รถหยุดที่หน้าคอกวัวหลังโรงเรียนมัธยมประจำตำบล
ฟางไหม้เกรียมจนดำ วัว 4 ตัวนอนแน่นิ่ง เสียงชาวบ้านล้อมวงพูดคุยกันเบาๆ ด้วยสีหน้าตึงเครียด
กำลังคิดว่า ใครเป็นคนเผา พวกเขาดูโกรธพร้อมรุมประชาทัณฑ์สุดๆ
ธามเดินตรวจรอบๆ อย่างมีประสบการณ์ แต่แบงค์ย่อตัวลงมองจุดที่ไหม้ตรงกลาง
เขาไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันมาบอก
“พี่ธามครับ… ผมว่า จุดต้นเพลิงมันไม่น่าเริ่มจากขอบคอก” แบงค์กล่าวขณะสายตามองไม้ที่มอดดำ
“หืม?” ธามหันมามอง “ว่าไงนะ?”
“ดูตรงนี้ครับ” แบงค์ชี้ให้ดูเสากลางที่ไหม้หนักสุด
“ถ้าเป็นไฟจากคนนอกจุดข้างนอก มันน่าจะลามเข้ามา ไม่ใช่ไหม้หนักตรงกลางแบบนี้ กองฟางรอบนอกกลับเบากว่า”
ธามเลิกคิ้วขึ้น มองอย่างพินิจ
“วิเคราะห์ได้ดีนี่ หัดสังเกตแบบนี้ไว้นะ จะได้เป็นสายสืบดีๆ สักวัน”
เขาวางมือเบาๆ บนหัวไหล่แบงค์ รอยยิ้มพาดที่มุมปาก
แบงค์ขยับไหล่หนีเล็กน้อย... แต่ไม่ได้เอามือออก
กลิ่นที่โชยมาจากปลายแขนเสื้อธามลอยมาอีกครั้ง
กล้ามเนื้อหลังของแบงค์เกร็งนิดหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
‘แม่งเอ๊ย... ทำไมต้องเป็นกลิ่นนี้อีกวะ’
ภายในรถกระบะ ระหว่างทางกลับ สน.
รถวิ่งช้าๆ บนถนนลูกรัง ฝุ่นแดงลอยคลุ้งจนท้องฟ้าขุ่นนิดๆ
ธามยกกาแฟกระป๋องขึ้นจิบหนึ่งอึก ก่อนเอ่ยขึ้น
ธาม: “แปลกดีนะ... คนจะเผาคอกวัว มันไม่เริ่มจากกลางคอกหรอก แบกไฟเข้าไปลึกขนาดนั้น แม่งต้องเสี่ยงถูกจับเห็นแน่ๆ”
แบงค์: “ครับ... ผมก็ว่าอย่างนั้น”
เขายังคงจ้องถนนข้างหน้า หัวคิ้วขมวดนิดๆ
ธาม: “แล้วแกคิดว่าอะไรเป็นต้นเพลิง?”
แบงค์: “ผมไม่แน่ใจครับพี่ แต่มันไม่น่าจะเป็นไฟจากขอบ พอเสาที่อยู่ตรงกลางไหม้หมดก่อน แล้วฟางแถวนั้นถึงลุก มันเลยทำให้วัวหนีไม่ทัน…”
ธาม: “คิดเป็นขั้นเป็นตอนแบบนี้ดีแล้ว... อย่าลืมจดไว้ในรายงานด้วยล่ะ”
เขาหันมายิ้มให้ เหมือนพี่ชายเอ็นดูน้องชาย
แบงค์เงยหน้าขึ้นรับสายตา แต่สายตากลับไปสะดุดที่ ต้นขาข้างขวา ของธาม—กางเกงสีกากีแนบต้นขา และ...
คราบจางๆ สีขุ่นอ่อนๆ ติดอยู่ใกล้ขอบรอยพับของขา
มันไม่มาก... แต่พอจะเห็นถ้าสังเกตดีๆ
มันเป็น “คราบใหม่”
ที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะขึ้นรถมา...
...และก่อนหน้านั้นเพียงไม่นาน
แบงค์รู้ว่า “กลิ่นนั้น” ไม่ได้มาจากกาแฟเลยจริงๆ
จู่ๆ กล้ามเนื้อแถวสะโพกของเขาก็เกร็งแน่นเหมือนกับเมื่อคืน
หัวใจเขาเต้นแรงผิดจังหวะ
เขานั่งเกร็งเล็กๆ พร้อมบังคับตัวเองให้หันหน้าออกไปทางหน้าต่าง
แบงค์คิดในใจ:
‘ใจเย็น... มองทำไมวะ มันก็แค่... บังเอิญ...’
‘แม่งเอ๊ย... ไม่ได้ตั้งใจจะคิดแบบนั้นเลยนะเว้ย’
มือข้างหนึ่งของธามเอื้อมไปปรับแอร์ด้านหน้า
กลิ่นเดิมยังติดอยู่บนปลายนิ้วของเขา
แบงค์กลั้นหายใจ ไม่รู้จะทำยังไงดี นอกจากจิบกาแฟที่เริ่มจืดชืดในมือ
ธาม: “เงียบเลย คิดอะไรอยู่?”
แบงค์ (สะดุ้งเล็กน้อย): “...เปล่าครับ กำลังนึกเรื่องรายงานน่ะ”
รถกระบะจอดสนิท
แบงค์เปิดประตูฝั่งข้างคนขับลงก่อน สะพายกระเป๋า และหยิบแฟ้มสำนวนคดีไว้ในมือ
ธาม เชิดคางบอกรุ่นน้อง: “เอาแฟ้มไปลงบันทึกในระบบเลย เดี๋ยวพี่เคลียร์ของท้ายรถแล้วตามไป”
แบงค์: “ครับพี่”
เขาเดินเข้าตัวอาคารไปโดยไม่หันกลับ
ธามยืนพิงประตูรถชั่วครู่ ถอนหายใจเบาๆ
สายตาหลุบมองไปยังเบาะข้าง — ก้อนทิชชูที่ขยำไว้เมื่อเช้า ยังวางอยู่ตรงนั้น
เขาหยิบมันขึ้นมาช้าๆ ด้วยปลายนิ้วสองข้าง ก่อนบีบเบาๆ …
ยังอุ่นอยู่นิดๆ …
นั่นทำให้คิ้วเขาขมวดแน่นขึ้นเล็กน้อย
ธามคิดในใจ :
‘เชี่ย... กูเป็นอะไรของกูวะช่วงนี้’
‘ก่อนนอนก็ทีนึง ตื่นมาก็อีก แล้วนี่เช้าก่อนมางานอีก...’
เขาขมวดคิ้วอย่างเซ็งๆ
เดินไปที่ถังขยะข้าง สน. โยนทิชชูลงไปแรงกว่าปกติเล็กน้อย
ยืนพิงข้างตัวรถ สูดลมหายใจเข้าแรง
เหมือนพยายามจะรีเซ็ตตัวเองจากความรู้สึกบางอย่างที่คุมไม่อยู่
ธาม (ในใจ):
‘แม่ง... จะกลั้นไม่ไหวแล้วจริงๆ ถ้าไม่ปล่อยก่อนมา กูต้องใส่เสื้อคลุมปิดกางเกงแน่...’
‘อยู่ดีๆ ก็มีอารมณ์มากผิดปกติ ไม่รู้ทำไม’
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า
..........................
หลายเดือนก่อนหน้า
แบงก์ออกมาที่ระเบียงหอพักพูดคุยโทรศัพท์กับเมียที่อยู่ต่างจังหวัด เขายืนคุยปกติในชุดบ๊อกเซอร์
มือข้างนึงล้วงไปจับแท่งเอ็นร้อนๆที่ขยายตัวขึ้นจากการได้ยินเสียงเมีย
พลันสายตามองขึ้นฟ้า เเสงสีเขียววาบใหญ่ที่สว่างวาบทั่วบริเวณนั้น ทำให้เอาแบงก์กระพริบตา
แม้เเสงนั้นจะอยู่ไม่ถึง 30 วิ แต่ร่างกายแบงก์เหมือนอาบแสงประหลาดไปเต็มๆ เขาบอกเมียไปว่า
เหมือนมีแสงจากไหนไม่รู้ แบงก์ยืนมองท้องฟ้าต่อไป คุยโทรศัพท์ไปเรื่อย
จนเมื่อเวลาผ่านไปเขานั่งลงถอดบ๊อกเซอร์ไม่อายใคร เพราะหลังหอพักคือป่าทั้งนั้น
"พลอย....แบงค์จะแตกแล้ว" เสียงตำรวจหนุ่มครางเบาๆ
"แตกเลยแบงค์ แตกเลย" เสียงกระเส่าของหญิงสาวปลายสายบอกสามีหนุ่มของเขา
..........................................
อีกฟากหนึ่ง ร่างสูงใหญ่ ธาม นั่งพิมพ์สำนวนคดีในห้องพักเขากำลังใช้สมาธิ แวบเดียว
แสงสีเขียววาบใหญ่ขึ้นมา เขาคิดว่าอาจจะเป็นพวกดอกไม้ไฟฉลองงานาอะไรแน่เลย ด้วยตัวงานที่มาก
เขาเดินไปที่ระเบียงร่างกายโดนแสงสีเขียวเล็กน้อย เขาขยับผ้าม่านปิดและมาทำงานต่อที่โต๊ะของเขา....
....................................................
กลางผืนป่าทึบ ณ ดาวซารีออน
เปลวเพลิงสว่างโรจน์จากกองไฟขนาดใหญ่ กลางลานพิธีแห่งชนเผ่าดึกดำบรรพ์ที่ไร้ชื่อ
บนผิวดินที่ถูกขูดให้โล่งเตียนด้วยมือเปล่า มีสัญลักษณ์ขนาดใหญ่คล้ายอักขระ "โอเมก้า" สลักฝังอยู่รอบวงพิธี
ราวกับขอพรจากดวงดาวเบื้องบน เสียงขับขานคาถาแปลกประหลาดดังขึ้นพร้อมกับจังหวะโขกกลองไม้
ความดิบของเสียงแหลมทุ้มที่พ่นออกมาจากลำคอมนุษย์ผิวกร้านผิวเข้ม เหมือนสัตว์ป่ากำลังกู่ร้องแสดงอำนาจ
ชายผู้นำเผ่า ผู้สวมเพียงหน้ากากไม้แกะสลักครึ่งหน้า ยืนตระหง่านอยู่หน้าเปลวเพลิง ร่างเปลือยเปล่าโชว์แท่งเนื้อสีดำยาวราว 7 นิ้ว
ทั้งแผ่นหลังชุ่มเหงื่อ แผ่นอกกระเพื่อมไปตามจังหวะหายใจ แขนกำยำขยับขึ้นราวเทพเจ้าที่กำลังเลือกผู้สืบสายเลือดใหม่
เบื้องหน้าเขา มีชายวัยฉกรรจ์ราวยี่สิบคน อยู่ในท่าโค้งศีรษะจรดพื้น มือแนบข้างลำตัว ร่างกายเปลือยเปล่าไร้เครื่องนุ่งห่ม ไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้น
มนต์ขลังของพิธีเก่าแก่ผสานกลิ่นควันไม้เร้าให้ทุกคนอยู่ในภวังค์
อีกมุมของลานพิธี มีสี่คนที่ยังเยาว์วัยประมาณ 14-15 ปีเทียบกับมนุษย์โลก
ใบหน้ายังเกลี้ยงเกลา แต่ลำตัวแน่นตึงด้วยกล้ามเนื้อที่ขัดกับวัย พวกเขานอนราบกับพื้นในท่าอกแนบดิน สะโพกเชิดสูง โชว์ความกลม ขาวนิ่ม
น่าสัมผัส ส่ายเบาๆ ไปตามจังหวะการสวด เสียงครางต่ำแผ่วออกมาคล้ายลมหายใจสัตว์ในฤดูผสมพันธุ์
พิธีกรรมเข้าสู่ช่วงลี้ลับ ชายหัวหน้าเดินตรงไปยังกลุ่มผู้เข้าร่วม ใช้ฝ่ามือฟาดลงบนเรือนร่างของผู้ที่สั่นไหวมากที่สุด
คนที่แสดงความพร้อมที่สุดเพียงหนึ่งเดียวจะได้รับเกียรติแห่งการสืบสาย ขณะที่ที่เหลือจะถูกส่งต่อให้สมาชิกคนอื่น
ของเผ่าอย่างเป็นธรรมเนียม
ชายหัวหน้าเผ่ามองเห็นเด็กชายที่อ้าขาหันหน้ามองแท่งเนื้อที่กระตุกงัดขึ้นของเขา
สะโพกที่สายไปมานั้น ดูขมิบรัวๆ ต่างจากคนอื่นๆ เขาเดินไปใช้ลิ้นหยาบๆ
ลากไปตามร่องสวาทตรงนั้น เสียงเฮลั่น เป็นสัญญาณว่า การเลือกแม่พันธุ์ของชนเผ่าสำเร็จแล้ว
จนกระทั่ง...
เสียงแรกระเบิดขึ้นจากทิศตะวันตก
เสียงสัตว์ป่าร้องระงมไปทั่วผืนป่า
นกที่มีปีกเรืองแสงสีฟ้าแตกตื่นบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างจ้าละหวั่น
ช้างยักษ์ประหลาด ใช้ใบหูที่ใหญ่เกินตัวโบกกระพือบินออกจากดงไม้
ตั๊กแตนโลหะสูงเท่ามนุษย์ผู้ใหญ่ กระโดดฝ่าหญ้าคม
หมูป่าเกล็ดแก้วสามขา วิ่งวนไร้ทิศทาง
ไก่ป่าเขาสองชั้นส่งเสียงลั่นคล้ายแตรศึก
พื้นดินสั่นสะเทือน
ต้นไม้ยักษ์โค่นล้มช้า ๆ
จากพื้นเบื้องล่างรอยร้าวเรืองแสงเริ่มผุดขึ้น
ลาวาสีเขียวมรกต ปะทุออกมาเหมือนฟองพิษ ควันซึมขึ้นจากทุกทิศ
แผ่นดินตรงจุดประกอบพิธีเริ่มเรืองแสง สีทองซีดตัดกับเงาไฟ
พลังบางอย่างตื่นขึ้น
ไม่ใช่เพียงดินฟ้าอากาศ แต่เป็นสิ่งเก่าแก่กว่านั้น
เผ่าดึกดำบรรพ์เริ่มตะโกน บ้างวิ่งหนี บ้างสวดต่อเสียงดังขึ้น
ราวกับรู้ดีว่าสิ่งที่กำลังมา...คือราคาที่ต้องจ่าย
พื้นดินบางส่วนลอยลุดร่องลอยไปในอวกาศอันไกลโพ้น
ก้อนหินขนาดใหญ่อยู่ในชั้นบรรยากาศถูกเผา ก่อประกายแสงสีเขียววาบใหญ่ คลุมดาวเคราะห์สีน้ำเงิน!