bosskrubza โพสต์ 2013-4-23 08:11:09

ธุรกิจการศึกษา...มอดกัดกร่อนศักยภาพเด็กไทย

                                                                                                                                                                                                  ธุรกิจการศึกษา...มอดกัดกร่อนศักยภาพเด็กไทย                                                                              
                                http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/198937.jpg          
                                                                                                 http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/198937/0.jpg                   
                                                                                                            http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/198937/1.jpg                   
                                                                                                            http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/198937/2.jpg                   
                                                                                                            http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/198937/3.jpg                   
                                                                          
          
                                  http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/50x30/cover/198937.jpg                                                                http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/50x30/photos/198937/0.jpg                                                                        http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/50x30/photos/198937/1.jpg                                                                        http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/50x30/photos/198937/2.jpg                                                                        http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/50x30/photos/198937/3.jpg                                                                  
          
   
          
   
                                                               
จากการจัดอันดับดรรชนีภาพลักษณ์การคอร์รัปชั่นขององค์กรความโปร่งใสสากล (Transparency international - TI ) ปรากฏว่าประเทศไทยมีความโปร่งใสแค่ 3.40 จากคะแนนเต็ม 10 อยู่ในลำดับที่ 80 จาก 183 ประเทศ และผลการวิจัยของเอแบคโพลก็พบว่าคนไทยส่วนใหญ่ยอมรับได้กับการทุจริต คอร์รัปชั่น หากตนเองได้รับประโยชน์ด้วย เมื่อคนในชาติคิดกันอย่างนี้จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมประเทศไทยถึงพัฒนาได้ล้าหลังกว่าชาติอื่น ๆ ทั้งที่ตอนเริ่มต้นออกตัวได้ดีกว่าหลายประเทศด้วยซ้ำไป เมื่อคนส่วนใหญ่ยังเห็นแก่ได้คิดเป็นธุรกิจทุกเรื่อง เพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องไม่เว้นแม้แต่วงการศึกษา ซึ่งเป็นแหล่งสร้างอนาคตของชาติ ที่มีมอดมาแทะหากินกับเด็กด้วยวิธีที่แยบยลจนประชาชนเห็นเป็นเรื่องปกติจึงขาดการทัดทาน ส่งผลให้เหล่ามอดทั้งหลายพากันได้ใจใช้เงินทองของแผ่นดินและผู้ปกครองเอื้อประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้องกันอย่างสนุกมือ
       
        ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐที่หลายรัฐบาลได้พยายามยื้อยัดวัสดุ ครุภัณฑ์ ให้กับสถานศึกษาโดยไม่คำนึงว่าสิ่งที่ให้ไปนั้นสามารถนำไปแก้ปัญหาหรือพัฒนาเด็กให้เกิดคุณภาพตามศักยภาพที่มีอยู่หรือไม่ หรือสอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่หรือไม่ เช่น การจัดซื้อคอมพิวเตอร์ส่งไปให้แม้กระทั่งโรงเรียนที่ไม่มีไฟฟ้าหรือจัดซื้อวัสดุที่ไม่มีคุณภาพในอดีตที่ผ่านมาหรือแม้ยุคปัจจุบันก็ยังพยายามจัดซื้อครุภัณฑ์ประเภทเดียวกันส่งให้อีก ส่วนนี้จะบอกว่าไม่มีประโยชน์อยู่เลยก็คงฟังได้ยาก เพราะข่าวทุจริตที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งก็เป็นเครื่องชี้วัดให้เห็นอยู่แล้ว หรือไม่ก็แอบแฝงมาในรูปแบบประชานิยม เพื่อประโยชน์ทางการเมืองทำให้เงินที่ทุ่มไปปีละหลายแสนล้านเด็กได้ประโยชน์ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ส่วนนี้หากได้กระจายอำนาจไปให้ฝ่ายปฏิบัติดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดเด็กก็คงได้ประโยชน์มากกว่านี้ ด้วยพื้นที่จะรู้ปัญหาและรู้ศักยภาพเด็กในท้องถิ่นของตนเองเป็นอย่างดี แต่การรวบอำนาจไว้ที่ส่วนกลางก็ยังมีให้เห็นอยู่จนถึงปัจจุบันโดยเฉพาะด้านงบประมาณที่ส่วนใหญ่ยังถูกเก็บไว้จัดกิจกรรม โครงการ มหกรรมต่าง ๆ แม้จะบอกว่าทำไปเพื่อเด็กแต่สิ่งที่ทำนั้นแก้ปัญหาหรือพัฒนาเด็กได้ทั่วถึงหรือไม่ต่างก็ทราบกันดี ซึ่งประโยชน์ส่วนใหญ่ก็คงหนีไม่พ้นกลุ่มธุรกิจที่รับจากการจัดสัมมนา หรือการจ้างให้คิดและทำกิจกรรมแทน เมื่อ การเอื้อเฟื้อเกิดขึ้นบ่อยครั้งการคอร์รัปชั่นแบบสุจริตสำหรับข้าราชการบางคนบางกลุ่มกับเศษเงินที่ได้มาในรูปแบบต่าง ๆ จึงมิอาจปฏิเสธได้ทั้งหมดว่าไม่มี
       
        ธุรกิจหากินกับการศึกษาปัจจุบันนี้ได้ขยายวงกว้างไปถึงภาคปฏิบัติในทุกระดับตั้งแต่โรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนยอดนิยมไม่ว่าจะสังกัดภาครัฐหรือเอกชน ที่พยายามหารายได้หลากหลายรูปแบบ รายได้ก้อนโตแรกคงหนีไม่พ้นค่าแป๊ะเจี๊ยะเพื่อแลกกับการเข้าเรียน หรือแม้แต่เด็กที่สอบหรือจับสลากได้เองก็จะถูกเชิญชวนแกมบังคับให้ร่วมบริจาคกับสารพัดกิจกรรมของโรงเรียนส่วนนี้หากเม็ดเงินถูกนำไปสนับสนุนคุณภาพการศึกษาทั้งหมดก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อเด็ก แต่สิ่งที่ทำกับเม็ดเงินที่ตกหล่นจำนวนไม่น้อยความเป็นจริงส่วนนี้ก็น่าจะรู้กันอยู่กับผู้ที่มีประโยชน์แอบแฝง หรือกรณีโรงเรียนที่ยังไม่มีชื่อเสียงบางแห่งก็พยายามสร้างจุดเด่นทางลัดด้วยวิธีการขอเปิดหลักสูตรพิเศษ อาทิ English Programหรือวิชาหลักที่จะนำไปสู่ความเป็นเลิศเพื่อสร้างกระแสการเรียนรู้ไปสู่อินเตอร์ให้ผู้ปกครองได้เห็น ส่วนนี้หากคิดหรือทำเพื่อประโยชน์ของเด็กอย่างแท้จริงและบริการได้อย่างทั่วถึงก็ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแต่ที่เห็นทำกันอยู่จะมีเด็กเพียงบางส่วนเท่านั้นที่เข้าถึงด้วยข้ออ้างความจำกัดด้านห้องเรียน ครุภัณฑ์และครู แต่ความเป็นจริงเกิดจากค่าเล่าเรียนที่ค่อนข้างแพง หลักสูตรพิเศษจึงกลายเป็นสิทธิพิเศษเฉพาะผู้ที่มีฐานะ ส่วนเด็กยากจนน้อยคนนักที่จะมีโอกาสเข้าถึง เมื่อเป็นเช่นนี้การแบ่งชั้นวรรณะทั้งที่อยู่ในโรงเรียนเดียวกันจึงเกิดขึ้น ส่วนนี้จะบอกว่าโรงเรียนไม่ได้หวังรายได้หรือคิดแบบธุรกิจก็คงตอบได้ยากเช่นกัน
       
        ด้านบุคลากรที่ทำมาหากินกับเด็กก็มีให้เห็นอยู่ไม่น้อยโดยส่วนใหญ่จะแอบแฝงในรูปของการสอนพิเศษหรือติวเตอร์ ด้วยเด็กและผู้ปกครองปัจจุบันก็เห็นว่าการเรียนพิเศษมีความสำคัญไม่แพ้การเรียนปกติ หากไม่เรียนพิเศษกลับจะถูกมองว่าล้าหลังด้วยซ้ำไปทั้งนี้ก็ด้วยเจตคติที่ว่าต้องเรียนสายสามัญและต้องเก่งวิชาการ เพื่อจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนยอดนิยม มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่มีการแข่งขันสูงได้ ส่วนนี้จึงเป็นความยินยอมกันทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งหากครูมีความตั้งใจจริงที่จะช่วยเหลือเติมเต็มความรู้ให้กับเด็กก็ถือว่าเป็นสิ่งดีงาม แต่การสอนพิเศษทุกวันนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะส่วนใหญ่จะมุ่งไปที่รายได้เป็นหลัก เช่น แค่การดูแลเด็กหลังเลิกเรียนเพื่อรอให้ผู้ปกครองมารับก็ถือว่าเป็นช่วงสอนพิเศษก็มี ที่ร้ายหนักไปกว่านั้นครูบางคนก็กั๊กเนื้อหาสำคัญไว้สอนพิเศษ หรือนำข้อสอบไปสอนพิเศษ เพื่อหลอกผู้ปกครองว่าเรียนพิเศษแล้วเด็กจะได้คะแนนสูงขึ้นทำให้มีลูกค้ามากขึ้นและค่าเรียนก็แพงขึ้นจนเกิดเป็นธุรกิจมีรายได้เป็นกอบเป็นกำแถมยังพลอยได้หน้าว่าสอนมีประสิทธิภาพ เพราะเด็กมีคะแนนสูงขึ้น ทั้งที่ความเป็นจริงเด็กอาจได้รับความรู้น้อยมาก
       
        ส่วนนี้ถือเป็นการสร้างตราบาปให้กับตนเองและเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่จะขาดโอกาสการพัฒนาในทักษะและศักยภาพอื่น ๆ ที่มีอยู่ ซึ่งความรุ่งเรืองของธุรกิจการสอนพิเศษนี้คงหยุดยั้งได้ยากหากตราบใดวิธีการเข้ามหาวิทยาลัยยังใช้แนวทางเดิม ๆ โดยไม่นำความดีงามหรือทักษะด้านอื่นมาใช้ด้วย ยิ่งปัจจุบันมีการนำผลโอเน็ตเข้ามามีบทบาทใช้เป็นผลสัมฤทธิ์การเรียน เข้ามหาวิทยาลัย ใช้เลื่อนวิทยฐานะของครูและผู้บริหาร ก็ยิ่งทำให้สอนพิเศษด้านวิชาการมีความสำคัญกับหลายฝ่ายมากยิ่งขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้เด็กไทยจึงน่าจะได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มที่อยู่กับการเรียนมากที่สุดในโลก เพราะแค่การเรียนตามโครงสร้างหลักสูตรก็มากถึง 1,000-1,200 ชั่วโมงต่อปี เมื่อรวมกับการสอนพิเศษแบบไม่มีวันหยุดนี้แล้ว เด็กไทยก็น่าจะก้าวล้ำนำยุคกว่าประเทศใดในโลก แต่ทำไมคุณภาพการศึกษาไทยกลับต้วมเตี้ยมตามหลังต่างชาติแบบไม่เห็นฝุ่นอยู่เช่นนี้ ยิ่งมองลึกไปถึงคุณภาพชีวิตเด็กทั้งทักษะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ทั้งหลายด้วยแล้วก็ยิ่งตกต่ำไปกันใหญ่ ซึ่งจะสวนทางกับธุรกิจการสอนพิเศษที่มีแต่จะฟู่ฟ่าสร้างรายได้ปีละหลายหมื่นล้านและคงถึงแสนล้านในเร็ว ๆ นี้เป็นแน่
       
        มอดที่มาไล่แทะหากินกับการศึกษายังมีอีกหลายกลุ่มและหลายรูปแบบทั้งกลุ่มที่สูบเลือดครูจากการแต่งตั้งโยกย้าย การสอบบรรจุ กลุ่มรับจ้างทำผลงานวิชาการเพื่อเลื่อนวิทยฐานะ กลุ่มครูที่ใช้เวลาราชการออกไปทำธุรกิจส่วนตัว รวมถึงกลุ่มธุรกิจเอกชนที่ร่ำรวยจากการค้าขายหนังสือและแบบเรียน เพราะยิ่งมีการเปลี่ยนหลักสูตรใหม่บ่อยครั้งโอกาสที่จะสร้างรายได้ก็มีมากขึ้นด้วยการตั้งราคาหนังสือที่ค่อนข้างแพงกว่าหลายประเทศนั่นเอง ส่วนนี้นอกจากจะทำให้ภาครัฐและผู้ปกครองต้องใช้จ่ายจำนวนมากแล้วยังเป็นอุปสรรคต่อการส่งเสริมให้เด็กไทยมีนิสัยการอ่านและการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยิ่ง
       
        จึงมิใช่เรื่องแปลกเลยที่แม้รัฐบาลจะทุ่มทุนเพื่อการศึกษามากเท่าไรผู้ปกครองเองก็หมดไปกับการเรียนของบุตรหลานมิใช่น้อยเด็กเองก็เรียนรู้และกวดวิชาแบบไม่มีวันพักแต่ทำไมคุณภาพเด็กไทยจึงยังย่ำแย่อยู่ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเงินที่ว่านี้ไม่ได้ถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับเด็กตรงกับศักยภาพที่เด็กมีอยู่ แถมยังถูกมอดคอยแทะเล็มเม็ดเงินอยู่อย่างมากมาย จึงน่าจะถึงเวลาแล้วที่ต้องช่วยกันหาทางกำจัดมอดหากินกับการศึกษาให้ลดลงเพราะการที่จะหวังให้กลุ่มคนเหล่านี้หมดไปนั้นคงเป็นไปได้ยาก ขณะที่การปลูกฝังคนไทยไม่โกง ทุกวันนี้มุ่งแต่เด็ก ส่วนคนโตที่ยังโกงกินกันอยู่ไม่เห็นมีใครคิดหลักสูตรแก้จิตสำนึกให้ซึ่งหากจะรอให้เด็กโตไปแล้วไม่โกง กว่าจะถึงวันนั้นประเทศไทยคงเหลือแต่กระดูกเพราะคนโตปัจจุบันยังโกงกินกันเป็นว่าเล่นอยู่นั่นเอง.
กลิ่น สระทองเนียม

http://www.dailynews.co.th/education/198937



หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: ธุรกิจการศึกษา...มอดกัดกร่อนศักยภาพเด็กไทย