ความชั่วที่เกือบจะเกิดขึ้นกับผม
"เรื่องนี้เป็นบาปที่ติดอยู่ในใจผมมาตลอดระยะเวลาสามสี่ปีมาแล้ว"เรื่องมีอยู่ว่า..ช่วงนั้นผมได้มีโอกาสไปทำบุญที่วัดป่าแห่งหนึ่งแถวภาคอิสาน ครั้งแรกที่ไปรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาวัดนี้มาก ไปแล้วใจสงบแบบที่ไม่เคยได้รู้สึกมาก่อน จึงหาโอกาสไปที่วัดนี้บ่อยๆ ในช่วงที่มีวันหยุดหลายๆวัน จนทำให้รู้จักหลวงพ่อและพระเณรในวัดทุกรูป ซึ่งมีอยู่เพียง 6รูปเป็นอย่างดี ทุกครั้งที่ไปก็จะไปตั้งแต่เช้า จนถึงทำวัตรเย็น แล้วออกไปนอนโรงแรมในตัวเมือง แต่ครั้งนั้น หลวงพ่อเอ่ยปากชวนให้ลองนอนที่วัดดูสักครั้ง บางทีอาจจะรู้สึกดี สงบมากขึ้นก็เป็นได้ ผมสองจิตสองใจ ทั้งอยากลอง ทั้งกลัว ซึ่งใครๆก็รู้ว่าวัดป่านั้นเงียบ และวังเวงขนาดไหน หลวงพ่อบอกว่า ยิ่งกลัวยิ่งต้องลอง ในตอนแรกท่านจะอนุญาติให้ผมไปค้างที่กุฏิของพระลูกวัดรูปหนึ่ง ซึ่งผมค่อนข้างจะสนิทกับหลวงพี่รูปนี้พอสมควร คืนแรกหลวงพี่พาผมเดินจงกลมข้างๆกุฏิในตอนดึก ถึงได้เข้านอน โดยเรานอนกันคนละมุ้ง คืนนั้นทั้งคืนผมนอนไม่หลับเลย กลัวสาระพัด มันเงียบมาก ไม่มีเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงของจิ้งหรีด และตัวอะไรอีกหลากหลายไปหมด ตื่นเช้าหลวงพ่อถามผมว่าเป็นยังไงบ้าง หลวงพี่หัวเราะยิ้มสำรวมๆ ตอบแทนผมไปว่า สงสัยจะยิ่งทำให้ใจไม่สงบมากกว่า เพราะนอนไม่หลับ พลิกไปพลิกมาทั้งคืน หลวงพ่อเลยบอกว่า งั้นต้องลองบ่อยๆ พอจิตเริ่มชิน ก็จะเป็นสุข ผมได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ หลังจากนั้นก็ขอลากลับ ก่อนกลับหลวงพ่อท่านบอกให้มาอีกบ่อยๆ แล้วจะรู้ว่าสิ่งที่เรากลัวนั้น จริงๆแล้วคือใจเรานั่นเอง
หลังจากนั้นผมก็มีโอกาสได้มาค้างอีกครั้งนึง ก็พอหลับได้บ้างแต่ก็ยังกลัวๆอยู่ ผมขอเล่าถึงสภาพวัดคร่าวๆหน่อยละกันครับ จากประตูรั้วหน้าวัดเข้ามาก็เจอลานโล่งมีศาลาไม้ยกพื้นสูงอยู่หลังหนึ่ง ใช้เป็นศาลาเอนกประสงค์ ทำทุกอย่างที่นั่น แล้วรอบๆด้านหลังจะโรงครัวและมีลานไว้ล้างบาตร และถ้วยชาม ถัดไปจะมีโรงย้อม ซึ่งใช้สำหรับย้อมจีวรของพระ ส่วนอื่นรอบๆวัดก็จะเป็นต้นไม้ใหญ่ขึ้นเต็มไปหมด จะมีทางเดินเล็กๆ สะอาดๆ แทรกเข้าไปตามแต่ละกุฏิ ซึ่งห่างกันมาก กุฏิที่ผมพักกับหลวงพี่ไผ่ อยู่ลึกเข้าไปจนจะถึงรั้ววัด น่ากลัวมั้ยหล่ะครับ
ครั้งที่สองผ่านไป ผมก็เริ่มคลายความกลัวลงไปได้บ้าง เพราะหลวงพี่ไผ่ท่านเข้าใจสภาพของมนุษย์โลกเช่นผม ท่านจะคอยสอนธรรมะให้ผมตลอด จึงมีครั้งที่สามตามมา ครั้งนี้หลวงพ่อท่านมีกิจนิมนต์ไปจำวัดที่วัดอื่นกับเณรรูปหนึ่ง ผมจึงได้ถือวิสาสะขอจำวัดเหมือนสองครั้งที่ผ่านมา ผมไปถึงในตอนเช้าเหมือนทุกครั้ง วันนั้นคนไปทำบุญมีไม่มากเท่าไหร่ หลังจากพระท่านฉันท์มื้อเช้าเสร็จ ลุงๆชาวบ้านที่คอยช่วยงานในวัดก็ทยอยกันกลับบ้านกัน พระท่านก็เริ่มทำงานในวัดกัน เช่นกวาดลานวัด บูรณะซ่อมแซมอะไรไปเรื่อย ผมก็เป็นลูกมือช่วยท่านทำงาน วันนั้นผมแทบจะไม่ได้ห่างหลวงพี่ไผ่เลย ด้วยความที่ได้ใกล้ชิดท่านมากขึ้น ผมก็มีความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นกับท่าน จริงๆมันไม่ใช่ความรู้สึกแปลกหรอก มันเป็นความความรู้สึกชั่วมากกว่า ผมรู้สึกอยากสัมผัสและทำมากกว่านั้นกับท่าน จริงๆแล้ว หลวงพี่ไผ่ก็ถือว่าหน้าตาและรูปร่างดีมากเลยทีเดียว เท่าที่รู้มา ท่านมาจากครอบครัวที่มีฐานะอยู่ที่กรุงเทพ และที่สำคัญท่านจบปริญญาตรีจากเมืองนอกอีกต่างหาก ส่วนสาเหตุที่ทำให้ท่านต้องออกมาบวชอยู่แบบนี้ ผมไม่ขอพูดถึงละกันครับ วันนั้นผมเหมือนคนใจลอย หลวงพี่เรียกผมหลายครั้งผมก็ไม่ได้ยิน จนท่านเอ่ยปากถาม ผมก็ได้แต่ยิ้ม เพราะจะบอกท่านถึงสาเหตุมันได้ยังไง ผมคอยแอบชำเลืองดูรูปร่างของท่านเวลาที่ท่านกวาดลานวัด ท่านใส่สบงพาดบ่าข้างหนึ่ง ทำให้เห็นช่วงอกท่านชัดเจน ท่านเป็นคนผิวขาว หัวนมท่านสีน้ำตาลอ่อนๆ มีขนขึ้นรอบๆบางๆ ซอกรักแร้ท่านมีขนยาวขึ้นดกหนา ผมทรมานกับการได้ใกล้ชิดท่าน หลวงพี่จะคอยถามผมตลอดว่าเป็นอะไร พอไม่ได้คำตอบท่านก็อมยิ้ม ผมไม่อยากเข้าข้างตัวเองว่า หลังรอยยิ้ม กับสายตาที่ท่านมองมา เหมือนจะมีอะไรซ่อนอยู่ จนเวลาผ่านไปถึงเวลาที่ท่านจะต้องจำวัดแล้ว ผมก็เข้านอนคนละมุ้งกับท่านเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ผมก็นอนไม่หลับอีกเช่นเคย แต่ครั้งนี้มันคนละสาเหตุกับสองครั้งก่อน ครั้งนี้ผมกระวนกระวาย หันหน้าขึ้นไปมองท่านในมุ้งอยู่บ่อยๆ ท่านเองก็ยังไม่หลับ ท่านเห็นผมพลิกตัวไปมาจึงได้ถามอีกว่า
"โยม ยังไม่หายกลัวอีกเหรอ"
ผมต้องกราบขอโทษท่าน ที่ทำให้ท่านรำคาญจนไม่หลับ แต่ท่านก็ไม่ว่าอะไร ท่านชวนผมให้ลุกขึ้นมานั่งสมาธิ ท่านให้ผมเข้ามาในมุ้งเดียวกับท่าน แล้วท่านก็สอนให้ผมนั่งสมาธิให้ใจสงบ เวลาผ่านไปนานยังไงผมก็ยังไม่นิ่ง ท่านเลยพูดขึ้นมา ซึ่งผมจำได้ดีมาถึงทุกวันนี้
"การที่คนเราไม่นิ่งนั้น มีสาเหตุอยู่ประการเดียวเท่านั้น นั่นคือ ใจ ใจของคนเราน่ากลัวยิ่งนัก สามารถทำดีกับใครก็ได้ และสามารถฆ่าใครก็ได้ แม้แต่ตัวเอง หลวงพี่เองจริงๆแล้วก็เป็นคนธรรมดาๆคนหนึ่ง มีความรู้สึกรัก เกลียด โกรธเหมือนทุกๆคน แต่ที่อาตมาต้องนิ่ง ไม่ใช่เพราะอาตมาบรรลุแล้ว หากแต่อาตมาต้องระงับ ยับยั้งชั่งใจตัวเองไม่ให้ทำอะไรที่เป็นผลเสียต่อตัวเอง ผู้อื่นและศาสนา อาตมารู้และพอจะเข้าใจถึงความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นกับโยมในตอนนี้น่ะ เพราะอาตมาก็เคยผ่านความรู้สึกนั้นมาแล้วเหมือนกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่โยมจะทำได้ในตอนนี้ก็คือ ตัดใจและปล่อยวางความรู้สึกนั้นเสีย เหมือนอย่างที่อาตมากำลังปฏิบัติอยู่ในตอนนี้เช่นกัน โยมคงพอจะเข้าใจคำพูดของอาตมาน่ะ"
ผมนั่งนิ่ง ฟังหลวงพี่พูดจนน้ำตาคลอ แล้วหลวงพี่ท่านก็ให้ผมเริ่มทำสมาธิใหม่อีกครั้ง ผมค่อยๆหลับตาลง นึกถึงคำพูดของหลวงพี่จนเปลือกตาปิดสนิท ใจนิ่ง รับรู้แค่เพียงลมหายใจเข้าออกเท่านั้น เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ สองหูได้ยินเสียงหลวงพี่เรียกให้นอนพักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้ผมต้องขับรถกลับกรุงเทพ หลวงพี่ให้ผมไปเอาหมอนมานอนในมุ้งเดียวกับท่าน ผมนอนลดตัวลงต่ำกว่าท่าน แล้วปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง มันสงบจนหลับไปได้ไม่ยาก และหลับไปด้วยความปลื้มปิติ ความสุขเกิดขึ้นในใจผมโดยที่ผมไม่รู้ตัว เช้านั้น หลังจากทำภาระกิจที่วัดเสร็จเรียบร้อย หลวงพี่เดินมาส่งผมที่รถ ผมก้มลงกราบที่เท้าท่าน ท่านเอามือลูบหัวผมเบาๆ
"ตลอดปลอดภัยน่ะโยม"
ผมเงยหน้ายิ้มให้ท่านด้วยความอิ่มเอม หลังจากวันนั้นผมก็มาที่วัดอีกหลายครั้ง จนครั้งล่าสุด หลวงพี่ไผ่เรียกผมมาบอกอะไรบางอย่าง ท่านให้ผมมาที่วัดให้ได้ในวันสิ้นเดือน แต่ท่านไม่บอกถึงสาเหตุ ท่านเพียงกำชับให้มาให้ได้เท่านั้น จนวันนั้นมาถึง หลังจากฉันท์มื้อเช้าแล้ว ท่านขอให้ผมเข้าไปบนศาลากับท่าน ซึ่งที่นั่นมีหลวงพ่อเจ้าอาวาสนั่งรออยู่แล้ว หลวงพ่อทำพิธีสึกให้แก่หลวงพี่ไผ่ ผมอึ้งมาก จนหลวงพี่เรียกให้ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมเลยเข้าไปมองหน้าท่านอย่างแปลกใจ ท่านขอติดรถผมเข้ากรุงเทพด้วยในบ่ายวันนั้นและคืนนั้นหลวงพี่ เอ้ยพี่ไผ่ก็ได้ให้ในสิ่งที่ผมได้ปล่อยวางเอาไว้ขณะที่ท่านบวชอยู่ คืนนั้นผมได้เข้าใจความหมายในคำพูดของพี่ไผ่ได้อย่างถ่องแท้ และเช่นกัน ความรู้สึกเป็นสุขเกิดขึ้นในใจผมอย่างเงียบๆอีกครั้ง.... ยังคบกันรึเปล่าครับ อยากรู้ครับว่าติดรถมากรุงเทพแล้วเกิดอะไรขึ้น บอกอีกนิดไหมครับ ขอบคุนครัช ขอบคุณมากครับ ขอบคุนคับผม{:5_130:} ขอบคุนคราบ ขอบคุณครับแต่อยากอ่านอีกจังเลยครับผม ขอบคุณมากๆนะครับ ขอบคุณมากๆนะครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ{:5_136:} ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับ ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณมากๆครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ