รักข้ามภพ
{:5_132:}ผมมีเรื่องที่เล่าให้ผู้อ่านทุกท่านรับทราบถึงสิ่งอัศจรรย์ที่ผมได้สัมผัสมา เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ เมื่อต้นปี ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวป่าแถบตะวันออก ผมไปเพียงคนเดียวเพราะอยากแสวงหาความสงบทำอะไรได้ตามความปรารถนา ไปสัมผัสกับธรรมชาติตามความต้องการ ซึ่งมานานแล้ว เมื่อเข้าเขตป่าผมต้องเดินทางด้วยเท้า ผมมีเพียงกระเป๋าสะพายหลังใบเดียวกับเงินจำนวนหนึ่ง มืดที่ไหนผมก็จะอาศัยวัดเป็นที่หลับนอนเรื่อยไป ผมได้สัมผัสกับธรรมชาติตามความปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นน้ำตก สัตว์ป่า ภูเขา ดอกไม้ป่านานาพรรณ ได้พบปะกับชาวป่าที่มีน้ำใจงาม ความสงบ สดชื่น จากป่าอีกนับไม่ถ้วนเมื่อผมใช้ชีวิตอยู่ในป่าประมาณเดือนแล้ว ผมตั้งใจว่าอีกสองวัน ผมจะเดินทางกลับกรุงเทพฯก่อนที่ผมจะกลับหนึ่งวัน วันนั้นผมไปเที่ยวน้ำตกแห่งหนึ่งเป็นสถานที่สุดท้าย น้ำตกนั้นไม่มีชื่อ เป็นน้ำตกที่สูง น้ำมาก อยู่ในป่าลึก ปกคลุมไปด้วยป่าไม้ผมเล่นน้ำตกอยู่หลายชั่วโมงขณะที่ผมเล่นน้ำตกอยู่นั้น ผมเหลือบไปเห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มีลำต้นใหญ่มาก ไม่ๆ ทราบว่าต้นอะไร ภายใต้ต้นไม้นั้นมีศาลเล็กๆเก่าๆ ทำด้วยไม้แบบง่ายๆ ตั้งอยู่หลังจากที่ผมเล่นน้ำตกจนบ่ายแล้วผมก็เดินขึ้นจากน้ำตกนั้นไป ผมได้เข้าไปใกล้ศาลนั้นทำความสะอาดศาล และนำน้ำดื่มของผมติดตัวมา มากล่าวถวายให้ผู้อยู่ในศาลนั้น ขอให้ผู้ที่อยู่ในศาลนี้ ได้รับทราบถึงการเครพบูชาและรับสิ่งของที่ผมบูชา ขอให้ท่านอยู่เป็นสุขตลอดไป แล้วผมก็จากศาลนั้นไป
ผมตั้งใจว่าจะเดินทางไปพักที่วัดซึ่งอยู่ห่างจากน้ำตกนั้นประมาณ สามกิโลเมตร เมื่อผมเดินทางจากน้ำตกนั้นประมาณสองกิโลเมตรกว่า ก็ใกล้มืดแล้วผมก็รีบเร่งเท้าจนเกือบวิ่ง เพราะผมไม่ทราบว่ามีอันตรายอันใดเกิดขึ้น ขณะที่รีบเดินอย่างเร็วนั้นผมก็เหลือบเห็นบ้านหลังเล็กๆ หลังหนึ่งเป็นบ้านทรงไทยโบราณตั้งอยู่ริมทางเดินผมก็ไม่ได้คิดว่าจะพักบ้านหลังนี้เพราะอาจจะเป็นการรบกวนเจ้าของบ้านเกินไป และความสบายใจคงไม่มีเท่ากับที่วัด ผมกำลังจะผ่านหน้าบ้านนั้นไปผมก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่ง ดังมาจากบ้านนั้นว่า
‘’พ่อหนุ่มจะไปไหน’’
ผมไม่อาจจะก้าวขาต่อไปได้ เสียงชายคนนั้นเหมือนเป็นมนต์สะกด เสียงนั้นกังวานมีความไพเราะมาก ผมเห็นชายคนนั้นนั่งอยู่บนม้าตัวเล็กๆ หน้าบ้านหลังนั้น ผมเห็นไม่ถนัด เพราะความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามาแทนที่แล้ว ผมยืนนิ่งหยุดนิ่งอยู่คล้ายมนต์สะกดสายตาก็มองไปตามต้นเสียงที่ดังมาชายนั้นจึงถามซ้ำอีกว่า
’’ พ่อหนุ่มจะไปไหน’’
เมื่อสติผมกลับมา ผมจึงตอบคำถามของชายคนนั้นเสียงตะกุกตะกักว่า
‘’ ผมจะไปวัดที่อยู่ข้างหน้าเพื่ออาศัยนอนครับ’’
ชายนั้นพูดว่า’’
พ่อหนุ่ม วัดที่จะไปพักนั้นอยู่อีกไกล กว่าจะไปถึงก็มืดแล้วอันตรายจากป่ามีมาก พ่อหนุ่มพักกับฉันที่นี่ดีกว่า ‘’
ผมตอบชายนั้นว่า
‘’ผมเกรงใจครับ ผมไปพักที่วัดซึ่งอยู่ข้างหน้าดีกว่าครับประมาณกิโลเดียวผมวิ่งสิบนาทีก็ถึงครับ ‘’
ชายนั้นตอบว่า
‘’ เกรงอก เกรงใจอะไรกัน ฉันอยู่คนเดียวไม่ต้องเกรงใจหรอก พักที่บ้านฉันดีกว่า เดี๋ยวเสือหรืองูอาจทำอันตรายถึงชีวิตได้นะอันตรายจากป่ามีมาก ‘’
พอยืนคิดอยู่ครูหนึ่ง ก็เห็นจริงตามคำพูดของชายคนนั้น ชายคนนั้นพูดสรุปว่า
‘’มาเถอะพ่อหนุ่ม มาพักที่บ้านฉันนี่แหละ’’
ผมจึงตอบตกลงชายนั้นและเดินตามชายคนนั้นเข้าไปในบ้าน ภายในบ้านนั้นสะอาดมากประการสำคัญที่สุดผมได้กลิ่นดอกมะลิป่าหอมอบอวล เมื่อชายนั้นจุดตะเกียงน้ำมัน ทำให้มองเห็นสภาพในห้องนั้นอย่างทั่วถึง สิ่งของ อุปกรณ์เครื่องใช้วางเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นของเก่าโบราณมีราคาสูง เมื่อชายนั้นยกน้ำมาให้ผมดื่ม และบอกว่า
‘’ เดี๋ยวเอาข้าวมาให้นะหนุ่ม’
จากแสงสว่างทำให้เห็นหน้าชายนั้นอย่างถนัด ผมถึงกับตกตะลึงตาค้างกับภาพที่ผมเห็นชายคนนั้น ผมไม่อยากเชื่อว่า ชายนั้นเป็นมนุษย์ เพราะว่าชายนั้นผิวขาวนวลผ่องเหมือนทอง หน้าตาคมเข้ม หล่อมาก ชนิดที่ผมไม่เคยเห็นใครมีผิวพรรณและหน้าตาดีอย่างนี้เลย ชายนั้นสูงประมาณ 180 ซม. ร่างกายกำยำ ลำสั่น บึกบึน มีหนวดเคราที่โกนสะอาดมีขนตามลำดับที่บ่งบอกลักษณะความเป็นชายชาตรี ใส่เสื้อกางเกงแพรสีขาวทั้งชุด ใบหน้ายิ้มตลอดเวลา มีฟันขาวเรียบเป็นระเบียบมีเขียวเสน่ห์สองข้าง ขณะที่ผมมองดูชายนั้นยังไม่ทันได้ตอบอะไร เพราะความตกตะลึงในความหล่อของชายนั้น ชายนั้นก็จากผมเข้าไปในครัว ผมคิดอยู่ในใจว่าชายคนนี้เป็นมนุษย์หรือว่าเป็นเทพบุตรแปลงร่างลงมากันแน่ ผมงุนงง อยู่นาน จนชายนั้นนำสำรับกับข้าวมาตั้งตรงหน้า แล้วบอกว่า
‘’ เรากินข้าวกันก่อนเถอะ เดี๋ยวจะได้พักผ่อน’’
เราทานข้าวไปคุยกันไป มีอยู่ตอนหนึ่งชายนั้นถามว่า
‘’พ่อหนุ่มชื่ออะไรล่ะ ‘’
ผมตอบว่า
‘’ บุญครับ’’
ชายนั้นพูดว่า
‘’เรียกฉันว่ามนต์ก็แล้วกัน ฉันชื่อจริงมนต์พิชิต ‘’
ผมคาดคะเนดูอายุของชายคนนั้นคงไม่เกิน 25 ปี ผมจึงเรียกพี่มนต์ ดูชายนั้นก็พอใจด้วยอาหารมื้อนั้นอร่อยมาก เหมือนอาหารทิพย์หรืออาจจะเป็นเพราะความหิวของผมก็ได้ หลังจากทานอาหารแล้วผมได้นอนคุยกับพี่มนต์จนดึก คุยกันหลายเรื่อง รวมถึงเรื่องชีวิตของกันและกัน ผมได้นอนใกล้กับชายคนนั้นผมก็ยิ่งได้กลิ่นหอมของดอกมะลิป่ามากขึ้น จนผมอดถามชายนั้นไม่ได้ว่า
‘’ กลิ่นดอกมะลิป่ามาจากไหนครับ’’
พี่มนต์ตอบว่า
‘’ อยู่ข้างบ้านนี่แหละ มันมีมาก
ขณะที่คุยกับอยู่นั้นไม่ทราบว่าอะไรเข้าตาผม ผมจึงบอกพี่มนต์ว่า
‘’ พี่ครับช่วยเขี่ยผงจากตาผมที’’
ชายคนนั้นนำตะเกียงมาตั้งหน้าผมในขณะที่ผมนอนอยู่เพื่อให้พี่มนต์เขี่ยผงได้ถนัดพี่มนต์เอามือมาจับที่ใบหน้าผมและที่ตา ก้มหน้าลงมาใกล้หน้าผมจนเกือบติดหน้าตาของพี่มนต์นั้นจ้องตาผมไม่กระพริบ เหมือนกับค้นหาคำตอบอย่างใดอย่างหนึ่ง จนผมต้องหลบตา ยิ่งพี่มนต์เข้ามาใกล้ผม ผมยิ่งได้กลิ่นหอมของดอกมะลิป่ามากขึ้น จนแน่ใจว่า กลิ่นมะลิป่านั้นมาจากร่างของพี่มนต์ จิตใจผมปั่นป่วนมาก เพราะพี่มนต์นั้นนอนตะแคงเอี้ยวตัวจ้องตามผมอยู่ เพื่อเขี่ยผงได้ถนัด พี่มนต์บอกว่า มีผงอยู่ แต่ไม่มีอะไรเขี่ย จะต้องใช้วิธีนี้ พอพูดจบ
พี่มนต์ก็เอาปากประกบดวงตาผม และใช้ลิ้นเขี่ยผงออก ผมรู้สึกว่าผมถูกเขี่ยออกแล้วจากตา แต่ว่าจิตใจของผมแทบระเบิดกับการได้สัมผัสกับเรือนร่างของพี่มนต์จูบตาผมอยู่นานผมเองไม่มีแรงจะไหวกายได้เลย ร่างกายผมอ่อนเป็นขี้ผึ้งล้นไฟพี่มนต์จูบทั่วใบหน้าผม หนวดเคราและขนตามหน้าอก แขน ขา สัมผัสกับผิวของผม ผมแทบจะขาดใจตายให้ได้จิตใจผมไม่ได้อยู่กับตัวเลย เหมือนกับตัวเองล่องลอยอยู่กลางอากาศไม่มีคำพูดใดๆทั้งสิ้นระหว่างเรา พี่มนต์นั้นจูบทั่วหน้าผม และมาหยุดที่ริมฝีปากดูดดื่มอยู่นานแล้วค่อยๆ เลื่อนการจูบไปตามซอก หู คอ หน้าอก บริวเณท้อง จิตใจผมตอนนั้นแทบจะไม่เหลือเลย พี่มนต์นั้นกอดผมด้วยแขนกำยำ ผมอยู่ในอ้อมกอดของพี่มนต์ ประหนึ่งทารกอยู่ในอ้อมกอดของมารดา ได้สัมผัสกับกลิ่นหอมของดอกมะลิป่าอย่างอบอวล กับความกำยำล่ำสันของกล้ามเนื้อ กับขนตามร่างกายผมไม่สามารถจะทำอะไรได้แล้ว นอกจากปล่อยใจให้กระเจิดกระเจิงไปตามรสแห่งกามารมณ์ที่กำลังได้รับอยู่ ผมไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่า เสื้อผ้าของเราทั้งสองหลุดออกจากร่างกายได้เมื่อไรผมรู้แต่ว่า ผมกำลังเที่ยวท่องอยู่ในกลางสวรรค์ชั้นสูงสุด เราอยู่ในชุดวันเกิดด้วยกันทั้งคู่ร่างกายของเราคล้ายกับว่าจะร่วมเป็นร่างเดียวกันจากกล้ามเนื้อตามร่างกายที่กำยำและขนที่ได้สัมผัสแล้วผมไม่อาจจะมองหรือสัมผัสสิ่งนั้นได้ เพราะความตื่นเต้น และอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถที่จะแลดูหรือสัมผัสได้ด้วยมือ แต่จากการสัมผัสของร่างกายบางส่วน ทำให้ผมรู้ได้ว่า สิ่งนั้นคือความเป็นชายชาตรีของเขานั้นผมไม่เคยได้สัมผัสประสบการณ์เช่นนี้เลย จึงปล่อยไปตามการกระทำของพี่มนต์ พี่มนต์กระซิบข้างหูว่า
‘’ จะขึ้นสวรรค์นะ’’
พอพูดจบพี่มนต์ก็เอาหมอนมารองบั้นท้ายผมให้สูงขึ้น เรายังคงกอดกันโดยประกบกอดด้านหน้าเหมือนเดิมแต่พี่มนต์นั้นเลื่อนตัวลงต่ำหน่อยหนึ่ง แล้วผมก็ได้เริ่มสัมผัสกับความเป็นชายชาตรีของพี่มนต์ พี่มนต์จะทราบว่าผมมีความรู้สึกอย่างไร เพราะกายของผมเริ่มสั่นระริดเหมือนคนเป็นไข้พี่มนต์กอดผมแน่นเหมือนจะปลอบใจและวางความเป็นชายที่บั้นท้ายของผม เพื่อจะได้รู้ตัวและพร้อมที่จะรับสิ่งที่กำลังจะมอบให้เพียงสัมผัสส่วนปลายเท่านั้น ร่างกายของผมเริ่มสั่นสะท้านมากขึ้น เพราะตื่นเต้นและคิดว่าคงรับความเป็นชายของพี่มนต์ไม่ไหวแน่ พี่มนต์ปลอบใจผมด้วยการจูบและชะลอการเริ่มเกมส์อยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าผมมีอาการผิดปกติแล้ว พี่มนต์เริ่มให้ความเป็นชายเข้าไปในบั้นท้ายของผมทีละนิด ผมได้ทราบถึงความใหญ่โตมโหฬารมหึมาของพี่มนต์ ผมคิดว่าผมคงรับไม่ไหวแน่ แต่พี่มนต์ก็หยุดเมื่อเห็นว่าผมทนไม่ไหว แล้วค่อยขยับทีละนิดตอนนั้นผมไม่มีสติอะไรแล้วไม่รับทราบถึงอะไรเลย ความสุขความทุกข์ระคนกันผมไม่สามารถจะระบายออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้ กว่าที่พี่มนต์จะผ่านความเป็นชายเข้าไปในบั้นท้ายผมได้จนหมดต้องประคับประคองทะนุถนอมอย่างมากใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง เมื่อต้นขาของพี่มนต์ได้สัมผัสกับบั้นท้ายของผม บั้นท้ายของผมตึงเปร๊ยะแทบจะฉีกขาดเมื่อความเป็นชายของพี่มนต์เข้าไปสุดแล้ว ผมมีความรู้สึกว่า ความเป็นชายของพี่มนต์เข้าไปในท้องของผมเกือบถึงอก พี่มนต์จูบหน้าผมซึ่งเต็มไปด้วยน้ำตา หยุดอย่างนั้นในขณะที่เราเป็นของกันและกันแสนนาน พี่มนต์กระซิบข้างหูผมว่า
‘’เสียใจหรือ’’
ผมตอบว่า
’’ เปล่า’’
พี่มนต์ถามว่า
‘’ แล้วร้องไห้ทำไม’’
ผมตอบว่า
‘’ ทุกครั้งที่ผมมีความสุข ผมจะร้องไห้ ‘’
พี่มนต์ยิ่งกอดจูบผมมากขึ้นและเริ่มขยับความเป็นชายขึ้น ลงอย่างช้าๆ ทะนุถนอม ผมมีความเสียวกระสันอย่างมาก จนถึงสวรรค์ถึงสามครั้ง พอจะถึงสวรรค์ครั้งที่ สี่ พี่มนต์ก็ถึงสวรรค์พร้อมกับผมโดยที่พี่มนต์เริ่มขยับขึ้น- ลงเร็วขึ้น จนกลายเป็นกระแทก เจ็บแปดครั้ง แล้วพี่มนต์ก็ถึงสวรรค์ไปโดยส่งเสียงคราง พร้อมกับปล่อยน้ำแห่งความเป็นชายเข้าไปในท้องของผมอย่างมากมาย จนล้นออกมาข้างนอกผมซบอยู่อย่างนั้นนานพอควร พี่มนต์จึงถอนความเป็นชายออกจากบั้นท้ายผม เราไปชำระล้างร่างกายแล้วกลับมานอนอย่างเดิมผมอยู่ในอ้อมกอดของพี่มนต์ตลอดเวลาจนรุ่งเช้าก่อนอรุณจะขึ้น พี่มนต์พาผมท่องสวรรค์อีกสามครั้ง ในขณะที่ผมถึงสวรรค์ครั้งที่สามนั้นพี่มนต์ก็ถึงพร้อมผม โดยปล่อยน้ำแห่งความเป็นชาย ล้นออกมาอีกเช่นเคย ผมระบมไปทั่วตัว แทบจะเดินไม่ได้ เพราะความแข็งแรง ความใหญ่โตมโหฬารมหึมาของเขานั้น และใช้เวลาในการหาความสุขครั้งหนึ่งไม่ต่ำกว่า หนึ่งชั่วโมง มันเป็นความสุขที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนเลยในชีวิต พี่มนต์บอกกับผมว่าเขามีชีวิตอีกเพียง เจ็ดวัน เขาจะต้องเสียชีวิต เขาขอให้ผมอยู่กับเขา ผมเองมีความรักในตัวของพี่มนต์อีกเจ็ดวัน เพื่อเป็นการพิสูจน์คำพูดของเขาด้วย เรามีความสุขกันตลอดเจ็ดวัน คืนของวันที่เจ็ดนั้น พี่มนต์บอกว่า
‘’ ถึงเวลาแล้ว ที่บูญจะต้องกลับบ้าน เพราะคนทางบ้านเป็นห่วง ถ้าฉันตายขอให้เผาร่างฉันด้วย และฉันขอฝากของที่ระลึกสำหรับบุญ ‘’
พอพูดจบ พี่มนต์ก็หยิบกล่องใบเล็กๆ ทำด้วยไม้ใบหนึ่งออกมาจากข้างฝาซึ่งวางไว้เมื่อไรผมไม่ทราบได้ พี่มนต์ส่งกล่องนั้นให้ผม พร้อมกับจับมือผมให้รับกล่องใบนั้น แต่สั่งว่า ให้เปิดกล่องนี้ได้เมื่อกลับไปถึงบ้าน แล้วคืนนั้นเรามีความสุขกันตลอดคืน จนรุ่งเช้าหลังจากธุระเสร็จเราก็ไปเที่ยวน้ำตกที่เดิมอีก เราเล่นน้ำตกจนพอใจแล้วก็ขึ้นมาทานอาหารและนอนพักผ่อนใกล้ๆ กับศาลนั้นที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พี่มนต์บอกว่า
‘’ ศาลนี้น่าอยู่ นะ นี่แหละบ้านฉันล่ะ ‘’
แล้วพี่มนต์ก็หัวเราะถามผมว่า
‘’ เชื่อไหมที่ฉันพูด ‘’ ผมตอบว่า
’’ ไม่เชื่อหรอก เป็นไปไม่ได้ ‘’ พี่มนต์หัวเราะและบอกผมว่า
‘’ ฉันไปก่อนนะที่รัก แล้วเราจะพบกันในฝันของคืนวันพระ ไม่ช้าเราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป อย่าลืม ถ้าฉันตาย เผาร่างฉันด้วยนะลาก่อนที่รัก ‘’
ผมบอกความรู้สึกไม่ถูกคอมันตีบตัน พูดอะไรไม่ออก จึงไม่ได้ตอบพี่มนต์แต่อย่างใด เรานอนกอดกันจนผมหลับไป พอตื่นขึ้นมาผมยังคงนอนกอดพี่มนต์อยู่ แต่ผมหัวใจแทบวาย เพราะร่างของพี่มนต์แข็งทื่อกลายเป็นซากศพไปแล้ว ผมร้องไห้โฮ รออยู่พักใหญ่ เห็นว่า พี่มนต์ไม่ฟื้นแล้วผมจึงเอาฟืนมาเผาร่างของพี่มนต์ แล้วเอากระดูกเก็บไว้ในศาลนั้นเอาน้ำและดอกมะลิป่ามาบูชาที่ศาลนั้นผมตั้งใจว่าจะเดินทางไปอาศัยวัดนอนสักคืนหนึ่งรุ่งเช้าก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ ผมเดินผ่านบ้านของพี่มนต์ แต่ผมถึงกับใจหายไปได้อย่างไร ผมจำไม่ผิดแน่เพราะมีทางเดียวเมื่อถึงวัดผมเล่าเรื่องต่างๆให้พระที่วัดฟังทั้งหมดพระทุกรูปบอกว่าไม่เคยมีใครตามที่ผมบอกมา ผมก็แปลกใจมาก พอกลับมาถึงกรุงเทพฯ ผมอดนึกถึงกล่องที่พี่มนต์ให้มาไม่ได้ พอเปิดกล่องดูผมก็ต้องตกตะลึงอีกครั้งหนึ่ง เพราะของในกล่องนั้น มันมีค่ามหาศาล มีนาฬิกาเรือนทอง เป็นทองคำจริงๆ แหวนทองคำ หัวเป็นเพชร สามวง สายสร้อยทองคำหนัก สามบาท ดอกมะลิป่าทองคำ หนึ่งดอก ผมนั่งงงอยู่นานแล้วลองใส่ดู มันพอดีไปทุกอย่าง ทุกคืนวันพระ ผมจะต้องได้พบกับพี่มนต์ในขณะครึ่งหลับครึ่งตื่น เรามีความสุขกันทุกครั้งผมจะเจ็บระบมตามร่างกาย เหมือนครั้งแรกที่ได้มีความสุขกับพี่มนต์จริงๆ ทั้งนี้มันเป็นเพียงความฝันเท่านั้น พี่มนต์บอกผมว่า จะรับผมไปอยู่ด้วย ผมเองบอกกับพี่มนต์ว่า ยังไม่พร้อมที่จะไปตอนนี้ เพราะยังมีภาระที่จะต้องทำ พี่มนต์บอกว่าจะให้เวลาผมอีกไม่นานแล้วพี่มนต์จะมารับผมผมไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดีผมปรึกษากับใครเขาก็หาว่าผมเป็นบ้าหรือไง….{:5_129:} ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณที่เล่าสู่กันฟังนะครับ
ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับที่มาเล่าให้ฟัง{:5_136:} ขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับ ขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณคับ ขอบคุณมาก ขอบคุณมากๆครับ สุดยอด ขอบคุณครับ ขอบคุณคับ การรู้จักสัมมาคารวะนำสิ่งที่ดีมาสู่ชีวิตเสมอ ขอบคุณมากๆครับ