จ้าวธารา
คัดลอกมาครับ-๖-
..ไม่มีทาง..บอกไม่คิดๆ แต่สุดท้ายที่อาการหนักก็ดูเหมือนจะเป็นผมเองครับ
อ๊ะอย่าเข้าใจผิดนะ ผมไม่ได้แคร์หรือใส่ใจหรืออะไรกับอีกฝ่ายมากนักหรอกก็แค่ ‘สงสัย’ เท่านั้นแหละ! คำว่ามีลูกเมียแล้วมันด็แปร่งๆยังไงไม่รู้ครับ…ยังไงเราก็เป็นนักศึกษาใช่มั้ยล่ะ?เป็นไปไม่ได้หรอก….แต่ก็ไม่แน่แหะ…..
…อีกฝ่ายยิ่งเจ้าชู้ๆอยู่…
“เฮ้ย”
ผมสะดุ้งเฮือกจากเสียงเรียกนั้น ก่อนจะเงยหน้ามองคนพูดที่เข้ามาใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
อีกฝ่ายเท้าแขนสองข้างลงบนโต๊ะหน้าผม และเมื่อเห็นว่าผมรับรู้ว่ามีเขาอยู่ตรงนั้น…ก็ขยับยิ้มหวาน…แล้วยักคิ้วให้
“เห็นนะมองพี่ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วไม่ใช่เหรอ?”
..หน้าม่อ..
คำนั้นแว่บเข้ามาในสมองซะงั้น แล้วผมก็หงุดหงิดขึ้นมา
“อะไรเล่าไม่ได้มองสักหน่อย”
“ก็เห็นจ้องตั้งกะเมื่อกี้แล้ว”
“เหม่ออยู่ต่างหาก!”
เขายิ้มทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามกับผม “ก็เหม่อจ้องพี่ที่โต๊ะนู้นตั้งกะตะกี้แล้ว เป็นไรครับ?คิดถึงเหรอ?”
...โอ้ยเครียด!โปรดรักษาโรคหลงตัวเองด่วนๆเลยนะครับเพ่!
“บ้าป่ะ ใครมองกันใครคิดถึงกัน บ้าป่ะ”
“ย้ำว่า ‘บ้าป่ะ’ตั้งสองครั้งแน่ะ..”
“ว้อยไม่อยู่แล้ว”ผมลุกทันที
“ไม่อยากคุยกะจระเข้บ้าๆ!”
หมับ!
แน่นอนว่าจะรอดเหรอครับอีกฝ่ายคว้าข้อมือผมไว้แบบเส้นยาแดงผ่าแปดก่อนที่ผมจะเดินหนีไปทันที และเพราะอะไรบางอย่างทำให้ผมเผลอสะบัดเขาทิ้ง..แบบที่เป็นไปโดยอัตโนมัติ
พี่วันคามือไว้แบบนั้นแล้วขมวดคิ้วมองผม
“ไกรเป็นอะไร?”
“เปล่าครับ” ผมเข่นฟัน
“ไม่ชอบให้ใครมาแตะตัว”
“…เหรอ?”
“ใช่”
เขาถอนหายใจไม่ได้ยิ้มอยู่เลย
“บอกพี่มาสิ เป็นอะไร..ดูแปลกไปนะวันนี้?”
“ไม่ได้แปลกสักหน่อย”
“มามากเหรอ?”
“ไอ้พี่วัน!”
“….ในที่สุดก็เรียกคำนี้ออกมาสักที” เขาปรือตายิ้มให้ผม
“อารมณ์รึยังครับ?”
ผมแลบลิ้น
“ใครมันจะอารมณ์ดีกับคนอย่างพี่กัน”
“เอ้าแต่พี่อารมณ์ดีนะ”
ตอนนั้นผมมองเขา..คิดไปถึงลีลาการพูดที่เหมือนกับจงใจทำให้อีกฝ่ายอยากคุยด้วยต่อแบบนั้น ถ้อยคำที่ทำให้คนฟังต้องแอบคิดไปเองแบบนั้นแล้วไหนจะรอยยิ้มหวานๆกับหน้าหล่อๆที่…เป็นแบบนั้น
…น่าหงุดหงิดเป็นบ้า…
“ช่างผมเถอะ”
แต่สิ่งที่ผมพูดออกไปไม่ใช่การตะโกนด้วยอารมณ์ กับเพียงแค่เอ่ย…และพบว่าเสียงนั่นพร่าเหลือเกิน
“ผมไม่ใช่แก้วไม่ต้องมาคอยเอาใจหรอก”
และแล้วผมก็รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปนั้น…คือสิ่งที่คนเค้าเรียกกันว่า ‘การตัดพ้อ’
..ทำไปทำไม..ทำไปเพื่ออะไร..
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ..ทำไมผมถึงไม่หันหลังเดินหนีออกมาเหมือนในการ์ตูนวะ ทำไมถึงยังยืนอยู่ตรงนั้นทั้งๆที่เขาไม่ได้ดึงมือผมเอาไว้ ทำไมยังจ้องเข้าไปในนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นทำไมยัง ‘รอ’ ให้เขาพูดอะไรออกมาสักอย่าง….
…วูบหนึ่ง…ที่ดวงตาคู่นั้นเรืองแสงสีอำพันออกมา…และจางหายไป…
“ไกร”
ในที่สุดเสียงทุ้มนั้นก็ว่า
“เราต้องคุยกัน”
ผมเม้มปาก
“ไม่”
“นี่…”
“ผมต้องไปเรียนแล้ว” ผมเก็บหนังสือเรียนที่ยังคงวางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา
“แล้วเจอกันครับ”
“เฮ้!....”
“โมโม! ขึ้นห้องป่ะ?ไปด้วย!”
ผมเลี่ยงด้วยวิธีที่อุบาทว์ที่สุด คือการตะโกนเรียนเพื่อนร่วมรุ่นที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้ววิ่งตรงเข้าไปหา อย่ารีรอ..อย่าหันกลับไปนั่นเป็นสิ่งที่ผมบอกตัวเอง..เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะใช้อีกกี่ร้อยกระบวนท่าเพื่อ‘คุย’ กับผมอีกและอีกกี่ครั้งที่ผมต้องหงุดหงิดแบบนี้กันล่ะ
เพราะไอ้โป๊ยแท้ๆเพราะไอ้โป๊ยน่ะสิที่เอาเรื่องมาพูดกับผมเมื่อวานเพราะไอ้โป๊ยอีกน่ะแหละที่โดดเรียนแล้วทิ้งให้ผมนั่งอยู่คนเดียวจนเผลอคิดไปเรื่อย เพราะไอ้โป๊ย…ทุกอย่างแม่งเป็นเพราะไอ้โป๊ย!
…จะโยนความผิดไปถึงเมื่อไหร่กันเกรียงไกร!…ผิดที่ตัวเองว้อยตัวเองน่ะ!เลิกคิดเรื่องจระเข้บ้าๆ!… แล้วกลับมาเป็นมนุษย์ธรรมดาซะทีเถอะ!
ไอ้โป๊ยมาทันตอนเช็คชื่อพอดีครับ สรุปมันก็ไม่โดด
แม่งมาสารภาพกับผมว่าวิชานี้มันจวนเจียนเหลือเกิน สอบอาทิตย์หน้าซะด้วย…แหมทำมาเป็นเด็กดีอะไรตอนที่มันจะสายเกินไปล่ะวะ..
“ไกรไกร”
“…อะไร?”
เพื่อนรักผมเงียบไปแปปนึง “เค้าเปลี่ยนหน้ากันแล้ว”
“หา?” ผมตื่นจากภวังค์ เงยหน้ามองสไลด์
“เออ ก็ว่าไม่รู้เรื่องเลย”
ผมรู้ตัวว่ามันกำลังจ้องผมที่กำลังพลิกหน้าชีท แต่พยายามไม่สนใจ..และพอมันทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไร
สักอย่างผมก็หยิบปากกาขึ้นมาจดตามสไลด์ยิกๆๆเพื่อกันไม่ให้มันทักมันถาม…เป็นวิธีการง่ายๆที่งี่เง่าเป็นบ้า!
แต่ให้คนอย่างมันมาเตือนผมให้เปลี่ยนหน้าตอนเรียนนี่แบบ…งี่เง่ากว่าอีก
และสุดท้ายมันก็ยอมเงียบได้ในที่สุด(คือแม่งหลับในคาบ แต่ปล่อยมันไปเถอะครับ)
เวลาในคาบเรียนตอนบ่ายครั้งนี้ผ่านไปอย่างเชื่องช้าและก็รวดเร็ว
อาจารย์ปล่อยเราก่อนเวลาครึ่งชั่วโมงเพราะแกมีประชุมต่อ ถ้าเป็นในวันปกติผมก็คงจะมีความสุขไม่น้อยแต่วันนี้มันไม่ใช่แบบนั้น…
..เพราะนั่นหมายถึงผมต้องมานั่งตอบคำถามของไอ้โป๊ยเร็วกว่าเดิมครึ่งชั่วโมงน่ะสิ!
“เป็นเหี้ยอะไรวะ!?”
มันโพล่งขึ้นเสียงดังกระแทก..แต่ดังไม่เท่าเสียงคุยจ้อแจ้ของเพื่อนคนอื่นหรอกครับ
“เปล่านี่” ผมตอบคำถามเดิมๆ
“ไม่ได้เป็นอะไร”
“มึงคิดว่ากูโง่หรา”
“เปล๊า”
“เออกูอาจจะโง่ก็จริงนะ”มันหมุ่นคิ้วดึงปากกาออกจากมือผม
“แต่กูรู้ว่าไอ้ที่มึงทำตัวแบบนี้เนี่ยเพราะที่กูพูดเมื่อวานใช่ป่ะ?”
“เรื่องอะไรกูไม่รู้เรื่อง”
“อย่ามาทอแล…เห็นๆกันอยู่ว้อย”
“กูไม่รู้”
“มึงอย่าคิดมากก็แค่ข่าวลือล่ะว๊ากูไม่น่าพูดให้มึงฟังเลย”
“กูไม่รู้”
“พี่ชายกูอาจจะแค่โม้ไปงั้นว่ะมึง ใครมันจะมีลูกมีเมียแล้ววะ”
“กูไม่รู้”
“มันคงแค่หมั่นไส้อ่ะก็พี่วันเค้าหล่อเค้าดีไงมึง…”
“ไอ้โป๊ย”ผมเรียกมันเสียงเบามาก…แล้วย้ำประโยคเดิมๆลงไป
“กูไม่รู้..กูไม่รู้จริงๆ”
นั่นทำให้มันหยุดพูดได้
โป๊ยเซียนหันมามองผม..แต่ผมไม่ได้เงยหน้าไปมองมันหรอกนะครับ มือก็เผลอกำชีทเรียนบนโต๊ะจนยับ..ผมรู้ตัวว่าผมกำลัง ‘เกร็ง’ ส่วนสาเหตุน่ะเหรอ..ไม่ต่างกันหรอก…ผมแค่ไม่รู้
“ไกร” มันเอ่ยชื่อผม
“อย่าบอกนะว่ามึง….”
“อย่าถามกูกูไม่รู้”
“เอ่อ…แล้วตอนนี้กูต้องทำไงบ้างวะ…”
ผมยกสองมือนวดที่ขมับแล้วหลับตาลง
“กูสิต้องถาม ไอ้สัสกูต้องทำไงบ้างวะ….”
เพื่อนรักผมเงียบไปแปปนึง
“…กูว่ามึงไม่ต้องทำไรว่ะ”
“อะไรของมึง?”
“โน่น” มันบอก
“ชาวดาวนาเม็กมึงมาโน่นแล้ว”
ผมลืมตาขึ้นแต่ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมอง
ในอกก็เต้นโครมครามกับคำพูดคนข้างๆ แต่ก็ยังไม่ยอมเงยหน้ามอง
“ไกร..เค้ามองมาทางมึงนะเว้ย”
“กูรู้กูรู้”
“มึงไปทำไรพี่เค้าไว้วะ?”
“กูรู้น่า”
“ไกรมึงต้องทำอะไรสักอย่าง”
“กูรู้ว้อย”
“เค้ากำลังเดินมาทางมึงนะ!” มันพยายามเขย่าแขนผม
“มาแล้วนะว้อย”
“ไอ้เหี้ยนี่กูกำลังคิดอยู่อย่าเพิ่งได้ป่ะ”
“ที่กูพยายามจะบอกก็คือ…แก้วมองอยู่นะ”
เท่านั้นแหละหัวใจที่เต้นโครมๆเมื่อครู่แม่งก็แทบหยุดไปเลยครับ
ผมเงยหน้าขึ้นทันทีแต่สิ่งแรกที่ผมหาคือสายตาของแก้วที่มองตามพี่วันมาเธอยิ้มอยู่ก็จริง..แต่รอยยิ้มนั้นดูเหมือนจะค้างอยู่บนใบหน้าน่ารักๆนั่นมาได้สักพักแล้ว
และพอผมเห็นแบบนั้นก็รู้ว่าไอ้สิ่งที่กำลังจะ ‘เกิด’ ขึ้นน่ะ…มันไม่ถูกต้องเลยสักนิด
ผมลุกพรวดขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะมาถึงตัวผม
มันทำให้ไอ้โป๊ยชะงักคนที่กำลังเดินมาหาผมก็เช่นกัน
“ไกร…”
“ผมยอมแพ้” ผมพูด..ยังไม่มองหน้าเขา
“ไปคุยกันที่อื่น”
อีกฝ่ายค้างยืนอยู่แบบนั้นแล้วตอบรับ
“ครับ”
ผมหันกลับมา..เหลือบสายตามองแก้วที่กำลังเก็บข้าวของ..เธอคงไม่ได้ติดใจอะไรแล้ว และนั่นเป็นเรื่องที่ดี
“โป๊ย…”
“ไว้โทรหากู” มันบอก โบกมือไล่ผม
“ไปเถอะ”
“เออ”
แล้วผมก็เดินนำเขาออกจากห้องมา
ตอนนี้ผมแค่รู้สึกผิดไม่อยากคุยกับอีกฝ่ายต่อหน้าแก้วไม่อยากทะเลาะกับอีกฝ่ายต่อหน้าแก้ว ไม่อยากงอแงใส่อีกฝ่ายต่อหน้าแก้วแล้วยังไง? ผมห่วงแก้วมากกว่าความรู้สึกตัวเองในตอนนี้…นั่นแหละที่ผมเป็น
ถามว่าผมไปไหนงั้นเหรอ?ผมจะไปไหนได้…เราเดินผ่านและสวนกับผู้คนมากมาย ผมพยายามจะหาห้องเล็กๆว่างๆที่ไม่มีใครใช้งานแน่นอนมันหาได้ไม่ยากนักหรอกมีห้องแลคเชอร์เล็กๆที่มีเก้าอี้สิบกว่าตัวมากมายในตึก
คณะเราและผมเดินนำเขาเข้าไปในห้องหนึ่งที่สุดทางเดิน
เขาเดินตามเข้ามาปิดประตูเรียบร้อย…แล้วเราก็เงียบกัน
ผมคิดว่านี่มันผิด…ทั้งหลายๆอย่างมันผิด และที่สำคัญคือ..ไอ้ที่ผมทำๆอยู่น่ะมัน ‘ผิดปกติ’และผมต้องทวงตัวเองคืนกลับมาให้ได้ก่อน
การสูดลมหายใจให้เต็มปอดและผ่อนออกเป็นท่าไม้ตายตอนที่คนเราตกอยู่ในสภาวะเครียดจัด ผมทำแบบนั้นสักพักจนกระทั่งเสียงหัวใจตัวเองดังเป็นปกติ ถึงหันมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย…แต่ก็ต้องผงะ เมื่อพบว่าเขายืนอยู่ใกล้ห่างไปไม่เกินหนึ่งไม้บรรทัด
แต่ผมไม่ถอย นั่นเป็นข้อผิดพลาด
“ไม่มีเรียนคาบบ่ายเหรอ?”
“อือ” เขาตอบ ก้มหน้ามองผม
“มันไม่เช็คชื่อ เลยมารออยู่หน้าห้อง”
“…อ่าฮะ”
“เห็นไกรไม่ออกไปสักทีเลยมาตาม”
“อื้อ”
“ไกรเงยหน้า”
คำพูดนั้นทำให้ผมรู้ว่าตัวเองจ้องสร้อยสีทองที่คอเสื้อเขามาได้สักพักแล้ว ผมไม่ได้ติดใจอะไรมันหรอก..เพียงแค่ดีกว่าสบตากับเขาตรงๆก็เท่านั้น
“อะไรเล่า” เสียงผมสั่น
“มีอะไรก็ว่ามา”
“พี่บอกให้เงยหน้าครับ”
..ให้ตายเหอะ! ผมเกลียดคำว่า ‘พี่’ และคำสุภาพแบบนั้นชะมัด! ผมสูดลมหายใจอีกครั้งกลั้นใจ..เงยหน้าขึ้น..เพื่อสบกับดวงตาคู่นั้น…
“สีทอง..” ผมบอกเขา
“…อีกแล้วนะ”
“อืมพี่รู้”
“บังคับมันได้รึไง?”
“…ต้องควบคุมสติมันถึงจะเป็นสีน้ำตาล”เขาบอก..ยิ้มให้ผม
“หรือไม่ก็ตอนโดนน้ำ สีตาจะเปลี่ยนก่อนเป็นอย่างแรก”
“แล้วตอนนี้ทำไม…”
“อยู่กับไกรพี่ไม่ต้องปิดบังนี่”
“ไอ้พี่วัน”
“ครับ?”
ผมรู้สึกสงสัยว่าทำไมผมต้องเรียกเขา และนั่นทำให้ผมต้องก้มหน้าลงมาอีกครั้ง “เปล๊า”
“น้องไกรเป็นอะไรครับ?”
“อย่ามาเรียกว่าน้องสิวะ!”
“นี่”
เขาหัวเราะแตะปลายนิ้วลงที่ข้างแก้มผม..มันเย็นจนน่าตกใจ และผมสะดุ้งโหยง…สิ่งเดียวที่ไม่ได้เกิดคือผมไม่ได้ผลักเขา ไม่ได้ปัดมือข้างนั้นและไม่ได้ถอยออกมา
“ไกรไม่ได้กลัวพี่…ใช่มั้ย?”
ผมรู้สึกข้างในมันร้อนๆเลยต้องหลับตาข่ม
“ไม่เลย”
“พี่เป็นจระเข้นะ”
“....รู้”
หลังจากคำตอบนั้น..เวลาก็ผ่านไปสักพัก…กว่าที่ผมจะรับรู้ถึงสัมผัสบางอย่างที่หน้าผาก..สัมผัสนุ่มๆของริมฝีปาก อุณหภูมิของผิวหนังที่ต่ำกว่าคนทั่วไป..
มันแช่อยู่นานและบรรจงย้ำอีกครั้งราวกับไม่มีท่าทีจะดึงตัวเองออกแล้วผมก็ต้องพูด..อย่างน้อยก็เพื่อเรียกสติตัวเอง
“..ไอ้..พี่วัน”
“ครับ?” เขากระซิบอยู่ที่หน้าผากผม
“มีอะไรครับ?”
“ทำแบบนี้………กับแก้วด้วยรึเปล่า……?”
ผมรู้สึกเสียงนั้นสั่นและขาดๆหายๆเกินกว่าจะได้ยินชัดเจน แต่อีกฝ่ายก็รับรู้ได้…เขาผละออกจากหน้าผากผม
“ไม่เคย”
“โม้”
“จริงๆ”
“แล้วคนอื่นล่ะ?”
เขาเงียบไปแปปนึง
“ถามทำไม…..”
และมันทำให้ผมรู้คำตอบ “ช่างมันเหอะ”
“ไกร”
“ช่างไกรเหอะ” ผมบอกเขา ถอยหลังออกมา
“ช่างมันเหอะ..จะ..อะไรก็ช่าง”
“ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่พี่ปล่อยไกรไม่ได้” คำนั้นเหมือนหลุดออกมา..เหมือนเป็นคำพูดที่ขึ้นเสียงมาโดยไม่ได้ตั้งใจ“ไกรเป็นอะไรก็บอกพี่พี่ไม่ชอบแบบนี้ พี่ไม่เข้าใจ”
“ไกรเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันน่ะแหละ!”
เขาเงียบ
ผมก็เงียบ
มันเป็นช่วงความเงียบที่ทำให้เราสองคนได้มีโอกาสคิด เออหรืออาจจะเป็นแค่ผมคนเดียวก็ได้ที่คิด
เพราะในที่สุดเขาบอกขึ้นมาว่า
“...งั้นมาช่วยกันคิดมั้ย...พูดกันให้เยอะมากกว่านี้..”
ผมมุ่ยหน้า
“คนอย่างพี่พูดนี่ผมไม่อยากจะเชื่อเลยนะ…”
“ไกรเป็นคนสอนพี่เองว่าเรื่องบางเรื่องถ้าไม่อธิบายก็ไม่รู้เรื่อง” เขาบอก..หนักแน่นกว่าผมซะอีก
“พี่เป็นพวกอธิบายไม่เก่ง แต่ถ้าไกรอยากให้อธิบายพี่ก็จะทำ…พี่เพิ่งเป็นมนุษย์มาได้ยี่สิบกว่าปี…พี่ก็เลย…”
“ใช้คำนั้นมาอ้างไม่ได้ไกรก็เพิ่งเป็นมนุษย์มายี่สิบปีเท่านั้นเหมือนกัน”
เขายิ้ม “จริงสินะ…”
“มันอยู่ที่การเลี้ยงดูละมั้ง” ผมยิ้มออกมาได้ในที่สุด “จระเข้กับมนุษย์คงไม่เหมือนกัน..”
“แล้วมนุษย์บอกว่าไง..?”
“มนุษย์สอนว่าอย่าเจ้าชู้ไปทั่วถ้าไม่ได้คิดอะไร”
อีกฝ่ายเลิกคิ้ว
“….ไกรจะบอกว่าพี่เจ้าชู้?”
“แล้วที่ทำเมื่อกี้มันคืออะไร?”
“พี่ตั้งใจจะ….” เขาชะงัก คงพยายามหาคำมาพูด
“….ปลอบไกร…มั้ง”
“ตลกมากไอ้บ้า”
“ไกรทำหน้าเหมือนจะร้องไห้”
“ตลก!” ผมเถียง
“ใครจะร้องวะ!?”
“ก็ไม่รู้สินะ”
“ไอ้พี่วัน!”
..กวนประสาทเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน!
..นี่ขนาดอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดนะเนี่ย!
“แล้วยังไง?” ผมพยายามเปลี่ยนเรื่องครับ อาจจะไม่เนียนเท่าไหร่
“จระเข้เค้าสอนกันมายังไง?”
“…พ่อพี่สอนเสมอว่า…ต้องทำให้มนุษย์รัก”
ผมเลิกคิ้ว
“ทำไม?”
“เพราะเราอยู่ยาก” เขายิ้ม
“อย่างน้อยก็ดีกว่าให้เขาเกลียด”
คำพูดนั้นทำให้ผมนึกถึงคำพูดไอ้โป๊ยเมื่อวาน…ซึ่งอันที่จริง…มันมากมายกว่านั้น
“…นอกจากความรู้สึก ‘ชอบ’ กับ ‘เกลียด’ แล้ว…มันยังมีความรู้สึกตรงกลางที่เรียกว่า ‘เฉยๆ’ อยู่นะ”
ผมบอกเขา..รู้สึกสั่นไหวกับคำพูดตัวเองไม่น้อย
“เพราะว่าถ้าชอบไปแล้วมันจะเฉยๆไม่ได้ ถ้าเกลียดไปแล้วก็เฉยๆไม่ได้… แล้วทำไมพี่ต้องมาจำกัดความว่ามีแค่‘ชอบ’ กับ ‘เกลียด’ด้วยเล่าแบบนั้นน่ะ…มันเจ็บปวดมากนะทั้งพี่แล้วก็คนอื่นๆด้วย”
เขานิ่งไป
“อย่างนั้นเหรอ..?”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“…ถ้าชอบแล้วครั้งหนึ่งจะ ‘เฉยๆ’ ไม่ได้..แล้วใช่มั้ย?”
“ใช่เพราะงั้นก็เลิกทำให้คนอื่นชอบได้แล้ว”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะมันดูเจ้าชู้!”
ทิวันมองหน้าผม
“…แล้วไกรชอบพี่มั้ย?”
ผมชะงักคำถามนั้นทำให้หน้าร้อน
“ไม่ได้..เกลียด”
“เหรอ..”
“เป็นอะไร?”
“พ่อพี่ไม่เห็นเคยพูดเรื่องนั้นเลย”
ผมหัวเราะ
“ก็นี่ไงกลับไปก็ถามซะสิ…นี่พี่ต้องทำตามที่พ่อบอกทุกอย่างเลยรึไงนะ?”
“ก็ทำมาตลอด” เขายิ้ม..เป็นรอยยิ้มอ่อนๆ
“เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่พี่ทำให้ท่านได้”
คำพูดนั้นฟังดูหนักอึ้งหินที่ถูกแบกอยู่บนบ่ามันทั้งใหญ่ทั้งแข็ง…และบางทีผมก็คิดว่ามันคืออะไร ความสงสัยที่ไม่เคยเก็บเอาไว้ได้สักครั้งของผมทำให้ต้องพูดออกไป
“หมายความว่า..ยังไง..?”
“…บอกว่าให้แค้นบอกว่าให้ทำให้รักบอกให้มีชีวิตรอด บอกว่าเรายิ่งใหญ่บอกให้เราทวงสิ่งที่เคยเป็นของเราคืนมา บอก…อะไรไว้มากมายในครั้งสุดท้าย…”
ดวงตาสีทองคู่นั้นไม่ได้ดูเศร้าสร้อย…แต่กลับดูเจ็บปวดมากกว่า
เขามองตรงมาที่ผมกับพูดคำที่เหมือนโดนน้ำร้อนสาดหน้า
“…ก่อนที่พวกมนุษย์…จะฆ่าพ่อแม่ของพี่”
ผมถอยหลังจากเขาโดยไม่รู้ตัว
เขายิ้ม
“กลัวพี่มั้ย?”
แม้จะใช้เวลานานแต่ผมก็ส่ายหน้า
“ไม่”
“ดีแล้ว” อีกฝ่ายยังคงยิ้มอยู่
“เพราะเวลาที่มนุษย์กลัว…มันน่ากลัวกว่านั้นมาก…”
ผมจำวันที่เจอเขาในคืนที่ฝนตกได้ จำเกล็ดสีเขียวที่แข็งเหมือนโลหะนั่นได้จำความแข็งแรงยามบังคับกดให้ผมอยู่ในพันธนาการได้จำผลึกแก้วที่เขาบอกว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เขากลายร่างเป็นมนุษย์ได้..
อาจเพราะบรรยากาศที่เงียบเชียบขนาดนี้…ผมเลยนึกถึงสัมผัสเย็นๆที่หน้าผากเมื่อครู่นึกถึงคำพูดที่เขาบอกผม
นึกถึงความอ่อนโยนที่เขาแสดงออกมาโดยตั้งใจนึกหวนกลับไปถึงพ่อแม่ของเขานึกภาพเหตุการณ์ที่อาจจะเคยเกิดขึ้นในสมอง……..
…….ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งตระหนักได้อย่างแท้จริง
…ว่าอีกฝ่าย…ไม่ใช่มนุษย์
ดวงใจมิอาจห้ามให้นึก
ความรู้สึกมิอาจห้ามให้ไหว
แม้นใคร่รักหักหาญห้ามก่อนเลยไกล
เขาเป็นใครเราเป็นใคร..ใช่เดียวกัน
เริ่มประสบแรกพบริบาดหมาง
เริ่มหนทางแรกใคร่ไร้สุขสันต์
เริ่มแต่เดิมหากไร้ใจผูกพัน
เริ่มอย่างนั้นสิ้นความเจ็บ..ทบทวี
ขอบคุณคร้าบ ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]