ลืมรหัสผ่าน
 สมัครเข้าเรียน
ค้นหา
ดู: 192|ตอบกลับ: 3

เมื่อผมข้ามมิติและต้องแต่งงานกับผู้ชาย 4 คนพร้อมกัน Ch.15

[คัดลอกลิงก์]

มาเฟียนักศึกษา

กระทู้
204
ตอบกลับ
50
พลังน้ำใจ
7901
Zenny
34506
ออนไลน์
2470 ชั่วโมง




สายตาของผมทอดผ่านบานหน้าต่างไปยังสวนด้านนอก ผีเสื้อปีกบางไล้ระเรื่อสีรุ้งกำลังเริงระบำอยู่เหนือหมู่มวลดอกไม้ที่บานสะพรั่ง มันดูเป็นอิสระ... อย่างที่ผมไม่เคยเป็น


แสงแดดอ่อนๆ สาดลงมากระทบพื้นหญ้า ทุกอย่างดูนิ่งและสวยงามดี จนน่าหงุดหงิด ผมนั่งอยู่ตรงนี้แท้ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนตัวเองหล่นหายไปจากภาพตรงหน้า


ช่วงนี้ผมแทบไม่มีเวลาได้หยุดพักเลย เหมือนกำลังวิ่งแข่งอยู่ในสนามที่มองไม่เห็นเส้นชัย และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายกำลังวิ่งอยู่ตรงไหน มันทำให้ทุกย่างก้าวของผมรู้สึกไร้ทิศทาง ทั้งหมดที่พอทำได้คือ... วิ่งต่อไป


ที่จริงผมควรจะชินกับความรู้สึกพวกนี้ได้แล้ว ไม่ใช่เหรอ? เพราะชีวิตก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ง่ายอะไรอยู่แล้ว และผมก็เรียนรู้ที่จะยิ้มรับมัน แม้มันจะฝืนเพียงใด เพราะในโลกนั้น ผมไม่มีอะไรจะเสีย...


แต่อยู่ที่นี่...ทุกอย่างดูสวยงาม หรูหรา เปล่งประกายเสียจนผมเผลอคิดว่านี่อาจเป็นรางวัลของชีวิตที่เคยลำบาก แต่พออยู่ไปเรื่อย ๆ กลับพบว่าผมแค่ถูกย้ายมาอยู่ในภาชนะที่ดูดีขึ้น หรูหราขึ้นก็จริง แต่ข้างในก็อึดอัดไม่แพ้กันเลย ต่างกันแค่ครั้งนี้ มีคนชื่นชมความงามของเปลือกนอก


ทั้งที่ความจริง...มันเปราะบางพอจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ ถ้าเผลอทำหลุดมือ ชีวิตรัชทายาทนี่ก็ตลกดีเหมือนกันนะ


ขณะที่กำลังจมอยู่ในความคิด เสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็ดังขึ้นใกล้ตำหนัก


เมื่อผมหันไปมองก็เห็น ไคเรน แรนทีล เอลเซียน และเฟลด์ เดินเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงกัน ราวกับนัดแนะกันไว้ พวกเขาใส่เสื้อคลุมสีเข้มตัดกับบุคลิกแต่ละคนแบบพอดิบพอดี ดูดีชนิดที่ถ้าเดินเข้าวังพร้อมกันแบบนี้ทุกวัน อาจมีนางกำนัลสาวแก่แม่ม่ายเป็นลมคาตำหนัก


...และแน่นอนว่าไม่มีใครคิดจะบอกผมก่อนว่าพวกเขาจะมารวมตัวกันแบบนี้


ผมมองภาพตรงหน้าอยู่นิ่ง ๆ ราวกับยังไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น กระทั่งแรนทีลเป็นคนแรกที่ก้าวเข้ามาหาผม เขาย่อตัวลงช้า ๆ ก่อนจะจับมือข้างหนึ่งของผมขึ้นไปแนบริมฝีปากอย่างอ่อนโยน ท่าทางประหนึ่งอัศวินที่ให้สัตย์ต่อราชัน


"ฝ่าบาท... พวกข้ามารับท่าน" เขากล่าวเสียงนุ่ม น้ำเสียงนั้นเจือรอยยิ้มที่ดูแปลกกว่าทุกวัน


"มีเรื่องอะไรงั้นหรือ?" ผมถามกลับไปอย่างไม่ไว้ใจนัก


"พวกข้าอยากพาท่านออกไปผ่อนคลายนอกเมือง" แรนทีลตอบ ขณะยังคุกเข่าอยู่เช่นนั้น


"...หืม วันนี้พวกท่านเป็นอะไรกันแน่เนี่ย ทำไมถึงตามใจกันแปลก ๆ"


“รีบไปเปลี่ยนชุดเถอะ ข้าจัดรถม้าไว้แล้ว” ไคเรนเอ่ย พลางกวาดตามองผมจากหัวจรดเท้าอย่างสุภาพเกินเหตุ “ท่านสวมอะไรเบา ๆ สบาย ๆ ก็พอ"


"พวกท่านมีเรื่องอะไรที่ไม่อยากให้ข้ารู้ใช่ไหม..." ผมขมวดคิ้วนิดหน่อย ก่อนตัดสินใจถามตรง ๆ ดื้อ ๆ ไปแบบนั้นเลย


เฟลด์ที่เงียบมาตลอดจึงเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “เป็นคำสั่งของราชินี พระนางมีรับสั่งให้พวกเราพาท่านออกไปเปลี่ยนบรรยากาศ”


ผมกระพริบตาปริบ ๆ อึ้งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาว “อ้อ แบบนี้นี่เอง…”


จะว่าไป ช่วงนี้ผมก็รู้สึกไม่ปกติอยู่เหมือนกัน ทั้งเวียนหัวบ่อย ทั้งง่วงง่ายอย่างกับคนอดนอนมาหลายคืน แถมเบื่ออาหารไปหมด ข้าวในวังก็จืดสนิทราวกับคนครัวหมดใจกับชีวิต กินได้แค่คำสองคำก็รู้สึกเหมือนจะพ่นออกมาเสียให้ได้


…ถ้าไม่ติดว่าเป็นองค์ชายล่ะก็ ผมคงนั่งงับแตงกวาดองแล้วมองท้องฟ้าไปทั้งวันแทนแล้วก็ได้






ภายในตำหนักเงียบสงบมีเพียงเสียงผ้าลื่นไหลจากการพับ จัด ทาบไปบนร่างผมอย่างเบามือ เฟย์ทำงานของเธออย่างคล่องแคล่ว มือนั้นแม่นยำราวกับกำลังจัดแต่งภาพวาดที่เคยคุ้น แม้ชุดที่ผมสวมวันนี้จะเรียบง่าย ไม่มีลวดลายปักทอง ไม่มีสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์หรือชายผ้าที่ยาวเกินจำเป็น แต่กลับดูสง่างามในแบบที่พอเหมาะพอดี สมกับเป็นสายเลือดของตระกูลผู้ดี


"ชุดนี้พอจะผ่านสายตาชาวบ้านได้ไหม" ผมเอ่ยขึ้นเบา ๆ ในขณะที่เขากำลังจัดปกเสื้อให้เข้าทรง


เฟย์เงยหน้ามองผมนิ่ง ๆ แวบหนึ่ง ริมฝีปากแตะรอยยิ้มบาง ก่อนจะตอบด้วยเสียงเรียบแต่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ "ต่อให้พระองค์ใส่ถุงป่าน คนก็ดูออกอยู่ดีว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดา"


“งั้นก็แย่ล่ะสิ” ผมหัวเราะเบา ๆ “ข้าอยากออกไปแบบไม่ให้ใครจำได้นี่นา”


“แค่ไม่ใส่มงกุฎ ก็ถือว่าพยายามเต็มที่แล้วเพคะ” เธอกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงล้อเลียนนิด ๆ จนผมหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่


หลังจากแต่งตัวเสร็จ เฟย์ช่วยวางผ้าคลุมไหล่ไว้บนบ่าผม จัดปลายให้เรียบร้อย จากนั้นเธอก็ก้าวถอยออกมาเล็กน้อย มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยแววตานิ่ง ๆ


“พร้อมแล้วหรือยังเพคะ” เธอถามในที่สุด น้ำเสียงเหมือนจะถามถึงแค่เรื่องเสื้อผ้า แต่สายตากลับเหมือนกำลังถามถึงอะไรลึกไปกว่านั้น


ผมพยักหน้าเบา ๆ


เมื่อก้าวออกจากตำหนัก ไคเรน แรนทีล เอลเซียน และเฟลด์ ต่างยืนรออยู่ที่บันไดหน้าตำหนักกันครบแล้ว ทุกคนดูผ่อนคลายกว่าปกติเล็กน้อย คงเพราะวันนี้ไม่มีภาระหน้าที่ ไม่มีสภา ไม่มีเอกสาร ไม่มีกลุ่มขุนนางจ้องจับผิด ผมรู้สึกถึงบรรยากาศที่หายากนี้จนเผลอยิ้มออกมา


“มาสายนะ” แรนทีลพูดขึ้นทันทีที่เห็นผม สีหน้าเขาไม่จริงจังนัก คล้ายจะตั้งใจแกล้งให้ผมยิ้มออกมาเสียมากกว่า


“ก็เฟย์ไม่ปล่อยให้ข้าออกมาในสภาพที่ไม่พร้อมนี่นา” ผมตอบพลางหันไปทางเฟย์ซึ่งเดินตามหลังมา เฟย์เพียงก้มศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะถอยออกไปอย่างเงียบงันตามหน้าที่


เอลเซียนเป็นคนเปิดประตูรถม้าให้ผมขึ้นก่อน เฟลด์ยื่นมือมาให้เช่นเคย ผมวางมือบนมือเขาอย่างเคยชิน พลางเหลือบตามองหน้าเขาเล็กน้อย “ท่านไม่เหนื่อยหรือ ที่ต้องคอยดูแลข้าทุกครา”


เฟลด์หัวเราะเบา ๆ “เหนื่อยหรือ? ข้าคงลืมความรู้สึกนั้นไปแล้วละ”


“โกหก” ผมพึมพำแล้วก้าวขึ้นรถม้า


ไคเรนขึ้นตามมาติด ๆ นั่งลงข้างผมในขณะที่แรนทีลกับเอลเซียนขึ้นฝั่งตรงข้าม รถม้าเคลื่อนตัวออกอย่างนุ่มนวลไปตามถนนด้านหลังวัง มุ่งหน้าไปยังประตูทิศตะวันออก เสียงล้อไม้บดลงบนพื้นหิน เสียงม้ากระทืบเท้าอย่างเป็นจังหวะ ลมหอบแรกจากนอกวังพัดเข้ามาผ่านหน้าต่าง ทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้หายใจจริง ๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน


“ออกไปให้ไกลหน่อยก็ดีเหมือนกัน” ผมพึมพำ มองแสงแดดยามสายที่ลอดม่านรถม้าเข้ามา


“พวกข้าตั้งใจพาท่านไปที่ที่เงียบสงบจริง ๆ” ไคเรนพูดขึ้น น้ำเสียงของเขาฟังดูอ่อนลงกว่าเดิม


“ที่ไหนล่ะ?” ผมหันไปถาม


เฟลด์เป็นคนเฉลย “เมืองทางตะวันออก...ที่นั่นเป็นบ้านเกิดของข้าเอง”


ผมชะงักเล็กน้อย “บ้านเกิดของเจ้า?”


เฟลด์พยักหน้า ดวงตาของเขามีประกายบางอย่างที่ทำให้ผมรู้ทันทีว่า มันเป็นสถานที่สำคัญสำหรับเขา... และในวินาทีนั้นเอง ผมก็รู้สึกว่า...อยากไปจริง ๆ แล้วล่ะ


แสงแดดยามบ่ายส่องผ่านผ้าม่านของรถม้าเป็นลำ เงาใบไม้เต้นระริกบนฝ่ามือที่วางอยู่บนตัก ผมมองมันอย่างเงียบงัน รู้สึกได้ว่าลมหายใจของตัวเองเริ่มสม่ำเสมอขึ้น…


ไม่ต้องอยู่ท่ามกลางเสียงแปร่งหูของพวกขุนนางที่คอยประจบประแจง หรือคอยจับผิดทุกการกระทำ ไม่ต้องพยายามวางมาดรัชทายาทที่แสนน่าเบื่อหน่าย หรือเลือกทุกถ้อยคำอย่างรอบคอบจนปวดหัว


จุดหมายของเราคือเมืองทางตะวันออก บ้านเกิดของเฟลด์ สถานที่ที่พวกเขาบอกว่าจะพาผมไปพักผ่อน ไม่ได้มีกำแพงสูง ไม่มีระเบียงหินอ่อน มีเพียงไร่กว้าง ๆ ปศุสัตว์เล็ก ๆ


อากาศในชนบททางตะวันออกสดชื่นจนแทบไม่น่าเชื่อว่าอยู่ในแผ่นดินเดียวกับวังหลวง ท้องฟ้ากว้างและใสจนมองเห็นเส้นขอบฟ้าละเอียดราวกับวาดด้วยปลายพู่กันอ่อน เสียงลมที่พัดผ่านต้นไม้โบกไหวเป็นจังหวะเหมือนกำลังต้อนรับผู้มาเยือน


ผมนั่งอยู่บนรถม้าตัวโครงไม้ด้านในบุผ้าหนา ๆ รู้สึกถึงแรงกระเทือนเล็กน้อยตามเส้นทางลูกรังที่ตัดผ่านไร่นา


เฟลด์นั่งข้างผม แขนของเขาวางพาดพนักเบาะด้านหลังพอดี ราวกับเผื่อพื้นที่ไว้ให้ผมเอนตัวได้ถ้าต้องการ ส่วนแรนทีลนั่งตรงข้าม มือข้างหนึ่งถือขนมอบที่เขาแอบหยิบมาจากห้องครัววังหลวงแล้วยื่นมาหาผม


“ลองหน่อยไหม ฝ่าบาท? ยังอุ่นอยู่นะ” เขายิ้มตาหยี


ผมหยิบมาหนึ่งชิ้น กัดเบา ๆ ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ “ฝีมือท่านเหรอ?”


“เปล่าหรอก ข้าแค่ขโมยมา” เขาหัวเราะ "อร่อยไหม?"


ผมยิ้มให้เขา "อืม อร่อยมาก ขอบคุณนะ"


ผมเอนหัวพิงไหล่เฟลด์อย่างสบายใจ ไคเรนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเลิกคิ้วเล็กน้อย มองมาด้วยสายตาที่อ่านยาก แต่ก็แฝงไปด้วยความเป็นห่วง


"ไหวไหม?" ไคเรนเอ่ยถามเสียงเบา


ผมพยักหน้าเล็กน้อย "อือ สบายขึ้นเยอะเลย"


"ถ้าท่านรู้สึกไม่สบายให้รีบบอกทันทีเลยนะ พวกข้าจะได้แวะพัก" เฟลด์กระชับอ้อมแขนที่โอบผมไว้แน่นขึ้นเล็กน้อย


ผมส่ายหน้า "ไม่เป็นไร..."


เอลเซียนไม่ได้พูดอะไร เขาหลับตาพิงเบาะอย่างคนที่ปล่อยใจให้กับเสียงล้อไม้ที่ครืดคราดไปตามถนน


ในห้วงเวลานั้น ผมรู้สึกเหมือนได้กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง ไม่ใช่เซย์เรน รัชทายาทผู้ถูกห้อมล้อมด้วยกฎระเบียบและสายตาน่ากลัวของเหล่าขุนนาง แต่เป็นแค่... คนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ได้ออกมาเดินเล่น สูดอากาศดี ๆ มีแดดอ่อน ๆ ส่องหน้า มีเสียงนกแทนเสียงโวยวายของสภา และไม่มีเอกสารปึกหนามากองอยู่ตรงหน้าให้ปวดหัว


รู้ตัวอีกที ผมก็เผลอยิ้มให้ตัวเองอย่างงง ๆ มันแปลกดีที่อากาศแค่เย็น ๆ กับเสียงนกมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนรอดตายจากสนามรบมาได้ชั่วคราว


"ถ้าท่านอยากจะหลับสักหน่อยก็ทำได้นะ ข้าจะคอยดูเอง" ไคเรนพูดขึ้นเบา ๆ เมื่อเห็นผมเริ่มเอนหัวพิงเฟลด์


ผมพยักหน้าอย่างว่าง่าย คือในสถานการณ์ที่ข้างตัวมีหมอนกล้ามโตอย่างเฟลด์ กับเบาะรองนุ่ม ๆ และบรรยากาศสงบแบบนี้ จะให้ผมขืนใจไม่หลับยังไงไหวเล่า?


และก็แน่นอนครับ... ผมหลับจริง


เมื่อรถม้าหยุดลง เฟลด์เป็นคนแรกที่ก้าวลงไป เขายื่นมือมาให้ผมจับไว้มั่น ๆ อย่างกับเจ้าชายในนิทาน


“ระวังเท้า ข้าจะพาเดินดูรอบ ๆ” เฟลด์ว่าเสียงนุ่ม


ผมยังงัวเงีย ๆ อยู่ แต่พอได้กลิ่นหญ้า กลิ่นดิน และเห็นวัวตัวหนึ่งกำลังเดินตามไคเรนแบบหน้าด้าน ๆ ก็หัวเราะออกมาแบบห้ามไม่อยู่ วัวตัวนั้นคือฮีโร่ของวันนี้ มันทำให้วันของผมสดใสขึ้นมาทันตา


"ตรงนี้ข้าเคยตกจากต้นไม้นั่น" เฟลด์ชี้ไปยังต้นโอ๊คใหญ่ ข้างคอกม้า


“เจ้าปีนต้นไม้เหรอ?” ผมหัวเราะเบา ๆ


“ใช่ แล้วก็ร้องไห้เสียงดังจนคนทั้งหมู่บ้านได้ยิน” เขาตอบหน้าตาย


ผมหัวเราะไม่หยุด แทบจะต้องเอามือปิดปากตัวเองไว้ แรนทีลยิ้มตามเล็ก ๆ ก่อนจะเดินเข้ามาจับมือผมพาเดินไปทางเล้าไก่ เอลเซียนตามหลังมาด้วยสีหน้าสงบเหมือนเดิม มือถือกระติกน้ำเย็นไว้แน่นราวกับกำลังเดินตรวจพื้นที่ในวัง ส่วนไคเรนก็ยังคงรักษาความสง่างามแบบองครักษ์มือหนึ่งไว้ไม่ตก เดินตามอยู่เงียบ ๆ อย่างไม่พูดไม่จา...


จนกระทั่งไก่ตัวหนึ่งโผล่มาจากพุ่มไม้แล้วเดินมากระโดดเกาะชายเสื้อเขาอย่างหน้าตาเฉย


“เจ้าตัวนี้ดูถูกชะตาท่านนะ ไคเรน” ผมหันไปแซวเสียงขำ ตาทั้งสองข้างแทบจะหรี่จนมองอะไรไม่เห็นเพราะยังขำค้างจากเมื่อครู่


เขาก้มลงมองเจ้าตัวต้นเหตุ แล้วเหลือบกลับมาทางผมก่อนจะยักไหล่น้อย ๆ อย่างคนยอมรับชะตากรรม “ก็ไม่ได้แย่... แต่ข้าหวังว่าจะไม่โดนมันจิก”


ผมหลุดหัวเราะอีกรอบทันที โอย ไคเรนกับไก่นี่มันภาพที่หาดูไม่ได้จริง ๆ


ในขณะเดียวกัน เฟลด์ก็เดินออกมาจากด้านในเล้าไก่พร้อมตะกร้าไข่ในมือ เสื้อแขนยาวพับขึ้นถึงศอก เผยท่อนแขนที่เปื้อนฝุ่นเล็กน้อย


“วันนี้ได้ยี่สิบสาม…แดดดี พวกมันเลยขยันหน่อย” เขาพูดเสียงเรียบ เหมือนกำลังสรุปผลวิเคราะห์ยุทธศาสตร์สงครามอยู่


ผมหันไปมองหน้าเขาทันที ความทึ่งกับความขำตีขึ้นมาพร้อมกัน สีหน้าเขาจริงจังขนาดนั้นจนผมนึกว่าเขากำลังจะรายงานความเคลื่อนไหวของศัตรูจากชายแดนตะวันออกเสียอีก


ผมส่ายหัวเบาๆ อย่างนึกเอ็นดู... ผมรู้ว่าเฟลด์เก่งรอบด้าน แต่ใครจะไปคิดว่าหัวหน้าหน่วยลับอย่างเขาจะมายืนเล่าชีวิตแม่ไก่อย่างภาคภูมิใจเต็มร้อยขนาดนี้ แบบนี้โลกจะไม่สงบก็ให้มันรู้ไปสิ!


ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมทุ่งหญ้า พวกเรานั่งล้อมวงกันบนผ้าปูปิกนิกที่เอลเซียนกับแรนทีลเตรียมไว้ ตะกร้าอาหารเต็มไปด้วยของง่าย ๆ อย่างขนมปัง แฮมอบ ซุปผัก และผลไม้ที่เก็บมาสด ๆ จากสวนตรงท้ายเนิน


ไคเรนจัดมีดกับช้อนส้อมเรียงเป็นแถวเป๊ะเหมือนทำหน้าที่ในวังไม่มีผิด แรนทีลรินน้ำใส่แก้วให้ทีละคนอย่างคล่องแคล่ว เฟลด์...ก็หั่นขนมปังอย่างสง่างามราวกับกำลังลับมีดสั้นในสนามรบ ส่วนเอลเซียนน่ะเหรอ? เขานั่งเท้าคาง มองผมแบบไม่ละสายตา ราวกับไม่รู้จะมองอะไรอีกในโลกนี้ถ้าไม่ใช่ผม


“เหมือนฝันเลย...” ผมพึมพำเบา ๆ ขณะหมุนผลแอปเปิ้ลเล็ก ๆ ในมือ กลิ่นหอมสดชื่นจนเผลอยิ้มออกมาเอง


“ชอบก็ดีแล้ว” ไคเรนตอบเสียงเรียบ ทว่าไม่ทันไรก็เอาผ้าคลุมมาคลี่วางบนตักผมอย่างเงียบ ๆ แล้วจัดปกเสื้อให้ด้วยท่าทางจริงจัง “ลมแรง เดี๋ยวจะไม่สบายอีก”


ผมแอบยิ้ม แล้วโน้มตัวไปกระซิบกับแรนทีล “แบบนี้...มันให้ฟีลเหมือนคนรักแอบมานั่งกินข้าวด้วยกันเลยนะ”


เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วหยิบพวงองุ่นมาวางบนจานผม “ท่านก็เป็นคนรักที่ถูกตามใจที่สุดในแคว้นแล้วล่ะ” แล้วก็ไม่วายกระซิบต่ออีกประโยค “แถมยังน่ารักจนน่าอุ้มกลับไปไว้บ้านคนเดียวเลย”


ผมหรี่ตาใส่เขาอย่างขำ ๆ “พูดแบบนี้ต้องโดนหักเบี้ยขนม” แล้วหันไปหาเอลเซียนแทน “เจ้าล่ะ ไม่กินหน่อยเหรอ?”


“ข้ารอให้ฝ่าบาทกินก่อน” เขาตอบเสียงเรียบนิ่ง แต่ยื่นถ้วยซุปมาให้ทันที “ระวังร้อน”


ผมรับมาแล้วเป่าช้า ๆ ก่อนจะตักเข้าปาก อืม…ร้อนจริงอย่างที่ว่า แต่ก็อร่อยแบบง่าย ๆ ที่ไม่ได้รู้สึกมานาน มันไม่ใช่อาหารชั้นสูงจากครัววัง แต่มันอุ่นและเต็มไปด้วยรสของการลงแรง ผมเคี้ยวไป มองพวกเขาไป แล้วอยู่ดี ๆ ก็เงียบไปสักพัก รู้ตัวอีกทีคือตอนที่มีใครสักคนส่งผ้าเช็ดปากมาให้


“อย่าคิดมาก” เฟลด์พูดพลางโน้มตัวเข้ามาใกล้ “คิดว่าเป็นการมาเยี่ยมบ้านสวามีก็พอ”


ผมหัวเราะน้อย ๆ ถอนหายใจเบา ๆ เหมือนลมหายใจนั้นพัดเอาความเหนื่อยล้าออกไปครึ่งหนึ่ง


“จริง ๆ ข้าแค่หวังให้พวกท่านสี่คนมีความสุขบ้าง ไม่ใช่มัวแต่วุ่นวายกับข้า” ผมบ่นเหมือนกำลังตัดพ้อ แต่น้ำเสียงก็ยังแฝงความขี้เล่นไว้


“แล้วถ้าไม่มีท่าน พวกข้าจะมีความสุขได้อย่างไร?” เอลเซียนถามกลับเสียงเรียบ โดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง ผมหันไปหาเขาแล้วหัวเราะเบา ๆ แรนทีลกับไคเรนหันมาสบตากันนิดหนึ่ง ส่วนเฟลด์ก็แค่ยิ้มมุมปาก...แบบที่ผมเห็นเมื่อเขาพอใจมาก


จะว่าไป...บรรยากาศมันเหมือนฉากในนิทานจริง ๆ พวกเราไม่ต้องพูดถึงศึกในวัง ไม่ต้องพูดถึงสภา หรือพวกขุนนางที่จ้องจับผิด แค่มีต้นไม้ มีทุ่งหญ้า มีอาหารอุ่น ๆ กับคนที่ผมรักนั่งอยู่รอบตัว


ผมนั่งอยู่ตรงกลาง หัวเราะอยู่ท่ามกลางคนที่ผมรัก ไม่ใช่ในฐานะ "รัชทายาทเซย์เรน" แต่เป็นแค่ตัวผม คนธรรมดาที่ได้หัวเราะ ได้ล้อเล่น ได้ถูกรัก


และรู้ตัวอีกที…ผมก็ไม่อยากกลับเลยจริง ๆ


พอพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ แสงสีทองส้มก็สาดไปทั่วทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา เงาต้นไม้ใหญ่ที่เราเคยนั่งล้อมวงกันตอนกลางวันเริ่มทอดยาวลงบนพื้นหญ้า เสียงจักจั่นเริ่มแว่วมาเบาๆ กลืนไปกับเสียงลมที่พัดเอื่อยๆ ให้บรรยากาศมันได้ฟีลสุดๆ ไปเลย


แรนทีลที่นั่งข้าง ๆ ยื่นมือมาเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าให้อย่างเบามือ ก่อนจะโน้มหน้าเข้ามากระซิบใกล้เสียจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขา


“ท่านช่างงดงามเสียจริง…”


ผมหลุดหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “ท่านก็น่ามองไม่เบาเหมือนกันนะ” พลางยื่นนิ้วไปจิ้มแก้มเขาเป็นการเอาคืน


เอลเซียนลุกขึ้นก่อนใคร เก็บผ้าปูและตะกร้าอาหารด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่พอหันมาทางผม เขาก็ยังไม่ลืมส่งยิ้มมุมปากเล็ก ๆ แบบที่เจ้าตัวคงไม่รู้ตัวว่ามันละลายหัวใจคนมองแค่ไหน


เฟลด์เดินเข้ามาใกล้ แล้วยื่นมือมาให้ “ได้เวลากลับแล้ว ท่านเริ่มง่วงแล้วใช่หรือไม่?”


“ข้าแค่กินเยอะไปนิด…เลยขี้เกียจขยับต่างหาก” ผมว่าพลางยกมือป้องปากหาว แล้วแอบโน้มตัวพิงใส่ฝ่ามือของเขาเต็มแรงอย่างแนบเนียน


เฟลด์เลิกคิ้วน้อย ๆ อย่างรู้ทัน แต่ก็ไม่ว่าอะไร เขาเพียงพยุงผมขึ้นด้วยมือที่แน่นพอให้รู้สึกมั่นคง...แต่อ่อนโยนพอให้รู้ว่าเขาไม่เคยคิดจะปล่อย


ไคเรนเดินเข้ามาเงียบ ๆ ไม่พูดไม่จาเช่นเคย แต่คว้าเสื้อคลุมมาคลุมไหล่ผมอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะเหลือบตามองผมนิดหนึ่ง แล้วหันไปทำอย่างอื่นต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


เราพากันเดินกลับไปยังบ้านไม้สไตล์ชนบทที่เฟลด์เคยบอกว่าเคยเป็นเรือนพักร้อนของครอบครัวเขา ทุกอย่างยังคงเรียบง่าย พอแสงทองภายนอกค่อย ๆ จางหาย เตาผิงก็ถูกจุดขึ้น เปลวไฟอุ่นไหวสะท้อนผนังไม้ ละมุนตาเหมือนฝันดีที่เริ่มต้นด้วยแสงอ่อน ๆ


ผมทิ้งตัวลงบนเบาะหน้าผิง ยกถ้วยชาคาโมมายล์ที่แรนทีลชงให้ขึ้นจิบ รสชาติหวานอ่อน ๆ เหมือนจะมีอะไรบางอย่างมากกว่าน้ำผึ้ง


“ท่านใส่เวทมนตร์อะไรลงไปหรือเปล่า?” ผมถาม


แรนทีลยิ้มหวาน “ไม่มากหรอก…แค่ความรักของข้าประมาณหยิบมือนึง”


ผมสำลักชาแทบไม่ทัน


ไคเรนกับเฟลด์ช่วยกันจัดที่นอนกลางห้อง พวกเขากางฟูกหนาและปูผ้าห่มนุ่มทับไว้อย่างตั้งใจ เอลเซียนยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ริมหน้าต่าง ส่วนแรนทีลก็หอบหมอนมากองไว้ตรงปลายฟูก ก่อนจะหันมายิ้มให้ผมอีกครั้ง


ผมมองพวกเขาสลับกัน แล้วเลิกคิ้ว “เราจะนอนรวมกันหมดเลยเหรอ?”


“แล้วท่านไม่อยากหรือ?” แรนทีลเลิกคิ้วกลับ ยิ้มทะเล้นอย่างรู้คำตอบ


“ข้าแค่สงสัยว่าถ้าข้านอนตรงกลาง พวกท่านจะไม่แย่งที่กันหรือไง”


“หากท่านอยู่กลาง ข้าจะอยู่ซ้าย” ไคเรนตอบเสียงเรียบ แต่ไม่มีทีท่าจะยอมใคร


“ข้าขอขวา” เฟลด์เอ่ยสั้น ๆ แต่ชัดเจนเหมือนสั่งวางหมากรบ


“ข้าอยู่ตรงปลายเท้า เฝ้าฝันให้ท่าน” เอลเซียนเงยหน้าขึ้นพูด โดยไม่ละสายตาจากหน้าหนังสือ


“งั้นข้าอยู่บน!” แรนทีลประกาศเสียงดัง แล้วก็วางหมอนแหมะไว้เหนือหัวผมจริง ๆ


“พวกท่านนี่นะ!” ผมหัวเราะแล้วรีบซุกหน้าลงกับหมอนหนีความวุ่นวายแบบกลั้นยิ้มแทบไม่อยู่


เสียงหัวเราะของพวกเขาดังตามมา ราวกับลืมไปชั่วครู่ว่าเราทุกคนแบกรับอะไรไว้ข้างหลังบ้าง มันเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ทุกอย่างดูเรียบง่าย แค่ห้องไม้หนึ่งหลัง เตาผิงอุ่น ๆ หมอนนุ่ม ๆ และเสียงหายใจของคนที่เรารักอยู่ข้าง ๆ


พอทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็ถูกดึงให้ไปนั่งกลางฟูก เอลเซียนวางหนังสือแล้วเดินมาหย่อนตัวลงข้าง ๆ มือหนึ่งดึงผมเข้าไปกอดหลวม ๆ พร้อมพึมพำเสียงเบาว่า “ถ้าง่วงก็นอนได้เลย”


ผมขยับตัวซุกเข้าหาเฟลด์ที่นอนอยู่อีกด้าน ฝ่ามือของเขาวางลงบนแผ่นหลังผมอย่างแผ่วเบา ไคเรนก็เอื้อมมือมาวางบนศีรษะราวกับกล่อมให้สงบ ส่วนแรนทีลก็กำลังพึมพำเบา ๆ ว่า “หากท่านฝันร้าย ข้าจะร่ายคาถาไล่มันออกไปให้”


ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ ทั้งที่ตาหลับอยู่… ไม่ได้หัวเราะแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ?


แล้วในค่ำคืนนั้นเอง ก่อนที่เสียงลมหายใจจะกลืนเราทั้งหมดเข้าสู่ห้วงนิทรา


ผมก็รู้…ว่า 'บ้าน' ของผม อาจไม่ใช่วัง หรือบัลลังก์ใด ๆ


แต่เป็นที่ที่พวกเขาเหล่านี้ กำลังกอดผมไว้แน่น…และหัวเราะไปพร้อมกัน














Talk with me.


มาเสิร์ฟความหวานก่อนจะขมปี๋


หลังจากนี้จะดราม่าแบบจัดเต็มแล้วน้าา😅






🌸 一期一会 (いちごいちえ)

นายกสโมสร

กระทู้
0
ตอบกลับ
52834
พลังน้ำใจ
270084
Zenny
106144
ออนไลน์
21168 ชั่วโมง
โพสต์ 2025-8-13 23:03:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด

นายกสโมสร

กระทู้
28
ตอบกลับ
33732
พลังน้ำใจ
187894
Zenny
189973
ออนไลน์
31036 ชั่วโมง
โพสต์ 2025-8-14 06:55:42 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณนะครับ

มหาลัยซีเนียร์

กระทู้
0
ตอบกลับ
302
พลังน้ำใจ
2973
Zenny
2621
ออนไลน์
335 ชั่วโมง
โพสต์ 2025-8-14 16:53:40 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ตอนนี้หวานละมุนมาก แอบอิจฉาเลยครับ
ขอบคุณนะครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | สมัครเข้าเรียน

รายละเอียดเครดิต

A Touch of Friendship: สังคมจะน่าอยู่ เมื่อมีผู้ให้แบ่งปัน ฝากไวเป็นข้อคิดด้วยนะคะชาวจีโฟกายทุกท่าน
!!!!!โปรดหยุด!!!!! : พฤติกรรมการโพสมั่วๆ / โพสแต่อีโมโดยไม่มีข้อความประกอบการโพส / โพสลากอักษรยาว เช่น ครับบบบบบบบบ, ชอบบบบบบบบ, thxxxxxxxx, และอื่นๆที่ดูแล้วน่ารำคาญสายตา เพราะถ้าท่านไม่หยุดทีมงานจะหยุดท่านเอง
ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่านโปรดโพสตอบอย่างอื่นนอกเหนือจากคำว่า ขอบคุณ, thanks, thank you, หรืออื่นๆที่สื่อความหมายว่าขอบคุณเพียงอย่างเดียวด้วยนะคะ เพื่อสื่อถึงความจริงใจในการโพสตอบกระทู้ และไม่ดูเป็นโพสขยะ
กระทู้ไหนที่ไม่ใช่กระทู้ในลักษณะที่ต้องโพสตอบโดยใช้คำว่าขอบคุณ เช่นกระทู้โพล, กระทู้ถามความเห็น, หรืออื่นๆที่ทีมงานอ่านแล้วเข้าข่ายว่า โพสขอบคุณไร้สาระ ทีมงานขอดำเนินการตัดคะแนน และ/หรือให้ใบเตือนสมาชิกที่โพสขอบคุณทันทีที่เจอนะคะ

รูปแบบข้อความล้วน|โทรศัพท์มือถือ|ติดต่อลงโฆษณา|จีโฟกายดอทคอม

ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บจีโฟกายดอทคอมนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ หากท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศิลธรรม ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link “แจ้งลบโพสนี้” ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือ ลืมพาสเวิดล๊อกอิน/ลืมชื่อที่ใช้สมัคร หรือข้อสงสัยใดๆแจ้งมาที่ G4GuysTeam[at]yahoo.com ขอขอบพระคุณที่ให้ความร่วมมือ

กรณีที่ข้อความ/รูปภาพในกระทู้นี้จัดสร้างโดยผู้ลงข้อมูลเอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้ลงข้อมูลโดยตรง หากจะทำการคัดลอก/เผยแพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ลงข้อมูลก่อนนะคะ หรือลงที่มาไว้ด้วยค่ะ

©ขอสงวนสิทธิ์คอนเซ็ปต์,คำอธิบาย,หัวข้อ/หมวดหมู่เว็บ ห้ามลอกเลียนแบบ คิดเอาเองนะคะอย่าเอาแต่ลอก

GMT+7, 2025-9-19 03:29 , Processed in 0.083775 second(s), 26 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.8

© 2001-2025 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้