ลืมรหัสผ่าน
 สมัครเข้าเรียน
ค้นหา
ดู: 19|ตอบกลับ: 2

ช่วยผมด้วย..ผมโดนมาเฟียรุมข่มขืน!? Chapter 28

[คัดลอกลิงก์]

มาเฟียนักศึกษา

กระทู้
150
พลังน้ำใจ
6197
Zenny
28249
ออนไลน์
1663 ชั่วโมง
โพสต์ 5 ชั่วโมงที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด |โหมดอ่าน





Chapter 28
ความแรงของพายุ




คลื่นน้ำซัดสาดอย่างแผ่วเบาใต้ท้องฟ้าสีหม่นในเช้าลอนดอนที่ไม่มีแดด พายุสองลูกยังผลัดกันหมุนวนอยู่ที่ไหนสักแห่ง ส่วนเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็นั่งอยู่ตรงกลางเหมือนไม่รู้ว่ากำลังจะโดนซัดจากด้านไหนก่อน


พายุแรกเดินเข้ามาโดยไม่ส่งเสียง แต่ทิ้งรอยเยือกไว้ที่ปลายเส้นประสาท เหมือนฝนที่ไม่เคยตกแรง แต่ตกนานพอจะทำให้เสื้อเปียกทั้งตัว


เขาเคยชินกับมัน เคยหลบมัน เคยคิดว่าตัวเองอยู่กับมันได้…แต่ในวันนี้ มันกลับกลายเป็นลมหอบใหญ่ที่พัดเขาไปไกลกว่าที่ควบคุมได้


ส่วนอีกพายุเหมือนจะไม่มีรูปทรงแน่นอน บางวันเหมือนสายลมบางเบา บางวันกลับหนักแน่นจนแทบล้ม บางทีพัดผ่านพร้อมเสียงหัวเราะ บางทีก็พัดมาโดยไม่มีคำเตือน


แต่มันมีความอบอุ่นบางอย่างแทรกอยู่ในทุกจังหวะของลม อบอุ่นพอจะทำให้รู้สึก…อยากอยู่ตรงนี้อีกสักนิด


เขาอยู่ตรงกลาง


ไม่ใช่แค่ระหว่างพายุ


แต่ระหว่างสิ่งที่เคยเชื่อ…กับสิ่งที่เริ่มจะเชื่อ


และมันยิ่งยากขึ้นทุกวันที่พายุทั้งสองก่อตัวแรงขึ้น


เพราะครั้งนี้ เขาไม่แน่ใจเลยว่า


ตัวเองจะรอดออกมาโดยไม่เปียกปอนหรือเปล่า


หรือแย่กว่านั้น…


อาจจะไม่มีวันได้ออกมาเลยก็ได้









ในเช้าวันที่อากาศไม่แจ่มใสนัก เจบีนั่งมองท้องฟ้าสีหม่นจากระเบียงชั้นบน แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลมบางเบาพัดผ่านเส้นผมของเขาช้า ๆ ไม่ถึงกับหนาวแต่ก็ไม่อบอุ่น คล้ายจะเตือนว่าเวลายังเคลื่อนไปแม้ไม่มีอะไรเปลี่ยน


เขากลับมาที่บ้านพักของเสี่ยวไป๋อีกครั้งในรอบเดือน หลังจากที่ต้องใช้ชีวิตติดแหง็กอยู่กับราฟาเอโร่ ผู้ชายที่เหมือนจะตั้งใจกลั่นแกล้งเขาทุกเช้าเย็นในช่วงแรก มันไม่ใช่การกลั่นแกล้งรุนแรงอะไร แต่เป็นความจงใจเล็ก ๆ ที่มากพอจะทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้มีความหมายอะไรนักในที่แห่งนั้น


แต่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ความเย็นชาเหล่านั้นกลับกลายเป็นเพียงความเงียบ เหลือแค่สายตาคู่นิ่งที่มองมาโดยไม่พูดอะไร และคำสั่งงานที่แม้จะยังมากมาย แต่กลับไม่รู้สึกว่าโดนแกล้งเหมือนก่อน


กระแสลมเปลี่ยนทิศแล้ว ไม่หนาว ไม่อบอุ่น แค่สงบจนน่าประหลาดใจ และเจบีไม่รู้ว่าความสงบนี้จะอยู่แค่ชั่วคราวหรือไม่ เพราะต่อให้ลมหยุดพัก มันก็แค่การพัก ก่อนจะพัดแรงขึ้นอีกครั้งเสมอ


“เฮ้ออ...” เขาพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง ไม่ใช่เพราะเหนื่อย แต่เพราะรู้สึกบางอย่างไหลกลับเข้ามาในอก เขาเพิ่งได้รับข้อความปริศนาเมื่อไม่นานนี้ ไม่มีชื่อ ไม่มีคำขู่ แต่เนื้อหานั้นชัดเจนพอจะรู้ว่าใครเป็นคนส่งมา


คิมบอมเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ยังเงียบ ยังสุขุม แต่เงียบในแบบที่กำลังก่อคลื่นลึกใต้ผิวน้ำ ทุกอย่างค่อย ๆ รุนแรงขึ้นโดยไม่มีเสียง เขาไม่จำเป็นต้องถามเลยด้วยซ้ำว่าคลื่นลูกถัดไปจะไปกระแทกใคร เพราะดูจากจังหวะ ความรุนแรง และการวางหมาก คำตอบนั้นชัดเจนอยู่แล้ว


ราฟาเอโร่ก็คงสัมผัสได้ เขาไม่ใช่คนประมาท และแน่ใจได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังวางกลยุทธ์ไว้แล้วเหมือนกัน เพียงแค่…เจบีไม่แน่ใจว่าเขารู้ตัวแล้วหรือยัง ว่าตัวแปรที่อยู่ตรงกลางระหว่างพายุทั้งสอง กำลังนั่งทำงานเงียบ ๆ อยู่ในสำนักงานของตัวเองทุกวัน


และถ้ารู้…เขากำลังตั้งใจทำหูทวนลม หรือแค่ปิดตาข้างหนึ่ง เพราะไม่อยากรู้คำตอบกันแน่


เจบีไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังทรยศใคร...อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ เขาแค่กำลังเตรียมทางหนีให้ตัวเองในโลกที่ไม่มีใครให้เขาเชื่อได้เต็มร้อย และเพราะเขาเคยพลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง เขาจะไม่ยอมพลาดซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง


เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นตามจังหวะก้าวที่ไม่เร่งรีบ เจบีเดินลงมาถึงชั้นล่างของบ้านในช่วงสายของวัน ท่ามกลางอากาศที่ยังอึนเทาเหมือนเดิม เขากวาดตามองแวบหนึ่ง จังหวะที่สายตาเหลือบไปเห็นชาลอตนอนเหยียดยาวอยู่บนพรมกลางห้อง มันหันขวับมามองเขาแทบจะทันที ก่อนจะลุกขึ้นกระดิกหางเหมือนทุกครั้ง


“ไง คิดถึงฉันเหรอ” เขาพูดพลางย่อตัวลงข้าง ๆ เจ้าหมาตัวโต มืออีกข้างเอื้อมไปเกาพุงขนนุ่มที่ม้วนตัวพลิกขึ้นมาให้อย่างรู้งาน


ชาลอตครางฮือในลำคอเบา ๆ อย่างพึงใจ ก่อนจะยกขาขึ้นพาดข้อมือเขาไว้แน่น เหมือนจะกันไม่ให้ลุกไปไหน


“รู้แล้วน่า ฉันเพิ่งกลับมา ยังไม่หนีหรอก” เขาพึมพำเสียงต่ำเหมือนบอกตัวเองมากกว่าหมาที่นอนอยู่ข้าง ๆ


บรรยากาศเงียบสงบอยู่ไม่ถึงนาที เสียงล้อรถยนต์ก็ค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาจอดหน้าบ้าน ประตูรถเปิดออกช้า ๆ พร้อมกับร่างสูงโปร่งในชุดเรียบง่าย แต่ดูดีอย่างไม่ต้องพยายาม ใบหน้าคมคายนั่นคุ้นเคยเกินกว่าจะเป็นใครอื่น


เจบีละสายตาจากชาลอตขึ้นมามอง ราวกับภาพตรงหน้าทำให้หัวใจของเขาหยุดไปหนึ่งจังหวะ


อีกฝ่ายไม่พูดอะไรสักคำ เขาเพียงเดินเข้ามาเงียบ ๆ ก่อนจะทรุดตัวลงโน้มกอดเจบีทั้งที่เจ้าตัวยังนั่งจุ้มปุกอยู่กับหมาตัวโตที่พื้น ชาลอตไม่ได้เห่าหรือขยับหนี มันแค่ลืมตามองแล้ววางหัวลงบนตักเจบีอีกครั้ง...เหมือนรู้ดีว่านี่ไม่ใช่คนแปลกหน้า


“เสี่ยวไป๋…” เสียงเขาดังขึ้นเบา ๆ ในลำคอ ทั้งตกใจ ทั้งไม่เข้าใจ


“รอนานมั้ย”


น้ำเสียงเรียบ ๆ ของเสี่ยวไป๋เอ่ยขึ้นโดยไม่มีการเกริ่นนำ ไม่มีบทสนทนาก่อนหน้า แต่กลับทิ้งแรงสะเทือนเล็ก ๆ ไว้ในอกเจบีได้ชัดเจนจนน่าหงุดหงิด


เจบีไม่ตอบ เขาแค่เงียบอยู่แบบนั้น ร่างกายไม่ได้ขยับหนี แต่ก็ไม่ได้ตอบรับอย่างชัดเจน ภายในอกมันกระตุกชาไปวูบหนึ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะค่อย ๆ ผละออกจากอ้อมกอด


เสี่ยวไป๋มองหน้าเขานิ่ง ๆ ดวงตาคมสังเกตเห็นทุกอย่าง ไม่ใช่แค่ความเหนื่อยล้า แต่เป็นบางสิ่งที่สะสมอยู่ภายใน จนเขารู้สึกอยากจะดึงออกมาดูให้รู้แล้วรู้รอด


เขากลับมาลอนดอนแล้ว หลังจากติดอยู่ที่จีนเกือบเดือนเต็ม ไม่รู้ว่ามันเป็นความบังเอิญ หรือมีใครจงใจให้งานบางอย่างของเขายืดเยื้ออย่างผิดปกติ แต่เขารู้ตัวดี ว่าทุกวันของเจบีที่ผ่านไปโดยไม่มีเขาอยู่ตรงนี้ มันไม่ได้เรียบง่ายเลย


มือข้างหนึ่งยกขึ้นเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าของเจบีเบา ๆ อย่างอ่อนโยน ก่อนจะดึงมืออีกฝ่ายให้ลุกตาม เขาไม่พูดอะไรนอกจากเดินนำไปยังโต๊ะกินข้าว แล้วหันเข้าครัวเงียบ ๆ


เสียงหม้อตั้งน้ำดังแผ่ว ๆ ควันลอยบางในอากาศ ไม่ถึงสิบนาที บะหมี่กลิ่นหอมก็ถูกยกออกมาวางตรงหน้าเจบี พร้อมกับอีกชามตรงข้ามกันพอดี


เสี่ยวไป๋นั่งลงโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ขณะเทน้ำใส่แก้วให้เขา


“หิวแล้วล่ะสิ”


เจบีมองชามบะหมี่ที่ร้อนระอุอยู่ตรงหน้า สุดท้ายจึงยกตะเกียบขึ้นมาเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรกลับไป แต่เสี่ยวไป๋ก็ยังนั่งอยู่ตรงนั้น มองเขาเงียบ ๆ พร้อมชามของตัวเองที่ยังไม่ถูกแตะ


เพราะแค่เห็นว่าเจบีกินได้...เขาก็พอใจแล้ว


“งานโอเคแล้วเหรอครับ”


เจบีตัดสินใจถามขึ้นในจังหวะที่บะหมี่ในชามลดระดับลงไปพอสมควร เสียงเขาไม่ได้ดังนัก แต่พอจะบอกได้ว่าเป็นคำถามที่เก็บเอาไว้อยู่พักหนึ่ง


เสี่ยวไป๋พยักหน้าน้อย ๆ ดวงตายังคงมองเขาเหมือนเดิม


“อืม...ก็จัดการไปได้บางส่วนแล้ว” เขาตอบเรียบ ๆ ก่อนจะหยุดนิดหนึ่งแล้วเสริม “แต่ไม่มีนายอยู่ ยากกว่าเดิมเยอะเลย”


คำตอบนั้นดูเหมือนจะธรรมดา แต่ถ้อยคำที่เลือกกลับแฝงอะไรบางอย่างไว้ชัดเจน


เจบีเงยหน้าขึ้นมามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มลงกลับไปสนใจชามตรงหน้าอีกครั้ง


“ผมไม่ค่อยได้ช่วยอะไรมากหรอกครับ” น้ำเสียงฟังดูปกติ แต่หางเสียงแผ่วลงราวกับรู้สึกผิด


เสี่ยวไป๋วางตะเกียบลงเบา ๆ แล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มองเขาแบบไม่รีบร้อน


“นายช่วยเยอะมากกว่าที่ตัวเองคิดนั่นแหละ” เขาตอบเรียบ ๆ “ไม่ได้หมายถึงแค่งาน…”


เจบีไม่ได้พูดอะไรต่อ ริมฝีปากเม้มเบา ๆ เหมือนจะกลืนบางอย่างลงคอไปพร้อมกับเส้นบะหมี่คำถัดไป


จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้นจากฝั่งตรงข้าม


“เจบี...ไปเที่ยวกันมั้ย”


น้ำเสียงของเสี่ยวไป๋เรียบเหมือนเคย แต่ท่าทางที่เขาพูดออกมานั้นไม่ได้รีบร้อน เป็นเพียงข้อเสนอที่วางแผ่วเบาลงบนโต๊ะไม้ระหว่างพวกเขา


เจบีเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาสบกับเขาแวบหนึ่ง ราวกับยังไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกต้องหรือเปล่า


“ค-ครับ...?”


“ไปทะเลกัน” เสี่ยวไป๋พูดอีกครั้ง คราวนี้ยิ้มมุมปากน้อย ๆ “ที่ที่เงียบกว่าที่นี่...มีแค่เราสองคน ไม่มีงาน ไม่มีคำถาม ไม่มีอะไรเลย”


เจบีนิ่งไปอึดใจ สีหน้าไม่ได้แสดงอาการตกใจเท่าไหร่นัก แต่ในดวงตากลับมีประกายบางอย่างแทรกเข้ามา ราวกับเขาไม่ได้คาดหวัง...แต่ก็เผลออยากไปจริง ๆ


เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ


“...ก็ได้ครับ”


เสี่ยวไป๋ไม่พูดอะไรอีก เขาแค่ยิ้มอยู่แบบนั้น แล้วหันกลับไปกินบะหมี่ในชามของตัวเองอย่างเงียบ ๆ เหมือนการตอบตกลงของเจบีคือสิ่งที่เขาเชื่อว่าจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว


และเจบีก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีกเหมือนกัน เขายังคงกินไปเรื่อย ๆ ด้วยจังหวะเดิม เพียงแต่ในใจกลับรู้สึกเหมือนได้หายใจโล่งขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่มีเหตุผล


...






แสงแดดยามเช้าของวันถัดมาเจือจางกว่าทุกวัน แต่ก็ไม่ถึงกับขุ่นมัว ลมต้นฤดูร้อนพัดเฉื่อย ๆ ผ่านระเบียงไม้ เสียงใบไม้เสียดสีกันเบา ๆ อย่างเกียจคร้าน


ในห้องนอนที่ปิดม่านไว้เพียงครึ่ง เจบีกำลังรูดซิปกระเป๋าใบเล็กข้างเตียง เสื้อผ้าที่พับเรียบแล้วถูกจัดวางอย่างมีระบบ มีแว่นกันแดดหนึ่งอัน หนังสือเล่มบาง และหูฟังไร้สายที่ยังชาร์จไม่เต็มดีนัก


เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังใกล้เข้ามาพร้อมกับเจ้าของเสียงที่ยืนพิงกรอบประตู มือถือยังอยู่ในมือ


“ฉันโทรไปบอกราฟาเอโร่แล้ว ว่านายจะไม่เข้าสำนักงานสองสามวัน” เสี่ยวไป๋พูดขึ้นเรียบ ๆ สีหน้าดูไม่จริงจังนัก แต่แววตากลับไม่ได้ล้อเล่น “แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยอยากให้นายไปกับฉันเท่าไหร่เลย”


เจบีชะงักเล็กน้อย แต่ไม่ได้หันไปมอง เขาแค่ยกมือจัดของในกระเป๋าให้เข้าที่


“เอาไว้กลับจากทะเล ฉันจะไปคุยกับเขาเอง” เสี่ยวไป๋พูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ใต้ถ้อยคำนั้น “ฉันก็อยากได้ ‘คนของฉัน’ คืนเหมือนกัน”


เจบีหันมามองเขาในที่สุด สบตาเพียงชั่วครู่ ก่อนจะเบือนหน้ากลับไปจัดกระเป๋าต่ออย่างไม่พูดอะไร ท่าทางของเขาเงียบเกินไปนิดสำหรับคำพูดที่เพิ่งได้ยิน


เสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดต่อ เขาแค่ยิ้มเล็กน้อยมุมปาก แล้วดันตัวออกจากกรอบประตู เดินเข้ามาหยุดอยู่ใกล้ ๆ คนที่ยังนั่งอยู่ข้างเตียง


“ถ้านายยังไม่พร้อมกลับไปเป็นของใคร...ก็แค่ไปเป็นของตัวเองก่อนก็ได้” เขาพูดเบา ๆ พอให้ได้ยินกันแค่สองคน ก่อนจะหยิบหมวกฟางใบเล็กขึ้นมาโยนเล่นในมืออย่างไม่จริงจัง


“แต่เที่ยวกับฉันก่อนก็แล้วกัน ยังไงก็จองที่พักไปแล้ว”


เจบีหัวเราะในลำคอเบา ๆ ในที่สุด คล้ายกับว่าคำพูดธรรมดานั้น...พอจะทำให้บางอย่างคลายลง


เสี่ยวไป๋เลิกคิ้วน้อย ๆ “แล้วนายล่ะ อยากไปมั้ย?”


“ก็ผมเก็บเสื้อผ้าไปได้ครึ่งกระเป๋าแล้วนะครับ” เจบีตอบเรียบ ๆ ก่อนจะหยิบหูฟังขึ้นมาโยนเบา ๆ ลงไปในช่องเล็กด้านบนของกระเป๋า “หรือคุณจะให้ผมเอาออก?”


เสียงหัวเราะแผ่วเบาตามมาไม่นาน เสี่ยวไป๋เดินเข้ามาช้า ๆ แล้วทรุดตัวนั่งลงข้างเขาโดยไม่พูดอะไรในทันที แผ่นหลังพิงขอบเตียง มืออีกข้างเริ่มช่วยเปิดกระเป๋าแล้วก้มดูของข้างในเหมือนเป็นกระเป๋าของตัวเอง


“มาฉันช่วย นายเอาอะไรไปบ้าง” น้ำเสียงของเขาเรียบสบายเหมือนเคย แต่เจือแววขี้เล่นนิด ๆ


“ก็เสื้อผ้า ของใช้ แล้วก็หนังสือ...” เจบีปรายตามอง “อย่าหยิบออกนะครับ ผมจัดไว้เรียบร้อยแล้ว”


“เรียบร้อยตรงไหน เสื้อสามตัวแต่กางเกงแค่ตัวเดียว? หรือจะใส่ซ้ำจนกลับเลย?” เสี่ยวไป๋เลิกคิ้ว มือยังคุ้ยเบา ๆ ไม่ได้ฟังคำห้าม


“ก็ไม่ได้คิดจะเดินแฟชั่นโชว์นี่ครับ” เจบีว่าอย่างใจเย็น แต่สายตาเริ่มเหล่มองคนข้างตัว


“แต่เผื่อเราเดินริมหาดตอนเย็น จะได้ถ่ายรูปกันไง”


พูดจบก็แกล้งคว้าเสื้ออีกตัวจากในกระเป๋าขึ้น “ตัวนี้โอเค...สีเข้ากับหมวกฉันเลย”


เจบียิ้มมุมปาก “คุณจะเอาเสื้อผ้าผมไปแมตช์กับตัวเองทำไมครับ”


“ก็จะได้ดูเหมือน...มาเที่ยวด้วยกันไง” เขาว่าเหมือนพูดเล่น แต่กลับเก็บเสื้อกลับลงกระเป๋าให้เรียบร้อยเหมือนเดิมอย่างเงียบ ๆ


เจบีไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาแค่พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะขยับตัวมาใกล้ขึ้นเล็กน้อย หยิบหมวกฟางใบเล็กวางไว้ข้างเสื้อผ้า แล้วหันไปยิ้มให้


“แต่ผมจัดเสร็จแล้วนะครับ เพราะงั้นช่วยหยุดคุ้ยได้แล้ว”


เสี่ยวไป๋ถอนหายใจเหมือนแกล้งทำเป็นเสียใจ “งั้นขออย่างเดียว”


“ครับ?”


“นายต้องให้ฉันถือกระเป๋า...ตอนเราไปสนามบิน”


เจบีมองอีกฝ่ายอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตอบเรียบ ๆ แต่แฝงรอยยิ้มไว้ที่หางเสียง


“ตามใจเลยครับ”


...






09:45 AM | สนามบินฮีทโธรว์ | วันเสาร์


บรรยากาศสนามบินเช้าวันหยุดคึกคักเหมือนเช่นเคย เสียงล้อกระเป๋าเลื่อนไปตามพื้น กระทบกับเสียงประกาศเที่ยวบินที่ดังแว่วอยู่ตลอดเวลา เจบียืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์เช็กอิน ใบหน้านิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านกับความวุ่นวายรอบตัว


ข้างเขา เสี่ยวไป๋ยืนเงียบ ๆ ถือกระเป๋าเดินทางให้เหมือนบอดี้การ์ดส่วนตัว ใบหน้าเรียบเฉย แต่กลับดูโดดเด่นจนมีบางคนแอบมองหันหลัง


เจบีปรายตามองอีกฝ่ายแล้วถอนหายใจเบา ๆ “คุณจะถือกระเป๋าผมไปถึงบาร์เซโลนาเลยรึไงครับ”


“อืม” เขาตอบแค่นั้น ไม่เถียง ไม่อธิบาย แต่ก็ไม่ยอมคืนกระเป๋าให้


พนักงานยื่นบอร์ดดิ้งพาสมาให้ เจบีรับมาดูแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย “จองที่นั่งชั้นธุรกิจ?”


“อืม”


“ปกติคุณไม่ชอบนั่งติดใครไม่ใช่เหรอครับ”


เสี่ยวไป๋ไม่ได้ตอบ เขาแค่ขยับกระเป๋าอีกใบขึ้นมาถือในมืออีกข้าง แล้วมองไปยังหน้าจอแสดงเที่ยวบินราวกับไม่ได้ยิน


เจบีมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดยิ้มเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว


ระหว่างเดินไปที่เกต ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก แต่ทุกอย่างรอบข้างกลับดูเบาลงอย่างน่าประหลาด เสี่ยวไป๋ยังคงเป็นคนถือกระเป๋าทั้งหมดให้เงียบ ๆ และหยุดรอทุกครั้งที่เจบีชะงักเพื่อหันไปดูของร้านข้างทาง


ตอนเดินผ่านร้านขนม เจบีเผลอมองเข้าไปไม่ถึงสองวินาที แต่คนข้างตัวกลับเดินหายเข้าไปในร้าน ก่อนจะกลับออกมาพร้อมถุงกระดาษเล็ก ๆ ที่ยื่นให้เขาโดยไม่พูดอะไร


เจบีรับมาถือไว้พลางถามเบา ๆ “รู้ได้ยังไงว่าผมอยากกินอันนี้”


“ไม่รู้” เสี่ยวไป๋ตอบ “แต่นายหยุดดูมันนานที่สุดตั้งแต่เดินผ่านมา”


เสียงเรียกขึ้นเครื่องดังแว่วมาตามลำโพง สนามบินเริ่มเคลื่อนไหวอีกระลอกเมื่อผู้โดยสารทยอยเดินเข้าประตูเกต เสี่ยวไป๋ขยับมือไปรับกระเป๋าเป้จากบ่าเจบีมาอีกใบโดยไม่ขออนุญาต เจบีหันไปมองเขานิดหน่อย แต่ไม่ได้ทักอะไร


เหมือนยอมรับไปแล้วว่า...คนคนนี้มักจะทำอะไรตามใจโดยไม่ถาม


เสียงเครื่องยนต์ข้างลำตัวดังหึ่ง ๆ เป็นจังหวะเมื่อเครื่องบินไต่ระดับขึ้นฟ้า เบาะที่นั่งชั้นธุรกิจให้พื้นที่มากพอจะไม่ต้องเบียดกัน แต่เจบีกลับนั่งตัวตรง พยายามไม่หันไปมองคนข้างตัวที่กำลังทำหน้าเหมือนไม่ได้คิดอะไร ทั้งที่ความจริงน่าจะคิดอยู่เยอะ


มือถือของเขาเปิดเป็นโหมดเครื่องบินไปตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่อง และตอนนี้เจบีกำลังพยายามนั่งเฉย ๆ ไม่ให้เสี่ยวไป๋ขโมยหูฟังไปทั้งสองข้าง


“ฉันแค่อยากฟังเพลงด้วยกัน” เสี่ยวไป๋ว่า พร้อมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ขณะยื่นหูฟังกลับมาให้ข้างหนึ่ง


เจบีรับกลับมาแบบไม่ทันได้บ่นอะไร สีหน้าไม่ได้แสดงออกมากนัก แต่เขาเลือกเพลงช้า ๆ แบบที่อีกฝ่ายชอบไว้เรียบร้อย


เสี่ยวไป๋เอนศีรษะพิงเบา ๆ กับพนักหัว พร้อมหลุบตาลงเหมือนจะหลับ แต่ข้างแก้มกลับมีรอยยิ้มบาง ๆ ติดอยู่ตลอดเวลา


เสียงเพลงลอยในหูสลับกับเสียงลมหายใจเบา ๆ ของคนข้างตัว


ระยะทางจากลอนดอนไปบาร์เซโลนาไม่ไกลมากนัก แต่บางความรู้สึกกลับยืดยาว…เหมือนกำลังเดินทางออกจากสิ่งที่เหนื่อยล้ามาไกลกว่าที่ควร


เจบีไม่พูดอะไร เขาแค่ขยับตัวช้า ๆ แล้วเอนหัวไปชนอีกฝ่ายนิดหน่อย โดยไม่ได้ตั้งใจ


เสี่ยวไป๋ไม่ขยับหนี เขาแค่พึมพำเสียงเบา


“ถ้าตั้งใจพิงก็บอก จะได้พิงให้เต็ม ๆ”


เจบีหลุบตาลง แล้วค่อย ๆ เอนตัวลงอีกนิดโดยไม่พูดอะไร เหมือนยอมรับคำชวนกลาย ๆ


สุดท้าย...เขาก็พิงเสี่ยวไป๋จริง ๆ


...






12:47 PM | สนามบินเอล ปรัต | บาร์เซโลนา


เสียงประกาศภาษาสเปนดังแว่วในห้องโดยสาร ขณะที่ล้อเครื่องบินแตะพื้นรันเวย์อย่างนุ่มนวล เจบีขยับตัวเล็กน้อยเมื่อความรู้สึกหน่วงในท้องบอกว่าเครื่องบินเริ่มชะลอความเร็ว


“ถึงแล้ว” เสี่ยวไป๋พูดเบา ๆ ข้างหู ราวกับเจบีจะไม่รู้ตัว


เจบีพยักหน้าเบา ๆ แกะเข็มขัดนิรภัยออกอย่างเรียบร้อย ก่อนจะขยับหูฟังออกจากหู เสียงในห้องโดยสารกลับมาชัดเจนทันที


หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองที่รวดเร็วกว่าในหลาย ๆ ประเทศ ทั้งคู่ก็มาหยุดอยู่หน้าเคาน์เตอร์เช่ารถ เสี่ยวไป๋ไม่ได้ลังเลเลยว่าจะเลือกแบบไหน มือเรียวยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานโดยไม่รอถามความเห็นเจบีด้วยซ้ำ


“ไม่ถามผมก่อนเลยเหรอว่าจะเอารถแบบไหน” เจบีพูดพลางยืนกอดอกอยู่ข้าง ๆ มองรถเปิดประทุนสีเงินเมทัลลิกที่จอดรออยู่หน้าทางออก


“ถามไปนายก็เลือกคันที่ประหยัดน้ำมันที่สุดนั่นแหละ” เสี่ยวไป๋ตอบหน้าตาเฉย ก่อนจะรับกุญแจมาแล้วเดินนำออกไปอย่างสบาย ๆ


อากาศด้านนอกอบอุ่นแบบพอดี ฟ้าเปิด มีลมพัดผ่านหน้าเบา ๆ กลิ่นไอทะเลจาง ๆ ลอยมาแตะปลายจมูก แม้จะยังไม่ถึงปลายทาง


“ขึ้นมา” เสี่ยวไป๋เปิดประตูฝั่งคนขับ แล้วเอี้ยวตัวไปปลดล็อกให้เจบี


เจบีขึ้นมานั่งบนเบาะหนังที่เย็นสบายเพราะจอดไว้ในร่ม เสี่ยวไป๋สวมแว่นกันแดดแล้วหันมายิ้มน้อย ๆ เหมือนคนกำลังจะพาอีกฝ่ายหนีไปจากโลกวุ่นวาย









ลมอุ่นจากทะเลพัดเข้ามาทางหน้าต่างรถที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่ง กลิ่นเกลือจาง ๆ ลอยมาตามสายลม สะท้อนกับเสียงเพลงเบา ๆ ที่เปิดคลอในรถ เสี่ยวไป๋ไม่พูดอะไรนัก แค่นั่งขับนิ่ง ๆ ด้วยท่าทีผ่อนคลาย มือหนึ่งวางอยู่บนพวงมาลัย อีกข้างหมุนปรับระดับแอร์เป็นครั้งคราวตามอารมณ์


เจบีนั่งมองวิวด้านนอก ทิวต้นปาล์มเรียงตัวอยู่ริมถนน สลับกับบ้านสีขาวเรียบที่มีหลังคากระเบื้องแดง รถเลี้ยวเข้าเขตชายฝั่งอย่างเป็นธรรมชาติ ยิ่งเข้าใกล้ทะเล บรรยากาศก็ยิ่งสดใสขึ้นในแบบที่เขาไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า


“ชอบมั้ย?” เสี่ยวไป๋ถามขึ้นเรียบ ๆ ขณะชะลอรถหน้าทางเข้ารีสอร์ตริมชายหาด


เจบีละสายตาจากวิว หันไปมองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ


“อืม...ชอบครับ”


เสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดอะไรในทันที แค่ยิ้มมุมปากบาง ๆ ขณะหมุนพวงมาลัยจอดรถให้เรียบร้อย แล้วพึมพำออกมาเบา ๆ คล้ายพูดกับตัวเองมากกว่า


“ก็ดีแล้ว...เวลาแบบนี้ก็ต้องทะเลแหละนะ”


เสี่ยวไป๋จอดรถลงใต้ร่มไม้ ก่อนจะหันมาเปิดประตูฝั่งเจบีให้เหมือนเคย


พอลงจากรถเท้าแตะพื้นทราย เจบีรู้สึกเหมือนตัวเองค่อย ๆ หลุดจากกรอบบางอย่างที่เคยล้อมเขาไว้ ลมทะเลตีเข้าหน้าเบา ๆ ราวกับทักทาย ภาพหาดทรายทอดยาวกับผืนน้ำสีครามตัดกับท้องฟ้า ดูสงบและกว้างไกลเกินจะบรรยาย


เสี่ยวไป๋หยิบกระเป๋าเล็กใบหนึ่งจากท้ายรถก่อนจะหันมาถาม “อยากเดินเล่นเลยมั้ย หรือจะเข้าไปพักก่อน?”


เจบีพยักหน้า “เดินก่อนก็ได้ครับ...แค่เดินเฉย ๆ”


“งั้นฝากโทรศัพท์ไว้กับฉัน” เสี่ยวไป๋ยื่นมือมาแบบไม่ให้ปฏิเสธ “เดี๋ยวถ่ายรูปให้”


เจบีหลุดหัวเราะน้อย ๆ แต่ก็ยอมวางมือถือในมืออีกฝ่ายแต่โดยดี


สองคนเดินไปบนทรายละเอียดเท้าเปล่า ปล่อยให้รอยเท้าถูกลมและคลื่นกลบไปช้า ๆ ทะเลอยู่ข้างหน้า แสงแดดบ่ายส่องลอดหมวกฟางเจบีเป็นเงาจาง ๆ บนใบหน้า เสี่ยวไป๋เดินข้าง ๆ ไม่พูดอะไร แต่กลับส่งความรู้สึกบางอย่างมาให้ผ่านเพียงแค่เงาของเขาที่ทาบลงมาชนกันตลอดทาง


มีเพียงแค่ทะเล...ที่รอให้สองคนได้พักหายใจเต็มปอดเสียที









เสียงกระดิ่งเหนือประตูดังแผ่วเบาเมื่อทั้งคู่ก้าวเข้ามาในล็อบบี้ไม้โปร่งของรีสอร์ท กลิ่นไม้หอมอ่อน ๆ ปนกับกลิ่นดอกไม้แห้งลอยมาตามลม ละมุนพอให้รู้สึกว่าอยู่ห่างจากเมืองใหญ่แล้วจริง ๆ พนักงานหญิงคนหนึ่งยิ้มต้อนรับอย่างนุ่มนวล พลางพูดภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงละมุน ก่อนจะยื่นผ้าเย็นกลิ่นลาเวนเดอร์กับน้ำส้มเย็นจัดมาให้


เจบียื่นมือรับพลางพึมพำเบา ๆ ขณะยกน้ำขึ้นจิบ “ที่นี่ดูเงียบกว่าที่คิดนะครับ”


เขารับคีย์การ์ดจากพนักงานก่อนจะเดินนำขึ้นไปบนห้องโดยไม่พูดอะไรต่อ


“ฉันตั้งใจเลือกให้มันเงียบ” เสี่ยวไป๋ตอบเรียบ ๆ แต่แววตาที่หันมามองเจบีกลับเหมือนจะพูดว่า เงียบ...เพื่อให้นายได้พักจริง ๆ


เสียงปลดล็อกประตูดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่ประตูไม้จะเปิดออก ภายในห้องพักเป็นโทนสีอุ่น ตกแต่งเรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้าน พื้นไม้สีอ่อนรับกับแสงธรรมชาติที่สาดเข้ามาจากกระจกบานใหญ่เต็มผนัง ด้านนอกคือระเบียงที่มองออกไปเห็นทะเลสีคราม กับม่านขาวบางที่ปลิวไหวตามลม


เตียงใหญ่ตรงกลางห้องปูผ้าสีขาวสะอาด มีหมอนนุ่มวางเรียงอย่างเป็นระเบียบ โต๊ะไม้ข้างเตียงมีแจกันเล็ก ๆ กับดอกไม้สดสีจาง


เสี่ยวไป๋วางกระเป๋าลงก่อนจะเดินไปเปิดประตูระเบียง ลมเย็นจากทะเลพัดเข้ามาทันที


เจบีเดินตามมาเงียบ ๆ หยุดยืนอยู่ข้างกันโดยไม่พูดอะไร มองออกไปยังทะเลไกลสุดสายตา ฟ้าและน้ำสีเดียวกันจนแทบแยกไม่ออก


“ห้องโอเคไหม” เสี่ยวไป๋ถามขึ้นในจังหวะเงียบ


เจบีพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะยกมือดันชายผ้าม่านที่ปลิวเข้ามาให้พ้นใบหน้า แล้วหลุบตามองเตียงกลางห้อง “เตียงเดี่ยวหรอครับ”


“อืม” อีกฝ่ายตอบสั้น ๆ ก่อนหันหน้ามาทางเขาเล็กน้อย ริมฝีปากยกขึ้นนิด ๆ “ทำไมล่ะ นายไม่อยากนอนกับฉัน?”


เจบีชะงักน้อย ๆ ก่อนจะหันมามองเขา “เปล่าครับ...แค่ถามเฉย ๆ”


เสี่ยวไป๋หัวเราะในลำคอเบา ๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่แววตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยอะไรบางอย่างที่เจบีเลือกจะไม่สบตาด้วยนานนัก


“ดี งั้นตอนเย็นเราไปเดินหาดกัน”









แดดบ่ายเริ่มอ่อนตัวลงจากการเร่งเผาผิวทั้งช่วงกลางวัน แสงสีทองเริ่มไล้เส้นขอบฟ้า ร่มเงาเคลื่อนไปตามจังหวะของคลื่นลมและเสียงนกนางนวลที่บินเฉียดแนวหาด ก่อนหน้านั้นไม่นาน ทั้งคู่เพิ่งกลิ้งเล่นบนเตียงขาวสะอาดในห้องพัก สะบัดผ้าห่มออกแล้วหัวเราะเบา ๆ กับเสียงเพลงที่เปิดคลอจากลำโพงเล็กบนโต๊ะหัวเตียง


เสี่ยวไป๋ย้ายตัวไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง ร่างสูงโปร่งเอนพิงเก้าอี้ในท่าทางที่ดูเหมือนไม่ใส่ใจ แต่สายตากลับไม่หลุดจากคนที่นั่งอยู่บนเตียง เด็กหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีขาวแบบสบาย ๆ กับขาสั้นสีอ่อนที่ดูขัดกับบุคลิกประจำ แต่กลับกลายเป็นเข้ากันได้มากอย่างน่าแปลก เขาดูสงบในแบบที่ทำให้บรรยากาศในห้องกว้างขึ้นอย่างไม่รู้ตัว


เสี่ยวไป๋เหลือบมองแว่นกันแดดและขวดซันครีมที่วางไว้ข้างตัว ก่อนจะหยิบมาทาทีละนิดด้วยมือข้างเดียว ส่วนอีกข้างก็หยิบโทรศัพท์มาสไลด์ดูแผนที่อย่างเชื่องช้า


“ฉันเห็นตรงนั้นมีร้านขายสร้อยด้วย” เขาพูดขึ้นลอย ๆ ขณะยังทาแขนตัวเองอยู่ “พวกเราไปดูกันมั้ย”


เจบีเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือเล่มบางตรงหน้า สายตาสบกันเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่อีกฝ่ายจะพยักหน้าเบา ๆ แบบไม่พูดอะไร


เสี่ยวไป๋ลุกขึ้นใส่แว่นกันแดดขณะเดินไปหยิบขวดน้ำ แล้วหันมายื่นให้เจบี “ไม่เตรียมอะไรเลย?”


“ผมไม่ได้จะลงน้ำซะหน่อย” เจบีรับน้ำมาแบบงง ๆ แต่ก็เดินตามออกมาเงียบ ๆ


ทางเดินไม้ทอดยาวขนานกับแนวชายหาด เรียงรายด้วยร้านขายของพื้นเมืองและบาร์เล็ก ๆ ที่เปิดเพลงฟังสบาย สายลมเย็นจากทะเลพัดมาปะทะเส้นผมของทั้งคู่ เสี่ยวไป๋เดินช้า ๆ อยู่ข้างเจบี ก่อนจะหยุดชี้ไปยังร้านหนึ่งที่มีสร้อยหอยเรียงรายอยู่บนผ้าปูสีฟ้า


“อันนี้ดูเหมาะกับนาย” เขาหยิบสร้อยเปลือกหอยวงกลมแบนขึ้นมาลองทาบใกล้คอเจบี “สีมันเข้ากับเสื้อเลย”


“คุณแน่ใจนะว่าผมจะไม่ดูเหมือนเด็กหลงทะเลน่ะ?” เจบีมองเขาอย่างไม่เชื่อ


“หลงก็หลงสิ เดี๋ยวฉันตามหาเอง” เสี่ยวไป๋พูดพร้อมยื่นสร้อยให้พนักงานแล้วจ่ายเงินทันทีโดยไม่ฟังคำค้านใด ๆ


“อันนั้นคุณจะใส่เองเหรอครับ?” เจบีถามต่อเมื่ออีกฝ่ายเลือกสร้อยอีกเส้นที่ดูคล้ายกันแต่มีเปลือกหอยคนละแบบ


เสี่ยวไป๋ยักไหล่ แล้วหยิบขึ้นมาสวมให้ตัวเอง “ก็จะได้เป็นเซ็ตคู่ไง”


เจบีทำหน้าจะเถียงแต่ก็ไม่ทันปาก เพราะอีกฝ่ายหยิบสร้อยของเขาขึ้นมาแล้วสวมให้ด้วยตัวเอง


“เอ้า เรียบร้อย” เสี่ยวไป๋พูดขณะจัดสายสร้อยให้เข้าที่ ก่อนจะมองหน้าคนตรงหน้าแล้วนิ่งไปหนึ่งวินาที “ใส่แล้วน่ารักดีนะ”


เจบีหน้าแดงเบา ๆ แต่ก็พยายามกลบด้วยการยกขวดน้ำขึ้นจิบ


“นี่แกล้งผมหรือเปล่าก็ไม่รู้” เขาพึมพำเบา ๆ


“เปล่าซะหน่อย” เสี่ยวไป๋ยิ้มมุมปาก “ฉันก็แค่เลือกของฝากให้ตัวเอง”


“ของฝาก?”


“ก็...ให้นายใส่กลับไปด้วย” เสี่ยวไป๋ยักคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะหันหลังเดินทอดน่องไปตามแนวชายหาดโดยไม่รอคำตอบ


เจบียืนนิ่งไปนิดหนึ่ง มองแผ่นหลังของอีกฝ่ายอยู่พัก ก่อนจะยกมือขึ้นแตะสร้อยหอยที่ห้อยอยู่ตรงอกเบา ๆ สัมผัสเย็นเฉียบจากเปลือกหอยเล็ก ๆ ที่ถูกร้อยด้วยเชือกเส้นบางทำให้ใจเขาสะดุดอย่างแผ่วเบา เขายิ้มจาง ๆ กับตัวเอง แล้วรีบสาวเท้าตามไปข้าง ๆ ราวกับไม่อยากให้ระยะห่างมากไปกว่านี้


แสงสีส้มอมทองของอาทิตย์ยามเย็นทอดตัวเฉียงลงสู่ผิวน้ำอย่างเนิบช้า คลื่นเล็ก ๆ ซัดเข้าหาฝั่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ฟองขาวพริ้วไหวอยู่ตรงปลายเท้าอย่างอ่อนโยน เสียงนกทะเลแว่วมาไกล ๆ เหมือนเพลงประกอบที่ถูกบรรเลงให้กับแค่สองคน


เสี่ยวไป๋เดินนำอยู่เพียงไม่กี่ก้าว เจบีถือขวดน้ำไว้ในมือข้างหนึ่ง ก้มลงหยิบเปลือกหอยรูปทรงประหลาดอีกชิ้นจากริมฝั่งขึ้นมาดู ก่อนจะยัดใส่กระเป๋ากางเกงไปแบบไม่คิดอะไรนัก ราวกับมันเป็นเศษความทรงจำที่ควรเก็บไว้ แม้จะไม่มีราคาค่างวด


“เหนื่อยรึยัง?” เสี่ยวไป๋เอ่ยถามขึ้นอย่างเรียบง่าย ระหว่างที่ทั้งคู่เดินขนาบกันไปช้า ๆ


“ยังครับ” เจบีตอบเสียงเบา หัวคิ้วขยับเล็กน้อยเพราะลมปะทะตา “แต่หิวแล้วนิดหน่อย”


“งั้นเดินอีกนิดก็พอ พักในห้องก่อน เดี๋ยวตอนค่ำค่อยออกมาใหม่”


เจบีพยักหน้าเบา ๆ ไม่ได้ขัดอะไร เดินต่ออีกเพียงไม่กี่ก้าว ก่อนจะเหลือบมองคนข้างตัวที่ยื่นมือไปรับลมทะเลเหมือนเด็ก ๆ พร้อมกับหยิบหินแบนก้อนเล็กโยนลงไปให้เด้งน้ำเล่นอยู่หนึ่งที


เสียงน้ำกระเซ็นเบา ๆ ดังขึ้น ก่อนทั้งคู่จะเลี้ยวเข้าสู่ถนนเล็ก ๆ ที่ปูด้วยหิน เป็นทางเดินที่ทอดยาวเข้าสู่รีสอร์ตริมชายหาดเงียบสงบ รอบข้างเต็มไปด้วยต้นไม้เตี้ย ๆ และกลิ่นแดดยามบ่ายปลายวัน


ทันทีที่กลับถึงห้อง เจบีก็ทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างไม่รีรอ ส่วนเสี่ยวไป๋เดินตรงไปเปิดม่านกว้าง ปล่อยให้แสงเย็นของพระอาทิตย์ที่กำลังลดระดับอาบผนังห้องจนกลายเป็นสีทองอ่อน เขายืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาถามเสียงเรียบแต่ไม่เย็นว่า


“อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย”


คำตอบจากเจบีมีแค่การส่ายหน้าเบา ๆ กับเสียงพึมพำผ่านริมฝีปากที่แทบไม่ขยับว่า “อะไรก็ได้ครับ”


เสี่ยวไป๋แค่หัวเราะเบา ๆ แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดจองโต๊ะล่วงหน้าให้ร้านอาหารริมทะเลที่อยู่ห่างออกไปเพียงแค่เดินไม่ถึงห้านาที


หนึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งคู่เดินออกจากห้องพักอีกครั้ง คราวนี้เจบีใส่เชิ้ตผ้าลินินบางเบา กับกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลอ่อน ส่วนเสี่ยวไป๋ไม่เปลี่ยนอะไรมากนัก เพียงแต่ถอดเสื้อคลุมทิ้งไว้แล้วเหลือแค่เสื้อยืดเรียบสีเข้มที่พอดีตัว


โต๊ะไม้ริมชายหาดที่เสี่ยวไป๋จองไว้ตั้งอยู่ใต้ร่มผ้าใบเล็ก ๆ มีตะเกียงน้ำมันจุดอยู่ตรงกลาง โต๊ะอีกสองสามตัวข้าง ๆ ถูกจับจองแล้วเช่นกัน แต่บรรยากาศไม่ได้วุ่นวายเลย ลมทะเลเย็นสบายพัดเอากลิ่นเกลือปนกลิ่นแสงแดดยามเย็นโชยเข้าจาง ๆ


เจบีนั่งลงก่อนเป็นคนแรก ค่อย ๆ ล้วงเปลือกหอยจากกระเป๋ากางเกงออกมาทีละชิ้น แล้ววางเรียงไว้หน้าตัวเองราวกับตั้งโชว์


“สะสมหรอ?” เสี่ยวไป๋ถามขำ ๆ ขณะหยิบเมนูขึ้นมาดู


“ก็ไม่เชิง แค่...รู้สึกว่ารูปทรงพวกนี้มันดูน่าจำ” เจบีตอบเรียบ ๆ มือยังลูบผ่านเปลือกหอยชิ้นหนึ่งไปมา


“เหมือนใครบางคน” เสี่ยวไป๋พึมพำไม่ดังนัก แต่เจบีก็ไม่ได้ทำเหมือนได้ยินอะไร


พนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟในเวลาไม่นาน มีทั้งจานยำทะเลสดที่ดูแปลกตา กุ้งย่างตัวโตกับซอสสมุนไพร และข้าวอบที่มีกลิ่นหอมจาง ๆ ของกระเทียมกับเลมอน


เจบียิ้มเล็กน้อยขณะตักอาหารใส่จานให้ตัวเอง ส่วนเสี่ยวไป๋ก็ไม่พูดอะไรมากเหมือนเคย เขาเพียงแค่นั่งมองอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ ระหว่างกัดกุ้งคำที่สาม


“มันก็ดีเหมือนกันนะครับ” เจบีพูดขึ้นในจังหวะหนึ่ง มองตรงไปยังทะเลที่สะท้อนแสงระยิบ


เสี่ยวไป๋หันไปมองหน้าเขาชั่วครู่ “อะไร?”


“การได้หยุดคิดเรื่องทุกอย่าง...แค่ชั่วคราว” เขาตอบโดยไม่ละสายตา มุมปากยังมีรอยยิ้มบาง ๆ ติดอยู่


เสี่ยวไป๋พยักหน้าเบา ๆ เหมือนเป็นการตอบรับแบบไม่ต้องพูดอะไรอีก เขาหยิบแก้วน้ำส้มขึ้นดื่มเงียบ ๆ แล้ววางลงก่อนจะมองออกไปยังทะเลไกล ๆ เหมือนกัน


...






แสงไฟในห้องพักเปลี่ยนเป็นโหมดอุ่นโดยอัตโนมัติเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ผ้าม่านขาวปลิวไหวในลมทะเลยามค่ำ กลิ่นเกลือจาง ๆ ยังติดอยู่ปลายจมูก


เสียงคลื่นลูบชายหาดอย่างสม่ำเสมอ ขับกล่อมให้บรรยากาศทั้งห้องเหมือนห่อหุ้มด้วยเสียงเพลงธรรมชาติที่ไม่มีวันจบ


เจบีนั่งอยู่ที่ปลายเตียง มือถือยังคาอยู่ในมือแต่หน้าจอดับไปนานแล้ว ดวงตาเขามองทะลุออกไปยังขอบฟ้า ไม่ได้จ้องอะไรเป็นพิเศษ เหมือนปล่อยความคิดให้ลอยไปตามเสียงคลื่น


เสี่ยวไป๋เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ ตัวหมาดจากการอาบน้ำกับเสื้อยืดตัวบางสีเทาอ่อนทำให้ดูเป็นเวอร์ชันที่ผ่อนคลายที่สุดในรอบหลายสัปดาห์ เขาเดินตรงมานั่งลงข้าง ๆ เจบีโดยไม่พูดอะไร มือยังค่อย ๆ ถูผ้าบนเส้นผมของตัวเองเงียบ ๆ


“ขอบคุณนะครับ” เจบีพูดเบา ๆ สายตายังไม่ละไปจากหน้าต่าง


เสี่ยวไป๋หยุดมือลงชั่วครู่ แล้วหันมามองข้างแก้มของเขา


“ขอบคุณอะไร?”


“ที่พามาเที่ยว แล้วก็...อยู่ข้าง ๆ กัน”


เสี่ยวไป๋เงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปดึงหมอนใบเล็กมาหนุนตักตัวเอง แล้วเอียงหน้ามองเจบีจากมุมต่ำ


“นายนี่ชอบพูดอะไรทำให้ฉันงงอยู่เรื่อย”


เจบีหลุดหัวเราะในลำคอเบา ๆ “แค่วันนี้ผมรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย เลยอยากบอก”


เสี่ยวไป๋ไม่ได้ตอบในทันที เขาเอื้อมมือมาแตะหลังมือของเจบีเบา ๆ ก่อนพูดเสียงนุ่ม “นายไม่ต้องรีบกลับไปที่ไหนทั้งนั้น ถ้ายังไม่อยากกลับ”


เจบีหันมาสบตาเขาครู่หนึ่ง เงียบไปเหมือนกำลังครุ่นคิดกับบางอย่างในใจ แล้วค่อย ๆ พยักหน้าเบา ๆ แทนคำตอบ


เสี่ยวไป๋มองเขาเงียบ ๆ อยู่ชั่ววินาที แววตานิ่งสงบ แต่ลึกเกินจะอ่านออก จากนั้นจึงลุกขึ้น เดินไปที่มุมห้องโดยไม่ออกเสียง ลำโพงบลูทูธสีดำด้านเล็ก ๆ ถูกเปิดขึ้น เสียงกีตาร์อะคูสติกจังหวะช้า ละมุนเหมือนเสียงกระซิบดังลอยออกมาในอากาศ


แสงไฟจากหัวเตียงถูกหรี่ลงจนเกือบกลืนไปกับความมืด เหลือเพียงประกายอุ่นสีส้มอ่อนที่ส่องแผ่วลงบนปลายเตียง ผ้าม่านขาวบางปลิวไหวตามแรงลมทะเลที่ลอดผ่านเข้ามาทางประตูกระจก เปิดให้เห็นแนวโคมไฟเล็ก ๆ ที่เรียงรายตลอดชายหาด เปล่งแสงนิ่งเงียบราวกับรอใครบางคนเดินผ่านมา


เสี่ยวไป๋กลับมานั่งที่ขอบเตียง เอนตัวลงช้า ๆ อย่างคนที่ไม่ได้เหนื่อยกาย...แต่เหนื่อยใจกว่าอะไรทั้งหมด เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมท่อนล่างหลวม ๆ แบบที่ไม่ได้ต้องการความอบอุ่นนัก


เจบีนอนตะแคงอยู่ข้าง ๆ หันหน้าออกไปทางหน้าต่างที่เปิดสู่ทะเล เสียงคลื่นซัดฝั่งดังแผ่วเหมือนกล่อมอยู่ห่าง ๆ ดวงตากึ่งปิดราวกับกำลังครุ่นคิดมากกว่าหลับจริง มือข้างหนึ่งวางอยู่บนผ้าห่ม ขยับน้อย ๆ ตามจังหวะหายใจ


เงียบไปครู่หนึ่ง เสี่ยวไป๋เอื้อมมือออกไปช้า ๆ แตะแผ่วเบาที่ปลายนิ้วของเจบี ไม่ได้จับ ไม่ได้เรียก...แค่แตะไว้ ให้รู้ว่ายังอยู่ตรงนี้ ไม่ได้หายไปไหน


เจบีไม่ได้ขยับ แต่ปลายนิ้วเขาก็ขยับกลับเล็กน้อย ราวกับรับรู้สัญญาณนั้นอย่างเงียบ ๆ


เสียงกีตาร์ยังคงบรรเลงต่ออย่างเนิบนิ่ง ไม่มีเนื้อร้อง ไม่มีคำสัญญา มีเพียงจังหวะเงียบ ๆ ที่สื่อสารกันด้วยปลายนิ้ว


เสียงผ้าปูเตียงขยับเบา ๆ ตามน้ำหนักตัวของเสี่ยวไป๋ที่พลิกตัว ก่อนที่เขาจะยื่นมือออกไปแตะหลังมือเจบีอย่างแผ่วเบา


“ยังไม่นอนอีกเหรอ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มดังอยู่ข้างหู


เจบีพึมพำเบา ๆ “ก็กำลังจะหลับ...ถ้าคุณไม่พูดน่ะครับ”


“กวนเหรอ”


“นิดนึงครับ” เขาหลุดยิ้มมุมปากแบบกลั้นไว้ แต่ไม่หันไปมอง


เสี่ยวไป๋หัวเราะเบา ๆ แล้วขยับเข้ามาใกล้จนไหล่แตะกันใต้ผ้าห่ม เจบีไม่ได้หลบ เขาปล่อยให้เป็นแบบนั้น


เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเสี่ยวไป๋จะพูดต่อ “นายรู้มั้ยว่าฉันนอนคนเดียวไม่ค่อยหลับ”


“แล้วผมช่วยอะไรได้ครับ?”


“แค่นอนอยู่ข้าง ๆ แบบนี้ก็พอแล้ว”


เจบีหลุดหัวเราะ “คุณนี่มัน…”


เขาไม่ได้พูดต่อ แต่กลับเป็นฝ่ายขยับผ้าห่มให้คลุมไหล่เสี่ยวไป๋มากขึ้นนิดหนึ่ง แถมยังยอมขยับเข้าไปใกล้ขึ้นอีกเล็กน้อยเหมือนไม่ตั้งใจ


เสี่ยวไป๋มองเขาเงียบ ๆ ก่อนจะเอนหน้าผากลงไปแตะต้นแขนอีกฝ่ายเบา ๆ


“งั้นคืนนี้ขอหลับก่อนนะ ถ้านายหายไปตอนตื่นขึ้นมา ฉันจะงอนมาก”


“ครับ” เจบีพยักหน้าเบา ๆ “แต่ผมก็ไม่ได้นอนดิ้นขนาดนั้นนะ”


“ฉันหมายถึงหายไปจากที่นี่เลยต่างหาก”


เจบีเงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนจะกระซิบตอบแผ่ว ๆ


“…จะอยู่ตรงนี้แหละครับ จนกว่าคุณจะตื่น”


เสี่ยวไป๋ยิ้มบาง ๆ ดึงมืออีกข้างขึ้นเกลี่ยผมที่ปรกหน้าผากของเจบีเบา ๆ แล้วกระซิบตอบ


“ฝันดีนะ”


เจบีไม่ได้ตอบอะไรอีก ร่างเล็กขยับชิดเข้าไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลง พร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ ที่ยังติดอยู่ตรงมุมปาก









แสงแดดอ่อน ๆ สาดเข้ามาทางกระจกบานใหญ่แบบไม่เกรงใจผ้าม่านขาวที่ปลิวอยู่ข้าง ๆ เสียงคลื่นยังคงซัดฝั่งเป็นจังหวะ และนกทะเลก็บินวนอยู่ไกล ๆ เหนือแนวเส้นขอบฟ้า


บนเตียงใหญ่กลางห้อง เจบีขยับตัวพลิกไปมาอยู่สองสามครั้งก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาอย่างงัวเงีย รู้สึกถึงอะไรบางอย่างหนัก ๆ พาดอยู่บนหน้าอก


เขาก้มลงมอง…แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่


“คุณนอนดิ้นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ…”


เสี่ยวไป๋นอนหงายทับเขาอยู่ครึ่งตัว แขนข้างหนึ่งก่ายข้ามเจบีมาจนแน่น ส่วนขาอีกข้างก็คือพาดแบบไม่เกรงใจคนตัวเล็กกว่าแม้แต่นิด ราวกับใช้เจบีเป็นหมอนข้างขนาดยักษ์


“อื้อ…” เสียงครางงัวเงียในลำคอของอีกฝ่ายดังขึ้นมาแบบไร้สำนึก “เงียบหน่อย ฉันยังไม่ตื่น”


“แต่คุณนอนทับผมอยู่”


“ก็กำลังนอนดี ๆ เลยนี่”


เจบีหลุดหัวเราะในลำคอ แต่พยายามขยับตัวออกอย่างเบา ๆ แน่นอนว่าทำไม่ได้ เพราะเสี่ยวไป๋ขยับมาซุกหน้าใกล้ขึ้นอีก จนผมของเขาฟูใส่คางเจบี


“คุณรู้ตัวไหมว่ากำลังทำให้ผมกลายเป็นหมอนข้างอยู่”


“ก็ดีแล้วนี่…” อีกฝ่ายพูดงึมงำ แต่ไม่ลืมตา “หมอนข้างผมมันมีหัวใจ”


“เฮ้อ…” เจบีถอนหายใจหนักขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้ผลักออก เขาแค่ปล่อยให้แขนตัวเองตกข้างเตียง แล้วพูดเบา ๆ เหมือนจะพึมพำกับลมทะเล


“นี่ยังไม่เจ็ดโมงครึ่งเลย…ทำไมผมถึงรู้สึกเหนื่อยเหมือนผ่านศึกมาแล้วทั้งคืนเนี่ย…”


เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นข้างใบหู เสี่ยวไป๋ลืมตาข้างหนึ่งขึ้นมามองเขานิดหน่อย “งั้นก็หลับต่อกับฉันสิ”


“แต่ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในท่านอนที่มนุษย์ควรจะนอนนะครับ”


“ก็เปลี่ยนเป็นหมอนข้างถาวรไปเลยสิ จะได้ไม่ต้องบ่น”


เจบียิ้มทั้งที่หงุดหงิด “ขอบคุณครับ แต่ผมขอเลือกเป็นมนุษย์ต่อไปก่อน”


เสี่ยวไป๋หัวเราะเบา ๆ แล้วค่อย ๆ ขยับตัวลงจากเจบีในที่สุด แต่ก่อนจะลุกไปไหน กลับก้มลงแนบหน้าผากกับเจบีเบา ๆ


“ขอบคุณที่ไม่เตะฉันตกเตียงเมื่อคืน”


“ความจริงผมก็ลังเลอยู่นะครับ…”






นายกสโมสร

กระทู้
28
พลังน้ำใจ
181451
Zenny
183946
ออนไลน์
30355 ชั่วโมง
โพสต์ 5 ชั่วโมงที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด

นายกสโมสร

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
259308
Zenny
103920
ออนไลน์
19837 ชั่วโมง
โพสต์ 5 ชั่วโมงที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด
สนุกมากครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | สมัครเข้าเรียน

รายละเอียดเครดิต

A Touch of Friendship: สังคมจะน่าอยู่ เมื่อมีผู้ให้แบ่งปัน ฝากไวเป็นข้อคิดด้วยนะคะชาวจีโฟกายทุกท่าน
!!!!!โปรดหยุด!!!!! : พฤติกรรมการโพสมั่วๆ / โพสแต่อีโมโดยไม่มีข้อความประกอบการโพส / โพสลากอักษรยาว เช่น ครับบบบบบบบบ, ชอบบบบบบบบ, thxxxxxxxx, และอื่นๆที่ดูแล้วน่ารำคาญสายตา เพราะถ้าท่านไม่หยุดทีมงานจะหยุดท่านเอง
ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่านโปรดโพสตอบอย่างอื่นนอกเหนือจากคำว่า ขอบคุณ, thanks, thank you, หรืออื่นๆที่สื่อความหมายว่าขอบคุณเพียงอย่างเดียวด้วยนะคะ เพื่อสื่อถึงความจริงใจในการโพสตอบกระทู้ และไม่ดูเป็นโพสขยะ
กระทู้ไหนที่ไม่ใช่กระทู้ในลักษณะที่ต้องโพสตอบโดยใช้คำว่าขอบคุณ เช่นกระทู้โพล, กระทู้ถามความเห็น, หรืออื่นๆที่ทีมงานอ่านแล้วเข้าข่ายว่า โพสขอบคุณไร้สาระ ทีมงานขอดำเนินการตัดคะแนน และ/หรือให้ใบเตือนสมาชิกที่โพสขอบคุณทันทีที่เจอนะคะ

รูปแบบข้อความล้วน|โทรศัพท์มือถือ|ติดต่อลงโฆษณา|จีโฟกายดอทคอม

ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บจีโฟกายดอทคอมนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ หากท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศิลธรรม ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link “แจ้งลบโพสนี้” ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือ ลืมพาสเวิดล๊อกอิน/ลืมชื่อที่ใช้สมัคร หรือข้อสงสัยใดๆแจ้งมาที่ G4GuysTeam[at]yahoo.com ขอขอบพระคุณที่ให้ความร่วมมือ

กรณีที่ข้อความ/รูปภาพในกระทู้นี้จัดสร้างโดยผู้ลงข้อมูลเอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้ลงข้อมูลโดยตรง หากจะทำการคัดลอก/เผยแพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ลงข้อมูลก่อนนะคะ หรือลงที่มาไว้ด้วยค่ะ

©ขอสงวนสิทธิ์คอนเซ็ปต์,คำอธิบาย,หัวข้อ/หมวดหมู่เว็บ ห้ามลอกเลียนแบบ คิดเอาเองนะคะอย่าเอาแต่ลอก

GMT+7, 2025-7-1 15:17 , Processed in 0.102331 second(s), 26 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.8

© 2001-2025 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้