รัฐบาลขายฝันยกเครื่องรถไฟไทย 10 เส้นรถไฟฟ้า-4ไฮสปีดเทรน
รัฐบาลขายฝันยกเครื่องรถไฟไทย 10 เส้นรถไฟฟ้า-4ไฮสปีดเทรน วันจันทร์ที่ 15 เมษายน 2556 เวลา 00:00 น.http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/197302.jpg
http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/197302/0.jpg
http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/50x30/cover/197302.jpg http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/50x30/photos/197302/0.jpg
“รถติ๊ด...ติด เบื่อรถติด”เชื่อว่าหลายคนคงอยู่ในอาการนี้ โดยเฉพาะคนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ต้องทนสภาพกับสภาวะรถติดสาหัสในหลาย ๆ พื้นที่ ทำให้นึกถึงคำสวยหรูจากหลายรัฐบาล เริ่มตั้งแต่ปี 37 วาดฝันประชาชนจะเนรมิตรถไฟฟ้าในประเทศไทย สารพัดสี สารพัดสาย จะช่วยทำให้ชีวิตประชาชนสะดวกขึ้น ไม่ต้องทนทุกข์กับรถติดแต่ความเป็นจริง ณ เวลานี้ ผ่านมา 19ปี จากที่ตั้งเป้าจะให้เกิดรถไฟฟ้า 7 สายบ้าง 10 สายบ้าง สุดท้ายประเทศไทยก็เพิ่งมีรถไฟฟ้าได้แค่ 4 สายเท่านั้น ทั้งที่การสร้างรถไฟฟ้าแต่ละเส้นทาง จะใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 4–5 ปีเท่านั้น
แต่ตอนนี้ความหวังของคนไทยกับระบบราง เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น หลังจากกระทรวงคมนาคม ประกาศนโยบายชัดเจนจะเร่งก่อสร้างรถไฟฟ้า โดยตั้งเป้าเปิดประกวดราคาให้ได้ 10 สายทาง รวมระยะทาง 410 กม. ภายในปี 58 โดยโครงการจะแล้วเสร็จเปิดใช้ภายในปี 62 โดยปี 56 กระทรวงคมนาคมมีแผนเร่งรัดการประกวดราคาโครงการรถไฟฟ้ารวม 10 โครงการ แบ่งเป็นโครงการเร่งรัดการประกวดราคาที่ล่าช้าจากปี 55 รวม 3 โครงการ ได้แก่
1. โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ระยะทาง 18.4 กม. คาดว่าเปิดให้บริการ ปี 602. โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา ระยะทาง 14 กม.คาดเปิดปี 61 และ 3. โครงการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ ช่วงบางซื่อ-พญาไท ระยะทาง 7.9 กม. คาดเปิดปี 59
ส่วนโครงการประกวดราคาตามแผนปี56มี 7 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ระยะทาง 36 กม. เปิดปี 60 2. โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-บางกะปิ-มีนบุรี ระยะทาง 20 กม. คาดเปิดปี 61-62 3.โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงสมุทรปราการ-บางปู ระยะทาง 7 กม. คาดเปิดปี 604. โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน คาดเปิดปี 60 และบางซื่อ-หัวลำโพง ระยะทาง 25.5 กม. คาดเปิดปี 60 5. โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน ช่วงศิริราช-ตลิ่งชัน ระยะทาง 6 กม. คาดเปิดปี 586. โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ระยะทาง 10 กม. คาดเปิดปี 61 และ 7. โครงการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์ ช่วงดอนเมือง-บางซื่อ ระยะทาง 13.9 กม. คาดเปิดปี 60
หลังจากแผนการสร้างรถไฟฟ้าล่าช้ามานาน งานนี้ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” รมว.คมนาคม ลงมาจี้ด้วยตัวเอง โดยเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาติดตามความเคลื่อนไหวชนิดรายเดือน โดย “ชัชชาติ” ระบุว่า กระทรวงคมนาคม จะพยายามเร่งรัดดำเนินโครงการรถไฟฟ้าอย่างเต็มที่ แต่ยอมรับว่าอาจมีปัญหาล่าช้ากว่าแผนบ้าง เนื่องจากติดปัญหาเรื่องการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และปัญหาเกี่ยวกับชุมชน ทำให้บางโครงการมีปัญหาล่าช้า เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง มีปัญหาชุมชนคัดค้านบริเวณลาดพร้าวและสายสีส้ม มีปัญหาชุมชนบริเวณรามคำแหง ซึ่งถือว่าเป็นโครงการที่เหนื่อยหน่อย
สำหรับรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในขณะนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะราบรื่น เพราะติดสารพัด เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงบางใหญ่-บางซื่อ จากเดิมที่คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 58 มีแนวโน้มค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า จะต้องเลื่อนเปิดไปให้บริการในปี 59 เนื่องจากสัญญา 4 งานระบบรถไฟฟ้า ช่วงบางใหญ่-เตาปูน และระบบอาณัติสัญญาณ ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ เพิ่งตกลงลดวงเงินกับเอกชนแล้วเสร็จ และต้องรอเข้าที่ประชุมครม. อีกครั้งหนึ่ง
ด้านโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน บางซื่อ–ท่าพระ การก่อสร้างก็มีปัญหาไม่แพ้กัน โดยช้ากว่าแผนการก่อสร้างไปแล้ว 1 ปี เพราะติดปัญหาการเวนคืนที่ดิน และปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพราะฉะนั้นแผนการเปิดให้บริการเดือน ธ.ค. ปี 59 คงจะเลือนรางออกไป แต่ยังดีที่โครงการการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง–สมุทรปราการ แม้จะติดปัญหาการเวนคืนบ้าง แต่ก็ยังเชื่อว่า สามารถเปิดให้บริการได้ตามเป้า ปลายปี 60 เช่นเดิม
นอกจากนโยบายรถไฟฟ้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นพัฒนาในเมือง ณ เวลานี้ รัฐบาลยังได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาเมืองใหญ่ ที่อยู่ตามต่างจังหวัด และเมืองที่อยู่ตามชายแดน เนื่องจากมีการขยายตัวเศรษฐกิจอยู่ในอัตราสูงมากเช่นกัน และเพื่อเป็นการรองรับการเปิดประชาคมอาเซียนในปี 58 ซึ่งจะทำให้ทุกประเทศในอาเซียน มีการเชื่อมต่อกันอย่างไร้พรมแดน
รัฐบาลจึงได้วางแผนพัฒนารถไฟกระจายไปทั่วประเทศ ภายใต้ พ.ร.บ. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศเน้นพัฒนาระบบราง สัดส่วนเงินลงทุนประมาณ 82.94 % หรือคิดเป็นวงเงินประมาณ 1.65 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นเงินลงทุนพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงประมาณ 7.8 แสนล้านบาท รถไฟฟ้าในเมืองประมาณ 4.7 แสนล้านบาท และรถไฟทางคู่เป็นเงินประมาณ 4 แสนล้านบาท
สำหรับโครงการที่ประชาชนให้ความสนใจมากที่สุด และมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงจุดคุ้มทุน จากนักวิชาการหลาย ๆ หน่วยงานมากที่สุดคือ รถไฟความเร็วสูงคาดว่าจะก่อสร้างเสร็จ และเปิดให้บริการได้ประมาณ ปี 61–63 ซึ่งจะมีความเร็วเฉลี่ย 250–300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเบื้องต้นได้กำหนดราคาค่าโดยสาร เฉลี่ยกิโลเมตรละ 2.10–2.50 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาเครื่องบินปกติที่คิดค่าบริการ
4.1 บาทต่อกิโลเมตร สูงกว่าสายการบินต้นทุนต่ำ (โลว์คอสต์แอร์ไลน์) ที่คิดค่าบริการ 2.4 บาทต่อกิโลเมตรเล็กน้อย แต่มองว่าในอนาคตสายการบิน ซึ่งใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง จะมีการปรับราคาสูงกว่านี้ และหากเทียบกับราคาค่าโดยสารรถโดยสารประจำทางจะสูงกว่า แต่รถไฟความเร็วสูงจะสะดวก และประหยัดเวลามากกว่า
การสร้างรถไฟความเร็วสูง จะมีเป้าหมายเพื่อลดระยะเวลาการเดินทาง และเชื่อว่าจะเป็นการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคมากขึ้น และลดต้นทุนโลจิสติกส์ รวมทั้งต่อไปการเชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งจีน และยุโรปจะสะดวกขึ้น รวมทั้งการส่งสินค้าเน่าเสียง่าย จะทำได้สะดวกขึ้น
ประกอบไปด้วย4 เส้นทาง คือ 1.เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ระยะทาง 658 กม. ราคาค่าโดยสารประมาณ 1,400–1,700 บาท ใช้ระยะเวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง 50 นาที2.เส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 615 กม. ค่าโดยสารประมาณ 1,300–1,600 บาทใช้ระยะเวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง 30 นาที แต่ระยะแรกจะสร้างช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 256 กม. ค่าโดยสารประมาณ 550–700 บาทใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 10 นาที
3. เส้นทางกรุงเทพฯ-หัวหิน-ปาดังเบซาร์ระยะทาง 763 กม. ค่าโดยสารประมาณ 1,600–2,000 บาทโดยระยะแรก จะสร้างช่วงกรุงเทพฯ-หัวหิน ระยะทาง 225 กม. ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมงค่าโดยสารประมาณ 500–600 บาท และ4.เส้นทางกรุงเทพฯ-พัทยา-ระยอง ระยะทาง 221 กม. ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 8 นาที ค่าโดยสารประมาณ 500–600 บาท โดยระยะแรก จะสร้างจากช่วงกรุงเทพฯ-พัทยา
กระทรวงคมนาคม ยังตั้งเป้าการเชื่อมต่อระบบรางกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาค โดยจะใช้ระบบรถไฟที่มีอยู่เป็นตัวเชื่อม จะมีการสร้างทางสายใหม่อีก 1,054 กม. และทางคู่เพิ่มอีก 2,857 กม. เพื่อไม่ให้เสียเวลาในการสับหลีกกัน เพิ่มความปลอดภัย และสามารถเร่งความเร็วได้เพิ่มขึ้น โดยความเร็วสำหรับขนส่งผู้โดยสารจากเดิมวางได้เพียง 60 กม. ต่อชั่วโมง ต่อไปจะทำความเร็วได้ 100 กม.ต่อชั่วโมง ส่วนความเร็วสำหรับขนส่งสินค้า จากเดิมทำความเร็วได้เพียง 40 กม. ต่อชั่วโมง ต่อไปจะทำความเร็วได้ 60 กม. ต่อชั่วโมง รวมทั้งจะมีปริมาณผู้โดยสารทางรถไฟเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 75 ล้านเที่ยว จากเดิมปีละ 45 ล้านเที่ยว
สำหรับรถไฟทางคู่ ที่จะสร้างในภาคต่าง ๆ คือ ภาคกลางและภาคตะวันออก เช่น โครงการรถไฟทางคู่ สายลพบุรี-ปากน้ำโพ สายมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ สายนครปฐม-หัวหิน เชื่อมต่อด้วยทางรถไฟสายใหม่บ้านภาชี-อำเภอนครหลวง ระยะทางรวม 468 กม. ภาคใต้ เช่น โครงการรถไฟทางคู่สายหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์, สายประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร, สายชุมพร-สุราษฎร์ธานี, สายสุราษฎร์ธานี-ปาดังเบซาร์ ระยะทางรวม 763 กม.
ภาคเหนือ เช่น โครงการรถไฟทางคู่ จากปากน้ำโพสู่เด่นชัยเชื่อมต่อด้วยทางรถไฟสายใหม่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ระยะทางรวม 611 กม. โครงการรถไฟ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น โครงการรถไฟทางคู่ 3 โครงการ ได้แก่ สายจิระ-หนองคาย ระยะทาง 359 กม. สายชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี ระยะทาง 309 กม. และสายบ้านไผ่-นครพนม ระยะทาง 347 กม.
เมื่อแผนทุกอย่างเริ่มมีความชัดเจนแล้ว แต่ตอนนี้ยังมีข้อถกเถียงถึงความคุ้มค่าในการลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะต้องใช้เงินลงทุนเป็นอย่างมาก จึงมีคำถามตามมามากมายว่า จะมีผู้โดยสาร และการส่งสินค้าอย่างเพียงพอ เพื่อที่จะเลี้ยงตัวได้หรือไม่เพราะเห็นได้จากรถไฟไทยในปัจจุบันนี้ ก็ขาดทุนบักโกรก แต่ทางกระทรวงคมนาคม ก็ยืนยันว่า หากไทยไม่มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะระบบราง จะยิ่งส่งผลให้อันดับชั้นในการแข่งขันของไทยลดลงไปอีก และเมื่อเปิดเออีซีในปี 58 ไทยก็จะไม่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ได้
เพราะฉะนั้นต้องตามลุ้นกันดูว่า รัฐบาลจะสามารถฝ่าทุกกระแส เนรมิตสารพัดโปรเจคท์ให้เป็นไปตามเป้าได้หรือไม่…อย่าให้ความหวังของคนไทยเลือนรางไปกับระบบรางของรัฐบาล ซ้ำรอยในอดีตอีกเลย!!!.
จิตวดี เพ็งมาก
เครดิต http://www.dailynews.co.th/businesss/197302
http://www.dailynews.co.th:9187/pixel.gif?key=node,197302
ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]