Chapter 33
คืนที่ไม่มีดาวดวงไหนรออยู่ปลายฟ้า
08:47 PM | สนามบินนานาชาติลอนดอน ฮีทโธรว์
เจบีสวมฮู้ดคลุมหัวต่ำ ดึงแมสก์ขึ้นสูงบดบังครึ่งหน้า ข้อมือยังมีรอยแดงเรื่อใต้แขนเสื้อกันลมที่ยับยู่จากการพับรีบเร่ง เขาเดินกึ่งเร็ว กึ่งระวัง ผ่านผู้คนในโถงสนามบินที่เริ่มบางตาลงในช่วงหัวค่ำ
เขาเลี่ยงตำแหน่งกล้องวงจรปิดที่จำได้จากความเคยชิน มุดผ่านโซนด้านข้างที่มีเพียงเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดกับนักเดินทางตกเครื่องไม่กี่คน สายตากวาดเช็กการเคลื่อนไหวรอบตัว ขณะหัวใจเต้นช้าและหนักอย่างคนที่ไม่แน่ใจว่ากำลังถูกจับตามองอยู่หรือไม่
เมื่อถึงจุดตรวจ เขายื่นหนังสือเดินทางให้เจ้าหน้าที่โดยไม่เอ่ยคำ รอให้ตราประทับตอกลงบนกระดาษด้วยหัวใจที่สั่นไหว
แม้ในมือจะกำตั๋วขาเดียวกลับโซลไว้แน่นจนสั่น
เขาเพิ่งออกจากโรงพยาบาลได้ไม่ถึงชั่วโมงดี แต่เขารู้ดีว่าเวลาเหลือไม่มากแล้ว แม้ว่าความเจ็บปวดจากร่างกายยังคงแล่นเป็นระลอก สิ่งเดียวที่เขาคิดถึงตลอดทางมีเพียงชื่อของฮันแจ
เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะปลอดภัยดีหรือไม่ ไม่รู้ว่าฝั่งของคิมบอมจะจับได้แล้วหรือยังว่าเขาตั้งใจทำพลาด ทุกวินาทีที่ปล่อยให้เนิ่นนาน เจบีก็ยิ่งเสี่ยงให้คนที่เขารักต้องเจ็บแทน
เขาซื้อเวลาได้เท่านี้…และดูเหมือนว่ามันจะหมดลงแล้วจริง ๆ
…
09:19 PM | โรงพยาบาลเอกชนของกาย
เสียงฝีเท้าหลายคู่ก้าวช้า ๆ มาหยุดหน้าห้องพักผู้ป่วยพิเศษ ประตูแง้มไว้นิดหน่อย แสงจากภายในห้องลอดออกมาเป็นเส้นยาวบนพื้นทางเดินเงียบสงัด
ราฟาเอโร่เป็นคนผลักประตูเข้าไปก่อน ตามด้วยเรน เสี่ยวไป๋ และแคสเปอร์
สิ่งที่พวกเขาเห็น…คือความว่างเปล่า
เตียงพยาบาลสะอาดเรียบ ไม่มีร่างของเจบี ไม่มีแม้แต่รอยยับบนผ้าห่ม เสาน้ำเกลือถูกถอดออกแล้วเรียบร้อย แผ่นวัดคลื่นหัวใจหยุดทำงานนานแล้ว เหลือเพียงจอมอนิเตอร์ที่ว่างเปล่าเหมือนห้องนี้
กายยืนอยู่ริมหน้าต่าง แขนกอดอก สายตาที่มองย้อนกลับมาเต็มไปด้วยความนิ่งเฉียบ และไม่ปิดบังความไม่พอใจแม้แต่น้อย
“หายไปไหน?” เสียงของเรนถามขึ้นทันที
“นั่นสิ” กายเอ่ยเสียงเรียบ “ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่า ‘พวกนาย’ คิดจะทำอะไรต่อจากนี้”
ไม่มีคำถามว่าพวกเขามาทำไม มีเพียงบรรยากาศอึดอัด และแววตาที่ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น
เสี่ยวไป๋กวาดตามองไปรอบห้อง เงียบจนน่าอึดอัด แคสเปอร์ยืนนิ่ง สีหน้าไม่เปลี่ยนแต่กรามขบแน่น ส่วนราฟาเอโร่...ยังคงยืนนิ่งเฉย แต่แววตาของเขาไม่ได้เย็นชาเหมือนทุกครั้ง
และเสียงของกายที่เอ่ยขึ้นต่อมา ไม่ได้ดังนัก...แต่มันหนักแน่นพอจะทิ้งรอยแผลไว้ในใจ
“ถ้าพวกนายยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเองทำพลาด...ก็อย่าเพิ่งคิดจะตามเขาไปเลย”
บรรยากาศในห้องหนาแน่นด้วยความขุ่นเคืองและความไม่เข้าใจที่ไม่มีใครยอมเอ่ยมันออกมาตรง ๆ ความเงียบถูกบีบด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว ทั้งห้าคนยืนประจันหน้ากันกลางห้อง ความตึงเครียดไหลวนไม่หยุด เสียงถกเถียงแทรกตัวออกมาแม้จะไม่มีใครตั้งใจให้มันดัง
“มันก็ชัดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่าเขาเป็นสายจากฝั่งเกาหลี” เรนพูดขึ้น น้ำเสียงขุ่นจัด “นายเองก็เห็นหลักฐานทั้งหมด มันไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำได้ถ้าไม่เจตนา”
“แล้วไง?” กายสวนกลับแทบจะทันที น้ำเสียงเยือกเย็นพอจะทำให้ห้องเงียบลงในพริบตา “ใช่ เขาอาจเข้ามาด้วยเหตุผลบางอย่าง...แต่แค่นั้นพวกนายก็มีสิทธิ์จะทำกับเขายังไงก็ได้งั้นเหรอ?”
ราฟาเอโร่พูดขึ้น ดวงตานิ่งเฉียบ ถ้อยคำของเขาชัดเจนและคมกริบ “เขาทำให้ความมั่นคงของกลุ่มสั่นคลอน ฉันไม่ได้ใจร้าย แต่เรื่องนี้มันไม่จบด้วยคำว่าเห็นใจหรือเข้าใจ”
“นั่นแหละปัญหา” กายตอกกลับทันควัน “พวกนายตัดสินเขาทั้งหมดจากสิ่งที่เห็น โดยไม่แม้แต่จะฟังว่าเขาต้องแลกอะไรมาบ้างเพื่อเอาตัวรอด”
ราฟาเอโร่นิ่งไปวูบหนึ่ง
แต่เรนยังคงดึงอารมณ์ไม่กลับ “เราไม่มีเวลาจะมานั่งฟังคำอธิบายของคนที่หักหลังหรอก โดยเฉพาะถ้าเขาทำให้ทุกคนต้องเสี่ยง”
กายกลั้นหายใจ แล้วเอ่ยอย่างหนักแน่น “ไม่ใช่แค่ความเสี่ยงของพวกนาย แต่เขาเสี่ยงทั้งชีวิตเพื่อคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ถามหน่อย พวกนายเห็นเขาในสภาพนั้น แล้วคิดบ้างไหมว่าเขารอดมาได้ยังไง?”
เงียบ
ไม่มีใครพูดอะไรอีก
แคสเปอร์หลุบตาลงเล็กน้อย มือสองข้างกำแน่นอยู่ข้างลำตัวโดยไม่รู้ตัว ส่วนเสี่ยวไป๋ยังคงยืนพิงขอบหน้าต่าง ดวงตานิ่งสนิท แต่ไหล่ของเขาแข็งตึงราวกับกำลังกลั้นอะไรบางอย่างไว้
“ฉันรักษาเขามาหลายครั้ง” กายพูดเสียงต่ำลง แต่ไม่อ่อนลง “สภาพร่างกายของเขาเหมือนคนที่ไม่เคยได้หยุดพัก ไม่เคยกินอิ่ม หรือหลับสนิทจริง ๆ รอยแผลเต็มตัว ทั้งเก่าและใหม่ บางรอยไม่ใช่จากการต่อสู้…แต่คือร่องรอยของชีวิตที่เอาตัวรอดอยู่กับความกลัวและแรงกดดันทุกวัน”
กายสูดลมหายใจ แล้วพูดช้า ๆ แต่ชัดเจนทุกถ้อยคำ
“ฉันเข้าใจว่าพวกนายมีธุรกิจ มีชื่อเสียง มีอำนาจให้ปกป้อง แต่บางครั้ง…ความเป็นมนุษย์มันควรมาก่อนเกมที่พวกนายเล่นอยู่ ถ้ายังมัวแต่ไล่ล่าความถูกต้องจากกระดาษกับคำสั่ง โดยไม่มองว่าใครกำลังพังอยู่ตรงหน้า งั้นก็ไม่ต้องพูดกันอีกแล้ว”
คำพูดของกายลอยค้างอยู่กลางห้อง ไม่มีใครกล้าเอ่ยแทรก ไม่มีเสียงโต้แย้ง ไม่มีแม้แต่คำเห็นด้วย...แต่ความเงียบที่ตามมานั้น ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เสี่ยวไป๋ยังคงยืนพิงขอบหน้าต่างเหมือนเดิม แต่ดวงตาคู่นั้นกลับหรี่ลงเล็กน้อย สะท้อนแสงไฟจาง ๆ จากเพดาน แวววับบางอย่างในนั้นไม่ใช่ความโกรธ ไม่ใช่ความเฉยเมย แต่คือเศษเสี้ยวของความปวดร้าวที่ไม่เคยมีใครได้เห็น
แคสเปอร์ขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะหลุบตามองต่ำ เขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่เงาของความลังเลเริ่มแทรกผ่านสีหน้าแน่นิ่ง
แม้แต่เรน ที่เคยพูดแรงและแน่ชัดที่สุดในห้อง ยังไม่เอ่ยคำใดต่อ เขาขบกรามแน่น ริมฝีปากเม้มสนิท สายตาเลื่อนมองไปที่เก้าอี้ว่างข้างเตียงที่เจบีเคยนั่ง ไม่แน่ชัดว่าเขากำลังคิดถึงอะไร แต่เงาสีหม่นในดวงตาคู่นั้น…ไม่ใช่แค่ความโกรธอีกต่อไปแล้ว
ส่วนราฟาเอโร่ยืนนิ่ง ดวงตานิ่งสนิทจ้องมองไปข้างหน้าเหมือนไม่สะทกสะท้าน แต่เพียงแค่เสี้ยววินาที…นิ้วข้างขวาของเขาขยับเล็กน้อย เงียบ และช้า เหมือนร่างกายรับรู้ก่อนจิตใจว่าอะไรบางอย่างในตัวเขากำลังเปลี่ยนไปทีละน้อย
ไม่มีคำพูดใดต่อจากนั้น
แต่ความเงียบคราวนี้…ไม่เหมือนตอนก่อนหน้าเลยสักนิด
“เขาอยู่ที่ไหน” ราฟาเอโร่ถามขึ้นในที่สุด เสียงของเขานิ่ง เยือก และต่ำกว่าปกติ
กายหันมามองเขา สีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่เห็นความจำเป็นต้องตอบ
“เรื่องอะไรฉันต้องบอกนาย” เขาตอบเรียบ ๆ
“กาย!!”
เสียงของราฟาเอโร่ตวาดลั่น แข็งกระแทก รุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ความอดทนในน้ำเสียงที่เคยนิ่งขาดสะบั้นลงทันทีที่เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังปิดบัง
แต่กายกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ยักไหล่เล็กน้อย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่ฟังดูชัดเจนทุกถ้อยคำ
“ถ้านายฉลาดพอ...นายก็น่าจะรู้ว่าเด็กคนนั้นคงไปถึงสนามบินแล้ว และไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะหันกลับมาอีก”
เงียบ
เหมือนทุกอุณหภูมิในห้องหยุดนิ่งไปชั่วอึดใจ
“สนามบิน…”
ราฟาเอโร่พึมพำ แต่แววตาเปลี่ยนทันที ทิ้งคำไว้แค่นั้นก่อนจะหันหลังออกไปโดยไม่ลังเล
ไม่กี่นาทีต่อมา รถยนต์คันสีดำก็แล่นออกจากโรงพยาบาลในความมืดของค่ำคืนด้วยความเร็วที่เกินปกติ เสี่ยวไป๋เป็นคนขับโดยไม่พูดสักคำ ราฟาเอโร่นั่งนิ่งข้างคนขับ สีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใด เบาะหลังมีแคสเปอร์กับเรนนั่งเงียบอยู่ เสียงเครื่องยนต์ดังก้องเป็นจังหวะเดียวที่ยังเต้นอยู่กลางความกังวล
กายยืนมองแผ่นหลังของพวกเขาที่รีบเร่งจากประตูโรงพยาบาล
ริมฝีปากเขายกยิ้มบาง ๆ ที่ไม่รู้ว่าเจ็บหรือสมเพชกันแน่ ก่อนจะพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
“ตอนทำไม่คิด…ตอนจะเสีย ถึงได้เริ่มกลัว”
เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นนานหลายวินาที ราวกับหวังว่าความเร่งรีบของพวกเขาจะยังพอทันอะไรบางอย่างที่ไม่ควรจะสูญเสียไปตั้งแต่แรก
…
10:12 PM | สนามบินนานาชาติลอนดอน ฮีทโธรว์
เสียงประกาศตามสายระงมทับซ้อน เสียงล้อกระเป๋าลาก ส้นรองเท้าที่กระทบพื้น และบอดี้การ์ดในชุดธรรมดาหลายคนกำลังเคลื่อนไหวไปตามจุดต่าง ๆ ของอาคารผู้โดยสาร ทุกคนต่างได้รับคำสั่งเดียวกัน
“หาตัวเจบีให้เจอ…เดี๋ยวนี้”
ราฟาเอโร่เดินฉับ ๆ ผ่านโถงขาออก ดวงตาคมกริบกวาดมองผู้โดยสารทุกคนอย่างไม่ละสายตา เรนตามมาติด ๆ พร้อมโทรศัพท์แนบหู ขณะที่แคสเปอร์กับเสี่ยวไป๋กระจายกำลังไปอีกด้าน คุยกับเจ้าหน้าที่สนามบินพร้อมยื่นเอกสารยืนยันระดับพิเศษในการขอเข้าถึงพื้นที่ต้องห้าม
พวกเขากำลังแข่งกับเวลา
และเวลาก็กำลังวิ่งหนี
เสียงประกาศเที่ยวบินดังผ่านลำโพงซ้ำ ๆ คนเดินผ่านไปมาในจังหวะเร่งรีบขณะที่กลุ่มชายสี่คนวิ่งฝ่าเข้ามาในโถง
เรนหยุดหอบหายใจตรงหน้าจอแสดงเที่ยวบิน ดวงตากวาดไล่หาเลขเที่ยวบินของเกาหลีใต้
แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นแค่คำว่า “Gate Closed”
“ไม่…” เสียงเรนหลุดออกมาเบา ๆ
“ไม่ทันแล้ว…” เสี่ยวไป๋ตามเข้ามา ชะงักเมื่อเห็นข้อความนั้น มือกำโทรศัพท์แน่น ปลายนิ้วสั่น
“นายแน่ใจว่าเขาขึ้นเครื่องไฟลต์นี้?” แคสเปอร์ถามเสียงต่ำจากด้านหลัง แต่ไม่มีใครตอบทันที เพราะเสียงหนึ่งแทรกผ่านหูฟังของราฟาเอโร่ก่อน
“เจอแล้วครับ กล้องฝั่ง A มีภาพ เขาผ่านประตูไปเมื่อสิบนาทีที่แล้ว...เครื่องบินกำลังเตรียมเทกออฟครับ”
ราวกับเวลาหยุดลงไปชั่วขณะ
ราฟาเอโร่เบือนตัวทันที หันไปทางหน้าต่างบานใหญ่ของเทอร์มินอล ก่อนจะก้าวฉับ ๆ ตรงไปที่กระจกบานยาว เสี่ยวไป๋กับเรนตามมาติด ๆ โดยไม่ต้องพูดอะไร
ด้านนอก
เครื่องบินลำหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวอย่างเงียบงันไปตามรันเวย์ แสงจากขอบทางสาดเข้าหาตัวเครื่องเป็นจังหวะ ตัวถังสีเงินสะท้อนแสงส้มจากท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างแผ่วเบา ราวกับกำลังค่อย ๆ กลืนเข้าไปในความว่างเปล่า
ราฟาเอโร่มองมันนิ่ง ดวงตาเรียบเฉียบเกินกว่าจะบอกได้ว่าเขากำลังคิดอะไร แต่ปลายนิ้วกลับกำแน่นข้างลำตัว เรนยืนข้างเขาเงียบ ๆ ไม่พูดสักคำ แคสเปอร์ยืนห่างออกไปนิด สายตาเหมือนถูกดูดติดไว้กับภาพของเครื่องบินที่ค่อย ๆ เร่งความเร็ว เสี่ยวไป๋ยืนหลังสุด ไหล่เกร็ง ริมฝีปากเม้มแน่นราวกับคำบางคำจุกอยู่ในอก
เพราะทุกคนรู้ดี...พวกเขามาช้าไปเพียงก้าวเดียว
แล้วเครื่องบินลำนั้น…ก็ค่อย ๆ ทะยานขึ้นจากพื้น แสงสีเงินของมันค่อย ๆ เล็กลง ก่อนจะจมหายไปในฟ้าสีหม่นเหนือปลายขอบรันเวย์
เสี่ยวไป๋ยืนนิ่ง มองตามเงาเครื่องบินจนลับสายตา ก่อนริมฝีปากที่เม้มแน่นอยู่นานจะขยับ
เสียงแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน…แต่เฉือนลงกลางอกของทุกคนในวินาทีนั้น
“เด็กนั่น…เลือกจะไปทั้งที่ยังเจ็บ”
…
7:12 PM | สนามบินอินชอน ประเทศเกาหลีใต้
ประตูเครื่องบินเปิดออกพร้อมกระแสลมหนาวที่พัดผ่านเข้ามา เจบีขยับตัวลุกขึ้นช้า ๆ จากที่นั่งริมหน้าต่าง ขาทั้งสองข้างเหมือนถูกถ่วงด้วยก้อนหินหนัก ความเจ็บปวดสะสมในกล้ามเนื้อยังคงไม่จางหาย ความรู้สึกชาเย็นในฝ่ามือและฝ่าเท้าทำให้ทุกย่างก้าวเหมือนเดินอยู่บนปลายมีด
เขาค่อย ๆ เดินผ่านโถงผู้โดยสารเข้าสู่เขตตรวจคนเข้าเมือง ท่ามกลางแสงไฟขาวซีดและเสียงประกาศที่ฟังดูห่างไกลเหมือนมาจากโลกอีกใบ ร่างกายของเขายังร้อนจัดเล็กน้อย เสื้อคลุมบางที่ใส่อยู่ไม่ได้ช่วยอะไรนักเมื่ออากาศนอกสนามบินเย็นเฉียบ
หลังจากออกจากสนามบิน เจบีไม่ขึ้นแท็กซี่ ไม่มีใครมารอ ไม่มีแม้แต่ข้อความตอบกลับจากฮันแจ เขาขึ้นรถเมล์สายกลางคืนสายหนึ่งที่ผ่านย่านชานเมือง รถโล่งเงียบ มีเพียงเสียงเครื่องยนต์และเสียงหายใจของเขาเองที่ดังอยู่ข้างใน
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเก่าตั้งอยู่ที่ริมเขตเมือง อาคารไม้สองชั้นที่ดูเหมือนไม่เคยได้รับการปรับปรุงเลยตั้งแต่เขาจากไปครั้งนั้น ป้ายชื่อที่ซีดจางยังแขวนอยู่อย่างเงียบงัน ใต้แสงไฟถนนสลัวที่ส่องลงบนพื้นปูนแตก ๆ
เจบีเดินเข้าไปเงียบ ๆ โดยไม่ได้เคาะประตู เขารู้ว่าประตูบานหลังยังคงเสียเหมือนเดิม บิดเบา ๆ ก็เปิดออกได้ เสียงฝีเท้าเบา ๆ เหยียบลงบนพื้นไม้ดังเอี๊ยดอ๊าดในความเงียบที่ปกคลุมทุกมุม
เขาเดินผ่านห้องโถงเล็กที่เคยเป็นที่รับแขก มุ่งหน้าไปยังห้องเก่าของตัวเองที่อยู่สุดทางเดินชั้นล่าง
ภายในห้องนั้นไม่มีเฟอร์นิเจอร์มากนัก มีเพียงเตียงไม้เรียบ ๆ กับผ้าห่มบางที่ยังคงพับวางไว้เหมือนเดิม ราวกับไม่มีใครกล้าแตะต้องพื้นที่ที่เคยเป็นของเขา
เจบีนั่งลงบนเตียงอย่างช้า ๆ ฝ่ามือยันพื้นไว้ข้างตัว ร่างกายสั่นเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะหนาว แต่เพราะทุกอย่างที่ผ่านมายังคงฝังลึกในเส้นประสาท
เขาเอนตัวลง พับแขนข้างหนึ่งรองศีรษะไว้ ริมฝีปากเม้มแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นที่เริ่มตีขึ้นมาในอก
…เหนื่อย
ไม่ใช่แค่เหนื่อยกาย แต่เหนื่อยจนลึกถึงกระดูก เหมือนทุกสิ่งในชีวิตค่อย ๆ ถูกคว้านออก เหลือไว้เพียงเปลือกของใครบางคนที่ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าสมควรอยู่ต่อไปเพื่ออะไร
ดวงตาของเขาเริ่มพร่า น้ำตาหยดหนึ่งซึมออกจากหางตาไหลลงข้างแก้มอย่างเงียบงัน
ที่นี่เคยเป็นบ้านของเขา
แต่ตอนนี้ มันกลับเงียบเกินไปสำหรับหัวใจที่แตกสลายจนแทบไม่เหลือชิ้นส่วนใดให้รวบรวม
…
2:00 PM | ห้องประชุมชั้นบนสุดซิลเวอร์เนสต์
โต๊ะประชุมทรงยาวกลางห้องถูกล้อมด้วยแสงจากโคมไฟเพดาน เสียงของเครื่องกรองอากาศหมุนวนเบา ๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียดจนหนักอึ้ง สมาชิกทั้งห้าของ “ขนนกสีเงิน” นั่งประจำตำแหน่ง ข้างกายของพวกเขาคือกาย และทีมผู้เชี่ยวชาญด้านระบบข้อมูลอีกสองสามคนที่นั่งอยู่ด้วย ใบหน้าของทุกคนดูไม่สู้ดีนัก แต่ละคู่สายตาเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่สามารถเอ่ยเป็นคำพูดได้ง่าย ๆ
กายพิงหลังกับพนักเก้าอี้อย่างเกร็ง ๆ แขนไขว้บนอก เขาไม่อยากอยู่ตรงนี้นัก แต่สิ่งที่เขารู้กำลังจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง
ชายหนุ่มคนหนึ่งจากทีมข้อมูลเลื่อนจอขึ้น เขากดแสดงกราฟเส้นข้อมูลการเข้าถึงระบบกลางของซิลเวอร์เนสต์ เสียงเขาเรียบนิ่ง แต่เนื้อหาที่พูดทำให้ทุกคนเหมือนหยุดหายใจ
“ข้อมูลมีการเข้าถึงจริงครับ แต่ไม่ได้ถูกดึงออกไปแบบเต็มระบบ มีเพียงบางไฟล์ที่ถูกคัดลอก...ซึ่ง—” เขาหยุดมองหน้าทุกคน ก่อนจะกล่าวต่ออย่างระวัง “—เป็นข้อมูลที่ไม่มีความสำคัญ ไม่มีโครงสร้างหลัก ไม่มีข้อมูลบัญชี หรือเส้นทางเงิน”
อีกคนเสริมต่อ “สิ่งที่เราเห็นเหมือนกับว่ามีการสร้างข้อมูลหลอกขึ้นมาแทน…ใช้รูปแบบที่คล้ายของจริงมากพอจะถ่วงเวลาได้ แต่ถ้ามีคนเอาไปใช้งาน จะรู้ในทันทีว่ามันไม่ใช่ของจริง”
เสียงในห้องเงียบไปอึดใจใหญ่
แล้วหัวใจของทุกคนก็เหมือนจะหล่นวูบลงพร้อมกัน ไม่ใช่เพราะความกลัวว่าเครือข่ายจะพัง แต่เพราะความจริงที่เริ่มปรากฏขึ้น…
เขาไม่ได้ทรยศ
เขาแค่…พยายามเอาตัวรอด
และ…ปกป้องพวกเขา
เสียง "โครม" ดังขึ้นอย่างรุนแรง
เสี่ยวไป๋ทุบมือลงบนโต๊ะไม้แข็งจนเลือดซึมออกจากฝ่ามือ ริมฝีปากเม้มแน่น ตาแดงเรื่อ แต่ไม่หลุดคำพูดใดออกมา เขาแค่ก้มหน้ามองหยดเลือดของตัวเองที่หยดอยู่บนผิวไม้ราวกับไม่รู้จะโทษใครดีนอกจากตัวเอง
“ฉันอยู่กับเขามากที่สุด…” เขาพึมพำ “…แต่กลับเป็นคนที่ไม่เชื่อเขาเลยแม้แต่นิดเดียว”
แคสเปอร์ขยับเก้าอี้ ถอยออกนิดหนึ่ง เขายกมือกดขมับ บีบจนเส้นเลือดขึ้น มืออีกข้างกำแน่นจนข้อขาว ดวงตาคล้ายคนที่เพิ่งสูญเสียสิ่งสำคัญไปอย่างโง่เขลา
เรนโยนแฟ้มข้อมูลที่ถืออยู่ในมือทิ้งไปอย่างหัวเสีย ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินวนรอบห้องอย่างคนหายใจไม่ออก สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน โกรธ แต่ไม่ใช่ใครอื่น…โกรธตัวเอง
“เรา…ทำอะไรลงไปวะ…”
ราฟาเอโร่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับแม้แต่นิ้ว เสียงเครื่องฉายสไลด์เปลี่ยนเฟรมอีกครั้ง แต่เขาไม่แม้แต่จะมอง ดวงตาเรียบเย็นคล้ายไม่รับรู้สิ่งใด ยกเว้นเพียงความเงียบที่กำลังกัดกินภายใน
“เขาสร้างข้อมูลหลอกเพื่อซื้อเวลา…” กายเอ่ยเสียงเบา แต่หนักพอจะฟาดทุกคนให้รู้สึก “แม้ในนาทีสุดท้าย เด็กคนนั้นก็ยังไม่เลือกจะทำลายพวกนาย…แล้วพวกนายทำอะไรกับเขา?”
คำพูดนั้นไม่มีใครโต้กลับ
เพราะทุกคำ…มันจริงหมด
ในห้องประชุมที่เต็มไปด้วยคนอำนาจสูงสุดของโลกใต้ดิน กลับไม่มีใครพูดอะไรออกมาได้อีก
…นอกจากความเงียบที่เหมือนจะขอโทษแทนพวกเขาทุกคน
บรรยากาศในห้องยังคงแน่นขึง เงียบงันเกินกว่าจะรับไหว ทว่าในความเงียบนั้นกำลังเกิดความเคลื่อนไหวบางอย่างในใจของแต่ละคน
“เขาอยู่ที่ไหนแล้ว” เสียงของราฟาเอโร่ดังขึ้นในที่สุด ช้า หนักแน่น แต่มากพอให้ทุกคนเงยหน้าขึ้น
ไม่มีใครตอบในทันที จนกระทั่งเรนขยับตัว เขายกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูอีกครั้ง ขณะเสียงแหบต่ำของเขาสั่งออกไปว่า “เช็กสนามบินทุกแห่งในโซล…ดูว่าเขาไปที่ไหนหลังจากลงเครื่อง”
แคสเปอร์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เสียงเก้าอี้ขูดกับพื้นสะเทือนใจพอ ๆ กับแววตาของเขาที่ตอนนี้ไม่เหลือแม้แต่เงาของความลังเล
“เขาไม่มีใครอยู่ฝั่งนั้น…พวกนั้นจะไม่ปล่อยเขาไว้แน่ ถ้าเราช้าแม้แต่วินาทีเดียว…”
“เขาจะไม่มีทางรอด” เสี่ยวไป๋พูดต่อให้ ดวงตาแข็งกร้าว แม้สีหน้าไม่เปลี่ยน แต่เสียงนั้นฟังชัดเจนว่าความตั้งใจของเขาไม่ได้มีไว้เพื่อปล่อยให้เรื่องนี้จบลงง่าย ๆ
ราฟาเอโร่ลุกขึ้นในที่สุด เขายืนตรง ดึงถุงมือหนังสีดำมาสวมอย่างเงียบ ๆ แสงสะท้อนจากหน้าต่างกระทบเข้ากับดวงตาคมเฉียบของเขา คล้ายดาบที่เพิ่งถูกลับให้แหลมขึ้นอีกครั้ง
“เตรียมเครื่องบิน” เขาเอ่ยสั้น ๆ
“ฉันจะไปเอง”
“ฉันก็จะไป” เรนพูดทันควัน
“นับฉันด้วย” แคสเปอร์ตามมาไม่ห่าง
เสี่ยวไป๋เพียงแค่หยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวม ไม่พูดอะไรอีก เพราะไม่จำเป็นต้องพูด ทุกคนรู้ว่าเขาไม่เคยปล่อยให้คนของตัวเองต้องอยู่ลำพัง
กายยืนพิงกรอบประตูด้วยสีหน้าที่ไม่ได้คาดหวังนัก เขาสบตากับราฟาเอโร่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ
“อย่าทำพังอีกครั้งก็พอ”
ไม่มีคำตอบจากใคร แต่แววตาของทั้งสี่คนนั้นบอกชัดเจนแล้วว่าพวกเขาจะไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำอีก