกันเอง แต่การกระทำกลับมิได้หยาบช้าหรือรังเกียจเขาอย่างที่นึกกลัว


"ขาดเหลืออะไรก็บอกพวกบ่าวไพร่แถวนี้เอา" ไอ้สนกำชับทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "พักผ่อนเสียเถิด เดินทางมาเหนื่อยๆ ... ส่วนเรื่องหน้าที่ของเอ็ง รอท่านขุนมาสั่งการเองก็แล้วกัน"


เมื่อไอ้สนเดินคล้อยหลังกลับไป ธารานนท์ก็ได้แต่ยืนมองแผ่นหลังกว้างนั้นสลับกับเรือนพักที่งดงามตรงหน้า ความสับสนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว


กรงขังแห่งใหม่นี้... ช่างดูงดงามและสุขสบายผิดคาด ผู้คุมกฎอย่างไอ้สนก็มิได้โหดร้ายดั่งหน้าตา หากแต่มันก็ยังคงเป็นกรงขังอยู่วันยังค่ำ


เสียงสายน้ำไหลเอื่อยและสายลมที่พัดผ่านเรือนร่าง สร้างความรู้สึกวังเวงจับใจ เขานั่งลงที่ระเบียงเรือน เหม่อมองออกไปแม่น้ำกว้าง พลางรำพึงในใจ...


"ท่านขุนผู้นั้นคือใครกันแน่... ไยจึงขังข้าไว้ในที่ที่งดงามแต่โดดเดี่ยวเช่นนี้"


เมื่อดวงตะวันลับขอบฟ้า ทิ้งไว้เพียงแสงสีหม่นที่ค่อยๆ ถูกความมืดกลืนกิน รัตติกาลก็ได้เข้ายึดครองพื้นที่โดยรอบเรือนไทยหลังน้อยริมฝั่งน้ำอย่างสมบูรณ์


ธารานนท์นั่งตัวเกร็งอยู่บนตั่งเตียงไม้สัก แผ่นหลังเหยียดตรง สองมือประสานกันแน่นวางไว้บนตัก ดวงตากลมโตจ้องเขม็งไปที่บานประตูเรือนที่ปิดสนิท หูคอยเงี่ยฟังเสียงฝีเท้าหรือเสียงการเคลื่อนไหวใดๆ ที่จะบ่งบอกถึงการมาเยือนของ 'เจ้าชีวิต' คนใหม่


ทว่า... เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า จากหัวค่ำสูยามดึกสงัด กลับไร้ซึ่งเงาของผู้ใด บานประตูไม้สักยังคงปิดสนิท ไม่มีการมาเยือน ไม่มีการเรียกหา มีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรที่กรีดปีกระงม และเสียงสายน้ำเจ้าพระยาที่ไหลเอื่อยกระทบตลิ่งคอยขับกล่อมความเวิ้งว้าง


ความเงียบงันที่น่าจะเป็นเรื่องดี กลับกลายเป็นสิ่งที่น่าสยดสยองสำหรับคนที่เติบโตมาในหอโคมแดง ตลอดชีวิตของธารานนท์ ค่ำคืนคือช่วงเวลาแห่งความโกลาหล คือแสงสี เสียงดนตรีบรรเลง และเสียงหัวเราะเริงร่าของตัณหา ร่างกายของเขาคุ้นชินกับการตื่นตัวเพื่อรองรับอารมณ์ใคร่ของบุรุษในยามวิกาล มิใช่การมานั่งจับเจ่าอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าเช่นนี้


"ทำไมถึงเงียบเช่นนี้..."


เขาพึมพำกับตัวเองด้วยความกระวนกระวาย การไม่ต้องรับแขกควรจะเป็นความโชคดี แต่ความไม่รู้อนาคตกลับน่ากลัวยิ่งกว่า เขาไม่รู้ว่านายคนใหม่คิดจะทำอะไร หรือกำลังเล่นตลกอะไรกับเขา


เมื่อความง่วงงุนเริ่มเข้าครอบงำ ธารานนท์จำต้องล้มตัวลงนอนบนฟูกหนานุ่ม แต่เปลือกตากลับมิอาจปิดลงได้ง่ายดาย ความมืดที่รายล้อมรอบกายเริ่มสำแดงฤทธิ์เดช


แสงตะเกียงน้ำมันที่จุดไว้เพียงดวงเดียวที่มุมห้อง สาดแสงริบหรี่วูบไหว ก่อให้เกิดเงาทะมึนทอดตัวยาววูบวาบไปตามฝาผนังเรือนไม้ ราวกับภูตพรายที่กำลังร่ายรำ สำหรับคนขวัญอ่อนที่หวาดกลัวความมืดอย่างธารานนท์ เงาเหล่านั้นดูน่ากลัวราวกับปีศาจที่จ้องจะตะครุบเหยื่อ


ความเหงาและความกลัวจับขั้วหัวใจ เขาขดตัวงอเข้าหากันใต้ผ้าห่มผืนหนา พยายามข่มตาหลับแต่สมองกลับตื่นตัวด้วยความหวาดระแวง ทุกความมืดมิดในมุมห้องดูเหมือนจะมีสายตาที่มองไม่เห็นจับจ้องอยู่


ในหอโคมแดง แม้จะทุกข์ระทม แต่ก็ยังมีแสงไฟสว่างไสวตลอดคืน มีเพื่อนร่วมชะตากรรมอยู่รายล้อม แต่ ณ ที่แห่งนี้... ในเรือนหลังงามที่แยกตัวโดดเดี่ยว เขาต้องเผชิญหน้ากับความมืดมิดและจินตนาการอันเลวร้ายของตนเองเพียงลำพัง


น้ำตาเม็ดใสซึมออกมาทางหางตา ธารานนท์ภาวนาขอให้เช้าวันใหม่มาถึงโดยเร็ว เพื่อให้แสงตะวันช่วยขับไล่ความกลัวในจิตใจ... หรือไม่ก็ขอให้ใครสักคนเข้ามาทำลายความเงียบนี้เสียที แม้จะเป็นการเข้ามาเพื่อย่ำยี เขาอาจจะยังรู้สึกหวาดกลัวน้อยกว่าต้องนอนตัวสั่นอยู่กับความมืดที่เป็นปริศนาเช่นนี้










แสงตะวันแรกแห่งวันสาดส่องลงมากระทบผิวน้ำเจ้าพระยาเป็นประกายระยิบระยับ ขับไล่ความมืดมิดและหมู่มารแห่งรัตติกาลให้จางหายไป ทว่าแสงตะวันอันอบอุ่นนั้น กลับมิอาจส่องเข้าไปถึงจิตใจที่หม่นหมองของผู้อาศัยในเรือนหลังน้อยได้


เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่เดินขึ้นบันไดเรือนมาในยามสาย เรียกสติของธารานนท์ที่กำลังนั่งเหม่อลอยให้กลับคืนมา ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบขยับตัวลุกขึ้นต้อนรับผู้มาเยือน


'ไอ้สน' ก้าวเข้ามาพร้อมสำรับอาหารคาวหวานที่ถูกจัดแต่งอย่างประณีต กลิ่นหอมกรุ่นของข้าวสวยร้อนๆ และแกงรสเลิศโชยมาแตะจมูก หากแต่ธารานนท์กลับมิได้รู้สึกหิวโหยแต่อย่างใด ความวิตกกังวลตลอดค่ำคืนที่ผ่านมาทำให้กระเพาะอาหารของเขาบิดเกร็งจนแทบอาเจียน


"ข้าเอาสำรับเช้ามาให้... กินเสียหน่อยเถิด จะได้มีเรี่ยวแรง"


ไอ้สนวางถาดอาหารลงบนตั่งไม้อย่างเบามือ พลางลอบสังเกตสภาพของคนตรงหน้า นัยน์ตาคมดุของทนายหน้าหอฉายแววเห็นใจวูบหนึ่ง เมื่อเห็นสภาพอันอิดโรยของธารานนท์


วงหน้าหวานที่เคยผ่องใสนั้นบัดนี้ซีดเซียวราวกระดาษสา ขอบตาคู่สวยคล้ำหมองบวมช้ำบ่งบอกถึงการผ่านการร้องไห้และการอดนอนมาตลอดทั้งคืน ร่างกายที่ดูบอบบางอยู่แล้ว ยิ่งดูโงนเงนราวกับจะปลิวไปตามลมได้ทุกเมื่อ


"เมื่อคืน... หลับสบายดีหรือไม่?"


ไอ้สนแสร้งเอ่ยถามทำลายความเงียบ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าคำตอบคือสิ่งใด ธารานนท์หลุบตาลงต่ำ หลบสายตาคมคู่นั้น พลางส่ายหน้าเพียงแผ่วเบา


"ข้า... ข้าไม่ค่อยชินที่ ต่างที่ต่างถิ่นเลยข่มตาหลับไม่ลงจ้ะ" น้ำเสียงนั้นแหบแห้งและสั่นเครือ


ไอ้สนพยักหน้ารับรู้ เขาเลือกที่จะไม่ซักไซ้ไล่เลียงให้มากความ ด้วยเกรงว่าจะไปสะกิดแผลใจของคนตัวเล็กให้ยิ่งหวาดกลัว เขาเพียงแค่ถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างระอาใจในความดื้อรั้นของนายเหนือหัว ที่ชอบเล่นสงครามประสาทกับเหยื่อตัวน้อยเช่นนี้


"ถ้าเช่นนั้นก็ฝืนกินสักนิด แล้วนอนพักผ่อนเสีย... ที่นี่ไม่มีใครมารบกวนเอ็งหรอก วางใจเถิด"






...


เมื่อกลับมาถึงเรือนใหญ่ ไอ้สนรีบตรงเข้าไปยังห้องหนังสือที่ซึ่งท่านขุนวรกานต์ กำลังนั่งตรวจดูเอกสารราชการด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทว่าสายตานั้นกลับมิได้จดจ่ออยู่กับตัวอักษร หากแต่คอยเหลือบมองไปทางประตูอยู่เป็นระยะ


"ทางนั้น... เป็นอย่างไรบ้าง?"


ท่านขุนเอ่ยถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากกองกระดาษ น้ำเสียงราบเรียบนั้นดูเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ไอ้สนรู้ดีว่านายของตนนั่งรอฟังรายงานนี้มาตั้งแต่เช้าตรู่


"สภาพดูไม่ได้เลยขอรับท่านขุน..." ไอ้สนรายงานตามความจริง "หน้าตาซีดเซียว ขอบตาคล้ำเหมือนคนไม่ได้นอนทั้งคืน ท่าทางหวาดระแวงตลอดเวลา คงจะกลัวความมืดแล้วก็แปลกที่จนข่มตาไม่ลง"


สิ้นคำรายงาน ปลายพู่กันในมือของขุนวรกานต์ก็ชะงักกึก เขาวางมันลงบนแท่นฝนหมึกอย่างแรงจนน้ำหมึกกระฉอก รอยยิ้มเยาะหยันที่เคยคิดว่าจะแสดงออกมาสมน้ำหน้า กลับไม่มีปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย


คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันจนเป็นปม ความรู้สึกผิดแล่นริ้วขึ้นมาจุกที่อก เขาเพียงแค่อยากจะกักเก็บเด็กคนนั้นไว้ให้ห่างไกลจากสายตาชายอื่น อยากให้อยู่ในที่ที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวที่สุด แต่กลับลืมนึกไปว่า ความเงียบเหงาและวังเวงของเรือนริมน้ำ อาจจะโหดร้ายเกินไปสำหรับคนที่เคยชินกับแสงสีและความพลุกพล่าน


"กลัวความมืดงั้นรึ..."


ท่านขุนพึมพำเสียงแผ่ว นัยน์ตาคมทอประกายอ่อนลงด้วยความกังวล มือหนาเผลอกำพนักเก้าอี้แน่น ใจหนึ่งก็นึกอยากจะรุดไปดูให้เห็นกับตาว่าเจ้าตัวดีเป็นอย่างไรบ้าง แต่อีกใจก็ยังติดทิฐิและแผนการที่วางไว้


"ไอ้สน..." เขาเอ่ยเรียกเสียงเครียด "คืนนี้เอ็งสั่งบ่าวไพร่ให้ไปจุดไต้เพิ่มรอบเรือนเล็ก อย่าให้มีมุมมืดให้น่ากลัว แล้วก็หาพวกน้ำมันหอมระเหยกลิ่นดอกโมกหรือดอกแก้วไปจุดไว้ในห้องนอนเสียหน่อย กลิ่นหอมเย็นๆ อาจจะช่วยให้...ผ่อนคลายและหลับสบายขึ้น"


ไอ้สนลอบยิ้มมุมปากเมื่อเห็นความห่วงใยที่เจ้านายพยายามซ่อนเร้น "ขอรับ แล้วจะให้บ่าวบอกหรือไม่ ว่าเป็นคำสั่งของท่านขุน?"


"ไม่ต้อง!" ท่านขุนสวนกลับทันควัน ก่อนจะแสร้งกระแอมไอแก้เก้อ "ข้าแค่ไม่อยากให้สินค้าที่อุตส่าห์ไถ่ตัวมาแพงๆ ต้องมาล้มหมอนนอนเสื่อจนเสียราคา... เอ็งรีบไปจัดการเถอะ อย่าให้ข้าต้องพูดมากความ"


ลับหลังคนสนิท ขุนวรกานต์ได้แต่ถอนหายใจยาว เอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางหลับตาลง ภาพใบหน้าหวานที่เปื้อนคราบน้ำตายังคงรบกวนจิตใจ...


‘อดทนหน่อยเถิด... รอให้ข้าเคลียร์งานราชการให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ข้าจะไปกล่อมเจ้าด้วยตัวข้าเอง’


ดึกสงัด... รัตติกาลได้เข้ายึดครองทั่วอาณาบริเวณ เสียงจิ้งหรีดเรไรกรีดปีกระงมประสานกับเสียงสายน้ำเจ้าพระยาที่ไหลเอื่อย แต่ทว่าภายในห้องหนังสือเรือนใหญ่ 'ขุนวรกานต์' กลับมิอาจข่มตาหลับหรือจดจ่อกับราชกิจตรงหน้าได้


ตัวอักษรบนหน้ากระดาษดูเลือนรางในสายตา เพราะในห้วงคำนึงนั้นมีเพียงภาพของผู้อาศัยในเรือนหลังน้อยวนเวียนรบกวนจิตใจ ความห่วงหาอาทรผสมปนเปกับความปรารถนาอันลึกล้ำ ก่อตัวเป็นพายุอารมณ์ที่พัดกระหน่ำจนกำแพงแห่งความอดทนพังทลายลง


ในที่สุด ร่างสูงสง่าก็จำต้องยอมจำนนต่อเสียงเรียกร้องของหัวใจ ท่านขุนลอบเร้นกายออกจากเรือนใหญ่ ย่างสามขุมฝ่าความมืดมิดมุ่งหน้าสู่เรือนไทยริมน้ำราวกับโจรย่องเบา หากแต่สิ่งที่เขาหมายปองมิใช่ทรัพย์สินเงินทอง แต่เป็นหัวใจดวงน้อยที่เขาได้ตีตราจองเอาไว้


เมื่อก้าวขึ้นมาบนเรือน แสงตะเกียงที่จุดสว่างไสวไปทั่วบริเวณตามคำบัญชา ช่วยขับไล่ความมืดมิดให้จางหาย สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและปลอดภัย กลิ่นหอมเย็นๆ ของน้ำมันระเหยกลิ่นดอกโมกลอยอวลแตะจมูก ผสมผสานกับกลิ่นกายหอมกรุ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าของห้อง


ขุนวรกานต์ค่อยๆ แง้มบานประตูห้องนอนออกอย่างเบามือที่สุด สายตาคมกริบทอดมองไปยังตั่งเตียงกว้าง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทำให้ลมหายใจของเขาพลันสะดุด


'ธารานนท์' กำลังนอนหลับสนิท ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ บ่งบอกว่าความกังวลและความหวาดกลัวได้มลายหายไปสิ้นด้วยอานุภาพแห่งแสงสว่างและกลิ่นหอมที่เขาจงใจมอบให้ ใบหน้าหวานยามนิทราดูไร้เดียงสาราวกับทารกน้อย ขนตางอนยาวทาบลงบนแก้มใสที่เริ่มมีเลือดฝาดกลับคืนมา


ความเอ็นดูสายหนึ่งแล่นพล่านเข้าเกาะกุมหัวใจราชสีห์หนุ่ม เขาค่อยๆ ทรุดกายลงนั่งข้างเตียงอย่างแผ่มช้า สายตาจดจ้องมองใบหน้างามนั้นด้วยความหลงใหลราวกับต้องมนต์สะกด


มือหนาเอื้อมไปเกลี่ยไรผมที่ปรกหน้าผากมนออกให้อย่างทะนุถนอม สัมผัสแผ่วเบาที่ปลายนิ้วส่งผ่านความอบอุ่นไปยังผิวเนียนละเอียด


"เจ้าตัวดี..."


เขาพึมพำเสียงกระซิบที่แทบจะกลืนหายไปในความเงียบ "ทำให้ข้ากระวนกระวายใจถึงเพียงนี้ ยังจะมีหน้ามานอนหลับสบายใจเฉิบอยู่อีกรึ"


แม้ปากจะตัดพ้อ แต่การกระทำกลับสวนทาง ขุนวรกานต์ไม่อาจหักห้ามใจตนเองได้อีกต่อไป เขาค่อยๆ โน้มใบหน้าคมคายลงไปหา... ใกล้ขึ้น... ใกล้ขึ้น จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารด


ปลายจมูกโด่งเป็นสัน กดแนบลงบนพวงแก้มเนียนนุ่ม สูดดมกลิ่นกายหอมละมุนที่ผสมกับกลิ่นแป้งร่ำจางๆ เข้าไปจนเต็มปอด ความหอมหวานที่มิอาจหาได้จากบุปผาดอกใดในโลกหล้า ทำให้สติของเขาเตลิดเปิดเปิง


ใบหน้าคมซุกไซ้ลงที่ซอกคอขาวผ่อง ปล่อยให้จมูกและริมฝีปากคลอเคลียอยู่กับผิวเนื้อนุ่มอย่างย่ามใจ ราวกับภมรหนุ่มที่กำลังตักตวงความหวานจากเกสรดอกไม้ในยามวิกาล ความปรารถนาที่พยายามกดข่มไว้เริ่มลุกโชนขึ้นอีกครา แขนแกร่งค่อยๆ สอดเข้าไปโอบกอดร่างบางที่ยังคงหลับใหล ให้ขยับเข้ามาแนบชิดอกกว้าง เพื่อกักเก็บความอบอุ่นนี้ไว้... แต่เพียงผู้เดียว


"อื้อ..."


เสียงครางแผ่วเบาในลำคอราวกับลูกแมวละเมอไหว ดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอิ่มที่เผยอน้อยๆ พร้อมกับร่างนุ่มนิ่มที่ขยับกายเข้าหาไออุ่นโดยสัญชาตญาณ สองแขนเรียวเสลาที่เคยวางแนบกาย บัดนี้ยกขึ้นโอบรัดรอบเอวสอบของบุรุษผู้บุกรุกไว้อย่างแนบแน่น ราวกับเถาวัลย์น้อยที่เกี่ยวพันต้นไม้ใหญ่เพื่อหาที่พึ่งพิงจากความหนาวเหน็บ


การกระทำที่ไร้เดียงสานั้น เปรียบเสมือนน้ำมันราดรดลงบนกองเพลิงกามารมณ์ ขุนวรกานต์ชะงักเกร็งไปทั้งร่าง เลือดลมในกายหนุ่มฉกรรจ์สูบฉีดพล่านรุนแรงยิ่งกว่าพายุคลั่ง กลิ่นหอมยวนใจที่เขากำลังสูดดม ผสมผสานกับสัมผัสนุ่มหยุ่นที่เบียดเสียดแนบชิด ปลุกเร้าความดิบเถื่อนให้ตื่นเพริดจนแทบจะควบคุมไม่อยู่


ลมหายใจของท่านขุนเริ่มขาดห้วง ใบหน้าคมคายซุกไซ้หนักหน่วงขึ้นที่ซอกคอหอมกรุ่น ริมฝีปากร้อนผ่าวเกือบจะประทับจูบดูดดึงตีตราจองผิวเนื้อขาวผ่องนั้นด้วยแรงอารมณ์ เขาอยากจะบดขยี้ริมฝีปากช่างยั่วที่กำลังส่งเสียงครางแผ่วๆ นั่น อยากจะปลุกคนขี้เซาให้ตื่นขึ้นมารองรับพายุสวาทที่กำลังโหมกระหน่ำ และกลืนกินร่างน้อยนี้ให้สมอยากอีกครา


ทว่า... เมื่อสายตาคมกวาดมองใบหน้าพริ้มเพราที่กำลังหลับสนิทไร้ซึ่งความกังวล ภาพความทรงจำยามที่ดวงตาคู่นั้นฉายแววหวาดกลัวและเต็มไปด้วยน้ำตาก็ผุดแทรกขึ้นมาเตือนสติ


ขุนวรกานต์กัดฟันแน่นจนกรามขึ้นเป็นสันนูน ข่มกลั้นพายุอารมณ์ให้สงบลงด้วยความยากลำบากยิ่งกว่าการศึกครั้งใด เขาไม่อยากตื่นมาพบกับสายตาที่มองเขาเป็นดั่งปีศาจร้ายอีกครั้ง ไม่อยากเห็นร่างนี้สั่นเทาด้วยความรังเกียจสัมผัสของเขา... อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้


"ร้ายกาจนักนะ..."


ราชสีห์หนุ่มกระซิบคาดโทษเสียงพร่าชิดใบหู พลางสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกสติสัมปชัญญะให้กลับคืนมา เขาค่อยๆ แกะท่อนแขนเรียวออกจากเอวอย่างอ้อยอิ่ง แม้ใจจะโหยหาและอยากจะตระกองกอดร่างนี้ไว้จนรุ่งสางเพียงใดก็ตาม


ขุนวรกานต์ขยับตัวถอยห่างออกมาเล็กน้อย ก่อนจะโน้มใบหน้าลงประทับริมฝีปากอุ่นจัดลงบนหน้าผากมนเกลี้ยงเกลาอย่างแผ่วเบาและเนิ่นนาน จุมพิตนั้นมิได้เจือด้วยราคะ หากแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวงแหนและคำมั่นสัญญาที่ไร้เสียง


"ฝากไว้ก่อนเถิด... เจ้าตัวดีของข้า"


ก่อนที่แสงเงินแสงทองจะจับขอบฟ้า และไก่ขันจะเริ่มโห่ร้องบอกเวลา ขุนวรกานต์จำใจต้องละจากร่างนุ่มนิ่มนั้น ตัดใจผละออกจากเรือนหอด้วยความอาลัย เพื่อมิให้คนตัวเล็กตื่นมาพบหน้ากันในยามเช้า... ทิ้งไว้เพียงรอยอุ่นจางๆ บนหน้าผาก และกลิ่นกายบุรุษที่ผสมผสานไปกับกลิ่นดอกไม้ในยามรุ่งสาง


ธารานนท์ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นรับวันใหม่อย่างเชื่องช้า ทว่าครานี้ความรู้สึกหนักอึ้งที่เคยกดทับหน้าอกกลับมลายหายไปสิ้น แทนที่ด้วยความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าอย่างน่าประหลาด


เขายันกายลุกขึ้นนั่ง พลางยกมือขึ้นแตะที่หน้าผากตนเองเบาๆ ความรู้สึกอุ่นวาบเหมือนมีริมฝีปากของใครบางคนประทับลงเมื่อคืนยังคงติดตรึงอยู่ในห้วงความทรงจำเลือนราง ผสมผสานกับกลิ่นหอมสะอาดของบุรุษเพศที่เจือจางอยู่บนหมอนหนุน ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยราวกับมีเกราะคุ้มกันภัยตลอดราตรี


"คงจะเป็นเพียงความฝัน..."


ธารานนท์พึมพำกับตัวเอง พลางส่ายหน้าไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ใครเล่าจะเข้ามาในยามวิกาล ในเมื่อห้องหอนี้ปิดมิดชิด


ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าหนักๆ ของ 'ไอ้สน' ก็ดังขึ้นตามกิจวัตร ทนายหน้าหอร่างยักษ์ก้าวขึ้นมาบนเรือนพร้อมสำรับอาหารคาวหวานรสเลิศเช่นเคย หากแต่ในวันนี้ ธารานนท์มิอาจทนนิ่งเฉยรับการปรนนิบัติอยู่ฝ่ายเดียวได้อีกต่อไป


ความรู้สึกอึดอัดใจที่ต้องนั่งกินนอนกินเยี่ยงคนไร้ค่า ผุดขึ้นมาเป็นคำถาม "พี่ชาย..." ธารานนท์เอ่ยเรียกเสียงเบา ขณะที่ไอ้สนกำลังจะวางถาดอาหารลง "ข้าขอถามกระไรหน่อยได้หรือไม่จ๊ะ?"


ไอ้สนชะงักมือ เลิกคิ้วเข้มขึ้นเชิงอนุญาต "ว่ามาสิ"


ธารานนท์ประสานมือไว้บนตัก ก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความเจียมตน "คือ... ข้าเห็นบ่าวไพร่คนอื่นในเรือนทำงานกันตัวเป็นเกลียว แต่ตัวข้ากลับได้แต่นั่งงอมืองอเท้า กินแรงท่านเจ้าเรือนอยู่เช่นนี้ ข้ารู้สึกไม่สบายใจเลยจ้ะ... พี่พอจะมีงานการอันใดให้ข้าทำบ้างหรือไม่ จะให้ข้าไปช่วยงานในครัว หรืองานปัดกวาดเช็ดถู ข้าก็ทำได้ทั้งนั้น อย่าให้ข้าต้องอยู่เฉยๆ ให้เปลืองข้าวสุกเช่นนี้เลย"


ไอ้สนมองดูท่าทางนอบน้อมนั้นแล้วก็ลอบถอนหายใจ เขายืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง กอดอกมองคนตัวเล็กด้วยสายตาที่อ่านยาก ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เด็ดขาด


"เอ็งฟังข้าให้ดีนะ..."


น้ำเสียงทุ้มกังวานนั้นทำให้ธารานนท์ต้องเงยหน้าขึ้นฟังอย่างตั้งใจ "ท่านขุนไถ่ตัวเอ็งมาด้วยเบี้ยอัฐจำนวนมหาศาล มิใช่เพื่อให้เอ็งมาทำงานหลังขดหลังแข็งเยี่ยงบ่าวไพร่ งานหุงหาอาหาร งานปัดกวาดเช็ดถู มันไม่ใช่หน้าที่ของเอ็ง"


"แต่ว่า..."


"ไม่มีแต่!" ไอ้สนสวนกลับทันควัน ตัดบทข้อโต้แย้ง "ช่วงนี้ท่านขุนมีราชกิจรัดตัว ทั้งงานหลวงงานราษฎร์วุ่นวายจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ท่านจึงยังไม่มีเวลาปลีกตัวมาหาเอ็งที่เรือนนี้ได้"


ไอ้สนเว้นจังหวะเล็กน้อย จ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่โศก ราวกับจะเตือนสติ "หน้าที่ของเอ็งในยามนี้ คือการทำตัวให้สงบเสงี่ยมเจียมตัว อยู่กินให้สบายกาย รักษาเนื้อรักษาตัวให้ผ่องใส... รอคอยเวลาที่ท่านขุนจะเรียกหา นั่นแหละคืองานของเอ็ง เข้าใจหรือไม่?"


คำตอบนั้นเปรียบเสมือนกรงขังที่มองไม่เห็น ธารานนท์เม้มริมฝีปากแน่น เข้าใจในความหมายแฝงนั้นดี เขาไม่ใช่บ่าว... แต่เป็น 'สัตว์เลี้ยงราคาแพง' ที่มีหน้าที่เพียงแค่รอคอยเจ้านายมาเชยชมเมื่อยามว่าง


"จ้ะ... ข้าเข้าใจแล้ว" ธารานนท์ตอบรับเสียงแผ่ว รับคำสั่งนั้นไว้ด้วยความจำยอม


ไอ้สนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป ทิ้งให้ธารานนท์นั่งมองสำรับอาหารตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ความสบายกายที่ได้รับ ช่างสวนทางกับความว่างเปล่าในจิตใจที่ต้องเฝ้ารอคอย






ตะวันบ่ายคล้อยลงต่ำ ทอแสงสีทองอ่อนจางฉาบไล้ไปทั่วคุ้งน้ำเจ้าพระยา สายลมพัดโชยเอื่อยๆ หอบเอากลิ่นหอมเย็นของดอกแก้วที่ปลูกไว้ริมรั้วมาแตะจมูก สร้างบรรยากาศที่แสนจะผ่อนคลายและเกียจคร้าน


ธารานนท์นั่งทอดอารมณ์อยู่ที่ชานเรือนริมน้ำ ขาเรียวแกว่งไกวเล่นไปมาอย่างคนไม่มีอะไรทำ คำสั่งห้ามมิให้หยิบจับงานการใดๆ ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาวะว่างงานจนน่าเบื่อหน่าย ครั้นจะเดินไปไหนไกลก็เกรงใจสายตาบ่าวไพร่ ได้แต่นั่งจับเจ่ามองดูสายน้ำไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า


ความเงียบสงบประกอบกับสายลมเย็นที่พัดผ่านผิวกาย เปรียบเสมือนเพลงกล่อมเด็กชั้นดี เปลือกตาคู่สวยที่เคยเบิกกว้างเริ่มหนักอึ้งลงทีละน้อย ศีรษะทุยสวยเริ่มสัปหงกโงนเงน ก่อนจะค่อยๆ เอนซบลงกับหมอนอิงใบเขื่องที่วางหนุนหลัง คอพับคออ่อนเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างง่ายดาย ทิ้งท่วงท่าระวังตัวไว้เบื้องหลัง เหลือเพียงความไร้เดียงสาของคนที่หลับสนิท


ในขณะเดียวกัน ทางด้าน 'ขุนวรกานต์' ที่เพิ่งสะสางราชกิจกองโตเสร็จสิ้นลงก่อนเวลา หัวใจที่เคยจดจ่ออยู่กับงานเมือง กลับโบยบินล่วงหน้ากลับมายังเรือนท่าน้ำนานแล้ว ความห่วงใยที่พยายามกลบเกลื่อนผลักดันให้เขาเร่งฝีเท้ากลับมายังเรือนเล็ก โดยไม่แวะพักผ่อนที่เรือนใหญ่


ร่างสูงสง่าก้าวขึ้นบันไดเรือนด้วยฝีเท้าที่เบากริบดั่งแมวย่อง เกรงว่าจะไปทำลายความสงบของผู้อาศัย แต่เมื่อก้าวพ้นธรณีประตู ภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็ทำให้ริมฝีปากหยักได้รูปต้องยกยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว


เบื้องหน้าของเขา... เจ้าของฉายาดอกไม้งามแห่งหอโคมแดง ผู้ที่บุรุษทั่วพระนครต่างร่ำลือถึงลีลายั่วยวน บัดนี้กลับนอนหลับปุ๋ยเป็นตายราวกับเด็กน้อยที่วิ่งซนจนหมดแรง


แก้มใสที่แนบอยู่กับหมอนอิงถูกดันจนย้วยออกมาเป็นก้อนกลมน่าบีบ ริมฝีปากสีสดเผยอน้อยๆ ปล่อยลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ เส้นผมสีดำขลับตกลงมาปรกหน้าผากมน สร้างภาพลักษณ์ที่ดูน่ารักน่าชังและน่าเอ็นดูจนคนมองรู้สึกคันยุบยิบในหัวใจ


"หึ... บทจะสิ้นฤทธิ์ ก็หลับเป็นตายเชียวนะ"


ท่านขุนส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความขบขันระคนเอ็นดู เขาค่อยๆ ทรุดกายลงนั่งขัดสมาธิที่พื้นกระดานข้างๆ ตั่งที่คนตัวเล็กนอนอยู่ สายตาคมกริบไล่มองเครื่องหน้าที่ผ่อนคลายไร้การปรุงแต่ง


ยามตื่น... ธารานนท์อาจดูหวาดระแวงและเก็บกด แต่ยามหลับ... กลับดูบริสุทธิ์ผุดผ่องราวกับผ้าขาวที่ยังไม่แปดเปื้อนสี


ขุนวรกานต์เท้าคางมองดูภาพตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ ความเหนื่อยล้าจากราชการงานเมืองดูเหมือนจะมลายหายไป เพียงแค่ได้เห็นเจ้าตัวดีนอนหลับสบายใจเฉิบอยู่ในอาณาเขตของเขา


มือหนาอดไม่ได้ที่จะเอื้อมไปใช้นิ้วชี้จิ้มเบาๆ ที่แก้มป่องนั่นอย่างหยอกเย้า "ขี้เซาจริงเชียว... ระวังเถิด หากข้าเผลอใจขึ้นมา เจ้าจะไม่ได้นอนดี"


สายตาคมเหลือบมองไปยังตักนุ่ม ของคนที่กำลังนั่งพับเพียบหลับพิงหมอนอิงอยู่อย่างสบายอารมณ์ พื้นที่ว่างบนตักนั้นดูช่างเชื้อเชิญและน่าพักพิงเสียยิ่งกว่าหมอนหนุนใบใดในเรือนใหญ่


"ขอข้าพักสักหน่อยเถิดนะ..."


ท่านขุนรำพึงในใจ ก่อนจะค่อยๆ ขยับกายเปลี่ยนท่านั่ง ถือวิสาสะเยี่ยงเจ้าของกรรมสิทธิ์ เอนตัวลงนอนราบไปกับพื้นกระดานมันปลาบ แล้ววางศีรษะทุยได้รูปของตนหนุนลงบนตักนิ่มของธารานนท์อย่างแผ่วเบา


สัมผัสแรกที่ได้รับ คือความนุ่มหยุ่นที่รองรับศีรษะ และไออุ่นจากเรือนกายที่แผ่ซ่านออกมา ธารานนท์ขยับตัวเล็กน้อยในห้วงนิทราเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักที่กดทับ แต่ก็มิได้ตื่นขึ้นมาโวยวาย กลับขยับท่านั่งให้เข้าที่เข้าทางราวกับจะจัดระเบียบหมอนหนุนใบใหม่ให้เข้าที่


ขุนวรกานต์ลอบยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ เขาพลิกตัวตะแคงเข้าหาหน้าท้องแบนราบ สูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกโมกที่ลอยอวลมาจากเสื้อผ้าและผิวกายของคนตัวเล็ก กลิ่นนี้ช่างหอมเย็นชื่นใจ เปรียบประดุจโอสถทิพย์ที่ช่วยชะล้างความขุ่นมัวในจิตใจให้จางหาย


เปลือกตาคมค่อยๆ ปิดลงอย่างเชื่องช้า ซึมซับความรู้สึกสงบสุขที่หาได้ยากยิ่งในชีวิตขุนนางผู้แบกรับภาระหนักอึ้ง ในยามนี้... เขาไม่ใช่ท่านขุนผู้เคร่งขรึม และธารานนท์ก็ไม่ใช่สินค้าที่ซื้อมา แต่เป็นเพียงบุรุษสองคนที่ต่างฝ่ายต่างเป็นที่พักพิงให้แก่กันและกันในยามเหนื่อยล้า


เสียงลมหายใจเข้าออกที่สอดประสานกันเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ดังคลอเคล้าไปกับเสียงสายน้ำไหลเอื่อย ไม่นานนัก... ราชสีห์หนุ่มผู้เกรียงไกรก็พ่ายแพ้ต่อความสบาย ดำดิ่งลงสู่ห้วงนิทราอันแสนหวาน ตามเจ้าดอกไม้ดอกน้อยไปในที่สุด


เวลาล่วงเลยผ่านไปนานเท่าใดมิอาจรู้ได้ ธารานนท์ค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นจากภวังค์นิทราเมื่อความชาหนึบเริ่มแล่นริ้วขึ้นมาจากปลีขา ความรู้สึกหนักอึ้งที่หน้าตักทำให้สติที่ยังพร่าเลือนเริ่มกลับมาแจ่มชัด


เปลือกตาคู่สวยกะพริบถี่ๆ เพื่อปรับโฟกัสภาพตรงหน้า ก่อนจะเบิกโพลงกว้างด้วยความตกตะลึงจนแทบลืมหายใจ


ภาพที่ปรากฏแก่สายตามิใช่หมอนอิงใบเดิม หากแต่เป็นใบหน้าคมคายของบุรุษผู้หนึ่ง... บุรุษที่เขาจดจำได้แม่นยำว่าเป็นชายคนเดียวกับที่ช่วยเขาหน้าตลาด และเป็นชายคนเดียวกับที่มอบค่ำคืนอันโหดร้ายปนวาบหวามให้แก่เขา


'ท่านขุนวรกานต์...'


ความจริงที่กระแทกเข้ากลางใจทำให้ธารานนท์ตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาป สมองหมุนติ้วด้วยความสับสนมึนงง... ที่แท้ 'เจ้านายปริศนา' ที่ทุ่มเงินมหาศาลไถ่ตัวเขามาจากหอโคมแดง ก็คือคนคนนี้นี่เองหรือ?


ความหวาดระแวงแล่นพล่านขึ้นมาทันที ธารานนท์กวาดสายตามองไปรอบเรือนหลังงามที่ตนอาศัยอยู่ ความสะดวกสบาย อาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์ และการเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีเยี่ยงนี้... มิใช่ความเมตตาปรานีแต่อย่างใด


'ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง...' ความคิดขมขื่นผุดขึ้นในใจ 'ที่ท่านชุบเลี้ยงข้าไว้ในเรือนใกล้ตัว ปรนเปรอด้วยข้าวปลาอาหารอย่างดี ก็เพียงเพื่อให้ข้าเป็นวัวงามที่สมบูรณ์พร้อม... พร้อมที่จะรองรับอารมณ์ใคร่ของท่านได้ทุกเมื่อที่ท่านต้องการกระนั้นหรือ?'


เขาตีความไปเองว่า ตนเป็นเพียง 'นางบำเรอส่วนตัว' ที่ถูกเก็บไว้ในที่ลับตา เพื่อให้ท่านขุนเรียกใช้งานได้สะดวกดายมิต้องลำบากเดินทางไปถึงหอโคมแดง เป็นเพียงเครื่องมือระบายความเครียดที่มีชีวิต จิตใจดวงน้อยปวดหนึบด้วยความรู้สึกต่ำต้อยและน้อยใจ


ทว่า... เหมือนสวรรค์จะแกล้ง เปลือกตาคมของท่านขุนค่อยๆ ขยับไหว ก่อนจะเปิดขึ้นสบประสานเข้ากับดวงตากลมโตที่กำลังไหวระริกด้วยความตัดพ้อในระยะประชิด


"ตื่นแล้วรึ... เจ้าตัวดี"


เสียงทุ้มพร่าจากการเพิ่งตื่นนอนเอ่ยทัก ท่านขุนค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่ง บิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนจะสังเกตเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของคนตรงหน้า "เป็นกระไรไป? ทำหน้าเหมือนเห็นผี"


ธารานนท์เม้มริมฝีปากแน่น รวบรวมความกล้าเอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาใจ "เป็นท่านเองหรือขอรับ... ที่ไถ่ตัวข้ามา?"


ขุนวรกานต์เลิกคิ้วเล็กน้อย "แล้วเจ้าคิดว่าเป็นผู้ใดเล่า?"


ธารานนท์แค่นยิ้มสมเพชตนเอง "ข้าก็นึกว่าเป็นเศรษฐีแก่ตัณหากลับที่ไหน... ที่แท้ก็เป็นท่านขุนผู้สูงศักดิ์" น้ำเสียงของเขาเจือแววประชดประชันอย่างปิดไม่มิด


"ที่ท่านให้ข้ามาอยู่ที่นี่ เลี้ยงดูข้าอย่างดี... ก็เพื่อให้ข้าเป็น 'ของเล่น' ที่หยิบฉวยได้ง่าย สะดวกต่อการระบายอารมณ์ใคร่ของท่าน ยามที่ท่านเกิดกำหนัดขึ้นมา โดยไม่ต้องเสียเวลาไปถึงสำเพ็ง... ใช่หรือไม่ขอรับ?"


ถ้อยคำตัดพ้อที่ตรงไปตรงมานั้น ทำให้ขุนวรกานต์ชะงัก รอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าเลือนหายไป แทนที่ด้วยความเคร่งขรึม เขาจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาที่เอ่อคลอด้วยน้ำตาแห่งความน้อยใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ


มือหนาเอื้อมไปคว้าข้อมือบางมากุมไว้แน่น เมื่อธารานนท์ทำท่าจะขยับหนี "เจ้ามองเจตนาของข้าต่ำต้อยถึงเพียงนั้นเชียวรึ?"


ท่านขุนเอ่ยเสียงเรียบ แต่หนักแน่น "จริงอยู่... ที่ข้าปรารถนาในตัวเจ้า แต่หากข้าต้องการเพียงแค่ที่ระบายความใคร่ ข้าจะขังเจ้าไว้ที่ห้องเก็บของ หรือให้บ่าวไพร่โยนข้าวแดงแกงร้อนให้กินตามมีตามเกิดก็ได้ มิจำเป็นต้องสร้างวิมานริมน้ำ หรือสั่งให้คนดูแลเจ้าดุจไข่ในหินเยี่ยงนี้"


เขาขยับตัวเข้าไปใกล้ จนลมหายใจอุ่นรดใบหน้าหวาน "ที่ข้าให้เจ้าอยู่ที่นี่... แยกเจ้าออกมาจากความวุ่นวาย ก็เพราะข้า 'หวง' ... ข้าไม่อาจทนให้สายตาชายอื่นมาแทะโลมเจ้าได้อีกแม้แต่เพียงเสี้ยววินาที"


"หวงรึขอรับ?" ธารานนท์ทวนคำเสียงเบาหวิว


"ใช่... หวง" ขุนวรกานต์ย้ำชัด "เจ้ามิใช่เครื่องมือระบายความใคร่ แต่เจ้าคือสมบัติล้ำค่าที่ข้าอยากเก็บซ่อนไว้เชยชมแต่เพียงผู้เดียว... เข้าใจเสียใหม่ให้ถูกต้องด้วย เจ้าเด็กโง่"


แม้วาจาที่เอื้อนเอ่ยจะฟังดูคล้ายคำหวานที่แสดงความหวงแหน หากแต่ความจริงอีกด้านที่เขาไม่อาจเอ่ยปากบอกเจ้าเด็กโง่ตรงหน้าได้ ก็คือ... เรือนหลังน้อยริมน้ำแห่งนี้ มิได้สร้างขึ้นเพียงเพื่อเป็นวิมานรักส่วนตัว แต่เจตนาที่แท้จริงคือการเป็น 'ที่ซ่อนความอัปยศ'


การเลี้ยงดูบุรุษเพศไว้เป็นนายบำเรอในเรือนเบี้ย แม้จะเป็นรสนิยมลับๆ ของขุนนางบางกลุ่ม แต่หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปสู่สาธารณชน โดยเฉพาะกับขุนนางดาวรุ่งที่กำลังมีอนาคตไกลอย่างเขา ย่อมกลายเป็นขี้ปากชาวบ้านและเป็นรอยด่างพร้อยในวงตระกูลที่ยากจะลบเลือน


ตำแหน่งหน้าที่การงานที่สั่งสมมา ชื่อเสียงเกียรติยศของวงศ์ตระกูล อาจพังทลายลงเพียงเพราะตัณหาราคะที่มีต่อบุรุษเพียงคนเดียว


ขุนวรกานต์ขยับตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หันหลังให้ธารานนท์ ทอดสายตามองออกไปที่แม่น้ำกว้างเพื่อซ่อนความขัดแย้งในแววตา


"เรื่องที่ข้าพาเจ้ามาอยู่ที่นี่... มีเพียงไอ้สนและบ่าวไพร่ที่ไว้ใจได้ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้" น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง จนธารานนท์รู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง


"เจ้าจงจำไว้ให้มั่น... ว่าห้ามย่างกรายออกไปเพ่นพ่านที่เรือนใหญ่ หรือแสดงตัวให้แขกเหรื่อของข้าพบเห็นเป็นอันขาด" ท่านขุนหันกลับมาจ้องหน้าธารานนท์อีกครั้ง คราวนี้สายตาของเขามิได้มีความเอ็นดูหลงเหลืออยู่ มีเพียงความเด็ดขาดของผู้ที่ต้องการปกป้องสถานภาพของตนเอง


"ข้าเป็นขุนนาง มีหน้ามีตาในสังคม... การมีเจ้าอยู่ที่นี่ หากใครรู้เข้า มันมิใช่เรื่องน่าอภิรมย์นัก"


ถ้อยคำนั้นเปรียบเสมือนน้ำเย็นจัดที่สาดรดลงมากลางใจ ธารานนท์ก้มหน้าลงต่ำ เม้มริมฝีปากแน่น ความน้อยเนื้อต่ำใจที่เพิ่งจางหายไป กลับตีตื้นขึ้นมาอีกระลอก


ที่แท้... คำว่า 'หวงแหน' ก็เป็นเพียงข้ออ้างสวยหรู ความจริงแล้ว... เขาเป็นเพียง 'ความลับที่น่าอับอาย' เป็นจุดด่างพร้อยที่ท่านขุนต้องการซุกซ่อนไว้ในมุมมืดที่สุดของบ้าน ไม่ต่างอะไรกับขยะที่กวาดไปซ่อนไว้ใต้พรมอันวิจิตร


ธารานนท์ยกมือพนมไหว้รับคำสั่งด้วยความจำยอม น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย "ขอรับท่านขุน... ข้าจะเจียมกะลาหัว จะไม่เสนอหน้าออกไปให้ท่านต้องมัวหมอง จะอยู่แต่ในกรงทองแห่งนี้... จนกว่าท่านจะเบื่อหน่ายและเขี่ยทิ้ง"


ขุนวรกานต์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาตัดพ้อนั้น ใจหนึ่งก็นึกสงสาร แต่อีกใจหนึ่งก็ต้องแข็งใจไว้ เพราะความลับนี้สำคัญต่อชีวิตราชการของเขายิ่งนัก


"ดี... เข้าใจก็ดีแล้ว"


เมื่อเห็นใบหน้าหวานที่ก้มต่ำซ่อนความโศกศัลย์ และไหล่บางที่สั่นไหวน้อยๆ ด้วยแรงสะอื้นที่พยายามกลั้นไว้ ความแข็งกร้าวในใจของราชสีห์หนุ่มก็พลันอ่อนยวบลง แม้เขาจะหวงแหนเกียรติยศเพียงใด แต่ก็มิอาจทนเห็น 'สมบัติล้ำค่า' ชิ้นนี้ต้องหม่นหมองได้


ขุนวรกานต์ตัดสินใจยุติความตึงเครียดนั้น วงแขนแกร่งตวัดรวบเอวคอดกิ่วของธารานนท์ ดึงรั้งร่างน้อยที่กำลังตัดพ้อให้เข้าประชิดแผงอกกว้างอย่างรวดเร็วโดยที่อีกฝ่ายมิทันตั้งตัว


"อ๊ะ! ท่านขุน..."


ธารานนท์อุทานด้วยความตกใจ สองมือเรียวยกขึ้นยันอกแกร่งไว้โดยสัญชาตญาณ แต่ก็มิอาจต้านทานแรงมหาศาลที่โอบรัดเขาไว้แน่นราวกับงูใหญ่รัดเหยื่อ ท่านขุนมิได้พูดพร่ำทำเพลง ใบหน้าคมคายโน้มลงมาเกยคางมนไว้บนไหล่เล็ก สูดดมกลิ่นหอมกรุ่นจากซอกคอขาวอย่างถือสิทธิ์ ก่อนจะเอ่ยกระซิบถ้อยคำหวานหยดที่ข้างหู


"อย่าทำหน้าโศกสลดไปเลยเจ้าเด็กโง่..." น้ำเสียงทุ้มพร่าเปลี่ยนจากดุดันเป็นนุ่มนวลชวนฝัน "ที่ข้าพูดไปเช่นนั้น เพราะข้าไม่อยากแบ่งปันเจ้าให้ผู้ใดชมดูต่างหาก"


มือหนาลูบไล้แผ่นหลังบางเบาๆ เพื่อปลอบประโลม "ดอกไม้งามเยี่ยงเจ้า... ให้ข้าได้เชยชมเพียงผู้เดียวก็เพียงพอแล้ว มิจำเป็นต้องเบ่งบานเผื่อแผ่สายตาใครหน้าไหน"


"แต่ข้า..."


"ชู่ว..." นิ้วเรียวยาวแตะลงที่ริมฝีปากอิ่มเพื่อห้ามคำทักท้วง "ฟังข้า... เจ้าจงอยู่ที่นี่ เสวยสุขให้สบายใจเถิด ในอาณาจักรของข้า ในเรือนหลังนี้... จักไม่มีใครหน้าไหนกล้ามารบกวนเจ้า หรือทำร้ายเจ้าได้อีก ข้าสัญญา"


ถ้อยคำสัญญาที่หนักแน่น เปรียบเสมือนน้ำทิพย์ชโลมใจที่แห้งผาก ธารานนท์เผลอไผลไปกับความอบอุ่นที่ได้รับ ร่างกายที่เคยขัดขืนค่อยๆ อ่อนระทวยลงซบกับอกกว้าง ยอมจำนนต่อกรงขังที่ฉาบด้วยน้ำผึ้งนี้อย่างหมดใจ


เมื่อเห็นว่าคนในอ้อมกอดเริ่มคลายพยศ ขุนวรกานต์จึงค่อยๆ ดันตัวธารานนท์ออกเล็กน้อย เพื่อสบตา นัยน์ตาคมฉายแววใคร่รู้ระคนหวงแหน


ราวกับเบื้องบนได้รับรู้ถึงความโศกศัลย์ที่เพิ่งถูกระบายออกมา ท้องนภาที่เคยแจ่มใสพลันมืดครึ้มลงฉับพลัน ก่อนที่สายพิรุณระลอกใหญ่จะโปรยปรายลงมาอย่างหนักหน่วง เสียงสายฝนกระทบหลังคาเรือนและผิวน้ำดังระงมก้องไปทั่วอาณาบริเวณ สร้างม่านน้ำสีขาวขุ่นที่ตัดขาดเรือนหลังน้อยออกจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์


ไอเย็นจากละอองฝนพัดกรูเข้ามาทางชานเรือน จนร่างบอบบางที่เพิ่งผ่านการร้องไห้สั่นสะท้านขึ้นด้วยความหนาวเหน็บ ขุนวรกานต์เห็นดังนั้นจึงมรอช้า วงแขนแกร่งช้อนร่างของธารานนท์ขึ้นแนบอกในท่าอุ้มเจ้าสาวอย่างง่ายดาย ราวกับกำลังประคองขนนกที่แสนเปราะบาง


"ฝนตกหนักนัก... เข้าไปข้างในเถิด เดี๋ยวเจ้าจะจับไข้"


เสียงทุ้มเอ่ยชิดใบหู แข่งกับเสียงฝนฟ้าคะนอง ก่อนจะพาร่างในอ้อมแขนก้าวข้ามธรณีประตู เข้าสู่ห้องหอที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกโมกและไออุ่นแห่งความปลอดภัย


ขุนวรกานต์ค่อยๆ วางร่างของธารานนท์ลงบนฟูกหนานุ่มอย่างทะนุถนอม ผิดกับค่ำคืนแรกที่เต็มไปด้วยความดิบเถื่อนราวฟ้ากับเหว นัยน์ตาคมกริบทอดมองคนใต้ร่างด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง นิ้วเรียวยาวเกลี่ยปอยผมที่ชื้นเหงื่อออกจากหน้าผากมน ก่อนจะเลื่อนลงมาเช็ดคราบน้ำตาที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างแผ่มช้า


"ให้สายฝนข้างนอกนั่น... ช่วยชะล้างความเศร้าหมองของเจ้าไปให้สิ้น" ท่านขุนกระซิบเสียงพร่า พลางโน้มใบหน้าลงต่ำ "และให้ข้า... เป็นผู้มอบความอบอุ่นมาแทนที่ความหนาวเหน็บในใจเจ้า"


ริมฝีปากหยักได้รูปประทับจูบลงบนกลีบปากอิ่มสีระเรื่ออย่างนุ่มนวลและอ้อยอิ่ง มิใช่การจาบจ้วงตักตวง แต่เป็นการ 'ขออนุญาต' และ 'ปลอบประโลม' ลิ้นร้อนค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปลิ้มรสความหวานล้ำอย่างใจเย็น มอบความวาบหวามที่อ่อนหวานซ่านซึมไปถึงขั้วหัวใจ


ธารานนท์หลับตาพริ้ม ยินยอมพร้อมใจเปิดรับสัมผัสนั้นอย่างเต็มใจ สองแขนเรียวยกขึ้นโอบรอบคอแกร่ง รั้งให้ร่างสูงแนบชิดลงมาหากันจนแทบไร้ช่องว่าง เสียงฝนที่ตกกระหน่ำภายนอก กลายเป็นเพียงเสียงดนตรีขับกล่อมให้โลกใบเล็กในห้องนี้มีเพียงเขาสองคน


มือหนาของท่านขุนเริ่มซุกซน ปลดเปลื้องอาภรณ์ที่ขวางกั้นออกทีละชิ้นอย่างเชื่องช้า ราวกับกำลังแกะกลีบดอกไม้ที่บอบบาง ผิวเนื้อขาวผ่องที่ปรากฏแก่สายตาต้องแสงตะเกียงสลัว ดูงดงามราวกับประติมากรรมชั้นเลิศ


"งดงามเหลือเกิน..."


คำชมที่หลุดออกจากปากชายผู้สูงศักดิ์ เรียกเลือดฝาดให้แล่นริ้วขึ้นบนพวงแก้มของคนฟัง ขุนวรกานต์พรมจูบไปทั่วเรือนร่างขาวเนียน ตั้งแต่หน้าผาก ปลายจมูก ลงมาถึงซอกคอและลาดไหล่ เขาปรารถนาจะตีตราจองทุกตารางนิ้วบนเรือนร่างนี้ มิให้มีที่ว่างสำหรับสายตาผู้ใดอีก


"ผิวเจ้าขาวนัก..."


ท่านขุนกระซิบเสียงแหบพร่า พลางใช้ปลายจมูกกดเน้นลงบนหน้าท้องแบนราบ "ขาวเสียจนข้าอยากจะแต้มสีลงไป ให้รู้ว่าเป็นสมบัติของใคร"


ไม่รอช้า ริมฝีปากหยักได้รูปเคลื่อนต่ำลงไปยังต้นขาด้านใน... พื้นที่ลับเร้นที่ถูกซุกซ่อนไว้ใต้ร่มผ้า เขาขบเม้มเนื้อน่อนนุ่มนั้นอย่างมันเขี้ยว ดูดดึงผิวเนื้อขาวผ่องจนเกิดเสียงดังจวบจาบที่น่าอาย ธารานนท์สะดุ้งเฮือก สองมือขยุ้มผ้าปูที่นอนแน่น ความเสียวซ่านแล่นปราดไปทั่วร่าง


ขุนวรกานต์บรรจงสร้างรอยรักสีกลีบกุหลาบเข้ม ไว้ที่ขาหนีบขาวผ่อง จุดที่ลึกซึ้งและส่วนตัวที่สุด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผลงานของตนด้วยแววตาพึงพอใจ


"รอยนี้... จะมีเพียงข้าเท่านั้นที่ได้เห็น" เขาเอ่ยเสียงเข้ม พลางใช้นิ้วโป้งลูบไล้รอยแดงนั้นเบาๆ "ยามเจ้าก้าวเดิน ยามเจ้านั่ง หรือยามเจ้าหลับใหล รอยจูบของข้าจะติดตัวเจ้าไปทุกที่... เพื่อเตือนใจว่า เจ้าเป็นเมียของใคร"


คำว่า 'เมีย' ที่หลุดออกมาจากปากท่านขุนราวกับค้อนปอนด์ที่ทุบลงกลางใจ ธารานนท์หน้าแดงซ่านจนลามไปถึงใบหู ความขัดเขินปะปนกับความต้องการที่เริ่มก่อตัวขึ้นในช่องท้อง


ท่านขุนมิปล่อยให้เหยื่อตัวน้อยได้พักหายใจ เขาขยับกายขึ้นคร่อมทับ แทรกตัวลงไประหว่างขาเรียวที่แยกออกกว้างอย่างรู้งาน นิ้วแกร่งเริ่มรุกล้ำเข้าไปสำรวจเส้นทางรักที่คับแคบและร้อนผ่าว สัมผัสได้ถึงการตอดรัดตุบๆ ที่เชื้อเชิญ


"อึก... ท่านขุน..." ธารานนท์ครางเสียงหลง เมื่อนิ้วยาวขยับเข้าออกเพื่อเบิกทาง


"เรียกข้าว่าพี่..." ขุนวรกานต์สั่งเสียงดุข้างใบหู ลมหายใจร้อนรดริน "แล้วบอกข้าซิ... ว่ารูร่านๆ ของเจ้า มันกำลังเรียกร้องหาความเป็นชายของข้าใช่หรือไม่?"


ถ้อยคำหยาบโลนที่ขัดกับใบหน้าหล่อเหลาและยศถาบรรดาศักดิ์ ยิ่งกระตุ้นเร้าอารมณ์ดิบในกายของธารานนท์ให้พุ่งพล่าน เขาบิดกายเร่าด้วยความทรมานที่แสนหวาน ความต้องการตีตื้นขึ้นมาจนเก็บกลั้นไม่อยู่


"ขอรับ... ท่านพี่... ฮื้อ... ของข้า... มันต้องการท่าน"


สิ้นคำสารภาพ ขุนวรกานต์คำรามในลำคออย่างพึงพอใจ เขาจับแก่นกายที่ขยายตัวเต็มที่จ่อจรดที่ปากทางรัก ก่อนจะค่อยๆ กดแทรกกายเข้าไปอย่างเชื่องช้าทว่าหนักแน่น ความคับแน่นที่โอบล้อมตัวตนทำให้เขาต้องสูดปากด้วยความเสียวซ่าน


"อ่า... แน่นเหลือเกิน..." ท่านขุนกัดฟันกรอด ขณะดันกายเข้าไปจนสุดทาง "เจ้ามันเกิดมาเพื่อเป็นของข้าโดยแท้... รูรักของเจ้ามันตอดรัดข้าจนแทบขาด นี่ขนาดข้ายังไม่ได้ขยับ เจ้าก็แทบจะกลืนกินข้าเข้าไปทั้งตัวแล้ว"


เขาแช่ค้างไว้ชั่วครู่เพื่อให้ธารานนท์ปรับตัว ก่อนจะเริ่มขยับโยกกายตามจังหวะเนิบนาบแต่เน้นย้ำทุกจุดกระสัน เสียงเนื้อกระทบเนื้อดัง พั่บ พั่บ ประสานกับเสียงฝนตกภายนอก เป็นท่วงทำนองแห่งกามารมณ์ที่เร่าร้อน


จากจังหวะเนิบช้า ค่อยๆ ไต่ระดับความรุนแรงขึ้นตามแรงอารมณ์ที่โหมกระพือ ขุนวรกานต์จับเอวบางไว้มั่น แล้วกระแทกกระทั้นกายเข้าใส่อย่างไม่ออมแรง ความโหยหาที่สะสมมาหลายวันระเบิดออกมาเป็นการกระทำที่ดิบเถื่อนแต่เต็มไปด้วยความรัก


"อ๊ะ! ... ท่านพี่... แรงอีก... อื้อ!"


เสียงครวญครางของธารานนท์ยิ่งปลุกเร้าปีศาจร้ายในตัวท่านขุน "ชอบรึ? ... ที่ทำหน้าตาใสซื่อ แต่ข้างในกลับร้อนแรงเยี่ยงนี้ ชอบให้ข้ากระแทกแรงๆ ใช่หรือไม่!"


เขาถามพลางกระแทกสวนเข้าไปลึกสุดใจ จนร่างบางสั่นคลอนไปทั้งตัว หัวหัวชนหัวท้าย "ตอบข้ามา! ... ว่าเจ้าเป็นของใคร!"


"ของท่าน... อ๊า!... ข้าเป็นของท่านพี่คนเดียว!"


ขุนวรกานต์ก้มลงบดจูบปากอิ่มอย่างดูดดื่ม ลิ้นร้อนพัวพันกันนัวเนีย รสชาติของตัณหาและความรักผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก เหงื่อกาฬไหลซึมออกมาท่วมกายทั้งสองร่าง กลิ่นกายชายชาตรีผสมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของธารานนท์ กลายเป็นกลิ่นฟีโรโมนที่มอมเมาสติให้เตลิด


เสียงเนื้อกระทบเนื้อที่ดังถี่กระชั้น ประสานไปกับเสียงสายฝนที่โหมกระหน่ำภายนอก ราวกับเป็นดนตรีสังวาสที่เร่งเร้าให้สองร่างที่สอดประสานกันดำดิ่งลงสู่ห้วงตัณหาจนลึกสุดหยั่ง


ขุนวรกานต์มิยอมผ่อนปรนจังหวะรักลงแม้แต่น้อย สะโพกสอบยังคงทำหน้าที่ตอกตรึงแก่นกายใหญ่โตเข้าไปในช่องทางคับแคบที่ตอดรัดตุบๆ อย่างบ้าคลั่ง ความเสียดสีที่เกิดขึ้นในทุกจังหวะการเคลื่อนไหว สร้างความร้อนระอุจนแทบจะหลอมละลายผนังเนื้อนุ่มให้กลายเป็นจุน


"อ๊ะ... อ๊า... ท่านพี่... ข้า... ข้าไม่ไหว..."


ธารานนท์หวีดร้องเสียงหลง ใบหน้าหวานเชิดขึ้นระบายความเสียวซ่าน เม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มกรอบหน้าและแผ่นอกขาวที่กระเพื่อมไหวอย่างรุนแรง มือเรียวจิกเกร็งลงบนลาดไหล่กว้างจนเล็บคมฝังลงในเนื้อระบายความอัดอั้น


"รูของเจ้ามันกำลังกลืนกินข้า... มันตอดรัดข้าแน่นจนแทบจะรีดเอาน้ำทุกหยดออกไป... ช่างตะกละตะกลามนัก"


ขุนวรกานต์โน้มตัวลงไปบดจูบที่ยอดอกสีหวานที่ชูชันล่อสายตา ลิ้นร้อนตวัดเลียรัวเร็วสลับกับขบกัดเบาๆ เรียกเสียงครางกระเส่าจากธารานนท์ได้ไม่ขาดสาย ความรู้สึกเสียววาบแล่นปราดจากปลายอกลงไปรวมศูนย์อยู่ที่ส่วนล่าง ซึ่งบัดนี้ปริ่มเปรมไปด้วยอารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูงจนแตะขอบสวรรค์


"จะเสร็จรึ? ... จะเสร็จสมทั้งที่ข้ายังกระแทกเจ้าอยู่แบบนี้รึ?"


ราชสีห์หนุ่มแกล้งกระซิบถามด้วยถ้อยคำหยาบโลน พลางเร่งจังหวะให้เร็วและแรงขึ้นอีกเป็นเท่าทวีคูณ แก่นกายแกร่งครูดถูผนังเนื้อภายในอย่างไร้ความปรานี ย้ำจุดเดิมซ้ำๆ จนธารานนท์แทบขาดใจ


"ฮื้อ... ใช่... ข้าจะเสร็จ... ท่านพี่... ได้โปรด... เร็วอีก..." ธารานนท์อ้อนวอนเสียงสั่น สติสัมปชัญญะแตกกระเจิง ไม่เหลือความยางอายใดๆ อีกต่อไป มีเพียงความกระหายที่อยากจะปลดปล่อย


ท่านขุนจับเอวบางล็อกไว้แน่น แล้วโถมกายเข้าใส่ครั้งสุดท้ายด้วยแรงทั้งหมดที่มี ความเป็นชายที่ขยายตัวจนคับแน่นเสียดสีกับความนุ่มหยุ่นภายในอย่างรุนแรง ส่งผลให้ธารานนท์หวีดร้องลั่น


"อ๊าาาาา!"


ร่างกายบอบบางเกร็งกระตุกอย่างรุนแรง ช่องทางรักบีบรัดตัวตนของท่านขุนแน่นจนปวดหนึบ ปลดปล่อยสายธารสีขาวขุ่นออกมาเปรอะเปื้อนหน้าท้องแกร่งและหน้าท้องของตนเองจนเลอะเทอะ สมองขาวโพลนราวกับเกิดระเบิดลูกใหญ่ภายในหัว ความสุขสมที่ได้รับมันท่วมท้นจนล้นทะลัก


และในวินาทีต่อมา ขุนวรกานต์เองก็มิอาจต้านทานแรงตอดรัดที่แสนวิเศษนั้นได้อีกต่อไป เขาคำรามก้องในลำคอราวกับสัตว์ป่าที่ได้รับชัยชนะ เกร็งสะโพกกดแนบชิดจนไร้ช่องว่าง ปลดปล่อยลาวารักอันร้อนระอุเข้าสู่ร่างกายของธารานนท์ทุกหยาดหยด


"อึก... อ่า..."


ความอุ่นวาบที่ฉีดพ่นเข้ามาภายใน สร้างความรู้สึกวูบวาบและเติมเต็มจนธารานนท์รู้สึกจุกเสียดทว่าสุขสมอย่างประหลาด น้ำรักมากมายไหลทะลักจนเอ่อล้นออกมาตามเรียวขาขาว ผสมปนเปกับน้ำหล่อลื่นและคราบเหงื่อไคล


ทั้งสองร่างกอดก่ายกันแน่นท่ามกลางเสียงหอบหายใจที่ดังระงมแข่งกับเสียงฝน ร่างกายของธารานนท์ยังคงกระตุกเกร็งเป็นระยะจากความเสียวซ่านที่ยังหลงเหลืออยู่ ส่วนท่านขุนก็ซบหน้าลงกับซอกคอหอม สูดดมกลิ่นเหงื่อและกลิ่นคาวโลกีย์ที่เขาเป็นผู้สร้างขึ้นอย่างหลงใหล


"เจ้าเป็นของข้า..." ขุนวรกานต์กระซิบเสียงแหบพร่า ทั้งที่ยังหอบเหนื่อย


แม้พายุอารมณ์ระลอกแรกจะผ่านพ้นไป แต่ไฟราคะในกายของราชสีห์หนุ่มดูเหมือนจะยังมิมอดดับลงง่ายๆ ขุนวรกานต์นอนแผ่หลากายอยู่บนฟูกหนา ลมหายใจยังคงหอบกระชั้น นัยน์ตาคมกริบจ้องมองร่างขาวผ่องที่ซบอยู่บนอกแกร่งด้วยแววตาที่เป็นประกายวาวโรจน์


มือหนาเลื่อนลงไปบีบคลึงสะโพกมนอย่างมันเขี้ยว ก่อนจะออกแรงรั้งให้ธารานนท์เงยหน้าขึ้นสบตา "หมดแรงแล้วรึ? ... เจ้าดอกไม้ของข้า"


เขาเอ่ยเย้าเสียงทุ้ม พลางยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ "ไหนเจ้าคุยโวว่าถูกฝึกมาดี... ลองแสดงฝีมือให้ข้าดูหน่อยเป็นไร ว่า 'ของดี' แห่งหอโคมแดง จะทำให้ข้าสุขสมได้มากกว่านี้หรือไม่?"


คำท้าทายนั้นเปรียบเสมือนเชื้อเพลิงที่โยนลงในกองไฟ ธารานนท์เม้มปากแน่น นึกอยากเอาชนะบุรุษจอมวางมาดผู้นี้ให้สยบแทบเท้า ร่างบางค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่งคร่อมทับหน้าท้องแกร่ง เส้นผมสีดำขลับยาวสยายตกลงมาคลอเคลียใบหน้าและแผ่นหลังขาวเนียน สร้างภาพลักษณ์ที่ดูงดงามราวกับนางพรายยั่วยวนใจ


ธารานนท์สูดลมหายใจเข้าลึก รวบรวมความกล้า ก่อนจะค่อยๆ ยกสะโพกขึ้น แล้วจับประคองแก่นกายใหญ่โตที่ยังคงตื่นตัวของท่านขุน ให้จ่อจรดที่ปากทางรักของตนอีกครา


"อึก..."


ธารานนท์นิ่วหน้าด้วยความคับแน่น ยามที่ค่อยๆ กดกลืนกินตัวตนของชายหนุ่มเข้าไปทีละนิด ช่องทางที่เพิ่งผ่านศึกมายังคงบวมช้ำและไวต่อความรู้สึก ทุกการขยับลงลึกจึงสร้างความเสียวซ่านจนแข้งขาอ่อนแรง


ขุนวรกานต์กัดฟันกรอด สองมือขยุมผ้าปูที่นอนแน่น จ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความหลงใหล ภาพของธารานนท์ที่กำลัง 'กลืนกิน' เขาเข้าไปจนมิดด้าม โดยมีแสงตะเกียงสลัวส่องกระทบผิวขาวราวน้ำนม เป็นภาพที่กระตุ้นอารมณ์ดิบเถื่อนได้ดียิ่งกว่าสิ่งใด


"ดี... อย่างนั้นแหละ..." ท่านขุนครางต่ำ "กลืนข้าเข้าไปให้หมด... อย่าให้เหลือ"


เมื่อรับตัวตนเข้าไปจนสุดทาง ธารานนท์ก็เริ่มขยับกายโยกไหว สะโพกมนบดเบียดวนเวียนเป็นจังหวะเนิบนาบ ราวกับเรือลำน้อยที่โคลงเคลงอยู่กลางคลื่นลม เอวบางร่อนวนบดขยี้จุดกระสันของคนที่อยู่เบื้องล่างอย่างรู้งาน


"อ่า... ธารานนท์..."


ขุนวรกานต์แหงนหน้าขึ้น สูดปากด้วยความเสียวซ่านที่พุ่งพล่าน การเป็นฝ่ายถูกกระทำโดยคนตัวเล็กที่ดูไร้เดียงสาแต่ลีลาจัดจ้านเช่นนี้ มันช่างให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่และสุขสมจนแทบคลั่ง ช่องทางตอดรัดที่บีบเค้นเขาในทุกจังหวะการหมุนวน ทำให้เขาแทบจะปลดปล่อยออกมาอีกรอบ


ธารานนท์เท้าแขนลงกับแผงอกกว้าง โน้มใบหน้าลงมาจนชิด สบตากับท่านขุนด้วยแววตาหยาดเยิ้ม "ท่านพี่... พอใจหรือไม่ขอรับ?" เขาถามเสียงกระเส่า พลางเร่งจังหวะการขยับขึ้นลงให้เร็วขึ้น "ข้า... ทำให้ท่านมีความสุขหรือไม่?"


"สุข... สุขจนข้าจะบ้าตายอยู่แล้ว!"


ขุนวรกานต์ตะเบ็งเสียงตอบ ความอดทนขาดผึง เขาไม่อาจทนนอนเฉยได้อีกต่อไป มือหนาเอื้อมขึ้นไปกอบกุมสะโพกนุ่มเต็มไม้เต็มมือ แล้วออกแรงสวนสะโพกกระแทกขึ้นไปรับจังหวะการกดลงของธารานนท์อย่างรุนแรง


ตับ! ตับ! ตับ!


เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังสนั่นหวั่นไหว ร่างบางสั่นคลอนไปตามแรงกระแทกที่สวนขึ้นมา หน้าอกสวยกระเพื่อมไหวล่อตาล่อใจ จนท่านขุนต้องเอื้อมมือขึ้นไปบีบเคล้นและสะกิดยอดอกเล่นอย่างมันมือ


"ขย่มลงมาแรงๆ! ... ยิ่งแรงข้ายิ่งชอบ!"


ท่านขุนสั่งเสียงดุดัน มองดูธารานนท์ที่กำลังเริงระบำอยู่บนร่างเขาด้วยความหวงแหนและคลั่งไคล้ "จำไว้... ท่าทางร่านร้อนเยี่ยงนี้ ลีลาเด็ดดวงเยี่ยงนี้... เจ้าต้องเก็บไว้ใช้กับข้าแค่คนเดียว! หากข้ารู้ว่าเจ้าไปทำแบบนี้กับชายอื่น ข้าจะตามไปหักขามันเสีย!"


"อ๊า! ... ท่านพี่... ลึก... มันลึกเกินไป!"


ธารานนท์หวีดร้องเมื่อท่านขุนกระแทกสวนขึ้นมาโดนจุดกระสันภายในซ้ำๆ จนร่างเขากระตุกเกร็ง สวรรค์รำไรอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ความสุขสมจากการเป็นผู้คุมเกม ผสมกับความรุนแรงที่ได้รับ ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังลอยละลิ่ว


"พร้อมกัน... เสร็จพร้อมข้า!"


ขุนวรกานต์ล็อกเอวบางไว้แน่น แล้วกระหน่ำแทงสวนขึ้นไปถี่รัวไม่ยั้ง จนธารานนท์ต้องแหงนหน้าเชิดขึ้น หวีดร้องออกมาสุดเสียง ปลดปล่อยความสุขสมออกมาจนตัวโยน ซบหน้าลงกับอกแกร่งอย่างหมดแรง


ขณะเดียวกัน ขุนวรกานต์ก็คำรามลั่น ปลดปล่อยทุกหยาดหยดเข้าสู่ร่างกายของธารานนท์อีกครา จนล้นทะลักออกมาเคลือบเรียวขาขาว เขาโอบกอดร่างที่หอบฮั่กอยู่บนตัวเขาไว้แน่น จูบซับที่ขมับชื้นเหงื่อด้วยความรักใคร่ที่ท่วมท้นหัวใจ


"เก่งมาก... เมียข้า"




----------------------------------------
ฝากติดตามหน่อยนะครับ เป็นแนวไทยพีเรียด






🌸 一期一会 (いちごいちえ)

นายกสโมสร

กระทู้
0
ตอบกลับ
54884
พลังน้ำใจ
280470
Zenny
109297
ออนไลน์
22226 ชั่วโมง
โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
0
ตอบกลับ
5462
พลังน้ำใจ
36028
Zenny
4721
ออนไลน์
5496 ชั่วโมง
โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
0
ตอบกลับ
2608
พลังน้ำใจ
36639
Zenny
1629
ออนไลน์
5554 ชั่วโมง
โพสต์ 3 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณครับ

ประธานนักศึกษา

กระทู้
1
ตอบกลับ
10993
พลังน้ำใจ
66070
Zenny
41076
ออนไลน์
5906 ชั่วโมง
โพสต์ 3 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | สมัครเข้าเรียน

รายละเอียดเครดิต

A Touch of Friendship: สังคมจะน่าอยู่ เมื่อมีผู้ให้แบ่งปัน ฝากไวเป็นข้อคิดด้วยนะคะชาวจีโฟกายทุกท่าน
!!!!!โปรดหยุด!!!!! : พฤติกรรมการโพสมั่วๆ / โพสแต่อีโมโดยไม่มีข้อความประกอบการโพส / โพสลากอักษรยาว เช่น ครับบบบบบบบบ, ชอบบบบบบบบ, thxxxxxxxx, และอื่นๆที่ดูแล้วน่ารำคาญสายตา เพราะถ้าท่านไม่หยุดทีมงานจะหยุดท่านเอง
ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่านโปรดโพสตอบอย่างอื่นนอกเหนือจากคำว่า ขอบคุณ, thanks, thank you, หรืออื่นๆที่สื่อความหมายว่าขอบคุณเพียงอย่างเดียวด้วยนะคะ เพื่อสื่อถึงความจริงใจในการโพสตอบกระทู้ และไม่ดูเป็นโพสขยะ
กระทู้ไหนที่ไม่ใช่กระทู้ในลักษณะที่ต้องโพสตอบโดยใช้คำว่าขอบคุณ เช่นกระทู้โพล, กระทู้ถามความเห็น, หรืออื่นๆที่ทีมงานอ่านแล้วเข้าข่ายว่า โพสขอบคุณไร้สาระ ทีมงานขอดำเนินการตัดคะแนน และ/หรือให้ใบเตือนสมาชิกที่โพสขอบคุณทันทีที่เจอนะคะ

รูปแบบข้อความล้วน|โทรศัพท์มือถือ|ติดต่อลงโฆษณา|จีโฟกายดอทคอม

ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บจีโฟกายดอทคอมนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ หากท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศิลธรรม ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link “แจ้งลบโพสนี้” ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือ ลืมพาสเวิดล๊อกอิน/ลืมชื่อที่ใช้สมัคร หรือข้อสงสัยใดๆแจ้งมาที่ G4GuysTeam[at]yahoo.com ขอขอบพระคุณที่ให้ความร่วมมือ

กรณีที่ข้อความ/รูปภาพในกระทู้นี้จัดสร้างโดยผู้ลงข้อมูลเอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้ลงข้อมูลโดยตรง หากจะทำการคัดลอก/เผยแพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ลงข้อมูลก่อนนะคะ หรือลงที่มาไว้ด้วยค่ะ

©ขอสงวนสิทธิ์คอนเซ็ปต์,คำอธิบาย,หัวข้อ/หมวดหมู่เว็บ ห้ามลอกเลียนแบบ คิดเอาเองนะคะอย่าเอาแต่ลอก

GMT+7, 2025-12-2 00:24 , Processed in 0.128035 second(s), 26 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.8

© 2001-2025 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้