แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-5-23 13:55
ณ ดินแดนที่แบ่งแยกด้วยเขตแดนและศักดิ์ศรี
“เมืองมนต์” คือบุตรชายผู้เลอโฉมของท่านเจ้าเมืองแห่งนครริมฝั่งน้ำ ผู้เติบโตท่ามกลางศิลปะ ขันหมาก และการเมือง เขาไม่เคยรู้จักคำว่า “แพ้” ทั้งในฐานะทายาทผู้ถูกเลือก หรือในหัวใจของผู้คนที่เฝ้ามอง
กระทั่งวันหนึ่ง...เมืองแห่งศัตรูแตกพ่าย
ทัพของบิดานำตัว “แสนคราม” เชลยศึกจากแดนเหนือ มาคุมขังไว้ในคุกใต้ดิน
กลิ่นชื้นอับของหินเก่า เสียงหยดน้ำที่ตกกระทบพื้นเป็นจังหวะ แสนครามนั่งนิ่งอยู่มุมห้องขัง ร่างสูงในเสื้อผ้าฉีกขาดเปื้อนเลือดแห้ง เงียบงันราวรูปสลักในเงามืด ดวงตาเรียบเฉยทอดผ่านซี่ลูกกรงออกไปยังแสงเพียงน้อยนิดที่ลอดเข้ามา
ไม่มีเสียงร้องโอดครวญ ไม่มีเสียงโกรธแค้น มีเพียงลมหายใจที่ยังคงมีอยู่...และดวงตาคู่นั้น ที่เหมือนลืมไปแล้วว่าจะต้องแสดงอารมณ์อย่างไร
“อ้ายเชลย...จากนักรบแดนเหนือ กลายเป็นของเล่นในกรงสุนัขเสียแล้ว”
เสียงหัวเราะเยาะเย้ยจากทหารยามหน้าห้องขังไม่สะกิดให้เขาแม้แต่กระพริบตา เพียงแต่เลื่อนสายตามองผ่านด้วยแววตาไร้แสง
อีกไม่นาน...ค่ำนี้เขาจะถูกบังคับให้ออกไปต่อสู้กลางลานหลวงอีกครั้ง เพื่อความบันเทิงของชนชั้นสูง
แต่ก่อนแสงตะวันจะลับขอบฟ้า บานประตูไม้หนักกลับเปิดออก เสียงฝีเท้านิ่งและกลิ่นหอมจาง ๆ ของอบเชยจากเสื้อคลุมชั้นดีลอยมาก่อนตัว
ชายหนุ่มผู้มาใหม่ยืนอยู่ตรงหน้าในอาภรณ์สีครามอ่อน ชายผ้าปักลายเมฆทองสะท้อนแสงคบไฟระยิบระยับ ดวงหน้างามคมเฉียบในแบบผู้สูงศักดิ์ หยุดยืนอยู่หน้าห้องขังอย่างเงียบงัน
เมืองมนต์ บุตรชายเพียงหนึ่งของท่านเจ้าเมือง
“นี่หรือ คือเชลยศึกผู้ล้มยอดมวยห้าคนในคืนเดียว”
เสียงของเขานุ่ม ทว่ายากจะหยั่งถึง
“ข้าคิดไว้ว่าเจ้าคงจะตัวใหญ่กว่านี้เสียอีก”
แสนครามยังคงเงียบ
นัยน์ตาไม่วาววับ ไม่หวาดหวั่น ไม่ไหวเอน
เมืองมนต์ก้มหน้าลงนิดหนึ่ง ริมฝีปากยกยิ้มบาง
“หรือเจ้ากำลังรอให้ข้าสั่งให้เจ้า ‘เห่า’ เสียก่อน”
ทหารสองคนหัวเราะตามคำพูดนั้น
แสนครามยังนิ่ง...แต่ครั้งนี้ เขาหลุบตาต่ำลงช้า ๆ ราวกับยอมรับชะตากรรมโดยไม่แสดงความขัดขืนใด
…และนั่นคือจุดที่ทำให้เมืองมนต์เงียบไป
มีบางอย่างในท่าทีของชายผู้นี้ที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
ไม่ใช่เพราะความดื้อรั้น ไม่ใช่เพราะความแข็งขืน
แต่เพราะ...ความเงียบที่ไม่ปริปากนั้น ดูเหมือน “ความรู้สึกสูญสิ้น” มากกว่าความอ่อนแอ
“ยกเลิกการประลองคืนนี้”
เมืองมนต์หันไปสั่งทหาร
“ส่งเขามาให้ข้า — ข้าจะเอาไว้ใช้เอง”
คฤหาสน์เรือนใน | ยามค่ำ
เสียงเปิดประตูบานไม้เบา ๆ ดังขึ้น ก่อนที่ทหารสองนายจะนำร่างของเชลยศึกเข้ามาเงียบ ๆ ในเรือนชั้นในที่เป็นเขตหวงห้ามที่สุดในรั้วเจ้าเมือง
แสนคราม ถูกถอดโซ่ตรวนแล้ว แม้จะยังมีเชือกมัดแน่นรอบข้อมือแต่ก็ไม่ถูกลากเหมือนสัตว์อย่างเช่นวันที่โดนจับได้ใหม่ ๆ เสียงฝีเท้าเขาเบา ราบเรียบอย่างไม่รีบร้อน ไม่หวาดกลัว
ตรงกลางห้องเรือน มีอ่างน้ำไม้หอมอุ่นไอจาง ๆ อยู่
ข้างอ่าง มีชายหนุ่มในอาภรณ์สีอ่อนกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ใต้แสงตะเกียงไฟ
เมืองมนต์วางตำราลงช้า ๆ หันมามองชายแปลกหน้าด้วยแววตาเรียบนิ่ง ก่อนจะเอ่ยเบา
“ข้าไม่ชอบกลิ่นเลือดในห้องนี้… อาบน้ำเสียก่อน แล้วค่อยมาเฝ้าข้า”
ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีคำขู่ ไม่มีความอ่อนโยน
...แต่ทุกคำพูดคือคำสั่ง
แสนครามเหลือบมองอ่าง ไม่พูดสักคำ
เขาไม่เคยถอดเสื้อผ้าต่อหน้าผู้อื่น ไม่ใช่เพราะอาย
แต่เพราะบนแผ่นหลังของเขา...มี “ตราสัญลักษณ์” ของเผ่าศัตรู ที่เขาไม่อยากให้ใครเห็นอีก
เขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปปลดเสื้อผ้าช้า ๆ เผยให้เห็นรอยแผลและกล้ามเนื้อแน่นตึงที่เต็มไปด้วยร่องรอยของการต่อสู้
เมืองมนต์เงียบไป
เขาไม่ได้สนใจในกายเปลือยเปล่าของแสนครามอย่างที่ใครอาจคาด แต่กลับมองรอยแผลนั้น...ด้วยแววตาที่เหมือนสงสัยอยู่ลึก ๆ
“เจ้าสู้จนได้มาทั้งแผ่นดิน”
เมืองมนต์เอ่ยเสียงเบา
“แต่สุดท้ายกลับถูกจับได้ เพราะยอมให้คนของเจ้าหนีไปก่อน ใช่หรือไม่”
แสนครามไม่ตอบ
แต่มือที่วักน้ำขึ้นลูบหน้า…หยุดชะงักวินาทีนั้นพอดี
เมืองมนต์ยิ้มน้อย ๆ ราวกับคำตอบนั้นอยู่ในความเงียบ
“ใจอ่อน...แต่ฝีมือเด็ดขาด เจ้านี่ขัดกับตัวเองดีนัก”
เสียงน้ำยังคงไหลเบา ๆ
บรรยากาศในห้องเหมือนถูกดูดกลืนโดยไออุ่นจากอ่างไม้
เมืองมนต์ลุกขึ้น เดินเข้ามาช้า ๆ แล้ววางชุดผ้าบางไว้บนเก้าอี้ใกล้ ๆ
“คืนนี้ไม่ต้องนอนคุก ข้าให้เจ้าพักที่ห้องเฝ้าเรือนด้านใน”
“และอย่าลืม” เขาหยุดยืนหน้าบานประตู
“ตั้งแต่คืนนี้ไป—เจ้าไม่ใช่เชลยของเจ้าเมือง...แต่เป็น ของข้า คนเดียว”
ประตูปิดลงช้า ๆ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นอบเชยเจือจาง และน้ำในอ่างที่เริ่มเย็นลงทีละน้อย
ยามสอง | เรือนเฝ้าด้านใน
บานหน้าต่างไม้บางบานสั่นเบา ๆ ตามแรงลมยามดึก แสงจากตะเกียงผนังส่องสว่างอยู่เพียงมุมเดียวในห้อง ส่วนที่เหลือเต็มไปด้วยเงาอ่อน เงาแข็ง เงาที่ไหลไปตามการเคลื่อนไหวของเปลวไฟ
บนฟูกพื้นเรียบปูด้วยเสื่ออย่างดี แสนคราม นอนนิ่ง ไม่ได้หลับสนิทนัก
แม้ดวงตาจะปิดลง แต่กล้ามเนื้อยังตรึงเครียด หายใจสม่ำเสมอในจังหวะที่ฝึกมานาน
เขาคุ้นชินกับการเฝ้าระวัง แม้ในฝัน
บาดแผลที่สีข้างถูกพันอย่างลวก ๆ ด้วยเศษผ้า
มันไม่ได้ลึกพอให้สาหัส...แต่เจ็บพอจะรบกวนใจ
เสียงประตูเลื่อนเบา ๆ ดังขึ้น
เขาขยับนิ้วโดยสัญชาตญาณ
แต่ไม่ลุกขึ้น ไม่เปิดตา
เสียงฝีเท้า...เบา ช้า และมั่นคง
ไม่ใช่ของทหาร
กลิ่นอบเชยแตะปลายจมูกอีกครั้งหนึ่ง
เมืองมนต์ย่อตัวลงข้างฟูกเงียบ ๆ มือเรียวถือถาดไม้ใบเล็กที่มีผ้ากอซ น้ำสมุนไพร และกล่องทองแดงใส่เข็มด้ายสำหรับเย็บบาดแผล
เขาจ้องใบหน้าที่เงียบเหมือนหลับสนิทนั้น
ริมฝีปากบางเม้มแน่นเบา ๆ คล้ายชั่งใจ
...ก่อนจะค่อย ๆ เอื้อมมือไปแตะชายเสื้อผ้าที่แสนครามยังสวมไว้หลวม ๆ
“ข้าไม่เคยแตะตัวเชลยด้วยมือข้าเองหรอกนะ…”
เสียงกระซิบเบาราวลมหายใจ
“เจ้าคือคนแรก”
เขาไม่รู้ว่าอยากให้แสนครามตื่นขึ้นมา หรือหลับให้ลึกกว่านี้กันแน่
มือเรียวแหวกผ้าช้า ๆ อย่างระวัง ดวงตาเรียวคู่นั้นไล่สายตามองรอยช้ำที่กระเพื่อมตามจังหวะหายใจ สัมผัสความร้อนที่ไม่ใช่แค่จากบาดแผล...แต่จากผิวเนื้อที่ยังมีชีวิต
เมืองมนต์เคยเห็นทหารล้มตายนับร้อย โดยไม่รู้สึกอะไรเลย…แต่ไม่เคยอยากให้ใครมีชีวิตอยู่ต่อเท่ากับชายตรงหน้านี้มาก่อน
เขาจุ่มผ้าลงน้ำสมุนไพร บิดเบา ๆ แล้วกดลงตรงขอบแผล แล้วก็ต้องหยุดมือชั่ววินาที
...เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้น ไม่ได้หลับจริง
“เจ้าตื่นอยู่ใช่ไหม”
แสนครามไม่ตอบ แต่เปลือกตาขยับเล็กน้อยเหมือนยอมรับ
เมืองมนต์ถอนหายใจบางเบา
“ข้าจะเย็บแผล...ไม่ต้องขยับ”
ไม่มีเสียงปฏิเสธ ไม่มีคำยินยอม
แต่เรือนร่างนั้น...ปล่อยให้เขาทำตามใจ
เข็มแทงผ่านผิวเนื้ออย่างแม่นยำ ด้ายสีอ่อนถูกดึงผ่าน
มือของเมืองมนต์มั่นคงเกินกว่าที่เจ้าตัวคาด
แสนครามไม่ร้อง ไม่สะดุ้งแม้แต่ครั้งเดียว
“ข้ารู้ว่าเจ้าฝึกมาจนชินกับความเจ็บ”
เมืองมนต์พูดเบา ๆ พลางปาดเลือดซึม
“แต่ไม่ใช่ทุกแผลที่ควรอดทนไว้คนเดียว”
เงียบ
จนเมื่อเขาดึงเข็มสุดท้ายผ่านและผูกปมเสร็จ
เมืองมนต์กลับไม่ขยับออกห่างอย่างควรจะทำ
แต่กลับนั่งนิ่ง ราวกับเฝ้าดูบางอย่าง
สายตาคู่นั้นสบกับนัยน์ตาของแสนครามที่ลืมตาขึ้นอย่างเงียบงัน
“เจ้ามองข้าอย่างไรในใจ…” เมืองมนต์ถาม
“ในฐานะศัตรู? หรือนายของเจ้า?”
ไม่มีคำตอบ
แต่ดวงตานั้น...ไม่เคยสั่นไหว
“ข้าจะถามใหม่…”
เสียงเมืองมนต์แผ่วลง
“เจ้าคิดจะหนีไหม ถ้าข้าเผลอ”
แสนครามกระพริบตาช้า ๆ
ก่อนจะส่ายหน้าเพียงครั้งเดียว
“เพราะข้าไม่เผลอ...หรือเพราะเจ้าไม่อยากไป”
เงียบงันอีกครา
เมืองมนต์ยิ้มจาง ๆ
“เจ้านี่มัน…อันตรายยิ่งกว่าที่ข้าคิดเสียอีก”
เขาลุกขึ้น หยิบถาดกลับไปโดยไม่พูดอะไรอีก
ปล่อยให้แสนครามนอนอยู่ในห้องนั้น
ราวกับในยามเงียบงัน
ใจของทั้งสอง...กลับเต้นเสียงดังที่สุด
ยามเช้า | ชานค่ายริมป่าเขตทิศตะวันตก
แสงแดดบางเบาแทรกผ่านม่านหมอกเช้าตรู่ ทาบลงบนผืนหญ้าชื้นน้ำค้าง เสียงลมหอแรกของวันพัดผ่านยอดไม้แผ่วเบา พอให้พวกทหารที่ตามมาด้วยต้องยกมือปัดผ้าคลุมคอ
เมืองมนต์ ยืนอยู่ข้างม้าสีขาวสะอาด ดวงตาเรียบเฉยทอดมองเข้าไปในแนวป่าที่ทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา เขาไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่เดินทางออกมาจากเรือนในตอนฟ้ายังไม่สาง
ล่าสัตว์...ไม่เคยอยู่ในสิ่งที่เขารัก
แต่หากจะเป็นเจ้าเมือง เขาต้องแสดงให้เห็น—“ความกล้า”, “ความรอบรู้” และ “ศิลปะการเอาตัวรอด”
แม้มันจะแล้งน้ำใจและกลวงเปล่าขนาดไหนก็ตาม
เสียงกีบม้าเคลื่อนเข้าใกล้ เขาไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเป็นใคร
แสนคราม ขี่ม้ามาด้านข้าง ร่างสูงใหญ่ในชุดนักล่าฝีมือช่างจากคลังหลวง เสื้อคลุมหนังสีเข้มพาดไหล่ลู่ไปตามท่วงท่าอันมั่นคง ช่วงอกและไหล่เปลือยบางส่วน เผยให้เห็นผิวแทนเข้มและมัดกล้ามที่แน่นตึงขยับตามจังหวะของม้า
...ไม่เหลือเค้าเดิมของชายในคุกเมื่อคืน
เมืองมนต์เหลือบตามองเพียงชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยอย่างเรียบเฉย
“เจ้าขี่ม้าเป็น”
แสนครามไม่ตอบ แค่พยักหน้าน้อย ๆ
เสียงอานหนังขยับเบาเมื่อเขาดึงบังเหียนให้อยู่เคียงกัน
“พวกเขาจะตามห่าง ๆ”
เมืองมนต์หันไปพูดกับทหารองครักษ์อีกสองนาย
“วันนี้...ข้าไม่ใช่เจ้าเมือง เจ้าไม่ใช่เชลย
ถ้าข้าถูกสัตว์ร้ายขย้ำ เจ้าจะช่วยหรือไม่...ก็ตามใจ”
คำพูดนั้นเรียบเหมือนไม่ได้ติดอารมณ์ใด
แต่พอหางเสียงหายไปในลมเย็น แสนครามกลับขยับตัวเล็กน้อย
สายตานิ่งเฉียบหันมาสบกับเขาเพียงครู่เดียว ก่อนจะพูดคำแรกของเช้านี้ด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำ
“ถ้าท่านตาย...ข้าเองก็ไม่รอด”
เมืองมนต์ชะงักไปวินาทีหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหนี ริมฝีปากยกยิ้มจาง ๆ โดยไม่รู้ตัว
คำพูดนั้น...ฟังดูไม่มีอะไร
แต่ไม่รู้เพราะอะไร กลับทำให้ลมหายใจเช้านี้อบอุ่นขึ้นเล็กน้อย
ม้าสองตัวเริ่มเคลื่อนลึกเข้าไปในแนวป่า
เสียงกรอบแกรบของใบไม้ใต้กีบดังตามจังหวะก้าว
เงาของเมืองมนต์และแสนครามซ้อนทับกันบนพื้นหญ้าเหมือนจะกลืนเป็นแถบเดียวกัน
เสียงนกป่ากู่ร้องเป็นระยะ กลืนไปกับเสียงใบไม้ไหวในลมสูง พวกเขาลงจากหลังม้าไว้ในจุดพัก แล้วเดินเท้าลึกเข้ามาในแนวป่าเพื่อลดเสียงรบกวน
เมืองมนต์เดินนำอยู่ไม่ห่างนัก ท่าทีมั่นคง แม้ในมือจะถือธนูที่เขาไม่ถนัดนักก็ตาม
สายตาเขากวาดไปรอบด้านอย่างระวัง
ข้างหลัง แสนครามเดินช้าแต่แนบสนิทกับผืนป่า ร่างสูงขยับเงียบกว่าทหารคนใดที่เมืองมนต์เคยเห็น
บรรยากาศยามสายเริ่มร้อนขึ้น
แต่ภายในยังเยือกเย็น
ความนิ่งของชายผู้นั้น...ทำให้เสียงหัวใจของเมืองมนต์เงียบลงอย่างประหลาด
“ตรงนั้น...” เมืองมนต์กระซิบขณะย่อตัวหลบกิ่งไม้
เขาชี้ไปยังจุดหนึ่งที่มีรอยเท้าขนาดใหญ่จาง ๆ บนผืนดิน
“กวางป่าหรือไม่”
แสนครามก้มมอง ริมฝีปากขยับเบา
“…ไม่ใช่”
เขาเงยหน้าขึ้น
“เสือ”
เมืองมนต์ชะงัก
แค่พริบตาเดียว…
เสียงกรนต่ำในลำคอดังขึ้นจากพงไม้ด้านข้างโดยไม่ทันให้ตั้งตัว
ฟ่อ——!!
เงาตะคุ่มพุ่งทะยานออกจากแนวพุ่มด้วยความเร็ว เสือภูเขาตัวใหญ่ กระโจนตรงเข้าหาชายที่อยู่ใกล้สุด
เมืองมนต์
เสียงลูกธนูถูกดึงขึ้นตามสัญชาตญาณ แต่ยังไม่ทันได้ง้าง ร่างหนักกว่าแสนครามพุ่งเข้าใส่เขาเต็มแรง
“หมอบ!”
แรงกระแทกของแสนครามทำให้เมืองมนต์ล้มลงไปด้านข้างพร้อมกัน
เสียงฟาดของกรงเล็บเฉียดแขนซ้ายของเขาไปเพียงไม่กี่นิ้ว
ก่อนที่แสนครามจะพลิกตัวขึ้นมา เผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายโดยตรง
เขาไม่มีอาวุธ มีเพียงมีดสั้นติดข้างเอวที่คว้าออกมาได้ทัน แต่การยืนของเขา สายตา และท่าทางนิ่งสนิทของร่างสูงนั้น
…กลับทำให้เสือชะงัก
นี่ไม่ใช่เหยื่อ
นี่คือผู้ล่าอีกตัวหนึ่ง
เสือคำรามเสียงต่ำ ก่อนจะกระโจนอีกครั้ง
แสนครามเบี่ยงตัวหลบได้อย่างแม่นยำ มือขวาฟาดคมมีดเข้าที่ชายซี่โครงของสัตว์ร้าย
เลือดสาด เสียงคำรามดังลั่น ก่อนมันจะวิ่งหายไปในแนวพง
เงียบลงในพริบตา
เมืองมนต์ยังนั่งนิ่งอยู่กับพื้น มือข้างหนึ่งยันตัวไว้ อีกข้างกดแผลถลอกจากหิน
เงยหน้าขึ้นก็พบว่าร่างสูงของแสนครามยืนอยู่ข้างหน้าแล้ว
หอบหายใจช้า ๆ ไม่แสดงความสะเทือน
เสื้อผ้าของเขาเปื้อนเลือดเล็กน้อย
แต่นัยน์ตา...ยังนิ่งจนเหมือนสงครามเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น
เมืองมนต์ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองชายตรงหน้าราวกับเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก แล้วก็เอ่ยเสียงต่ำ
“เจ้าเป็นใครกันแน่…”
แสนครามไม่ตอบ เพียงยื่นมือออกมา
เมืองมนต์ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมไปคว้ามือเขาไว้ มือหนาอุ่นแน่น กระชับมั่น มากพอจะพยุงเขาลุกขึ้นได้…
เสียงน้ำไหลเบา ๆ ดังอยู่ไม่ไกลจากแนวพงที่เพิ่งเผชิญศึก เมืองมนต์กัดฟันแน่นเล็กน้อยขณะพยายามลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง
บาดแผลที่ข้อศอกและต้นแขนไม่ลึกมาก...แต่เพียงพอให้รู้สึกเจ็บจี๊ดทุกครั้งที่ขยับ
“ข้าเดินไหว...”
เขาเอ่ยเบา ๆ แต่เสียงหอบหายใจยังไม่เสถียรนัก
แสนครามไม่พูดอะไร
แค่เดินเข้ามาช้า ๆ แล้วก้มตัวลงในจังหวะนิ่งเฉียบ
อ้อมแขนแข็งแรงสอดใต้ข้อพับขาและแผ่นหลัง พลิกตัวเมืองมนต์ขึ้นสู่อ้อมอกในคราเดียว
“เจ้า—!”
เสียงต่อต้านแทบไม่ทันจบ ก็ถูกกลืนไปกับเสียงฝีเท้าที่หนักแน่นสม่ำเสมอ
เมืองมนต์นิ่งไปชั่วครู่
หน้าอกเขาแนบกับแผ่นอกที่แข็งราวหิน หูได้ยินเสียงลมหายใจช้า ๆ ของอีกฝ่าย และแรงสั่นจาง ๆ ใต้ผิวกายที่ยังคงเร่งจากการต่อสู้เมื่อครู่
“เจ้าทำแบบนี้กับทุกคนหรือ”
เมืองมนต์เอ่ยเบา ๆ โดยไม่มองหน้า
แสนครามยังคงไม่ตอบ
เขาก้มลงผ่านแนวพุ่มไม้ จนถึงลำธารใสเย็นที่ซ่อนตัวอยู่ใต้เงาไม้สูง
พื้นหินเรียบข้างธารน้ำยังชื้นจากหมอกเช้า
แสนครามวางร่างเมืองมนต์ลงช้า ๆ บนก้อนหินแบน ก่อนจะถอยออกมาหนึ่งก้าว
เมืองมนต์นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น มองอีกฝ่ายที่ค่อย ๆ ยืนขึ้นเต็มความสูง
สายลมโบกผ้าคลุมบางเบาที่คลุมไหล่เขา ก่อนมือหนาจะยกขึ้นปลดมันออก
เสียงผ้าถูกรูดเบา ๆ ดังแทบไม่ชัดเจน
แผ่นอกเปลือยเปล่าปรากฏท่ามกลางเงาไม้
เปื้อนเลือดสดจากกรงเล็บของสัตว์ร้ายและคราบดินจากพื้นป่า
แสนครามไม่แสดงสีหน้าใด
เขาก้าวเข้าไปในลำธารช้า ๆ น้ำใสกระเพื่อมไปตามการเคลื่อนไหวของต้นขาและแขนแข็งแรง
เมืองมนต์เงียบ มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่ไม่แน่ใจว่าควรละเลย หรือควรจดจำ
น้ำเย็นไหลจากฝ่ามือของแสนครามที่วักขึ้นลูบตัว ล้างรอยเลือดที่เกาะตามแนวเอวและไหล่
แสงแดดลอดผ่านต้นไม้ตกลงบนผิวแทนเข้มเป็นจุด ๆ คล้ายเกล็ดทองที่ส่องกระทบผิวเปียก
ทุกท่วงท่าของเขานิ่ง เรียบ และงดงามอย่างไม่มีเจตนา
เมืองมนต์หลุบตาลงเบา ๆ ไม่ใช่เพราะไม่กล้าสู้สายตา
แต่เพราะไม่แน่ใจ...ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไรอยู่
แสงอาทิตย์คล้อยขึ้นสูงกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย ลำธารยังคงใสเย็น ไหลเอื่อยใต้เงาไม้สูง เสียงน้ำกระเพื่อมเบา ๆ ดังขึ้นขณะ แสนคราม ก้าวขึ้นจากลำธาร ร่างสูงเปียกน้ำ เงียบขรึมอย่างที่เคยเป็นเสมอ
หยดน้ำไหลตามแนวผิวเข้มแน่นตึงของแผ่นอก ผ่านรอยแผลเล็กน้อยที่ยังไม่แห้งดี จนหยดลงกับพื้นดินเบื้องล่าง
เมืองมนต์ เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียง แต่ไม่ได้พูดอะไร ริมฝีปากเม้มแน่นเบา ๆ ขณะพยายามไม่แสดงความวูบไหวออกไป
สายตาของแสนครามทอดลงบนแผ่นแขนขาวที่มีรอยถลอกเลือดซึมจาง ๆ อยู่บริเวณข้อพับ
เขาเงียบ...แต่ขยับตัวทันที
มือหนายกเสื้อสะอาด เขาฉีกชายเสื้อผ้าส่วนที่ยังแห้งอยู่เงียบ ๆ โดยไม่หันไปมองด้วยซ้ำเนื้อผ้าแน่นพอจะใช้พันแผลได้
แสนครามทรุดลงนั่งข้างเมืองมนต์ ก่อนจะเอื้อมมืออย่างระวัง
เมืองมนต์ชะงักนิดหนึ่ง
“เจ้าจะทำอะไร”
เสียงของเขาไม่แข็งนัก
เหมือนคำถามที่พูดออกไปเพราะไม่รู้จะหยุดอีกฝ่ายอย่างไร
แสนครามยังไม่ตอบ เขาเพียงยกแขนของอีกฝ่ายขึ้นเบา ๆ นิ้วหยาบกร้านสัมผัสผิวเนียนอย่างไม่จงใจ แล้วเริ่มพันผ้าลงช้า ๆ อย่างมั่นคง ไม่หลวม ไม่แน่นเกินไป
มือของเขาเย็น แต่กลับรู้สึกปลอดภัยอย่างประหลาด
เมืองมนต์มองแผ่นอกอีกฝ่ายที่ยังเปียกน้ำ เห็นเงาแสงที่ทาบลงบนไหล่กว้างและท่าทีที่นิ่งจนเกือบเป็นส่วนหนึ่งของผืนป่า ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากเขาเลย แม้หัวใจจะเริ่มเคลื่อนไหวเกินกว่าที่คาด
หลังจากผูกปมสุดท้ายเสร็จ แสนครามเงยหน้าขึ้นสบตาเขานิ่ง ๆ ก่อนจะพูดเสียงต่ำ
“ข้าจะไปล่าสัตว์เอง”
เมืองมนต์ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ลำพัง?”
แสนครามพยักหน้า
สายตาของเขาไม่ได้ขออนุญาต
แต่กำลัง บอก
“ท่านรอที่นี่ จะปลอดภัยกว่า”
เมืองมนต์นิ่งไป
อยากค้าน...แต่ไม่รู้จะค้านว่าอะไร
สุดท้ายก็ได้แต่พูดเบา ๆ คล้ายจะประชด
“เจ้ากล้าสั่งข้าแล้วหรือ”
และก่อนที่เขาจะทันพูดอะไรต่อ แสนครามก็ลุกขึ้น หยิบมีดติดตัว และเดินหายเข้าไปในแนวไม้ด้านหลัง
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเมื่อแสงสุดท้ายของวันจางลงหลังแนวไม้
เมฆฝนก่อตัวหนาหนัก เสียงนกป่าเงียบหายไปเหลือเพียงเสียงลมพัดแผ่ว
เมืองมนต์ยังนั่งอยู่ที่ริมลำธารเดิม ใบไม้เปียกน้ำค้างร่วงลงเป็นระยะเหมือนนาฬิกาที่คอยเตือนว่า…ค่ำแล้ว
เสียงฝีเท้าดังแผ่วจากด้านหลัง
และในเงาไม้ แสนคราม ปรากฏขึ้น
ชายหนุ่มแบก กวางป่าขนาดกลาง ไว้บนบ่า ร่างสูงเปื้อนเศษดินและใบไม้
ในมืออีกข้างหิ้ว กระต่ายสองตัว ที่จับได้โดยไม่ปรากฏรอยต่อสู้
เมืองมนต์เงยหน้าขึ้นนิดหน่อย มองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าเกือบเรียบนิ่ง…แต่ไม่สามารถซ่อนแววตาที่แปลกไปได้
เขาไม่ได้ตกใจที่แสนครามล่าได้
แต่ตกใจที่ชายผู้นั้น “กลับมา” อย่างไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
แสนครามวางซากสัตว์ลงเงียบ ๆ แล้วพูดขึ้นเสียงเรียบ
“ฝนจะตก...เราต้องหาที่หลบ”
ไม่กี่อึดใจต่อมา พวกเขาเดินลึกเข้าไปไม่ไกลจากลำธาร
จนเจอ โพรงหินเตี้ย ๆ ใต้รากไม้ใหญ่ที่โค้งคล้ายหลังคา
พื้นด้านในแห้งพอให้ปูเสื้อคลุม ส่วนด้านหน้าเปิดพอให้ไฟส่องลอดเข้ามาได้
ฝนเริ่มตกลงมาเม็ดแรกพอดี กลิ่นดินเปียกลอยคลุ้งไปทั่ว
แสนคราม ใช้เวลาไม่นานในการก่อกองไฟ
มือหยาบกร้านจัดเรียงไม้แห้งจากถุงเสบียงอย่างชำนาญ
เขาจุดไฟด้วยเหล็กไฟเล็ก ๆ เสียงแตกเปรี๊ยะของเปลวไฟแรกดังขึ้นกลางเงาเย็นของป่า
เมืองมนต์นั่งห่มผ้าคลุมบาง ๆ ชิดผนังหิน มองภาพตรงหน้าเงียบ ๆ ไม่ได้ขัด ไม่ได้เอ่ยปากสั่งการ เพียงแต่…แววตาที่ใช้มองคนตรงหน้า ไม่เหมือนกับที่เคยมองใครมาก่อน
กลิ่นเนื้อย่างเริ่มลอยตลบ
แสนครามเลาะเนื้อกระต่ายบางส่วน ใส่ไม้เสียบแล้วค่อย ๆ พลิกกลับด้วยมือเปล่า
เขาไม่ใส่เกลือ ไม่ใส่เครื่องปรุงอะไร
แต่กลับอบอุ่น ในแบบของเขา
“กินเสีย”
เขายื่นไม้เนื้อย่างให้
เมืองมนต์รับไปเงียบ ๆ
มือของเขาสัมผัสโดนปลายนิ้วแสนครามเพียงวินาทีเดียว…แต่นานพอจะรู้สึก
เนื้อกระต่ายหอมกลิ่นควันอ่อน ๆ เขากัดคำแรก ไม่พูดอะไร
แต่ชะลอจังหวะเล็กน้อย เหมือนอยากให้เวลานี้…อยู่ได้นานขึ้นอีกหน่อย . . .
เสียงเปลวไฟแตกระเบิดเบา ๆ คล้ายใจใครบางคนที่เริ่มสั่น
กลิ่นเนื้อย่างจาง ๆ เจือไปกับกลิ่นดินเปียกน้ำฝน
เมืองมนต์นั่งพิงหิน เงาไฟทาบครึ่งใบหน้าของเขา สีแดงเรื่อสะท้อนดวงตาที่เหมือนหลบ…แต่จริง ๆ แล้วคือเชิญชวน
แสนครามนั่งอยู่ตรงข้าม ไม่ไกลนัก
เขาขยับน้อยมาก จังหวะหายใจช้า ควบคุมได้
แต่ไอร้อนที่ลอยออกมาจากตัวเขาเหมือนกำลังสุมอยู่ข้างใน แรง…พอจะเผาทั้งป่าให้ลุกไหม้
“แขนท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
เมืองมนต์ยกมือเสยผม คอเสื้อคลุมเลื่อนลงจากบ่าอีกฝั่งโดยบังเอิญ หรืออาจไม่บังเอิญนัก
เผยช่วงไหปลาร้าเนียนกับแผลบาง ๆ ที่ยังแดงอยู่ใต้แสงไฟ
“ยังเจ็บอยู่นิดหน่อย…” เขาพึมพำเบา ๆ “…ถ้าเจ้าจะดูให้ใกล้กว่านี้ ข้าก็ไม่ห้ามหรอกนะ”
แสนครามลุกขึ้นในจังหวะนั้น แต่เขาไม่ได้เดิน เขา พุ่ง
ร่างสูงพาดทับร่างที่นั่งอยู่ในครึ่งจังหวะหายใจ มือแข็งแรงคว้าคอเสื้อเมืองมนต์กระชากลงจนแผ่นหลังกระแทกพื้นผ้าอย่างแรง
เสียงหอบเบา ๆ หลุดจากลำคอขาว ริมฝีปากเขาประกบลงมา หนัก ร้อน และไม่มีการเกริ่นนำใด ๆ ฟันขบเข้าที่ริมฝีปากล่างจนอีกฝ่ายสะดุ้ง ลิ้นรุกไล่เข้าไปโดยไม่ขออนุญาต
เมืองมนต์ครางในลำคอ มือขยุ้มต้นคออีกฝ่ายไว้แน่นราวกับจะยิ่งเร่งแรงนั้นให้หนักขึ้นอีก
เสื้อผ้าหลุดออกจากตัวอย่างไม่ต้องถาม แสนครามกระชากออกทีละชั้นด้วยมือข้างเดียว
ขณะที่มืออีกข้างลูบไล้จากเอวจนถึงบ่า แรงกดแน่น พอให้เกิดรอย พอจะทิ้งความรู้สึกไว้บนผิวหนังที่กำลังสั่นระริก
เมืองมนต์หายใจหนัก ร่างกายเขาสั่น ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะความคาดหวัง
แรงกระแทกของร่างบนร่างทำให้แผ่นหลังเขาเสียดกับพื้นผ้า ต้นขาสองข้างเลื่อนขึ้นโอบรอบสะโพกของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว
“แรงกว่านี้…” เขากระซิบ
“ไม่ต้องยั้ง”
แสนครามกัดฟันแน่น ดวงตาวาววับในเงาไฟ เขายกขาของเมืองมนต์ขึ้นแนบลำตัว ก่อนจะกดสะโพกลงด้วยแรงที่ไม่มีการผ่อนปรน เสียงกระแทกแน่นดังขึ้นทันทีร่างใต้ร่างสะท้าน ฝ่ามือทั้งสองข้างขยุ้มผืนผ้าจนยับ เสียงหอบ หยาบ ลึก สลับกับเสียงกระซิบที่ไม่มีคำชัดเจน
แรงแต่ละจังหวะไม่ใช่เพียงร่างกาย แต่เหมือนอัดความอดกลั้นมาหลายคืน ความดิบจากสงครามที่เขาเก็บไว้ ความเงียบที่เขาไม่เคยพูด
เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังถี่ขึ้น เมืองมนต์กัดฟันหลุดเสียงต่ำ เรียกชื่ออีกฝ่ายแผ่ว ๆ แต่ย้ำชัดทุกคำ
มือของแสนครามจับที่สะโพกอีกฝ่ายแน่น ลากตัวเข้าหารับแรงกระแทกหนักขึ้น เนิ่นนานจนนับไม่ทัน ไม่มีความอ่อนโยนใด แต่ทุกจังหวะกลับแน่นลึกจนสั่นไปทั้งร่าง
เมืองมนต์แทบไม่มีเรี่ยวแรงจะพูดอะไร ริมฝีปากแดงจัด หอบหายใจเหมือนเพิ่งขึ้นจากน้ำลึก ขาที่ยังพันรอบสะโพกไม่ยอมปล่อย มือที่เกาะแผ่นหลังกว้างยังคงข่วนบางเบาเหมือนรั้งไม่ให้หยุด
เมืองมนต์นอนหอบอยู่ใต้ร่างอีกฝ่าย ผิวกายแดงจัดเป็นจ้ำตามแผ่นอกและลำคอ ปลายเล็บบางทิ้งรอยไว้บนแขนแสนคราม ริมฝีปากที่ถูกจูบจนช้ำยังเผยอหอบอยู่ในความเงียบ
แสงไฟยังสว่างวาบในดวงตา แต่ร่างกาย แม้เหนื่อยแทบขาดใจ กลับไม่ยอมคลายแรงรัดจากต้นขาที่ยังเกาะสะโพกอีกฝ่ายไว้แน่น
“ข้าไม่เคยบอกให้หยุด…สักคำเดียว”
เสียงแหบพร่าดังขึ้นในความเงียบ ราวกับจงใจขุดไฟขึ้นมาใหม่ด้วยประโยคเดียว
แสนครามหายใจแรง แต่ยังคงคร่อมร่างนั้นไว้ หยาดเหงื่อไหลจากขมับ ผ่านแนวกรามแข็งตึง และปลายคางที่ยังเปื้อนสัมผัสของอีกฝ่าย
เขาจับข้อมือเมืองมนต์ขึ้นอีกครั้ง เหนี่ยวแน่นกว่ารอบก่อน ราวกับไม่ใช่เพียงต้องการควบคุม แต่เพราะ กลัวว่าจะหลุดจากสัมผัสนี้ไป
เขาโน้มตัวลงต่ำ…ใช้ริมฝีปากลากผ่านแนวกราม คาง และลำคอขาวอย่างเนิบช้า แต่ไม่อ่อนโยน ฟันขบกัดผิวบางพอให้แดงขึ้นอีกครั้ง
เมื่อเสียงครางต่ำหลุดจากลำคอเมืองมนต์ แสนครามกัดริมฝีปากตัวเองแน่น และกลับเข้าสู่จังหวะเดิมอย่างไม่ลังเล
แรงกระแทกครั้งใหม่หนักกว่าครั้งแรก ราวกับไม่ใช่เพื่อความพอใจ แต่เพื่อ ลงโทษ
…ที่เมืองมนต์ยั่วเขาไว้แต่ต้น
…ที่ทำให้เขาหลุดจากการควบคุม
เมืองมนต์ผวาเงียบ เสียงครางต่ำติดปลายลมหายใจ เขาหลับตาแน่น ปลายเท้าเกร็งขึ้น ยกสะโพกรับแรงทุกระลอกจนผ้าด้านล่างเปียกชื้นจากเหงื่อและน้ำฝนที่ซึมเข้ามาตามขอบโพรง
“แรงขนาดนี้…หรือเจ้ากำลังกลัวว่าข้าจะเปลี่ยนใจ”
คำพูดหลุดออกมาขาด ๆ หาย ๆ แต่แสนครามไม่ตอบ เขากระแทกลงมาอีกครั้งหนึ่ง แรงกว่าเดิม
เสียงครางของอีกฝ่ายสะท้อนเข้ากำแพงหิน กลืนเสียงฝนภายนอกไปหมดสิ้น แสนครามใช้มืออีกข้างประคองท้ายทอย จูบกดลงอย่างลึก ขบเม้มริมฝีปากล่างอีกฝ่ายจนขึ้นสีแดงเข้ม
ร่างสองร่างแนบแน่นจนเหมือนจะแทรกผ่านกันได้ สะโพกขยับถี่ขึ้น แรงขึ้น รุนแรงแต่ไม่สับสน เหมือนเขารู้ดีว่ากำลัง “ต้องการ” อะไร และต้องการ คนตรงหน้า เท่านั้น
ร่างของเมืองมนต์สั่นระริก เสียงครางหลุดถี่ขึ้นราวกับไม่มีแรงจะควบคุม มือสองข้างเลื่อนลงมากอดแผ่นหลังกว้างไว้แน่น แผ่นอกเปลือยแนบชิด หัวใจสองดวงเต้นกระแทกกัน
และในจังหวะสุดท้าย เสียงกระทบแน่น ร่างกระตุกครั้งสุดท้าย
…จากนั้นทุกอย่างเงียบลง
เงียบ
จนได้ยินแต่เสียงหอบหนักจากทั้งคู่
เปลวไฟยังลุกพรึ่บอยู่ตรงกลาง
แต่เงาร่างทั้งสอง…ซ้อนทับเป็นเงาเดียว
แสนครามยังคร่อมอยู่เหนือ
ดวงตานั้นมืดสนิท แต่ไม่ได้หลับ
เมืองมนต์เงยหน้ามอง
ไม่มีรอยยิ้มเยาะ
ไม่มีแววท้าทายแบบก่อนหน้า
มีเพียงสายตาที่…เปิดเปลือย
เหมือนกำลังยอมให้เห็นทุกอย่าง
แม้จะไม่ได้พูดสักคำ
แสนครามโน้มหน้าลงช้า ๆ
หน้าผากแตะกันอย่างเงียบงัน
ไม่มีแรงเหลือสำหรับอะไรอีก
มีเพียงความจริง
ที่ถูกซัดเข้ามา…แรงไม่ต่างจากฝน
คืนนี้
พวกเขาไม่ได้แค่ นอนด้วยกัน
แต่พังบางอย่างในตัวเองลง
พร้อมกันทั้งคู่
********************** ขอกำลังใจหน่อยน้าาา ไว้ว่างๆจะมาต่อให้ค้าบบ
|