tanya โพสต์ 2014-12-3 10:05:26

จ้าวธารา

คัดลอกมาครับ

-๙-
   “พี่ทองดีอ้ายพี่ทองดี”
   ร่างโปร่งวิ่งทั่กๆลงบันไดเผลอกระแทกส้นเท้าลั่นจนคนฟังต้องเอ็ดขึ้นมา
   “เบาๆหน่อยสิอ้ายพันวังวิ่งซุกซนเป็นเด็กไปได้”
   คนถูกดุยิ้มแหยเปลี่ยนเป็นค่อยๆย่องลงจากบันไดแทนแล้ววิ่งอ้อมเข้ามายังใต้ถุนเรือน จระเข้ที่มีอายุหน่อยจะได้อยู่ประจำเรือนคอยทำความสะอาดทำครัว จระเข้ที่ยังหนุ่มยังแน่นจะถูกส่งออกไปทำนาตามบริเวณรอบๆเพื่อไม่ให้ผิดสังเกตกับมนุษย์ หลังจากอยู่มาสักพักพันวังจึงเริ่มเคยชินกับสภาพนี้
   ทองดีนั่งชันเข่าอยู่บนแคร่ด้านล่าง กำลังเด็ดดอกแคเตรียมมื่อเย็น
   “เรียกข้าซะเสียงดังจะว่ากระไรรึ?”
   เด็กหนุ่มพุ่งตรงไปหาแล้วนั่งคุกเข่าฝั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ข้าจะถามว่า..เย็นนี้มีอะไรกินบ้างขอรับ?”
   “ก็มิมีอันใดมากดอกก็แค่ผักจิ้มน้ำพริกเท่านั้นเอง”
   “แค่นั้นรึขอรับ?”
   พอเห็นไอ้หนุ่มคะยั้นคยอนักชายวัยกลางจึงได้หมุ่นคิ้วมองด้วยนึกสงสัยร้อยวันมันก็ไม่เห็นจะเข้าครัวมาเจ้ากี้เจ้าการเรื่องอาหารการกิน ออกจะเลี้ยงง่ายอยู่ง่ายมาเสียนานพอมาวันนี้ดันอยากจะถามขึ้นมาเสียอย่างนั้น
   “รึเจ้าอยากกินอะไรเป็นพิเศษเล่า?”ทองดีถามกลับ
“ข้าจะได้เตรียมไว้ให้”
   “มิใช่เช่นนั้นดอก”
   “แล้วอะไรเล่าแน่ะยังมาทำตาระริกระรี้มีพิรุธอีก”
   “เอ่อ…ข้า-ข้าคงเริ่มต้นคำถามผิดไป…”
   พันวังคล้ายกำลังอ้ำอึ้งเขายิ้มไม่หุบมาตั้งแต่เมื่อสักครู่นี้ด้วยเหตุผลหลายๆประการ   ก่อนจะเอ่ยต่อประโยคมา
   “อ้ายพี่แสนตาให้มาถามน่ะขอรับว่า ข้าวเย็นนี้มีอะไรกินบ้าง?”
   เท่านั้นแหละบรรดาคนที่ได้ยินในบริเวณนั้นถึงกับถลึงตาโต โดยเฉพาะอ้ายทองดีที่แทบจะลุกไปหยิบครกมาแทบไม่ทันโดยไร้ซึ่งการสั่งการใดๆอื่นเพิ่มเติม
   “ข้าสิจะไปเด็ดชะอมมาทอดไข่บัดเดี๋ยวนี้”
   “ข้าจะตำเครื่องแกงส้มไว้รอเจ้ารีบไปตักน้ำมาเสีย”
   “ปลาตากแห้งนี่ได้ที่รึยังนะ”
   “แล้วไฟเล่าใครว่างรีบจุดไฟที”
   เด็กหนุ่มอมยิ้มแก้มปริความเต็มตื้นจนแทบทะลักออกมาจากอกนี่ทำให้เขารู้สึกดีไม่น้อย ตั้งแต่เมื่อเช้าที่อ้ายพี่แสนตายอมลุกขึ้นจากเตียงเดินมานั่งที่เก้าอี้ ตั้งแต่ที่อ้ายพี่แสนตากินข้าวเช้าข้าวกลางวันจนหมดไม่เหลือสักเม็ด ตั้งแต่ที่เมื่อครู่นี้…อ้ายพี่แสนตาถามคำถามคำนั้นออกมา ให้เขารีบลงมาถามอ้ายพี่ทองดีเสียอีกทีหนึ่ง
   “แล้วท่านจ้าวบอกรึไม่จะให้เตรียมสำรับเข้าไปฤๅจะกินด้านนอกเล่า”
   “ถึงขั้นนี้แล้ว…ข้าจะทำทุกทางเข็นอ้ายพี่ให้ออกมาจากห้องให้ได้ขอรับ”พันวังว่ามองท่าทางเปี่ยมสุขของทุกคนด้วยรอยยิ้มกว้าง“เอาแต่อุดอู้คุดคู้อยู่เพียงในห้องคงไม่ดีนักออกมาเปลี่ยนบรรยากาศเสียหน่อยคงจะดีขึ้น”
   “เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าอีกแรง”
   “แน่นอนขอรับ!”
   “อ้ายพันวัง…” ใครคนหนึ่งบอก ตรงเข้ามากอดเขา
“พวกข้าสิขอบใจเจ้ามาก”
   “ร้ายดีเช่นไรอย่างน้อยก็มีเจ้าอยู่ คอยเอาอกเอาใจท่าน”
   “นับแต่ที่อ้ายพันตราเสียไปหากเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกข้าก็มิรู้จะทำเช่นไรเหมือนกัน”
   “ขอบใจเจ้ายิ่งนัก”
   “ไม่เป็นไรดอกอ้ายพี่ทั้งหลาย ข้าสิยินดีนักที่ได้รับใช้อ้ายพี่แสนตา” เขาตอบ จับมืออีกคนอย่างทะนุถนอม
“ถ้านี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้าทำได้ข้าสิเต็มใจนัก”
   “เจ้านี่ช่างเป็นเด็กดีนัก”
   “แล้วจ้าวโคจรจะเสียใจที่ทิ้งเพชรน้ำงามอย่างเจ้าไว้ที่นี่”
   ทุกคนหัวเราะร่วนขนาดพันวังยังอมยิ้มออกมาเล็กน้อยคล้ายกับว่ามีคนปล่อยข่าวเรื่องสัญญาแลกตัวระหว่างเขากับอ้ายแม่หญิงบุหลันเพียงชั่วครู่ชั่ววัน ซึ่งแม้เรื่องนั้นจะเป็นความเท็จทั้งปวงแต่ก็พอจะคลายความสงสัยของบรรดาจระเข้ที่พำนักที่นี่ไปได้บ้าง
   “ว่าแต่…พวกท่านเห็นอ้ายพี่สหัสบ้างรึไม่ขอรับ? อ้ายพี่แสนตาถามหาเช่นกัน”
   “อ้ายสหัสน่ะรึ?ออกไปสำรวจตั้งแต่สองสามวันที่แล้วยังมิได้กลับมาเลย”
   “ชะอ้าว”
   หัวใจแทบจะหล่นไปกองที่ตาตุ่ม   เขานึกถึงคำที่อ้ายสหัสพูดเมื่อวันก่อน..ความว่ามนุษย์ช่างอันตรายนัก..
   “เกิดเหตุร้ายอันใดขึ้นรึเปล่าขอรับ?”
   “มิเป็นไรดอกมันสิส่งคนมาบอกเราแล้วว่าจะประจำการอยู่ตรงนั้นสักอาทิตย์สักเดือน มิต้องเป็นห่วงไป”
   “แล้วข้าจักบอกอ้ายพี่แสนตาว่าเช่นไรดี?”
   “ก็เพ็จทูลไปตามตรงนั่นแล”
   “มิมีเหตุร้ายใดเกิดขึ้นดอกอ้ายพันวัง…พระแม่คงคาสิเฝ้าคุ้มครองพวกเราอยู่”
   รอยยิ้มของอ้ายทองดีทำให้คนฟังยิ้มตาม และเป็นเช่นนั้นจริงๆ…
   เคยมีนิทานเรื่องหนึ่งเล่าว่า ในดวงใจของจระเข้ทุกดวงเต็มไปด้วยธารน้ำใสที่พระแม่คงคาเป็นผู้ให้กำเนิดมาแต่กาลก่อนปั้นร่างจากเม็ดดินละเอียด…และใส่จิตวิญญาณของสายน้ำลงไปเช่นสักวันร่างกายนี้ก็จะเน่าเปื่อยลง
สู่ดินมีเพียงดวงใจเท่านั้นที่กลับคืนสู่ห้วงธารา   นั่นคือชาวเรา…ที่เป็นหนึ่งเดียวกับสายน้ำ
   ...ที่ทั้งได้รับการคุ้มครอง…และปกป้องมันเรื่อยมา…
   มิช้านานนักขบวนอาหารมากมายก่ายกองประหนึ่งมีงานเลี้ยงฉลองครั้งใหญ่ก็ถูกลำเลียงไปให้ถึงศาลาริมน้ำ บ่าวไพร่นั่งเฝ้ารับตั้งแต่หัวกระไดเลียบไปจนตามทางพอได้เวลาจ้าวบ้านหนุ่มจึงปรากฏตัวเคียงคู่มากับคนงามต่างเมืองที่เกาะแขนพยุงเดินมาจนถึงตั่งนั่ง
   ยามเย็นที่พระอาทิตย์สีแดงก่ำใกล้จะหลุบหายเข้าหมู่ไม้ช่างงดงามนัก ม่านฟ้าที่เคยเป็นสีครามยามกลางวันเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดงอ่อนๆไล่ขึ้นไปจากเส้นขอบฟ้า เสียงนกเพรียกร้องเรียกหากันกลับรังเป็นฝูงใหญ่โดยที่ใคร
ต่อใครคงทึกทักเอาเองว่าบรรยากาศระรื่นตาเช่นนี้ช่างเป็นใจให้จ้าวแสนตานัก
   “อ้ายพี่สิกินเข้าไปเยอะๆ”
   “อื้อๆ”
   “แกงส้มชะอมทอดนี้รสดีนักกุ้งก็ตัวโต๊โต”
   “อื้อๆ”
   “ฤๅจะปลาจาระเม็ดทอดนี่ก็ได้ มาเถิดข้าตักให้”
   “อื้อๆ”
   “อ้ายพี่กินอีกสิกินเยอะๆนะขอรับ”
   “เอ๊ะเจ้านี่”เสียงทุ้มว่า
“ช้าๆก็ได้…เยอะขนาดนี้ข้ากินไม่หมดหรอก”
   “เอ้า!หากอ้ายพี่กินไม่หมดแล้วจะมีเรี่ยวแรงไปทำสิ่งใดได้เล่า”
   คนฟังลอบยิ้มบาง
“แล้ว ‘สิ่งใด’ ที่เจ้าว่าน่ะ…มีนัยอันใดรึเปล่าล่ะ?”
   คู่สนทนาหมุ่นคิ้วฟาดป้าบไปเสียที
   “อ้ายพี่นี่พูดอะไรมิอายฟ้าดิน หรือต่อให้มิอายฟ้าดินก็อายพวกอ้ายพี่คนอื่นที่นั่งอยู่นี่บ้างสิ!”
   บรรดาบ่าวไพร่ที่นั่งเรียงอยู่โดยรอบพากันหัวเราะคิกคักประกอบฉาก คนถูกค่อนแคะหมุ่นคิ้วเพ่งสายตามองไปยังจระเข้น้อยใหญ่ที่แอบมานั่งจ้องยามที่ตนรับประทานอาหาร เลยชี้หน้าเป็นเชิงบอกให้หยุดหัวเราะกันสักทีซึ่งก็ไม่มีผู้ใดทำตามเสียเท่าไหร่   เลยว่าไปตามเรื่อง
   “แล้วพวกเจ้าเล่ามิมีกิจอันใดไปทำรึ มานั่งจ้องข้าแดกข้าวอยู่ได้”
   อ้ายทองดีแสร้งทำเป็นประนมมือเทอดเกล้า แล้วว่า
“กิจของพวกข้าก็คือดูแลความเป็นอยู่ของท่านจ้าวเนี่ยแหละขอรับ ใยจะไปไหนได้”
   “อ้ายทองดี…”
   “ขอรับ?”
   “ฤๅยังไม่ไสหัวไปอีกเดี๋ยวจะโดนตีน……แค่ก!”
   อาการไอเช่นนั้นทำเอาทุกคนตกใจนัก บ่าวหลายคนพากันวิ่งไปแย่งกระโถนมาบริการถึงที่ส่วนท่านจ้าวผู้แสนดีก็โบกมือควับแทบจะสะบัดตีนยันหน้าทุกผู้
   “แค่กๆ! ไปได้แล้วไป”
   “ท่านจ้าวเป็นอะไรรึเปล่าขอรับ?”
   “เพียงอาหารติดคอเท่านั้นทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้”
   “ค่อยยังชั่วหน่อย…”
   แสนตาหมุ่นคิ้ว
“บ๊ะยังไม่รีบไปอีก! ดูแลข้าแค่น้องพันวังคนเดียวก็เพียงพอแล้วมิใช่รึ!”
   “เอ้าฉไนจึงปฏิเสธความหวังดีพวกข้าเช่นนั้นเล่า”
   “พวกข้าเพียงมาดูให้เห็นกับตา ว่าจ้าวแสนตาผู้ยิ่งใหญ่ของพวกข้ายังมีชีวิตอยู่ดีน่ะขอรับ”
   “อ้ายนี่ริมาสาปแช่งข้า…..”
   เท่านั้นแหละอ้ายพี่ทองดีเลยลุกพรวด
“เอ้าพวกเราจะชักช้าอยู่ใย รีบไปได้แล้วไปอาหารเย็นของพวกเราอยู่ที่เรือนบ่าวกระนู้นโน่น”
   ฝูงจระเข้พากันหัวเราะคิกคักไม่หยุด แต่ก็ยอมลุกขึ้นทยอยเดินจากไปดั่งที่หัวหน้าฝ่ายตนเองว่า แม้คนมองจะหงุดหงิดใจที่สั่งเรื่องไม่เป็นเรื่องก็มิอาจเอ่ยด่าไปมากกว่านั้นได้ด้วยรู้ว่าไอ้บรรดาที่มันมานั่งจ้องหน้าดูเขาเนี่ยเพราะเป็นห่วงด้วยกันทั้งนั้น
   “..ทำเป็นเปลี่ยนเรื่องนะอ้ายพวกนี้” จ้าวแสนตาหันมาบ่นอิดออดในลำคอ เบือนสายตาไปมองคนดีที่นั่งอยู่
เคียงกาย
“เอ๊ะเจ้านี่ยังมิวายล้อเลียนข้าเช่นเดียวกับไอ้พวกนั้นอีกรึ?”
   “อะไรรึ?ข้ามิได้ล้อเลียนท่านสักหน่อย!”
   “แล้วไอ้ที่อมยิ้มจนแก้มตุ่ยอยู่นี่มันกระไรกันเล่า”
   “อย่างน้อยก็มิได้มีเจตนา..”
   “…ชิชะเดี๋ยวข้าจะคิดบัญชีทบต้นทบดอกเสียให้เข็ด”
   “บัญชีกระไรเล่าก่อนหน้านั้นท่านกินอาหารดื่มยาให้แข็งแรงก่อนดีกว่าไหม” พันวังว่าสุรเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “ไว้ถึงตอนนั้นจะคิดบัญชีเช่นไรกับข้าก็ย่อมได้”
   ชายหนุ่มชะงักทอดสายตาหวานลึกมองมา
“จริงรึ?”
   “จริงสิ”
   “เช่นนั้นก็เตรียมใจไว้ได้เลย”
   “หายดีแข็งแรงให้ได้ก่อนเถิด”
   “อย่าได้ท้าข้าเชียวเพียงช้ำรักเท่านี้มิถึงตายดอก”
   เด็กหนุ่มระบายยิ้มกว้างยกมือถูที่ข้างแก้มแก้เขินพิจมองร่างสูงตรงหน้าที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวอีกครั้งหนึ่ง
   จริงอยู่ที่อ้ายพี่แสนตาของตนอารมณ์ดีมากพอจะออกมาเดินข้างนอกได้เป็นครั้งแรกของเดือน แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าชายหนุ่มอยู่ในสภาพอาการที่ดีมากนัก ผิวเข้มที่เคยมีสเน่ห์ร้อนแรงยามต้องแสงตะวันกลายเป็น
ซีดเซียวทั้งร่างกายใหญ่โตยังดูผอมโซลงไปเสียมากนัก กว่าจะฟื้นฟูทุกอย่างให้กลับมาเป็นสภาพเดิมได้คงเสียเวลามิใช่น้อย
   แต่ก็มิใช่เรื่องหนักหนาสาหัสอะไรขนาดทำไม่ได้ เพียงแค่ครั้งนี้อ้ายพี่แสนตายอมขยับตัวจากอาการซึมเศร้าบ้างก็เป็นความก้าวหน้าขั้นหนึ่งแล้ว…เพียงดวงตาคมคายที่ยังมีประกายสดใสนั่น…ก็เพียงพอแล้ว…
   …เพียงได้มองอีกคนที่ยังมีรอยยิ้มอยู่เช่นตอนนี้…เท่านั้น ‘ดวงใจ’ ก็สุขมากเกินพอแล้ว…
   …แต่ความสุขกลับอยู่ได้เพียงไม่นานนัก…
   เด็กหนุ่มปรือตาขึ้นอีกครั้งเมื่อสัมผัสได้ว่าอีกคนขยับตัว ค่อยเลื่อนศีรษะกลมมนให้นอนหนุนที่หมอนนุ่มแทนแผ่นอกกว้าง กับไออุ่นที่ละออกไปแทบจะในทันที
   ร่างโปร่งปรือตามองคนข้างๆที่เคลื่อนกายลุกขึ้นจากเตียงในความมืดมิด เพียงแสงจันทร์ที่ส่องเล็ดลอดม่านผืนบางเข้ามาเท่านั้นที่พอจะให้เห็นเค้าร่างสูงใหญ่นั่งอยู่เช่นนั้นสักพักหนึ่ง ถึงจะยอมลุกขึ้นยืนตั้งท่าจะเดินไปถึงบานประตู
   “อ้ายพี่แสนตา..?”
   ในที่สุดเขาก็เอ่ยทักออกไปจนได้
   เจ้าของนามสะดุ้งเล็กน้อยเบือนดวงเนตรสีอำพันมาสบ…เป็นดวงตาที่เจิดจ้าในความมืดจนน่ากลัว ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นกระแสอ่อนโยนอย่างรวดเร็ว
   ชายหนุ่มขยับตัวกลับมานั่งที่เตียงอีกครั้ง ลูบศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ
   “ข้าทำให้เจ้าตื่นกระนั้นรึ?”
   อีกฝ่ายยกมือขยี้ตาดันกายให้ลุกขึ้นนั่งโดยไม่ได้ตอบคำถามนั้น
“จะไปไหนรึขอรับ?”
   “เปล่าหรอกข้าเพียงได้ยินเสียงประหลาดเท่านั้น”
   เด็กหนุ่มหมุ่นคิ้วเงี่ยหูฟังดั่งคำว่า…แต่มิได้ยินเสียงใด
   “…อาจจะไม่มีอะไรก็ได้มิต้องกังวลนัก” กลีบปากหยักจุมพิตที่หน้าผาก
“..หลับเถิดแก้วตา”
   “ไม่เอา” พันวังส่ายหน้าหวือ
“อ้ายพี่แสนตาไปไหนข้าจักไปกับท่านด้วย”
   “แต่…”
   ว่าแล้วก็รีบหยิบยกคำอ้าง
“ตื่นขึ้นมาแล้วก็หลับมิลงดอกขอรับหากมิมีสิ่งใดจริง…จึงถือว่าเดินเล่นชมจันทร์กับอ้ายพี่ มิเสียเปล่าสักหน่อย”
   รอยยิ้มกว้างประทับอยู่ในอกคนมองให้ชุ่มชื่นหัวใจนัก ก่อนคนตัวเล็กกว่าจะพลิกกายลุกขึ้นจากเตียงเหนี่ยวแขนแกร่งให้ลุกตามเพื่อเดินออกไปสูดกลิ่นดอกแก้วและบรรยากาศยามราตรีที่ภายนอก
   ดวงตากลมโตสอดส่ายมองไปรอบด้าน เพื่อสำรวจหาต้นตอ ‘เสียงประหลาด’ ดั่งที่อ้ายพี่ของตนว่าแต่พิจมองรอบตัวเท่าใดก็เห็นเพียงความมืดสลัวนัก นอกจากพวกเขาสองคนแล้วแทบไม่เห็นเงาร่างของสิ่งใดแม้ตะเกียงน้ำมันก็ยังจุดเพียงบางหัวเรือนเอกเท่านั้น
   “นั่นประไรมิเห็นมีสิ่งใดมากวนอ้ายพี่เลย กังวลไปใยเล่า”
   เด็กหนุ่มว่าแต่เมื่อเงยหน้ามองคนข้างตัวถึงได้ชะงัก
   เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ทำสีหน้าโล่งอกหรือสบายใจแบบที่ตัวเองกำลังทำอยู่เลยสักนิด
   เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่นจนแทบเป็นเส้นเดียว ทุกเส้นประสาทตึงเขม็งจนจับเส้นขึ้นที่ขมับดวงตาสีอำพันวาวโรจน์จ้องเขม็งไปยังตลิ่งด้านล่างก่อนร่างสูงจะรุดเดินไปที่หัวกระได
   “อ้ายพี่?”
   วินาทีนั้นพันวังนึกกลัวนักแต่ไอ้ครั้นจะให้เดินหนีไปก็ใช่ที
   “อ้ายพี่แสนตามีอะไรรึขอรับ?”
   ชายหนุ่มเบือนสายตามาสบแผ่นอกกว้างกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะหายใจที่รุนแรงนักดวงตาคู่นั้นกำลังสั่นเทาด้วยใช้ความคิดหนักก่อนจะรุดตรงไปยังฆ้องใหญ่หน้าเรือนเพื่อตีป่าวปลุกบรรดาจระเข้น้อยใหญ่ให้คืนสติในความมืดมิด
   คนตัวเล็กยกมือปิดหูโดยพลันด้วยไม่เคยได้ยินจังหวะฆ้องที่รุนแรงเช่นนี้
   “….อ้ายพี่…..”
   “สถานการณ์มิสู้ดีนักเจ้าสิหลบไปอยู่ที่ยุ้งข้าวด้านหลังก่อน”
   “แต่อ้ายพี่แสนตา…”
   “นี่เป็นคำสั่งเจ้าได้ยินชัดรึไม่!?”
   คำตะคอกจนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยงเขารู้สึกได้ถึงริมฝีปากสั่นเทาของตัวเองจึงพยักหน้ารับ..แล้วกลับหลังหันวิ่งออกไปตามคำสั่งจ้าว
   …เกิดอะไรขึ้น…?
   …ใยอ้ายพี่แสนตาจึงได้ร้อนรนเช่นนั้นกันเล่า…?
   ร่างโปร่งวิ่งทั่กๆลงกระไดที่ด้านหลัง ก่อนมองลอดใต้ถุนเรือนไปยังเรือนบ่าวด้านหน้าคบเพลิงมากมายถูกจุดขึ้นจนสว่างจ้าพร้อมเสียงเอ็ดตะโรของบรรดาบ่าวไพร่ที่กรูกันออกมาจากเรือนใหญ่ เขาเงี่ยหูฟังพยายามแปรกระแสเสียงอื้ออึ้งเหล่านั้นเพื่อจับความ…แต่ไม่ได้อะไรสักนิด
   หัวใจที่เต้นอยู่กลางอกดังระรัวเหมือนกลองจนต้องยกมือกดมันเอาไว้เรียวขาที่ก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆก็คล้ายจะสิ้นเรี่ยวแรง เด็กหนุ่มเม้มปากแน่นกลืนน้ำลาย..ก่อนจะหันหลังกลับไปมุ่งหน้าสู่ยุ้งข้าวที่ตั้งอยู่แยกออกไป
   พลั่ก!
   เพราะรีบร้อนนักจึงสะดุดล้มไม่เป็นท่า เนื้อตัวเปื้อนดินเพียงเล็กน้อยไม่เท่ากับแผลถลอกที่หัวเข่า พันวังกลั้นน้ำตาลุกขึ้นมาอีกครั้งแล้วตรงไปขึ้นกระไดยุ้งฉาง
   ด้วยขั้นบันไดที่ชันกว่าเรือนใหญ่นักกอปรกับความลนลานทำให้เขาแทบจะล้มเสียได้ตลอดเวลา เมื่อปีนป่ายขึ้นมาถึงขั้นสุดท้ายถึงได้มองย้อนกลับไปอีกครั้งหนึ่ง..จากจุดนี้ทัศนียภาพยามค่ำคืนถูกเงาเรือนบดบังเสียสิ้น แทบไม่เห็นสิ่งใดนอกจากแสงไฟสุมลึกเช่นนั้น
   …อ้ายพี่แสนตา…
   “อึก…”
   เขาเผลอกัดฟันจนเจ็บยินเสียงกรีดร้องโวยวายมาไม่ใกล้ไม่ไกลเขาไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงสิ่งนั้นไม่ใคร่จะดีนัก   และรู้เพียงว่า..บัดนี้เขาอยู่คนเดียว...
   “ข้าแต่พระแม่คงคา….” สิบนิ้วยกขึ้นประนมเทอดอยู่เหนือศีรษะ
“โปรดอย่าให้มีเรื่องร้ายๆใดๆเกิดขึ้นอีกเลย…โปรดอย่าให้ชาวเราต้องบาดเจ็บล้มตายกันอีกเลยได้โปรดเถิด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย…ได้โปรดเถิด”
   …เราก็แค่…อยากอยู่อย่างสงบเพียงแค่นั้น…แค่อยากมีชีวิตอยู่เพียงเท่านั้น…
   เขาสัมผัสได้ถึงหยาดน้ำตาที่รินไหลลงมาอาบแก้มและแรงสะดุ้งทุกครั้งที่ได้ยินเสียงดังเปรี้ยงปร้าง
   เมื่อเงยหน้ามองฟ้าเมฆดำครึ้มเข้าปกคลุมผืนนภากว้าง…จากเมื่อครู่ที่ดวงจันทร์กลมโตเคยส่องสว่าง ทำได้เพียงส่องแสงจากๆอยู่แง้มกลีบเมฆ
   ในที่สุดเด็กหนุ่มก็มิอาจกลั้นน้ำตาที่เกิดจากความกลัวนี้ได้เลย
   พันวังร่ำไห้จนร่างกายสะอึกสะอื้นนัก บางทีอาจจะมากกว่ายามที่ตนร้องไห้ครั้งก่อนเสียอีกเขานึกถึงภาพของจ้าวโคจรกับแม่หญิงบุหลันในคืนแต่งงานนั่นก่อนจะย้อนนึกกลับมาถึงภาพของอ้ายพี่แสนตาของตนนึกย้อนกลับถึงยามที่ได้รับสัมผัสอบอุ่นและอ้อมกอดอ่อนโยนของคนทั้งคู่ นึกถึงเหตุผลที่น้ำตานี้รินไหลซ้ำแล้วซ้ำเล่า
   ‘ความกลัว’
   …มันไม่ใช่เพียงแค่นั้น ….คือความกลัว…ที่จะสูญเสียคนสำคัญไปตลอดกาล
   นานแสนนาน..กว่าดวงใจที่เต้นระรัวนี้จะสงบลง กว่าที่น้ำตาจะแห้งเหือดไปอย่างไร้เหตุผลกว่าที่จะควบคุมลมหายใจของตัวเองไม่ให้ติดขัดได้
   เด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวเข่า แผลถลอกทำให้เลือดซึมไหลออกมาไม่น้อยแต่กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งนี่ก็กลบไปได้แทบทุกอารมณ์ความรู้สึก เขาคลานออกมาจากที่ซ่อนตัวชะโงกหน้ามองออกไปยังด้านหน้าเรือนที่ค่อยสงบลงอย่างช้าๆ จึงตัดสินใจปีนลงจากยุ้งข้าวแล้ววิ่งกลับไปทางเดิม
   เขาได้กลิ่นเลือดลอยมาตามคุ้งน้ำ กลิ่นที่ไม่คุ้นเคยเจือปนอยู่ด้วยบางทีอาจจะเป็นกลิ่นของพวกมนุษย์
   …นั่นเป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่า ‘สงคราม’ คืออะไร
   พันวังกลับเข้าไปที่เรือนใหญ่ สองข้างแก้มยังเต็มด้วยรอยน้ำตา
   ท่ามกลางกลุ่มหนึ่งที่เป็นครึ่งคนครึ่งจระเข้ กับอีกกลุ่มหนึ่งที่กลายร่างเป็นจระเข้เสียเต็มตัวแหวกว่ายอยู่ใน
ท้องน้ำดวงตากลมโตสอดส่ายหาร่างที่คุ้นเคย เด็กหนุ่มมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องไม่เป็นไร
   …ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่นานก็หาพบ
   “อ้ายพี่แสนตา!”
   เขาวิ่งลงขั้นกระไดตรงเข้าไปหาร่างสูงที่เดินซัดเซมาจากซากปรักหักพังที่เคยเป็นศาลาท่าน้ำ แขนข้างหนึ่งเปียกน้ำจนแปลงเป็นเกล็ดมาถึงหัวไหล่
   …เพียงแขนอีกข้างหนึ่งซึ่งพาดรอยบาดลึก ปล่อยให้เลือดไหลซึมจงท่วมไปทั้งแขน
   “อ้ายพี่แสนตาอ้ายพี่แสนตา”
   คนตัวเล็กสอดกายเข้าไปประคองเจ้าของนาม พร่ำเรียกชื่ออีกคนปากสั่นมือสั่นไปเสียหมดปล่อยหยาดน้ำตาไหลอาบแก้มอีกครั้ง…แต่คนมองกลับส่งยิ้มอ่อนๆให้ แล้วใช้มือข้างที่ไม่ได้เจ็บปาดเกล็ดน้ำตาออกให้เสีย
   “น้องพันวังเจ้าสิมิเป็นไรนะ?”
   “ขอรับ” อีกฝ่ายสูดลมหายใจ พยุงคนเจ็บไปนอนที่แคร่ใต้ถุนบ้าน
“ข้าไม่เป็นไรอ้ายพี่เล่า…โปรดรอประเดี๋ยวก่อนประเดี๋ยวก่อนเพียงเท่านั้น ข้าจักนำยามาทาให้”
   “ใจเย็นๆก่อนข้ามิเป็นไรดอก”
   “แต่…แต่เลือด…”
   “แผลแค่นี้คงมิทำให้ถึงตายเพียงดูสาหัสนัก”
   ชายหนุ่มระบายยิ้มเอ็นดู
   “ก่อนอื่นเจ้าสิควรสงบอารมณ์เสีย ตื่นตระหนักเช่นนี้จะทายาให้ข้าได้เช่นไรเล่า”
   แม้จะร้องไห้เสียหนักนักแต่เด็กหนุ่มก็พยักหน้า
   บ่าวรับใช้นายหนึ่งก็นำยาและผ้าสะอาดมาให้ พันวังก็ก้มหน้าก้มตาทำแผลเสียให้ง่วนทั้งที่ตนเองก็ยังหายใจหายคอไม่ปกตินัก สองมือสั่นเทาจนเบามือไม่เป็นกระนั้นคนเจ็บก็ไม่ได้ว่ากระไร มิได้แหกปากกรีดร้องให้ยุ่งยาก
มากความทำเพียงแค่ส่งทอดสายตาเอ็นดูมอง แล้วยิ้มบางเท่านั้น
   ไม่นานท่านจ้าวจึงโบกมือเรียกให้บรรดาขุนพลต่างๆมานั่งประชุมกันเสีย ทั้งที่ยังพันแผลไม่เสร็จดีนัก…พันวังจึงได้นั่งอยู่ตรงนั้นด้วย
   “เราเสียอ้ายสหัสไปกับการโจมตีครั้งนี้ นอกเหนือจากนั้นมีผู้ใดอีกเล่า”
   “ข้าสิเร่งนับจำนวนและพยาบาลคนเจ็บอยู่ ค่ายที่ต้นน้ำคงแตกไม่มีชิ้นดี”
   “เคราะห์ร้ายของอ้ายสหัสนักแล”
   “ถึงกระนั้นมันยังทำความชอบไว้” จ้าวแสนตากล่าว
“หากมิได้มันที่เป่าแตรสัญญาณเตือนมาแต่ไกล เราคงจะพ่ายศึกนี้เป็นแม่นมั่น”
   “แล้วเราจักทำอย่างไรกันดีขอรับ?”
   “นั่นสิยามนี้อ้ายพวกมนุษย์รู้ตัวแล้ว พวกที่หนีรอดคงกลับไปเตรียมแผนการ”
   “ช้าเร็วคงเร่งบุกมาอีกถึงยามนั้นทางเราคงรับมือไม่ไหว”
   “ฤๅจะต้องยอมเสียเรือนนี้ไปอีกเล่า”
   “ท่านจ้าวขอรับ”
   คำนั้นทำให้ทุกคนในบริเวณเงียบเสียงลงเป็นแถบ เพื่อรอฟังคำพูดจากนายเหนือหัวเพียงผู้เดียว
   คนถูกเรียกนิ่งเงียบไปนาน…นานมากพอที่พันวังจะผูกปมสุดท้ายเสร็จแล้วผละออกมานั่งคุกเข่าเฝ้าอยู่ห่างๆ
ชายหนุ่มมีสีหน้าวิตกนักแต่บรรดาบ่าวรับใช้ทั้งหลายก็มิต่างกัน
   “เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
   จ้าวแสนตากล่าวในที่สุดบ่าวหนึ่งจึงชิงพูดก่อน
   “ถ้ามิเช่นนั้นเราอาจจะตายกันยกเรือนนะขอรับ”
   “โปรดทบทวนดูใหม่”
   “ข้ามิปล่อยให้ตายทั้งเรือนดอก พวกเจ้าสิไปเก็บข้าวของซะ” คำสั่งนั้นทำให้ทุกคนเงียบลงทันที
“เตรียมพาพลพรรคจำนวนหนึ่งอพยพไปยังเมืองพิจิตร ฝ่ายนั้นยังมีไมตรีต่อกันอยู่คงยินยอมรับพวกเจ้าให้พำนักพักพิงเป็นแน่”
   “แล้ว…แล้วท่านจ้าวเล่าขอรับ?”
   “ข้าสิอยู่เป็นเมืองหน้าด่าน หากไม่มีใครอยู่เลยพวกนั้นคงได้ตามร่องรอยไปถึงเมืองสระหลวง ถึงตอนนั้นคงได้ตายห่ากันหมดจริงดั่งปากเจ้าว่า”
   “ถ้าเช่นนั้นข้าจักอยู่เอง” นายหนึ่งกล่าวขึ้นมา
“ท่านจ้าวสิเร่งเตรียมตัวเดินทางเสีย”
   “ใช่ขอรับพวกข้าสิจะอยู่เอง”
   “เจ้าจะขัดคำสั่งข้ากระนั้นรึ?”
   “ท่านจ้าว…”
   “อย่าดื้อดึงไปเลยขอรับเทียบชีวิตพวกข้ากับท่านยังมิได้ฉะนั้น….”
   จ้าวหนุ่มส่ายหน้ามิใช่เพียงแค่อยากปกป้องพวกพ้องแค่นั้นหากความเจ็บปวดเบื้องลึกที่ยังปักฝังอยู่ภายในอกนี้…ทำให้ดวงตาคู่คมเผลอทอดมองออกไปไกลแสนไกล
   “…หากต้องตายข้าจักยอมตายอยู่ที่นี่”
   …เพียงทิฐินี้เท่านั้น…เพียงมิปรารถนา…จะพบหน้าใครบางคนเท่านั้น…
-๑๐-
   ขบวนลำเรือเตรียมอพยพถูกจัดเตรียมขึ้นอย่างเร่งด่วนอีกครั้งหนึ่งตอนเช้ามืด เหล่าจระเข้แทบทุกตัวเก็บข้าวของด้วยใบหน้าเศร้าหมองและอิดโรยนัก มีเพียงกลุ่มหนึ่งที่อาสาจะอยู่ยั้งเฝ้าเรือนนี้หากโชคดีสถานการณ์สงบลงจึงจะตามเผ่าพันธุ์กลับมาดังเดิม
   …และพันวังเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
   แม้ว่าจะมีปากเสียงกับจ้าวแสนตาไม่น้อยเลยก็ตาม
   “เจ้าไปเสีย!”
   “ข้าไม่ไป!”
   “เด็กดื้อ!”สุรเสียงแหบทุ้มร้องลั่น ตรงไปเก็บข้าวของอีกคนยัดใส่ถุงย่ามแบบรวกๆ “รีบไปเสีย ก่อนจะไม่มีโอกาส”
   “ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น”
   “พันวัง”
   “ข้าจะอยู่ที่นี่หากต้องตาย…จักตายกับอ้ายพี่”
   ชายหนุ่มยกมือลูบหน้า “ข้าสั่งให้เจ้าไปเสีย”
   “ข้าไม่ไป!”
   “เจ้ามิเชื่อฟังข้ารึ!?”
   “หากข้ามิเชื่อฟังแล้วท่านจะทำเช่นไรรึ? จะเฆี่ยมตีหรือประหารข้าเล่า?” ดวงหน้าน่ารักเชิดขึ้นอย่างรู้หน้าที่ ก่อนจะเอ่ยคำต่อ
“ถ้าเช่นนั้นก็มาเลย…ข้ามิกลัวดอก”
   คำท้าทายเช่นนั้นหากไม่ได้เอ่ยออกมาจากคนตัวเล็กก็ไม่รู้เลยว่าจะเป็นเช่นไร หากเป็นบ่าวคงอื่นคงไม่ยากที่จะจับเฆี่ยนตีดั่งคำนั้นว่า อีกฝ่ายยกมือลูบหน้าอีกครั้งด้วยปลงในสถานการณ์เขาลุกขึ้นปล่อยให้ถุงย่ามสีเข้มตกลง
กองที่พื้นแล้วเดินกลับเข้ามาหาเจ้าตัวดีที่ถอยหลังกรูด ตรงไปกอดเสาเตียงไม่ยอมปล่อย
   “ท่าน…ต่อให้ท่านใช้กำลังข้าก็ไม่ไปไหน”
   มือเล็กกอดเสาเตียงแน่นใช้ดวงตากลมโตจ้องมองตรงมา
   “เอาดาบเอาหอกมาแทงข้าเสียแล้วลากศพข้าขึ้นเรือก็แล้วกัน”
   คนฟังยกมือก่ายหน้าผาก
“เจ้าไปเอาคำเปรียบเปรยเช่นนั้นมาจากไหนกันน่ะ…”
   “ข้าแค่จะบอกว่าข้าไม่ไป”
   “เจ้าก็เห็น…อยู่ที่นี่อันตรายนัก”ร่างสูงใหญ่เอ่ยเสียงเบาทิ้งตัวนั่งลงที่ข้างตัวก่อนเอื้อมมือไปรั้งเอวบางมานั่งที่ตัก“หากวันนั้นเจ้าดื้อกว่านี้รั้นจะอยู่ข้างกายข้ายามรบมิยอมไปหลบซ่อนตัว ข้าก็มิรู้จะปกป้องเจ้าได้รึไม่”
   มือกร้านเกลี่ยแตะที่ข้างแก้มแผ่วเบาคล้ายกำลังสัมผัสประติมากรรมแก้วละเอียด เด็กหนุ่มเอียงหน้ารับเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสนั้น…ก่อนริมฝีปากหยักจะกดทบแนบลงมาแล้วเกลี่ยรสจูบหอมหวานจนร่างกายร้อนผ่าวอีกครา
   “…ข้าจะอยู่กับอ้ายพี่” เสียงหวานกล่าวออดอ้อน
“ได้โปรดข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
   “เจ้านี่ช่างดื้อนัก”
   “ข้าสิดื้อได้มากกว่านี้อีก”
   “ให้ตายสิ…”
   “ได้โปรด…อย่าไล่ให้ข้าไปไหน”
   ร่างโปร่งกระซิบบอกแผ่วเบากอดเกี่ยวอีกคนไว้แน่น
   “หากท่านปล่อยข้าไปจะกี่ร้อยกี่พันหนข้าก็จะกลับมา”
   น้ำคำนั้นหวานนักจนอีกฝ่ายอดจะปรือตามองยอดรักของตนมิได้ความดื้อรั้นของคนตรงหน้าก็เขาเองเนี่ยแหละที่รู้ดียิ่งกว่าใคร
   “ดวงใจข้า…”
   ชายหนุ่มกระซิบเสียงพร่าบดจุมพิตลงที่ริมฝีปากนุ่มอีกครั้ง
   “…หากเจ้าเป็นอะไรไป…ข้าคงมิต่างจากตายทั้งเป็น…”
   “อ้ายพี่แสนตา…”
   ครึ่งหนึ่งของทั้งหมดคืออาการใจอ่อนยวบ อีกครึ่งหนึ่งคือความปรารถนาจากส่วนลึกของจิตใจ
   ด้วยไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตามร้ายดีเพียงไรก็ตามหากเพียงอีกคนยืนอยู่เคียงข้างจวบจนลมหายใจสุดท้ายเท่านั้น
ก็เกินพอแต่กว่าครึ่งนั้นก็เจ็บปวดนักยามนึกถึงภาพคนรักถูกสังหารด้วยน้ำมือมนุษย์ใจหยาบช้าพวกนั้น
   …ดวงใจจึงจะแหลกลงเสียให้ได้…
   “ตอนนี้เจ้าจักอยู่ที่นี่ก็ตามแต่ใจเจ้า หากถึงยามนั้น…โปรดฟังข้าไม่ว่าข้าจะสั่งอะไรก็ตาม”
   “เพียงไม่ไล่ข้าไปให้พ้นตาข้าจักทำตามที่อ้ายพี่ปรารถนาทุกประการ”
   “ที่นี่ต่างหากบ้านเดิมเจ้านัก” ดวงหน้าคมคายละออกไปประคองสะโพกมนให้นั่งหนัดบนตักแต่ดี
“เต็มไปด้วยสงครามสู้รบฆ่าฟันข้ามิอาจนึกภาพยามเจ้าเผชิญหน้ากับศัตรูได้เลย”
   “อ้ายพี่สิดูถูกข้านักอยู่บ้านโน้นวิชาดาบข้าก็เรียนรู้มาบ้าง”
   คนฟังยกยิ้มนิดๆ
“จริงรึ?”
   “จริงสิถึงจะไม่เชี่ยวชาญนักก็คงพอเอาตัวรอดได้บ้าง”
   “งั้นข้าขอชมสักตั้ง”
   “ไม่ได้ดอก” คนตัวเล็กส่ายหน้าหวือ“ข้าสิเก็บไม้ตายไว้ใช้ตอนสุดท้ายน่ะขอรับ”
   “เจ้านี่….ช่างน่าตีนัก”
   เด็กหนุ่มหัวเราะคิกคัก
“คิดตีข้าเท่าไหร่ก็ตามแต่ประสงค์จ้าวกายข้าเป็นของท่านดวงใจข้าเป็นของท่าน จะต้มยำทำแกงเช่นไรขอเพียงได้อยู่ข้างกายท่านเท่านั้นด้วยน้ำมือของท่าน…ข้ามิปรารถนาสิ่งใดอีก”
   ในอกจ้าวแสนตาสั่นไหวนักราวน้ำหนึ่งหยดที่ตกกระทบผิวใจเร่งให้ข้างในชุ่มฉ่ำหอมหวาน พันวังช่างเหมือนปาฏิหาริย์นักที่ทำให้เขารู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นนี้
   เขาหยิกจมูกอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว   คนถูกกระทำแสร้งทำเป็นร้องโอดโอยก่อนจะเปลี่ยนมาถาม
   “แล้วใยอ้ายพี่ถึงไม่อพยพไปด้วยเล่า…ยังโกรธเคืองจ้าวพี่โคจรอยู่กระนั้นรึ?”
   คนฟังชะงักเพียงชั่วครู่หนึ่ง ก่อนโคลงศีรษะช้าๆ
   มิใช่ความโกรธเกลียดแค้นเคือง..
   …เพียงมิรู้จะทำสีหน้าเช่นไรยามที่เห็นเขาสองคนอยู่ด้วยกันเพียงเท่านั้น
   หากเวลาคือยาที่รักษาได้ทุกบาดแผล แสดงว่าเขาคงยังใช้ยาไม่เพียงพอทั้งที่หมดใจคือให้อภัยแล้วสิ้น หนำซ้ำยังได้สิ่งที่มีค่ายิ่งกว่ามาครอบครองไร้เรื่องบาดหมางใดให้รู้สึกคลางแคลงใจ
   กระนั้นอีกฝ่ายเล่าจะเป็นเช่นไร..?
   หลังจากแย่งภรรยาของเพื่อนไป…จะสะดวกใจมากพออย่างนั้นหรือ?
   “ทั้งข้าทั้งเจ้านั้น…คงไม่สะดวกที่จะพบหน้ากันในยามนี้เท่าไหร่” เขาตอบ “ฤๅเจ้าจะเปลี่ยนใจลงเรือเดินทางตามไปก็ย่อมได้ข้ามิเหนี่ยวรั้งเจ้าไว้ดอก”
   “เหตุใดจึงพูดเช่นนั้นเล่าข้าสิบอกกี่ร้อยกี่พันหนแล้วว่าข้าจักอยู่กับท่าน”
   “…ยอดรักข้าแค่เป็นห่วงเจ้าเพียงเท่านั้น”
   “ข้าก็เป็นห่วงท่านมิแพ้กันดอก ทำมาพูดดีไป”
   ดวงใจเจ้ากรรมเต้นโครมครามกระหน่ำยามที่ดวงเนตรทั้งสองเบือนมาสบกัน มือเล็กแตะลงบนแขนแกร่งที่กรำบาดแผลใหญ่อย่างแผ่วเบาเลื่อนปลายนิ้วขึ้นมาถึงไหล่กว้างก่อนจะสอดมือทั้งสองคล้องลำคออีกคนไว้
   คนตัวเล็กแหงนหน้าประทับริมฝีปากลงบนคางสาก คลอเคลียอยู่ที่กรามแข็งอยู่นานจนคนถูกกระทำครางฮืมในลำคอ
   “อ้ายพี่แสนตา…”
   เสียงหวานเอื้อนเอ่ยออกไปสั่นระริกคล้ายเก้อเขินนัก
   “ข้ามีเรื่อง…ที่ต้องบอกท่าน…”
   ชายหนุ่มหลุบตามองพวงแก้มใสที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ ก่อนจูบลงที่ข้างแก้มอย่างเผลอไผล
   “อ้ายพี่…”
   “มีอะไรรึข้าสิฟังอยู่”
   พันวังปรือนัยน์ตาลงสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นดังจนคล้ายกับว่าจะหลุดออกจากอกข้างซ้ายของตัวเอง
   …เพียงคำรัก…
   …เพียงคำรักเท่านั้น…
   “อ้ายพี่แสนตา….จริงๆแล้วข้าน่ะ…..”
   ก๊อกๆๆ
   เสียงเคาะประตูที่ดังขัดขึ้นเสียก่อนทำให้ดวงใจเจ้ากรรมแทบจะทะลักออกมาทางปาก เด็กหนุ่มก้มหน้าฉับเคลื่อนตัวลงจากตักของอีกฝ่ายส่วนแสนตาน่ะหรือถึงกับตบเข่าฉาดใหญ่แล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู
   “มีอะไรรึ?”
   บ่าวคนสนิทกระพริบตาปริบๆมองด้วยสายตามากคำถาม ประการแรกคือเหตุใดนายเหนือหัวของตนจึงได้ทำท่าทางหงุดหงิดนัก แต่ก็ต้องโคลงศีรษะ
   “ข้าแค่จะมาเรียนว่าพอคุยไปคุยมาแล้วจระเข้ทุกตัวไม่ยอมอพยพน่ะขอรับ”
   “อะไรนะ!?”
   “เอ่อ…คงจะเป็นความผิดข้าเองกระมังขอรับ ที่เผลอหลุดปากบอกไปว่าท่านจ้าวจะไม่ไปกับพวกเขาด้วย”
ทองดีกระอักกระอ่วนแต่ก็พูดออกมาจนได้
“ข้าก็มิรู้จะพูดเช่นไรเพราะตัวข้าเองก็มิได้อยากจะจากเรือนจากบ้าน จากนายเหนือหัวของข้าไปด้วย”
   “อ้ายทองดี….!”
   “เฆี่ยนเลยขอรับถ้าหากจะทำให้ข้าอยู่รับใช้ได้ก็เฆี่ยนมาเลยขอรับ!”
   “บ๊ะ!!ไอ้พวกนี้ จะตนใดๆก็บอกให้ข้าเฆี่ยนทั้งนั้นฤๅจะบอกว่าข้าเป็นคนใจร้ายกระนั้นรึ!?”
   “มิได้ขอรับข้าเพียงแค่อยากจะตายที่นี่ มิต้องการเดินทางไปตายที่ใด”
   “อ้ายทองดี!”
   พันวังกระพริบตาปริบๆขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงเดินตรงมาที่ประตูบ้าง
   อ้ายพี่แสนตาของตนมีท่าทางกระวนกระวายนัก เขาทอดมองออกไปเห็นตะวันใกล้จะขึ้นอยู่ลิบตาชะรอยจะออกเรือไม่ทันกาลจึงเคาะมือกับขอบประตูเพื่อตริตรองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี่อีกสักครั้งหนึ่ง
   ก่อนร่างสูงจะสาวเท้าเดินออกจากเรือนอีกครั้งหนึ่งเพื่อเผชิญหน้ากับบรรดาบ่าวไพร่ของตนที่นั่งคุกเข่าดั่งปูพรมอยู่ที่พื้นด้านล่าง เมื่อหยุดยืนที่หัวกระไดจึงก้มสบตากับทุกผู้ที่ยกสิบนิ้วประนมแนบอก สบดวงตาสีอำพันสว่างแน่วแน่ไม่บิดเผือนทุกคู่ที่ต้องมองตรงมา
   มันเป็นบรรยากาศที่ไม่มีใครพูดอะไร…ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ
   ด้วยสายตานั้น…เปี่ยมมากกว่าแค่คำว่า‘ภักดี’
พันวังไม่เคยออกรบมาก่อน   มิใช่เพียงแค่นั้น...แม้แต่คำว่า ‘สงคราม’ เขายังไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำไป

   เด็กหนุ่มเดินวนไปมาที่ใต้ถุนบ้าน ท่ามกลางจระเข้กลุ่มหนึ่งที่นั่งทำข้าวต้มมัดยามยากอยู่ เขาพยายามเร่วิ่งถามเสียตั้งแต่หัววันว่าตนสามารถช่วยสิ่งใดได้บ้าง คำตอบคือไม่เลยเพราะเขาเองก็ไม่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้
มาก่อนจึงไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นจากสิ่งใดดี
   เช้าวันนั้นสถานการณ์ปกติดีทุกอย่าง แต่อ้ายทองดีบอกว่ายามพายุจะมีผิวน้ำจะสงบฉันใดก็ฉันนั้น จระเข้บางตัวหลุบนอนพักผ่อนตามเปลญวณมิมีใครกล้าแตกฝูงไปทำนา นอกจากพวกอ้ายพี่แสนตาที่ล่องเรือไปสำรวจค่ายต้นน้ำเสียแต่หัววัน
   แม่น้ำที่เมื่อย่ำรุ่งเพิ่งถูกย้อมด้วยสีแดงละลายจางหายไป คงเหลือไว้เพียงกลิ่นคาวที่ยังแตะอยู่ปลายจมูกที่ขยี้เช่นไรก็ไม่หาย
   เขารู้ดีว่าหนึ่งในที่มาของกลิ่นน้ำคือจระเข้ฝั่งเราเอง และอดไม่ได้ที่จะนึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นนี้สิ่งเหล่านั้นตอกย้ำลงไปกับคำถามที่ว่าเหตุใดมนุษย์ถึงโหดร้ายนัก เมื่อพวกเราเพียงแค่ปรารถนาจะมีชีวิตอยู่เพียงเท่านั้น
   พันวังเดินออกมายังจุดที่เคยเป็นศาลาริมน้ำ บัดนี้ถูกเพลิงเผาไหม้เหลือเพียงตอตะโกสีดำสนิทเขาเฝ้าชะโงกหน้าอยู่ตรงท่าเรือกว่าครึ่งวันก็ยังไม่เห็นวี่แววกองเรือสำรวจ ทั้งร้อนกายร้อนใจหากทำได้ก็คงมุดดำกายลงใต้น้ำและแหวกว่ายไปหา
   “เดี๋ยวก็มา” อ้ายทองดีย้ำรอบที่สามล้านเห็นจะได้
“เจ้าจักกังวลไปใย”
   “แต่ข้ากังวลนักครั้งล่าสุดที่ข้าเห็นอ้ายพี่สหัสออกไปข้าก็มิได้เห็นเขากลับมา”
   “นั่นคือจ้าวแสนตามิใช่อ้ายสหัสเสียหน่อย”
   “ข้าเป็นห่วง…”
   “จ้าวแสนตาแข็งแกร่งนักบาดแผลเมื่อวานเพียงเพราะปกป้องชาวเราด้วยกันเองซ้ำอาการชอกช้ำในอก
ยังมิหายดี…แต่มิระคายผิวอันใดให้เจ้าต้องวิตก”
   “แต่…”
   “ท่านจ้าวต้องกลับมาหาเจ้าแน่” ชายวัยกลางกล่าวด้วยรอยยิ้มใคร่รู้นัก
“นั่นเป็นสิ่งที่ท่านปรารถนามากกว่าสิ่งใดทั้งหมด”
   “อ…อ้ายพี่ทองดีพูดอะไรเล่า”
   “เจ้าสิทำมาเขินข้าอยู่มานานมีรึจะไม่รู้”
   “อ้ายพี่ทองดี!”
   “วางใจเถิดข้ามิบอกผู้ใดหรอก”คู่สนทนาพยักหน้าอย่างมุ่งมั่น
“เพราะเขารู้กันทั้งเรือนแล้ว”
   “อ้ายพี่ทองดี!”
   “กิริยาเช่นนั้นเก็บไปทำกับท่านจ้าวเถิด ฮ่าๆ”
   ..ปล่อยระเบิดแล้วก็เดินจากไป..
   เด็กหนุ่มยังคงยืนฮึดฮัดอยู่ที่ท่าน้ำ เขาหมุนซ้ายทีขวาทีมองไปรอบๆจึงได้ทิ้งตัวนั่งขัดสมาธิลงเช่นนั้น สองมือเท้าคางจ้องมองออกไปที่สุดคุ้งน้ำเฝ้าหวังว่ามิช้านานคงได้เห็นเงาอ้ายพี่ของตนเอง
   ..แต่จวบจนเย็นย่ำก็มิได้กลับมา..
   ค่ำคืนนั้นช่างร้อนระอุนักอาจเพราะแสงไฟจากคบเพลิงสว่างจ้ากว่ายามปกติจระเข้ทุกตัวมานั่งรวมกันที่
ใต้ถุนเรือนสีหน้าของทุกคนเปี่ยมไปด้วยหลากหลายความรู้สึก อาจจะเป็นความตื่นกลัวกระวนกระวาย หรืออาจจะมากกว่านั้น
   การรอคอยสิ่งที่รู้ว่ามันจะเกิด แต่ไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่…คือภาวะกดดันที่ทำให้พันวังนั่งไม่ติด เขากระสับกระส่ายคอยลุกขึ้นจ้องมองไปยังท่าน้ำตลอดเวลา แล้วนั่งลงใหม่
   “เดี๋ยวก็มา” อ้ายท้องดีย้ำรอบที่แปดล้าน“เจ้าจักกังวัลไปใย”
   “ฤๅท่านไม่กังวลรึ?อ้ายพี่แสนตาสีออกเดินทางไปตั้งแต่เช้ามืดจนตะวันตกดินก็แล้ว พระจันทร์ขึ้นก็แล้วใยจึงไม่เห็นแม้แต่เงาเล่า”
   “เจ้าเห็นว่าพายเรือไปกลับจากค่ายต้นน้ำมันไวเช่นนั้นเลยรึ”
   “ข-ข้าจะไปรู้รึไรก็เห็นอ้ายพี่ไม่กลับมา….”
   “ข้าก็รู้ว่าเข้าเป็นห่วงนัก พวกเราก็เป็นห่วงมิได้ต่างกันดอก”
   “ข้ารู้…แต่…”
   “เจ้าสิเรื่องมากนักบอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ”
   ชายวัยกลางโคลงศีรษะขยี้เรือนผมอีกคนอย่างเอ็นดู…ก่อนจะหันไปมองที่ลำน้ำนั่น ไม่นานเสียงไม้พายกระทบผิวน้ำจ๋อมก็ดังขึ้นเรียกให้ทุกผู้ลุกขึ้นชะโงกดู
   “นั่นประไร…พูดยังมิทันขาดคำ ขบวนเรือจ้าวแสนตาก็มาพอ…..”
   ยังมิทำจะสิ้นคำประโยคบอกกล่าว ร่างโปร่งก็ผลุนลุกพรวดกระโจนไปพรวดเดียวถึงท่าน้ำเล่นเอาคนที่นั่งเครียดๆกันอยู่จนถึงเมื่อครู่หลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง
   “อ้าวเฮ้ยเจ้ามิเห็นต้องรีบร้อนขนาดนั้นเลยนี่เว้ย”
   “พุ่งไปรอรับเจ้าของก่อนใครเช่นนี้ เรียกว่าอะไรนะ?”
   “สุนัข”
   “ใช่! สุนัข!”
   “สัตว์เลี้ยงของมนุษย์”
   คนถูกค่อนแคะหันมาแยกเขี้ยว
“ข-ข้าสิเพียงเป็นห่วงเท่านั้นใยต้องเปรียบเปรยให้น่าขันด้วยเล่า”
   ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังคงยืนระริกระรี้อยู่ที่ท่าน้ำ ดวงตากลมโตสอดมองออกไปด้านนอกจับจ้องลำเรือที่แล่นแหวกเลียบน้ำมาอย่างเงียบกริบนั่น
   บางทีอาจจะเพราะมันไกลจนสุดสายตา ทำให้เขาต้องเพ่งมองซ้ำแล้วซ้ำเล่าในความมืดนั้นไม่เห็นสิ่งใดนอกจากเงาร่างของขบวนเรือที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กับเสียงของผืนน้ำที่ถูกแหวกออกและไม้พายโบกสะบัด
   “อ้ายพี่…” พันวังเลิกคิ้ว ตัดสินใจโบกมือเรียกออกไป
“อ้ายพี่แสนตา”
   มีบางอย่างขยับไหวใครสักคนคงเห็นที่เขาโบกมือเรียกแล้ว
   ..แต่ไม่มีใครตอบกลับมา
   คนตัวเล็กชะงักลดแขนที่โบกอยู่จนถึงเมื่อครู่ลงมาช้าๆ..
   “เฮ้ข้าว่า…มันแปลกๆอยู่นะ”
   “นั่นสิ”
   “เฮ้!ท่านจ้าวขอรับ!”ใครสักคนตะโกนขึ้นบ้างแล้วโบกไม้โบกมือ
   ..เงียบ..
   “เหตุใดจึงไม่จุดตะเกียงเล่า?”
   “แล้วเหตุใด…ถึงไม่ตอบอะไรกลับมาเลยเล่า..?”
   ช่วงจังหวะนั้นที่ความมึนตึงเข้าครอบงำทุกคน พันวังถัดขาถอยหลังจากพื้นไม้บริเวณท่าน้ำมายืนบนผืนดินอีกครั้งอย่างเชื่องช้า เขารู้สึกไม่ชอบมาพากล…ซึ่งที่จริงมันก็ประหลาดมาเสียตั้งแต่แรกแล้ว
   “นั่นไม่ใช่…อ้ายพี่แสนตา…”
   อ้ายทองดีได้สติโดยพลันรีบหันมาตะโกนลั่น
   “ลางไม่ดีแล้ว!ไปพวกเจ้า!หลบไปจากตรงนี้!ไปหยิบอาวุธมาให้…….”
   ฟ้าว

   ฉึก!
   แท่งโลหะบางอย่างวิ่งผ่านอากาศเสียงหวิวจนเด็กหนุ่มเผลอหดตัวด้วยอัตโนมัติ ศรดอกหนึ่งปักลงที่กลางแผ่นหลังคนตรงหน้าอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว
   ชายวัยกลางเบิกตาโพลงมองหน้าเขา มันเป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่เหมือนกับยาวนานเหลือเกินกว่าที่ร่างสูงกว่านั้นจะค่อยๆทรุดลงไป
   “ศรอาคม!”
   ใครอีกคนหนึ่งร้องต่อ
   “หาที่กำบัง!”
   จราจลเกิดขึ้นทันทีหลังการหลั่งเลือดครั้งแรกเกิดขึ้น ชายกลุ่มหนึ่งไม่ลังเลที่จะกระโจนลงน้ำแหวกว่ายกลายร่างเป็นกุมภาทั้งฝูงตรงไปยังขบวนเรือ เงาร่างของคนที่อยู่ไกลๆนั้นพากันขยับไหวด้วยกันทั้งหมด ต่างคว้าหยิบทั้งหอกทั้งดาบออกมาเตรียมพร้อมเผชิญหน้า
   เสียงม่านน้ำแตกกระเซ็นยามชนสองฝ่ายตรงเข้าโรมรัน เหล่าจระเข้ร่วมใจจมเรือลำแรกที่ลอยเข้ามาได้ก่อน
เสียงกรีดร้องโหยหวนของมนุษย์ดังขึ้น ทันทีที่เสียงหอกคมแหวกอากาศดังอีกครั้ง…จึงเป็นเสียงของจระเข้
   ฝูงชนที่มุงรอรับท่านจ้าวของตนอยู่จนถึงเมื่อครู่แตกหือกันไปเตรียมการ บ้างวิ่งไปเก็บข้าวของใต้ถุนเรือน
บ้างตรงไปหยิบคว้าดาบคว้าธนูมาเล็งเป้า
   ทว่าเด็กหนุ่มยังตื่นตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่หาย เขายังคงยืนอยู่ที่นั้นพร้อมประคองรับร่างแรกที่โดนการโจมตีแล้วทรุดไปด้วยกัน
   “อ้ายพี่ทองดี!อ้ายพี่ทองดี!”
   เขาพร่ำเรียกด้วยอารามตกใจยามโอบแผ่นหลังกว้าง…ของเหลวเหนียวหนืดจึงติดมือกลับมาให้สะท้าน สัมผัส
ของโลหิตช่างน่าขยะแขยงนักแต่ความตกใจทำให้ลืมเลือนเรื่องนั้นไปเสียสิ้น
   “อ้ายพี่ทองดี!”
   “…อ่อก” เจ้าของนามสำลักออกมาเป็นเลือด สีคล้ำเข้มฉาบตั้งแต่ริมฝีปากลงมาถึงลำคอ
“…รีบ…ไปซ่อน….”
   “อ้ายพี่….”
   “ไปซ่อนเสีย…ไป!”
   ฟิ้ว....!

   อีกครั้งหนึ่งที่เสียงลูกธนูแหวกอากาศดังกระหึ่ม และครานี้ไม่ได้มาเพียงดอกเดียวเมื่อพันวังเงยหน้าขึ้นเห็นแห่ฝนลูกศรจึงหลับตาแน่น
   ฉึก! ฉึก! ฉึก!
   ปลายศรฝังลงบนผิวเนื้อเสียงกรีดร้องอย่างปวดร้าวดังระงมจนใบไม้ไหว
   ทว่าเด็กหนุ่มกลับยังปลอดภัยไร้ริ้วรอย
   ทองดีขยับตัวเฮือกสุดท้ายขึ้นแทนตัวเองดั่งเกราะกำบังใหญ่ ก่อนจะทรุดกายแน่นิ่งไปในอ้อมกอด
   “อ้ายพี่…อ้ายพี่ทองดี..!”
   แม้พยายามจะเรียกขานชื่อมากมายเท่าไหร่ แต่คนถูกเรียกก็ไม่แม้แต่จะขยับขึ้นมาใหม่เด็กหนุ่มรู้สึกลำคอ
แห้งผากราวหยดน้ำทุกหยดของร่างไปกองอยู่ที่ดวงตา แล้วหลั่งไหลออกมาเป็นความเสียใจ
   ใครบางคนฉุดเขาให้ลุกขึ้นจากตรงนั้นทั้งแรงสะอื้น เด็กหนุ่มร้องไห้จนตาพร่าเลือนเขารู้ดีว่าที่ตนทำอยู่ช่างไร้ประโยชน์นัก..แถมยังเป็นภาระให้กับคนทั้งบ้าน
   ..โหดร้ายนัก..โหดร้ายนัก..ใยมนุษย์จึงต้องโหดร้ายได้ขนาดนั้น..
   ตูม!
   เสียงดินปืนระเบิดดังกึกก้องไปทั่วทั้งคุ้งน้ำ พันวังพยายามเบือนดวงหน้ากลับไปมองจนเห็นเศษร่างของเผ่าพันธุ์เดียวกันกระเด็นมาตกอยู่ที่ปลายเท้า เขากรีดร้องลั่นแต่ก็โดนฉุดรั้งให้หลบไปอยู่เสียใต้ถุนบ้าน
   “พันวังเจ้าสิไปเสีย”
   ใครคนนั้นเขย่าแขนเขาเรียกสติ
   “ลงน้ำแล้วว่ายกลับพิจิตรไปเสีย! ถ้าเพียงเจ้าคนเดียวย่อมทำได้แน่!”
   คนถูกสั่งยังคงหอบหายใจเขายกมือปาดน้ำตา
   “ข้าไปไหนมิได้….ข้าจักอยู่กับอ้ายพี่แสนตา…”
   “เจ้าดื้อ!”
   “ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น”
   “ข้าบอกแล้วมิใช่รึ…ยามนี้ให้ฟังคำข้า”
   จ้าวแสนตาร้องลั่นตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มถึงได้รู้ว่าในโพรงปากนั้นกลบไปด้วยเลือด ซ้ำยังด้วยบาดแผลทางร่างกายและร่องรอยของแผลเก่าที่เปิดออก
   “ทำไมถึงได้ดื้อขนาดนี้ต้องให้ข้าบอกเจ้ากี่ร้อยกี่พันหนกันว่าข้าน่ะ…..”

   “ข้ารักท่าน!จ้าวแสนตา!”
   เด็กหนุ่มโพล่งลั่นจ้องหน้าอีกคนแน่วแน่
   “ข้าไม่มีวันไปไหน...โดยไม่มีท่าน”
   สิ่งที่วิ่งเข้ามาคั่นกลางระหว่างระหว่างเขาสองคนคือเสียงกรีดร้องและการสู้กัน เพียงสิ่งเหล่านั้นกลับอยู่ไกลออกไปในยามนี้
   “…หากทำได้…ข้าเพียงปรารถนาจะรั้งกายเจ้ามากอด จูบปลอบให้หายหวาดกลัวหรือร้องไห้..”ชายหนุ่มกระซิบเสียงเบา…ปรือดวงตามองอย่างห่วงหา
“สวรรค์ช่างใจร้ายนักให้เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง…ในวันสุดท้าย…”
   “อ้ายพี่แสนตา…”
   มือหยาบเกลี่ยลงมาที่ข้างแก้มใส ประคองให้ดวงหน้านั้นเงยขึ้นมาสบตา…พันวังจึงเพิ่งสังเกตเห็นในความมืด ว่าดวงตาข้างหนึ่งของอ้ายพี่แสนตาที่ตนรักนั้นมีรอยคมมีดบาด…จนมิอาจลืมขึ้นได้อีก
   ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ต่างเปียกชุ่มจนกลายเป็นสีเลือด เช่นเดียวกับแขนข้างขวา..ที่แม้แต่จะขยับยกยังทำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
   …สงคราม…ก่อให้เกิดการเข่นฆ่ามากมายโดยไม่จำเป็น…
   “น้องพันวัง…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ โปรดจำไว้เพียงว่า…”
   คำนั้นทำให้เด็กหนุ่มสะอึกสะอื้นออกมาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งที่ดวงตายังจับจ้องเพียงคนตรงหน้าไม่ได้เบือนหลบไปไหน
   “...‘ดวงใจข้า’…จะไม่หวนคืนสู่ห้วงธารา…”
   ..เพียงเจ้า..เท่านั้น..


OneBe2 โพสต์ 2015-3-26 14:35:05

ขอบคุณครับ T^T
{:5_124:}{:5_124:}{:5_116:}{:5_139:}

areen โพสต์ 2017-2-20 04:38:05

ขอบคุณมาก

shinecaraff โพสต์ 2017-2-24 06:18:31

สงสารจังเลย เศร้ามากๆ{:5_116:}{:5_116:}{:5_116:}{:5_116:}

tong111222 โพสต์ 2019-4-23 12:21:04

ขอบคุณครับ
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: จ้าวธารา