แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2024-12-29 11:13  
 
 
  
 9  
   ด้ายที่ขาดหาย    
 เสียงนกกระจิบแว่วมาแผ่วเบาตามสายลม แสงอรุณแห่งเช้าวันใหม่สาดส่องลอดม่านเข้ามาในห้องของชายหนุ่มผู้หลับใหลอยู่บนเตียงขนาดเล็กพร้อมกับอีกคนที่เขาโอบกอดไว้แนบแน่น แม้ว่าจะรู้สึกอึดอัดจากพื้นที่จำกัดแต่ก็ไม่มีทางยอมปล่อยมือจากสิ่งที่เขาเฝ้าถนอมและไขว่คว้ามาอย่างยากลำบาก  
 เจ้าทัพลืมตาตื่นขึ้น มองคนในอ้อมแขนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนใบหน้าคมที่เขาหลงใหล ริมฝีปากสีชมพูอ่อนที่ดูหวานราวผลไม้ต้องแสงแดดตัดกับผิวขาวที่แม้จะคล้ำลงเล็กน้อยจากการโดนแดด แต่ก็ยังงดงามในสายตาของเขาทว่าความคิดหนึ่งก็แทรกเข้ามา เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าความปรารถนาที่จะมีขวัญอยู่ข้างๆตลอดไปจะเป็นจริงได้หรือไม่  
 ที่ผ่านมา ขวัญดูเหมือนจะตีตัวออกห่างจากเขาทั้งที่เขาไม่เคยรู้เลยว่ามันเกิดจากอะไร ทำไมความสัมพันธ์ถึงเริ่มห่างเหินเนิ่นนานเหลือเกินแล้วกว่าที่เขาจะได้มีช่วงเวลาแบบนี้อีกครั้งช่วงเวลาที่ทั้งสองนอนเคียงข้างกัน มันช่างเป็นความสุขที่แสนเปราะบาง  
   ในใจของเจ้าทัพอัดแน่นไปด้วยคำถามและความหวังอันเจือจางมันอาจดูน่าละอายที่จะยอมรับว่าเขาผูกพันกับขวัญมากเกินกว่าจะปล่อยมือแต่เขาไม่สนใจความละอายเหล่านั้น สิ่งเดียวที่เขาอยากได้คือขวัญกลับมาอยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง...อยู่ตรงนี้ตลอดไป  
 เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของขวัญในอ้อมกอดทำให้เจ้าทัพรู้สึกสงบลงชั่วคราวแต่ก็พาให้คิดถึงวันวานที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะความทรงจำเหล่านั้นยังคงชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานขวัญเคยเป็นดั่งแสงสว่างในชีวิตของเขาเป็นคนเดียวที่ทำให้โลกที่แสนวุ่นวายของเขากลายเป็นที่พักพิงอันอบอุ่น  
 “เจ้าขวัญ...” เจ้าทัพพึมพำเสียงเบาราวกับกลัวว่าหากพูดออกมาดังเกินไป ขวัญจะล่องลอยหายไปจากเขาอีกครั้ง  
 เขาเบียดใบหน้าของตนลงกับเรือนผมนุ่มๆ ของขวัญสูดกลิ่นอายที่เขาเคยคุ้น หัวใจยิ่งโหยหาวันเวลาแห่งความสุขนั้นเขาอยากดึงกลับคืนมาเหลือเกิน  
 แสงแดดยามเช้าเริ่มทอประกายสว่างขึ้นทั่วห้องขวัญขยับตัวเล็กน้อยในอ้อมกอด ดวงตาที่เขาคิดถึงเหลือเกินค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ  
 “พี่ทัพ...” เสียงเรียกแผ่วเบานั้นดั่งเสียงกระซิบที่ทำให้หัวใจของเจ้าทัพเต้นแรงขึ้นราวกับเป็นการปลุกเขาจากฝันร้าย  
 “ตื่นแล้วเหรอ?”เจ้าทัพกระซิบตอบ มือของเขาเกลี่ยเส้นผมที่ปกหน้าออกเบาๆดวงตาของทั้งสองสบกันในช่วงเวลาหนึ่ง มันเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและคำถามขวัญดูเหมือนจะลังเลเล็กน้อย แต่ไม่หลีกหนีเหมือนครั้งก่อน  
 “พี่ทัพ...”เสียงเรียกแผ่วเบาของขวัญดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับดวงตาคมที่จ้องตรงมาด้วยแววไม่พอใจปนความเขินอาย“ถ้าหายเมาแล้วก็ลุกออกจากตัวขวัญได้แล้ว”  
 คำพูดของขวัญทำเอาเจ้าทัพชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหลุดหัวเราะเบาๆ เขายังคงกอดร่างของขวัญไว้แน่น ราวกับไม่อยากปล่อยไป“พี่ไม่ได้เมาสักหน่อย ก็แค่อยากกอดน้องอีกนิด”  
 ขวัญถอนหายใจ หรี่ตามองอย่างไม่พอใจนักมือเล็กๆ ดันหน้าอกของเจ้าทัพออกด้วยแรงที่เพิ่มขึ้น “พี่ทัพ! ลุกสิคนเขาอึดอัดรู้ไหม”  
 “อึดอัดจริงหรือเปล่า?”เจ้าทัพเลิกคิ้วถาม รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคายก่อนที่เขาจะเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้จนปลายจมูกแทบจะชนกัน “พี่ว่าเราไม่ได้อึดอัดแต่แค่เขินใช่ไหม?”  
 “พี่!” ขวัญรีบดันตัวเขาออกสุดแรงใบหน้าของเจ้าตัวแดงก่ำจนปิดไม่มิด ราวกับความเขินอายกำลังแผ่ซ่านไปทั่ว  
   เจ้าทัพที่ถูกดันให้ออกห่างก็ยอมปล่อยตัวเองให้นอนแผ่ลงไปข้างๆพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ยังดังอย่างต่อเนื่องดวงตาคมมองขวัญที่กำลังนั่งจัดเสื้อผ้าของตัวเองอย่างกระฟัดกระเฟียด“ขวัญนี่น่ารักจริงๆ ยิ่งเขินยิ่งน่ารัก”  
 ขวัญหันมาถลึงตาใส่ทันที “หยุดพูดเลยนะ!ถ้าไม่ลุกจากเตียงตอนนี้ ขวัญจะออกไปเองจริงๆ ด้วย!”  
 เจ้าทัพยกมือสองข้างขึ้นเหมือนยอมแพ้แต่รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงเด่นชัด “โอเคๆ พี่จะลุกแล้ว...แต่ขออีกนิดไม่ได้เหรอ?”  
 “ไม่ได้!” ขวัญตอบเสียงดังก่อนจะหันหลังให้ทันที เจ้าทัพยิ้มขำกับท่าทางนั้น แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งมือของเขายื่นไปแตะแผ่นหลังของขวัญเบาๆ  
 “พี่แค่ล้อเล่นนิดหน่อย อย่าโกรธสิ”น้ำเสียงอ่อนโยนของเจ้าทัพทำให้ขวัญชะงักไปชั่วครู่ แต่ก็ยังไม่ยอมหันกลับมา  
 “ขวัญไม่ได้โกรธ...แต่พี่ทัพควรรู้ว่าบางทีเรื่องแบบนี้มัน...”ขวัญพูดแผ่วเบา ท้ายประโยคเหมือนจะกลืนหายไป  
 “มันอะไรเหรอ?” เจ้าทัพถามอย่างใส่ใจยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนเกือบชิดอีกครั้งขวัญรีบลุกจากเตียงก่อนที่เขาจะทันได้แกล้งอะไรอีก  
 “มันน่าอาย! พอเลยนะพี่ทัพ!” ขวัญตะโกนลั่นแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้เจ้าทัพนั่งยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่คนเดียว  
 “น่าอายก็น่ารักอยู่ดี” เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะลุกตามไปอย่างอารมณ์ดีราวกับว่าวันใหม่ของเขาเริ่มต้นด้วยความสุขที่หาไม่ได้จากที่ไหนนอกจากขวัญคนเดียว...  
 ทันทีที่ขวัญเปิดประตูเดินออกมาจากห้องเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นชบา น้องสาวของพวกเขายืนอยู่ที่หน้าประตูพร้อมสีหน้าที่ดูจะมีคำถามอยู่เต็มไปหมด  
 “อ้าว...พี่ขวัญ ตื่นแล้วเหรอ”ชบายิ้มบางๆก่อนจะชะงักเล็กน้อยเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเจ้าทัพที่เดินตามหลังขวัญออกมา  
 “พี่ทัพ...”ชบาหันไปเรียกเสียงสูงเล็กน้อยพร้อมคิ้วที่เลิกขึ้น “ทำไมมานอนกับพี่ขวัญล่ะ?แม่ให้ฉันเตรียมที่นอนไว้ให้ที่เรือนใหญ่นะ”  
 ขวัญที่ยังไม่ทันตั้งตัวถึงกับหน้าแดงก่ำรีบหันไปมองเจ้าทัพที่ตอนนี้ยิ้มกริ่มอย่างไม่มีท่าทีสำนึกผิด เจ้าทัพยักไหล่เบาๆก่อนตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ  
 “เมื่อคืนกลับมาดึกน่ะ”เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ไม่อยากไปรบกวนที่เรือนใหญ่ ก็เลยมานอนกับขวัญ...นอนด้วยกันก็อบอุ่นดี”  
 ขวัญเบิกตากว้าง หันขวับไปมองเจ้าทัพทันที“พี่ทัพ!” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความเขินอายปนไม่พอใจแต่เจ้าทัพก็ยังคงสีหน้าสบายๆ เหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ  
 ชบามองพี่ชายทั้งสองคนสลับกันไปมาก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “เอ่อ...ถ้าพี่ทัพว่าอย่างนั้นก็ตามใจละกันฉันไม่ได้มาถามเรื่องนี้หรอก แค่จะมาบอกว่าแม่ให้ตามไปกินข้าวที่เรือนใหญ่จะไปกันได้หรือยัง?”  
 ขวัญพยักหน้าเร็วๆราวกับอยากเปลี่ยนเรื่องทันที “ได้สิ ไปเดี๋ยวนี้เลย”เขาตอบแล้วรีบเดินนำหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว  
 เจ้าทัพหัวเราะเบาๆ ขณะที่ชบามองเขาอย่างสงสัยเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม “พี่ทัพนี่ก็แปลกดีนะ” ชบาพึมพำเบาๆ ก่อนจะเดินตามไปทิ้งให้เจ้าทัพยืนอยู่ที่เดิมพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ยังคงแต้มอยู่บนใบหน้า  
 “ก็ไม่ได้แปลกอะไรนี่ แค่ที่เรือนใหญ่มันไม่มีใครให้นอนกอดเท่านั้นเอง”เจ้าทัพพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินตามขวัญและชบาไปยังเรือนใหญ่ด้วยอารมณ์ดี  
 ขวัญเดินนำหน้าไปด้วยสีหน้าที่ดูไม่ค่อยสบอารมณ์นักคิ้วขมวดเล็กน้อยบ่งบอกถึงความรำคาญที่ยังไม่จางหายคนที่เดินตามหลังมาอย่างกระฉับกระเฉงก็ไม่วายยิ้มกวนๆก่อนจะยื่นมือมาโอบไหล่เขาเบาๆ  
 “รีบหน่อยสิ เดี๋ยวน้าวิไลรอนาน”ทัพพูดพลางดันตัวขวัญให้เดินต่อ ขวัญถอนหายใจเบาๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรกลับแค่เบี่ยงตัวเล็กน้อยให้หลุดจากสัมผัสนั้น  
   จนเมื่อทั้งสองมาถึงเรือนใหญ่วิไลในชุดผ้าฝ้ายเรียบง่ายก็นั่งรออยู่แล้ว เธอเงยหน้าขึ้นมามองลูกเลี้ยงทั้งสองสลับไปมาดวงตาคู่นั้นจับสังเกตได้ถึงความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างทั้งคู่ขวัญมีสีหน้าบึ้งตึงราวกับยังไม่คลายอารมณ์จากเรื่องก่อนหน้านี้ในขณะที่ทัพกลับยิ้มละไมอย่างอารมณ์ดี ราวกับไม่มีอะไรในโลกนี้ทำให้เขาหนักใจได้  
 เมื่อทุกคนล้อมวงนั่งลงที่โต๊ะอาหารวิไลก็ตักข้าวใส่จานของขวัญ พร้อมส่งยิ้มอ่อนโยน “กินข้าวเยอะๆ นะขวัญจะได้โตทันพี่ทัพเขาสักที”  
 ขวัญช้อนสายตามองเธอเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ ขณะที่มือยังคงกุมช้อนไว้เฉยๆ  
 วิไลหัวเราะเบาๆแล้วหันไปพูดกับเจ้าทัพที่นั่งอยู่ข้างๆ “ทัพเอ๊ย...เราน่ะไม่ต้องห่วงแต่ขวัญนี่สิ ตั้งแต่ไหนแต่ไรก็กินข้าวเหมือนแมวดม นั่งมองข้าวอยู่นานสองนานกว่าจะตักเข้าปากได้แต่ละคำ น้าล่ะเหนื่อยแทนจริงๆ”  
 เจ้าทัพหลุดหัวเราะเสียงดังพลางเอื้อมมือไปขยี้หัวขวัญเบาๆ อย่างหยอกเย้า “อย่างนี้นี่เองถึงตัวเล็กอยู่ตลอด”  
 “พี่ทัพ!”ขวัญหันขวับมามองเขาด้วยสายตาตำหนิ ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบมือที่ยังวางอยู่บนหัวริมฝีปากเม้มแน่นราวกับพยายามกลั้นอารมณ์  
 วิไลมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มเอ็นดู“พี่น้องคู่นี้ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็เหมือนกันทุกที ไม่เคยหยุดแหย่กันได้เลย”เธอพูดพลางส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะหันไปตักกับข้าวเติมในจานให้ขวัญอีกครั้ง  
 “เอ้า ขวัญ กินเยอะๆ จะได้โตไวๆแล้วจะได้ไม่ถูกพี่ทัพแซวอีก”  
 ขวัญก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปากอย่างเสียไม่ได้ท่ามกลางเสียงหัวเราะเบาๆ ของเจ้าทัพที่นั่งมองอย่างอารมณ์ดีดูเหมือนครั้งนี้อีกฝ่ายจะจงใจแกล้งเขาได้ผลไม่ใช่ว่าขวัญโกรธหรือเกลียดที่ทัพชอบทำตัวใกล้ชิดแต่เพราะกลัวว่าหากใกล้กันมากเกินไป หัวใจของเขามันอาจจะเผลอไปรักคนที่ไม่สมควรรัก...เพียงเท่านั้นเอง  
  
   เป็นเช่นนั้นหรือ...เจ้าหัวใจช่างเอาแต่ใจและไร้เหตุผลยิ่งนัก การจะรักใครสักคนเหตุใดจึงต้องมีข้อกำหนดมากมาย หากอยากรัก ก็รักไปเสีย จะเป็นไปไม่ได้เชียวหรือ? หรือว่า...เจ้ากลัว หากรักไปแล้วสุดท้ายจะต้องพบกับความเจ็บปวด จึงเลือกที่จะปิดกั้นไม่รักใครเสียเลย...จะดีกว่ากันหรือ?  
  
   “ขวัญอิ่มแล้วจ้ะ น้าวิไลเดี๋ยวขวัญช่วยเก็บจานไปล้างเองนะจ๊ะ” ขวัญเอ่ยขึ้นพลางยกมือรวบจานชามด้วยความเคยชินรอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้า  
 “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวให้ชบามันจัดการเองเรามีธุระอะไรก็ไปทำเถอะจ้ะ” น้าวิไลกล่าวพลางโบกมือเบาๆสีหน้าบ่งบอกถึงความเอ็นดู  
 ขวัญลังเลเล็กน้อยก่อนจะวางจานในมือลงตามคำของผู้ใหญ่ เขาเงยหน้าขึ้นมองน้าวิไล “ถ้าอย่างนั้นขวัญขอตัวก่อนนะจ๊ะ น้าต้องการอะไรเมื่อไหร่ เรียกขวัญได้เสมอนะจ๊ะ”  
 “จ้าๆ ไปเถอะ พ่อคุณ”น้าวิไลตอบรับพลางส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะเผยยิ้มเล็กๆ ให้กับความมีน้ำใจของขวัญ  
 “งั้นฉันก็ขอตัวเช่นกันจ้ะ น้าวิไล”ทัพเอ่ยขึ้นบ้าง เสียงของเขาทำให้น้าวิไลชะงักหันไปมองด้วยความแปลกใจ  
 “อะไรของเอ็งล่ะทัพ จะรีบไปไหนอีก?”น้าวิไลถามด้วยน้ำเสียงกึ่งติดตลก  
 “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ แค่อยากเดินเล่นนิดหน่อย”ทัพยิ้มกว้าง ก่อนจะหันตัวตามร่างเล็กที่กำลังจะลับสายตาไป เขารีบก้าวยาวๆตามไปติดๆ ทิ้งให้น้าวิไลกับชบามองตามด้วยความสงสัย  
 “เจ้าทัพนี่มันอะไรกัน เห็นขวัญไปไหนต้องตามติดเป็นเงาตลอด” น้าวิไลพึมพำพลางยกถ้วยชาที่วางอยู่มาจิบ  
 “ชบาว่า...พี่ทัพน่าจะชอบพี่ขวัญแน่ๆเลย”ชบาแอบกระซิบ พร้อมยิ้มขำ  
 “เอ็งอย่าพูดอะไรเหลวไหลน่า” น้าวิไลปรามแต่ลึกๆ ในใจ เธอก็อดนึกไปถึงท่าทางที่สนิทสนมเกินปกติของทัพไม่ได้  
 ด้านทัพ เขาเดินตามหลังขวัญไปอย่างเงียบๆจนอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกได้ ขวัญหันมามองด้วยสายตากึ่งรำคาญ  
 “เดินตามขวัญมาทำไมอีกล่ะ?”  
 “เปล่าสักหน่อย แค่เดินไปทางเดียวกันเฉยๆ”ทัพตอบด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์  
 ขวัญถอนหายใจ “ถ้าจะไปไหนก็ไปสิอย่ามาเดินตามให้วุ่นวาย”  
 “ไม่ได้วุ่นวายสักหน่อย” ทัพตอบง่ายๆก่อนจะก้าวเดินเคียงข้าง ท่าทางสบายๆ นั้นทำให้ขวัญไม่รู้จะพูดอะไรต่อได้แต่เดินนำไปอย่างสงบ แม้หัวใจจะเต้นแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ  
  ขวัญเดินกลับมาที่เรือนเล็กที่ตั้งอยู่ถัดจากเรือนใหญ่สามสี่หลังด้านหน้าติดกับลำธารใสสะอาดที่สะท้อนแสงอาทิตย์ยามบ่ายระยิบระยับส่วนด้านหลังเป็นป่าทึบที่ยังคงมีหมอกบางๆ ปกคลุมจากช่วงเช้าบรรยากาศรอบข้างเงียบสงบและงดงามเหมือนภาพวาด  
 ขวัญมองดูทัพที่เดินตามมาเงียบๆ พลางคิดว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรต่อไปแต่ไม่ทันที่เขาจะคาดเดา ทัพกลับชิงเดินนำขึ้นเรือนไปเสียหน้าตาเฉยราวกับว่าที่นี่เป็นที่พักของตัวเองเสียอย่างนั้น ขวัญมองตามด้วยสายตาฉงนแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เขาเพียงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะปล่อยเลยตามเลย  
 “ถ้าไม่ช่วย ก็อย่าเกะกะ” ขวัญพูดขึ้นน้ำเสียงเรียบแต่แฝงด้วยความไม่พอใจเล็กๆ ขณะปรายตามองไปยังเจ้าทัพที่นั่งเอนกายสบายๆเดิมทีตรงนั้นเป็นที่นั่งประจำของเขา แต่ตอนนี้กลับถูกคนตัวใหญ่ยึดครองไปหน้าตาเฉย  
 ขวัญรวบรวมของสำหรับทำกับดักล่าสัตว์อย่างลวกๆหยิบเพียงสิ่งที่จำเป็น เพราะต้องย้ายไปทำอีกมุมหลังจากที่โดนแย่งที่ประจำไปเขาพยายามไม่สนใจสายตาของใครบางคนที่มองตามมาด้วยท่าทีสบายอารมณ์ราวกับไม่ได้เป็นต้นเหตุของความยุ่งยากนี้  
 ทัพยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “พี่ก็นั่งเงียบๆอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ขวางอะไรขวัญสักหน่อย” แต่พูดไปมือก็หยิบเชือกเส้นหนึ่งขึ้นมาหมุนเล่น  
 ขวัญถอนหายใจ ยกมือขึ้นลูบหน้าผากเบาๆก่อนจะหันไปสนใจกับอุปกรณ์ตรงหน้าต่อ “อีกไม่กี่วันจะมีงานเลี้ยงในหมู่บ้าน ขวัญและคนหนุ่มๆในหมู่บ้านต้องออกไปล่าสัตว์ให้พวกผู้ใหญ่ตามที่เขาไหว้วานไว้ถ้าจะช่วยจริงๆ ก็ช่วยทำให้มันเสร็จไวๆ ไม่ใช่นั่งทำตัวเป็นนายเหนือหัวแบบนี้”  
 คำพูดของขวัญทำให้ทัพหัวเราะในลำคอเบาๆก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีเกียจคร้าน “ก็ได้ๆ ช่วยก็ช่วย เจ้าขวัญของพี่นี่บ่นเก่งไม่เบาเลยนะ”เขาเดินเข้ามานั่งลงใกล้ๆ แล้วหยิบอุปกรณ์บางส่วนขึ้นมาเริ่มทำกับดัก  
 “ไม่ใช่บ่น แค่พูดให้เข้าใจ”ขวัญตอบกลับทันควัน ขณะที่มือยังคงขยับถักเชือกอย่างคล่องแคล่ว  
 ทัพเงียบไปครู่หนึ่ง สายตามองอุปกรณ์ในมือแต่ก็พูดขึ้นลอยๆ “งานเลี้ยงคราวนี้ดูท่าจะใหญ่กว่าปีที่แล้วนะ ขวัญเองก็คงต้องเจอกับคนทั้งหมู่บ้านไม่ตื่นเต้นหน่อยหรือ?”  
 ขวัญหยุดมือชั่วคราวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายต่างสายเลือด “ขวัญไม่ได้สนใจเรื่องนั้นหรอกแค่ทำหน้าที่ให้เสร็จก็พอ ส่วนพี่ทัพน่ะห่วงตัวเองก่อนเถอะ เดี๋ยวจะโดนสาวๆรุมล้อมจนหนีไม่ทัน”  
 คำพูดนั้นเรียกรอยยิ้มกว้างจากทัพเขาหัวเราะเบาๆ “ห่วงพี่ชายคนนี้ด้วยหรือไง?”  
 ขวัญส่ายหัวเบาๆแล้วหันกลับไปสนใจกับดักในมือต่อ “ไม่ได้ห่วง แค่เตือน”  
 “แน่ใจ? หรือกลัวว่าพี่จะทิ้งขวัญไปหาสาวๆพวกนั้นใช่หรือไม่”ทัพพูดพร้อมยิ้มกวนอย่างคนเจ้าเล่ห์ สายตาแพรวพราวที่มองมาก็ยิ่งทำให้ขวัญรู้สึกหงุดหงิด  
 “พูดจาเหลวไหล!” ขวัญสวนกลับก่อนจะหยิบไม้เล็กๆ ที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาตีเบาๆไปที่ต้นแขนทัพเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่เริ่มวูบไหว  
 “โอ๊ย! ตีพี่ทำไมเนี่ยพูดความจริงก็ไม่ได้” ทัพหัวเราะเบาๆ พลางยกมือขึ้นลูบแขนตัวเองแต่แววตายังคงเจ้าเล่ห์ไม่เปลี่ยน  
 “ใครมันจะไปคิดแบบนั้น!พี่จะไปนอนกับใครก็ไปเถอะ ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับขวัญเลย”เด็กหนุ่มพูดพลางก้มหน้าก้มตาจัดการกับดักต่อแต่ปลายหูแดงเล็กน้อยก็ไม่อาจปกปิดความรู้สึกภายในใจได้  
 ทัพมองท่าทางนั้นแล้วก็อดยิ้มขำไม่ได้เขาเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย กระซิบหยอกเย้าด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ “แล้วไม่หวงพี่หน่อยเหรอ...เจ้าขวัญ?”  
 เด็กหนุ่มชะงักเล็กน้อยมือที่กำลังผูกเชือกหยุดชั่วครู่ ก่อนจะรีบปรับสีหน้าแล้วพูดโพล่งออกมา “หวงอะไร! แล้วถ้าพี่จะไปไหนขวัญห้ามพี่ได้ด้วยอย่างนั้นหรอ” แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามอง  
 “ได้สิ ถ้าขวัญบอกว่าไม่ให้ไปพี่ก็จะไม่ไป” ทัพเอ่ยเสียงนุ่ม ดวงตาที่มองน้องชายเต็มไปด้วยความอ่อนโยน  
 ขวัญที่กำลังจัดเชือกกับดักอยู่ชะงักไปเล็กน้อยมือที่จับเชือกเหมือนจะสั่นไหวเล็กๆ แต่ยังพยายามทำเหมือนไม่ได้ยิน  
 “พี่จะเชื่อฟังขวัญทุกอย่างเลยนะ” ทัพพูดต่อน้ำเสียงจริงจังขึ้นเล็กน้อย เขาขยับเข้ามาใกล้จนขวัญรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากอีกฝ่าย“ขวัญยอมให้พี่กอด...ให้พี่หอมเหมือนแต่ก่อนได้ไหม?”  
 ขวัญเบิกตากว้างรีบเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายต่างสายเลือด ดวงหน้าขึ้นสีแดงเรื่อแต่กลับแสร้งทำเสียงแข็งเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึก “พี่พูดอะไรน่ะ!เดี๋ยวก็โดนอีกหรอก!”  
 “เอ้า พี่พูดจริงนะ” ทัพยิ้มบางๆแต่แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความออดอ้อน “งั้น..คืนนี้ให้พี่นอนกอดได้อีกหรือไม่?”  
 ขวัญเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความดุ “ถ้าจะช่วยก็ช่วยให้เสร็จถ้าจะนั่งพูดมากก็เชิญไปที่อื่นเลย!”  
 ทัพยกมือขึ้นราวกับยอมแพ้ “จ้าๆ ช่วยก็ช่วย ขวัญนี่ดุยิ่งกว่าสาวๆในหมู่บ้านเสียอีก”  
 “แล้วพี่จะอยากอยู่ด้วยทำไมล่ะ?”ขวัญถามพลางส่ายหัวเบาๆ ดวงตาไม่ยอมละสายตาจากทัพ  
 ทัพนิ่งไปครู่หนึ่ง รอยยิ้มกวนเมื่อครู่กลับกลายเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนขยับเข้ามาใกล้ขวัญอีกนิด “เพราะพี่อยากอยู่ใกล้ๆ ขวัญไงล่ะ”  
 ขวัญนั่งเงียบ ไม่เอ่ยคำใดใจเหม่อลอยไปตามคำพูดของเจ้าทัพเมื่อครู่ ความสับสนท่วมท้นใจจนแทบหายใจไม่ทัน ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไรความหวั่นไหวก็ยิ่งทวีคูณขึ้น รู้สึกร้อนรุ่มราวกับเปลวไฟที่แผดเผาในใจเหมือนแมลงเม่าที่รู้ว่ากองไฟนั้นร้อนแรงเพียงใดแต่กลับไม่อาจหักห้ามใจจากการบินเข้าหามัน รู้ดีว่ามันอันตรายแต่กลับมีความต้องการที่จะสัมผัสมันจนไม่อาจยับยั้งตัวเองได้      
 เมื่อยามราตรีล่วงเลยมาถึงขวัญจึงดับตะเกียงเล็กๆ บนโต๊ะไม้ และตรวจสอบประตูหน้าต่างอย่างระมัดระวังทุกสิ่งถูกล็อกอย่างมั่นคง ไม่มีช่องว่างใดที่เขาต้องห่วงกังวลอีกแล้ว เขาค่อยๆคลี่ผ้าห่มหนาๆ ลงบนเตียง แล้วล้มตัวลงนอนอย่างสบายใจคิดว่าในคืนนี้คงจะหลับได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องใด ไม่ต้องกลัวว่าจะมีผู้ใดเข้ามานอนข้างๆเขาเหมือนคืนก่อน  
 ขวัญหลับตาลงลมหายใจเริ่มช้าลงจนเริ่มเคลิ้มหลับ แต่ทว่าความรู้สึกแปลกๆ ก็แผ่ซ่านเข้ามาเขารู้สึกเหมือนมีมือหนาๆ ลูบไล้เบาๆ บนหน้าท้องของเขา เสียงหอบหายใจอุ่นๆดังใกล้ๆ ขวัญสะดุ้งและพยายามขยับตัวหนี แต่มือหนานั้นกลับดึงเขาเข้ามาใกล้ราวกับกอดเอาไว้  
 ขวัญตกใจจนแทบจะร้องออกมาแต่ยังไม่ทันที่เสียงจะหลุดออกไป มือหนาก็ได้ปิดปากเขาไว้จนเงียบสนิทหัวใจเต้นรัวแรง มือเย็นเฉียบจากความตกใจในความมืด เสียงหายใจอุ่นๆของอีกคนดังใกล้ต้นคอ ขวัญรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แฝงอยู่ท่ามกลางความตกใจ  
 แล้วเสียงทุ้มของเจ้าทัพก็ดังขึ้นใกล้หูเขาอย่างไม่คาดคิด “ให้พี่นอนกอดอีกสักคืนเถิดหนาเจ้า”เสียงนั้นแฝงไปด้วยความอ่อนโยนและคำขอร้อง ขวัญหายใจติดขัดรู้สึกเหมือนเสียงในหัวจะหยุดไปหมด เขารู้สึกถึงอ้อมแขนที่ล้อมรอบตัวเขาความสับสนและตกใจทำให้เขาไม่สามารถขยับไปไหนได้  
 “ปล่อยขวัญนะพี่ เข้ามาได้ยังไงกัน”ขวัญดิ้นขลุกๆ อยู่ในอ้อมกอดของเจ้าทัพ พยายามเบี่ยงตัวออกจากการยึดจับของอีกฝ่ายในขณะที่เจ้าทัพยิ้มเบาๆ ภายใต้ความมืด  
 “พี่ก็แค่สะเดาะกลอนเข้ามาไง ลืมแล้วหรือว่าพี่เป็นโจร” เสียงของทัพทุ้มต่ำและเต็มไปด้วยความขบขันเขากอดขวัญแน่นขึ้นเล็กน้อย ราวกับไม่ให้หนีไปไหนได้ง่ายๆ  
 ขวัญรู้สึกถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดนั้นแต่ก็ไม่อาจยอมแพ้ได้ง่ายๆ มือข้างหนึ่งยังคงพยายามดันแผงอกของทัพออกไปเขาไม่อยากยอมให้ตัวเองรู้สึกอ่อนแอหรือถูกจับขังในอ้อมกอดนี้ ทั้งๆที่หัวใจของเขายังคงเต้นแรงขึ้นทุกครั้งที่รู้สึกถึงลมหายใจของทัพใกล้ๆ  
 “โจรอะไร พี่มันบ้า ไปเลยนะ!”ขวัญกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองแต่ในใจกลับรู้สึกถึงความวุ่นวายที่ไม่อาจควบคุมได้ความรู้สึกหวั่นไหวที่ซ่อนอยู่ภายในมันเริ่มแทรกซึมออกมา แม้จะพยายามปฏิเสธก็ตาม  
 ขวัญสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงทุ้มของเจ้าทัพกระซิบใกล้ๆหู เขาพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ตกใจ แต่ก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รดต้นคอความรู้สึกที่เหมือนจะถูกดึงเข้าไปในอ้อมแขนของทัพมากขึ้นทุกที  
 “ชู้วว~ อย่าเสียงดังสิเดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินหรอก หรืออยากให้พี่กอดแน่นกว่านี้”ทัพกล่าวเสียงอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความขบขัน ขวัญรีบกลืนน้ำลายฝืนยิ้มเล็กน้อยแต่ยังคงรู้สึกเขินอายอย่างบอกไม่ถูก  
 “พี่... พี่บ้าไปแล้ว” ขวัญพูดเสียงเบาพยายามผลักทัพออก แต่ก็ทำได้แค่เล็กน้อยเท่านั้น ร่างกายของทัพยังคงหนักแน่นและอบอุ่นอยู่ข้างๆเขา  
 ขวัญพยายามผลักทัพออกไปอีกครั้งแต่ร่างกายกลับไม่ยอมทำตามใจ มือที่เคยดันอกแกร่งของพี่ชาย กลับอ่อนแรงลงทุกที ความรู้สึกสับสนวุ่นวายแล่นปราดเข้ามาในใจ  
 ในขณะที่ปากบอกว่า "พี่... อย่านะ"แต่หัวใจกลับเต้นรัวแรง ราวกับจะกระโดดออกมานอกอก  
 ความอบอุ่นจากอ้อมกอดของทัพทำให้ขวัญรู้สึกปลอดภัยและเป็นสุข เป็นความรู้สึกที่เขาแอบปรารถนามาโดยตลอดแต่ไม่เคยกล้าบอกใคร  
 ทัพกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น พลางกระซิบเบาๆข้างหู “นอนเถอะเจ้า คืนนี้พี่จะกอดให้คลายหนาว”  
 ขวัญรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะพ่ายแพ้ให้กับความรู้สึกนี้แต่ส่วนลึกในใจก็ยังพยายามต่อต้าน ไม่อยากให้ตัวเองเผลอใจไปมากกว่านี้  
 ทัพไม่รู้เลยว่าการกระทำของเขา ได้ทำให้หัวใจของน้องชายสั่นไหวเขาเพียงแค่ต้องการดูแลและปกป้องขวัญเท่านั้นโดยไม่รู้ตัวเลยว่าความรักที่มีให้น้องนั้น อาจจะมากเกินกว่าความรักแบบพี่น้องไปเสียแล้ว  
 ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในใจของทั้งคู่ยังคงคลุมเครือและสับสน ไม่มีใครกล้าที่จะเอ่ยปากพูดความในใจออกมา ได้แต่ปล่อยให้ความเงียบและความอบอุ่นโอบล้อมพวกเขาไว้ในค่ำคืนนี้  
  
   แต่แล้วความสุขนั้นก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อเช้าวันใหม่มาถึง เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากนอกประตู ปลุกขวัญให้ค่อยๆลืมตาขึ้นจากห้วงนิทรา เสียงนั้นฟังดูคล้ายกำลังเรียกหาใครบางคนขวัญพยายามตั้งใจฟังบทสนทนาที่เล็ดลอดเข้ามา  
 “พี่ทัพ! พี่อยู่หรือไม่จ๊ะ?เปิดประตูให้แก้วตาหน่อยเถอะพี่!” เสียงแหลมสูงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นขวัญนิ่วหน้ารู้สึกประหลาดใจไม่น้อยกับการที่มีใครบางคนมาหาเจ้าทัพในยามเช้าตรู่เช่นนี้  
 เขาเหลือบมองเจ้าทัพที่ยังนอนหลับสนิทกอดเขาไว้แน่นตั้งแต่เมื่อคืน ขวัญถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ แกะมือหนักๆ นั้นออกแล้วลุกขึ้นไปเปิดประตูด้วยความสงสัย  
 พอประตูเปิดออก ขวัญก็ต้องชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยในชุดบ้านๆ ธรรมดา แต่กลับสะดุดตาอย่างบอกไม่ถูกเธอสวมเสื้อสายเดี่ยวสีสดใสที่แนบลำตัวจนเผยให้เห็นทรวดทรงชัดเจน กับผ้าถุงลายดอกที่ผูกเอวหลวมๆแม้จะดูเรียบง่าย แต่ความโดดเด่นของเธอกลับทำให้ยากจะมองข้าม  
 “พี่ทัพอยู่ไหมจ๊ะ?” หญิงสาวที่บอกว่าตัวเองชื่อแก้วตาพูดขึ้นเสียงกระตือรือร้นใบหน้าแฝงความร้อนรน เธอพยายามชะโงกมองเข้าไปในห้องขวัญพยายามดึงประตูให้ปิดเล็กน้อย แต่แก้วตาก็ดูเหมือนพร้อมจะผลักเข้าไปเสียให้ได้  
 ขวัญยังไม่ทันพูดอะไรเสียงงัวเงียของเจ้าทัพก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “เสียงดังอะไรกันแต่เช้า…”  
 เจ้าทัพเดินออกมาที่หน้าประตูทันทีที่เขาเห็นแก้วตา เขาถึงกับสะดุด ใบหน้าที่เขาจำได้ขึ้นใจแม้เวลาจะผ่านไปหลายปี เธอคือคนที่เขาเคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วยเมื่อครั้งยังหนุ่มสาวและตอนนี้แก้วตาดูเปลี่ยนไปมาก โตขึ้น สะสวยขึ้นและเสื้อสายเดี่ยวที่เผยให้เห็นเนินอกชัดเจนก็ยิ่งทำให้เขาเผลอจ้องอยู่นาน  
 “พี่ทัพ…” แก้วตาเอ่ยเสียงหวานขณะที่เจ้าทัพยืนนิ่งราวกับกำลังประมวลผลในหัว แต่แล้วความรู้สึกอึดอัดก็เริ่มพุ่งขึ้นเมื่อเขาหันไปเห็นสายตาคมกริบของขวัญที่มองมาเหมือนสายฟ้าฟาด  
 ขวัญไม่ได้พูดอะไรแต่หันหลังเดินจ้ำลงจากเรือนไปโดยไม่เหลียวมองกลับมาเจ้าทัพรู้สึกได้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เขารีบหันไปบอกแก้วตาสั้นๆว่า “ไว้พี่จะไปหานะ!” ก่อนจะวิ่งตามขวัญลงไป  
 “ขวัญ! เดี๋ยวก่อน!”เจ้าทัพร้องเรียกเสียงดัง พลางเร่งฝีเท้าไล่ตามไป แต่ขวัญกลับไม่แม้แต่จะชะงักแผ่นหลังที่ห่างออกไปเต็มไปด้วยความเย็นชาจนรู้สึกเหมือนโดนตัดขาด  
 “ขวัญ!” เขาเรียกซ้ำอีกครั้งน้ำเสียงปนความร้อนรนและไม่เข้าใจ  
 ขวัญหยุดเดินในที่สุดร่างของเขานิ่งงันอยู่กลางลานที่แสงแดดยามเช้าส่องลงมาทัพที่วิ่งตามมาเห็นเพียงแผ่นหลังที่สงบแต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนกำแพงหนาแน่นที่เขาไม่อาจข้ามไปได้  
 “ขวัญ…” เจ้าทัพเรียกเสียงแผ่วขณะเดินเข้าไปใกล้ แต่ขวัญไม่ได้ตอบหรือหันกลับมา  
 “ตามมาทำไม?” ขวัญถามขึ้นด้วยเสียงเรียบเฉยน้ำเสียงที่ปราศจากอารมณ์ใดๆ ทำให้ทัพรู้สึกเหมือนกำลังพูดคุยกับคนแปลกหน้า  
 “ก็…พี่อยากคุยกับขวัญไง”เจ้าทัพตอบอย่างลังเล สายตาเต็มไปด้วยความสับสน “ขวัญดูเหมือนโกรธอะไรพี่หรือพี่ทำอะไรผิด?”  
 ขวัญสูดลมหายใจลึกก่อนจะพูด“พี่ไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก ขวัญแค่…อยากอยู่คนเดียว”  
 “แต่เมื่อกี้ขวัญ…”เจ้าทัพพยายามจะพูดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าควรเริ่มจากตรงไหน“ขวัญดูเหมือนไม่พอใจ ตอนพี่คุยกับแก้วตาใช่ไหม?”  
 “ไม่” ขวัญตอบทันที สายตายังคงมองไปข้างหน้าไม่หันกลับมาสบตาเจ้าทัพ “เรื่องนั้นมันไม่สำคัญหรอก”  
 คำตอบนั้นทำให้เจ้าทัพยิ่งงุนงง เขาขมวดคิ้วมองดูขวัญที่ยังคงสงบนิ่ง ทั้งที่ความรู้สึกในอากาศกลับตึงเครียดจนเขาสัมผัสได้  
 “ถ้ามันไม่สำคัญ แล้วทำไมขวัญถึงเดินหนีพี่?”เจ้าทัพถามตรงๆ น้ำเสียงเริ่มปนความไม่เข้าใจ  
 ขวัญนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเบา“พี่คงไม่เข้าใจหรอก แต่ไม่เป็นไร ขวัญไม่ได้โกรธพี่”  
 ประโยคนั้นทำให้เจ้าทัพรู้สึกเหมือนถูกตัดบทความรู้สึกหลากหลายพุ่งเข้ามาปะทะจนเขายืนอึ้ง เหมือนทุกอย่างที่เขาพยายามจะเข้าใจถูกปิดตายด้วยคำพูดเรียบง่ายของขวัญรอยร้าวที่มองไม่เห็นกำลังแผ่กระจายออกในความเงียบ  
 เมื่อขวัญเริ่มก้าวเดินอีกครั้งเจ้าทัพหลุดปากถามด้วยเสียงแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความลังเล “ขวัญจะไปไหน?”  
   ขวัญชะงักเพียงครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกไปโดยไม่หันกลับมา “ไม่ใช่เรื่องของพี่” น้ำเสียงนั้นยังคงเรียบนิ่งแต่สำหรับเจ้าทัพมันกลับฟังดูห่างเหินจนหัวใจเขากระตุกเหมือนมีบางอย่างถูกกระแทกจนแตกหัก  
 “ขวัญ…” เจ้าทัพพูดออกมาเสียงต่ำแต่ขวัญยังคงเดินต่อไปโดยไม่หันกลับมาแม้แต่น้อยเขารู้สึกเหมือนว่าโลกทั้งใบกำลังหมุนรอบตัวเขาไปโดยที่เขาไม่สามารถควบคุมอะไรได้  
 ขวัญเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้ในใจความน้อยใจ ความเจ็บปวดทั้งหมดถูกกดเอาไว้แน่นจนแทบจะระเบิดออกมาเขาพยายามที่จะไม่หันกลับไป เพราะกลัวว่าเมื่อเห็นสายตาของเจ้าทัพเขาจะทนไม่ไหวและร้องไห้ออกมา  
 ขวัญหยุดเดินอีกครั้ง แต่ยังไม่หันกลับมาเขากำมือแน่นข้างตัว สูดลมหายใจลึก พยายามกดความรู้สึกที่กำลังประดังขึ้นในอก “เลิกเดินตามขวัญสักที”  
 คำตอบนั้นทำให้เจ้าทัพรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปในความว่างเปล่าเขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าขวัญหมายถึงอะไร เขาเดินเข้าไปใกล้พยายามจะมองใบหน้าของอีกฝ่าย  
 “ขวัญ…ถ้าพี่ทำอะไรให้ไม่พอใจ บอกพี่สิอย่าเงียบแบบนี้ พี่อยากเข้าใจ” เจ้าทัพพูดเสียงเบาแต่แฝงไปด้วยความอ้อนวอนที่ไม่เคยมีมาก่อนในตัวเขา  
 ขวัญยังคงยืนนิ่งราวกับกำลังต่อสู้กับบางสิ่งในใจที่ไม่มีใครล่วงรู้ ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉยแต่ในแววตากลับซ่อนความปวดร้าวที่เก็บซ่อนไว้ลึกจนแทบจะระเบิดออกมาการต่อสู้ภายในทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้า แต่ก็ยังคงยืนอยู่อย่างนั้นพยายามไม่ให้มันแสดงออกมาให้ใครเห็น  
 แต่ในที่สุดความรู้สึกที่กดทับเอาไว้มานานก็หลุดออกมาในคำพูดที่แสนจะเบาแต่กลับหนักหน่วงเกินกว่าที่เจ้าทัพจะคาดคิด  
 “พอเถอะพี่...ขอขวัญอยู่คนเดียวได้ไหม”ขวัญพูดออกไป น้ำเสียงที่ไม่หวั่นไหวแต่แฝงไปด้วยความเหนื่อยหน่ายและความเจ็บปวดที่เขารู้สึกตลอดมา  
 เจ้าทัพรู้สึกเหมือนกำลังจมดิ่งลงในความมืดความงุนงงที่ไม่อาจไขปริศนา ความเจ็บปวดที่อธิบายไม่ได้ และคำถามนับพันที่ไร้คำตอบพวกมันประดังเข้ามาจนเขาได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ คำพูดนั้นเหมือนมีดที่กรีดลงไปในใจของเจ้าทัพ  
 "ขวัญ..."เสียงของเจ้าทัพแหบเล็กน้อยรู้สึกเหมือนคำนั้นไม่เพียงพอที่จะบอกว่าเขารู้สึกยังไง แต่ขวัญก็ไม่ได้หันกลับมาอีกครั้งเขาเพียงแค่เดินไปโดยไม่เหลียวหลัง  
 สายตาของเจ้าทัพยังจับจ้องแผ่นหลังของขวัญที่ไกลออกไปทุกทีความรู้สึกบางอย่างในใจของเขาบอกว่า หากปล่อยให้ขวัญเดินจากไปเช่นนี้อะไรบางอย่างที่สำคัญยิ่งสำหรับเขาอาจไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว…  
 --------------------------------------- เกือบจะทำให้น้องใจอ่อนอยู่แล้วเชียว ดันมีสาวมาหาถึงหน้าบ้าน  ง้อน้องเดี๋ยวนี้!!! แวะมาต่อให้แล้วนะ อาจจะไม่ได้อัพอีกหลายวันเลย เจอกันอีกทีหลังปีใหม่นะ สุขสันต์วันปีใหม่ล่วงหน้าฮ้าบบทุกคน  
  
  
    
 |