Medmayom โพสต์ 2012-5-21 08:22:56

ภาษาไทยวิกฤต ทั้งเด็กและครูมาตรฐานต่ำ



สกูีปข่าว "ไทยรัฐ" (๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕)
http://www.thairath.co.th/column/pol/page1scoop/261071

http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201205/18/223211e24.jpg

ภาษาไทยวิกฤต ทั้งเด็กและครูมาตรฐานต่ำประสบการเรียนรู้และข้อมูลเชิงประจักษ์ระหว่างปีการศึกษา ๒๕๕๒ - ๒๕๕๔ครูกานท์ (ผศ.ศิวกานท์ ปทุมสูติ) ไม่ว่าจะพูดถึงวันรักการอ่านหรือปีแห่งความรักการอ่าน จนกระทั่งกำหนดเป็นทศวรรษแห่งความรักการอ่านก็ตามที เรื่องนี้ยังยากนักที่จะพัฒนาไปถึงจุดหมายปลายทาง การขับเคลื่อนเชิงนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการยังดำเนินไปแบบภาพฝันสวยหรูที่ไร้ความเป็นจริง เท่าที่พบเห็นอย่างมากก็แค่บรรลุผล “ตามรายงานปั้นแต่ง” ตามโครงการต่างๆ ที่จัดทำขึ้นให้สอดคล้องกับ “ตัวบ่งชี้ที่กำหนด” เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น มิอาจปลูกหว่านจิตวิญญาณแห่งรักให้เจริญงอกงามในวิถีชีวิตของเด็กไทยได้ ภาพที่คุ้นตาของเราไม่ว่าในสถานศึกษา ศูนย์การค้า หรือในที่สาธารณะใดๆ ยังคงเห็นแต่เด็กและเยาวชนไทยหมกมุ่นกับโทรศัพท์ และสื่อออนไลน์ต่างๆ เกลื่อนตา น้อยนักที่เราจะเห็นพวกเขาพกพาหนังสือ หรืออ่านหนังสือ สาเหตุสำคัญก็เพราะว่าวิถีครอบครัวไทย พ่อแม่ และครูไทยยังรักการอ่านน้อย เด็กๆ ยังมีต้นแบบชีวิตในเรื่องนี้น้อย และที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือเด็กไทยอีกจำนวนไม่น้อยยัง “อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้” เป็นความจริงที่น่าตกใจเมื่อได้ทดสอบความสามารถในการ “เขียนตามคำบอก” ของเด็กไทยในวันนี้!จากคำสำหรับทดสอบที่กำหนดมาตรฐานเพียงแค่ระดับทักษะชั้น ป.๑ เท่านั้น ให้นักเรียนตั้งแต่ชั้น ป. ๒ ขึ้นไปเขียนตามคำบอกจำนวน ๕๐ คำ ซึ่งมาตรฐานของคำระดับชั้น ป.๑ จะต้องมีองค์ประกอบครอบคลุมในข้อต่อไปนี้ ๑.มีพยัญชนะต้นครอบคลุมอักษร ๓ หมู่ (อักษรต่ำ-กลาง-สูง) ๒.เป็นคำสะกดตรงมาตราสะกดทั้ง ๙ แม่ ๓.ประกอบด้วยสระรวมแล้วไม่น้อยกว่า ๒๐ เสียง ๔.มีคำควบกล้ำและอักษรนำเบื้องต้น ๕.มีคำผันเสียงอักษรครบทั้ง ๓ หมู่ คำที่กำหนด ๕๐ คำดังกล่าว ได้แก่— กาแฟ ทอผ้า มะลิลา— สึนามิ อายิโนะ เตาะแตะ— ฉอเลาะ เล้าไก่ เข้าถ้ำ— ขยำขยี้ ปิงปอง โผงผาง— ข้างล่าง ทุ่งนาแล้ง อึ่งอ่าง— ไอโอดีน ปิ่นโต เส้นด้าย— เล่นโขน ฟ้อนรำ ซุ่มซ่าม— ยิ้มแย้ม อ่อนน้อม รอยเท้า— กุ้งฝอย ผิวขาว แน่วแน่— ของฝาก ปึกแผ่น กุ๊กกิ๊ก— ชอกช้ำ เจียระไน เผื่อแผ่— ด้ามมีด ฮึดสู้ โหดร้าย— หุบเหว ตะเกียบ บ่ายเบี่ยง— เลื่อนเวลา ทะเล่อทะล่า จดบันทึก — ส้วมซึม กวยจั๊บ พริกเผ็ด — รื่นเริง ปลาบปลื้ม เคลื่อนคล้อย— หยิ่งผยอง สลักเสลา เกณฑ์การทดสอบกำหนด ๕๐ คำเป็น ๕๐ คะแนน นักเรียนที่ได้ ๒๕ คะแนนขึ้นไปจึงถือว่า “ผ่านการทดสอบ” ซึ่งผลการสุ่มทดสอบนักเรียนในภาคต่างๆ มีดังนี้ สุ่มสำรวจโรงเรียนในจังหวัดภาคเหนือจังหวัดหนึ่งโรงเรียนที่ ๑ (ขนาดเล็ก) ป.๒-๓ นักเรียน ๒๗คน ผ่าน- คนคิดเป็นร้อยละ - ไม่ผ่าน๒๗ คนคิดเป็นร้อยละ ๑๐๐ ป.๔-๖ นักเรียน ๔๒ คน ผ่าน ๒ คนคิดเป็นร้อยละ ๔.๘๐ ไม่ผ่าน๔๐ คนคิดเป็นร้อยละ ๙๕.๒๐ โรงเรียนที่ ๒ (ขนาดกลาง) ป.๔-๖ นักเรียน ๑๐๖คน ผ่าน ๑๕ คนคิดเป็นร้อยละ ๑๔.๒๐ ไม่ผ่าน๙๑ คน คิดเป็นร้อยละ ๘๕.๘๐ ม.๑-๓ นักเรียน ๘๘ คน ผ่าน ๒๙ คนคิดเป็นร้อยละ ๓๓.๐๐ ไม่ผ่าน๕๙ คน คิดเป็นร้อยละ ๖๗.๐๐ โรงเรียนที่ ๓ (ขนาดใหญ่) ป.๔-๖ นักเรียน ๒๗๖คน ผ่าน ๘๕ คนคิดเป็นร้อยละ ๓๐.๘๐ ไม่ผ่าน๑๙๑ คน คิดเป็นร้อยละ ๖๙.๒๐ ม.๑ นักเรียน ๘๔ คน ผ่าน ๔๐ คนคิดเป็นร้อยละ ๔๗.๗๐ ไม่ผ่าน๔๔ คนคิดเป็นร้อยละ ๕๒.๓๐ สุ่มสำรวจโรงเรียนในจังหวัดภาคกลางจังหวัดที่ ๑โรงเรียนที่ ๑ ป.๒-๖ นักเรียน ๕๔คน ผ่าน ๔๒ คน คิดเป็นร้อยละ ๗๗.๗๘ ไม่ผ่าน๑๒ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๒.๒๒ สุ่มสำรวจโรงเรียนในจังหวัดภาคกลางจังหวัดที่ ๒ (กทม.)โรงเรียนที่ ๑ (ขนาดกลาง) ป.๒-๖ นักเรียน ๔๖๒คน ผ่าน๒๔๖ คนคิดเป็นร้อยละ ๕๓.๒๕ ไม่ผ่าน๒๑๖ คน คิดเป็นร้อยละ ๔๖.๗๕โรงเรียนที่ ๒ (ขนาดใหญ่) ป.๒-ม.๓ นักเรียน ๑,๓๙๓คน ผ่าน๘๖๘ คนคิดเป็นร้อยละ ๖๒.๓๑ ไม่ผ่าน๕๒๕ คน คิดเป็นร้อยละ ๓๗.๖๙ สุ่มสำรวจโรงเรียนในจังหวัดภาคตะวันออกจังหวัดหนึ่งโรงเรียนที่ ๑ ป.๒-๖ นักเรียน ๑๒๐คน ผ่าน๕๑ คนคิดเป็นร้อยละ ๔๒.๕๐ ไม่ผ่าน๖๙ คน คิดเป็นร้อยละ ๕๗.๕๐ โรงเรียนที่ ๒ ป.๒-๖ นักเรียน ๑๓๕คน ผ่าน๓๔ คนคิดเป็นร้อยละ ๒๕.๒๐ ไม่ผ่าน๑๐๑ คน คิดเป็นร้อยละ ๗๔.๘๐ โรงเรียนที่ ๓ ป.๒-ม.๓ นักเรียน ๑๐๖คน ผ่าน ๑๕ คนคิดเป็นร้อยละ ๑๔.๒๐ ไม่ผ่าน๙๑ คน คิดเป็นร้อยละ ๘๕.๘๐ สุ่มสำรวจโรงเรียนในจังหวัดภาคอีสานจังหวัดหนึ่งโรงเรียนที่ ๑ ป.๒-ป.๖ นักเรียน ๓๐๐คน ผ่าน ๑๗๓ คนคิดเป็นร้อยละ ๕๗.๖๗ ไม่ผ่าน๑๒๗ คน คิดเป็นร้อยละ ๔๒.๓๓ โรงเรียนที่ ๒ ป.๒-ป.๖ นักเรียน ๒๑๒คน ผ่าน ๑๐๑ คนคิดเป็นร้อยละ ๔๗.๖๔ ไม่ผ่าน๑๑๑ คน คิดเป็นร้อยละ ๕๒.๓๖ สุ่มสำรวจโรงเรียนในจังหวัดภาคใต้จังหวัดหนึ่งโรงเรียนที่ ๑ ป.๒-ป.๖ นักเรียน ๒๘๕คน ผ่าน ๑๗๑ คนคิดเป็นร้อยละ ๖๐.๐๐ ไม่ผ่าน๑๑๔ คน คิดเป็นร้อยละ ๔๐.๐๐ โรงเรียนที่ ๒ ป.๒-ป.๖ นักเรียน ๑๗๒คน ผ่าน ๑๑๗ คนคิดเป็นร้อยละ ๖๘.๐๒ ไม่ผ่าน๕๕ คน คิดเป็นร้อยละ ๓๑.๙๘ สรุป – ค่าเฉลี่ยการสุ่มทดสอบเขียนตามคำบอกจากคำในระดับทักษะชั้น ป.๑ จำนวน ๕๐ คำ (๕๐ คะแนน) ของนักเรียนชั้น ป.๑ – ม.๓ ทุกภาค จำนวน ๓,๘๖๒ คน นักเรียนที่ได้คะแนนผ่านเกณฑ์ ๒๕ คะแนนขึ้นไปมีจำนวน๑,๙๘๙ คนคิดเป็นร้อยละ ๕๑.๕๐ สำหรับนักเรียนที่ได้คะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ ๒๕ คะแนนมีจำนวน๑,๘๗๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๔๘.๕๐ นอกจากนี้ยังได้ใช้หลักการเดียวกันนี้โดยอนุโลมทดสอบครูผู้สอนและผู้บริหารสถานศึกษา ด้วยการกำหนดคำ ๒๐ คำ (๒๐ คะแนน) ให้เขียนตามคำบอกโดยไม่ต้องเขียนชื่อของตนที่กระดาษคำตอบ อาจเขียนรหัสหรือสัญลักษณ์ใดๆ ไว้เป็นเครื่องสังเกตเฉพาะตนหรือไม่ก็ได้ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้มีความรู้สึกเป็นกังวลกับการถูกเปิดเผยศักยภาพในการเขียนได้หรือเขียนไม่ได้ โดยกำหนดคำ ๒๐ คำที่ครูไม่คุ้นเคยบ้าง ไม่คุ้นเคยบ้าง ดังนี้ทะนุถนอม ไซ่ง่อน เลือนราง หร็อมแหร็ม ตุ้ยนุ้ย ขะมักเขม้น โป๊ะเชะ เคลิบเคลิ้ม ชะโงกง้ำ โอ้กอ้าก ระล่ำระลัก โขยกเขยก ฟั่นเชือก หน็อยแน่ เพ่นพ่าน ปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ เหลาเหย่ เขี้ยวโง้ง   ประดักประเดิด ปวกเปียก ผู้ที่เขียนตามคำบอกได้ ๑๐ คะแนนขึ้นไปถือ “ผ่าน” ในมาตรฐานทักษะ ป.๑ ผลปรากฏว่าครูที่ทดสอบ “ผ่าน” และ “ไม่ผ่าน” ตามเกณฑ์กำหนด มีดังนี้ สุ่มสำรวจครูในโรงเรียนจังหวัดภาคตะวันออกจังหวัดหนึ่ง   โรงเรียนที่ ๑จำนวน ๑๕ คน ผ่าน ๘ คนคิดเป็นร้อยละ ๕๓.๓๓ ไม่ผ่าน ๗ คนคิดเป็นร้อยละ ๔๗.๖๗ โรงเรียนที่ ๒จำนวน ๖ คน ผ่าน ๒ คนคิดเป็นร้อยละ ๓๓.๓๓ ไม่ผ่าน ๔ คนคิดเป็นร้อยละ ๖๖.๖๗ โรงเรียนที่ ๓ จำนวน ๒๕ คน ผ่าน ๑๐ คนคิดเป็นร้อยละ ๔๐.๐๐ ไม่ผ่าน ๑๕ คนคิดเป็นร้อยละ ๖๐.๐๐ โรงเรียนที่ ๔ จำนวน ๒๒ คน ผ่าน ๔ คนคิดเป็นร้อยละ ๑๘.๑๘ ไม่ผ่าน ๑๘ คนคิดเป็นร้อยละ ๘๑.๘๒ โรงเรียนที่ ๕ จำนวน ๑๕ คน ผ่าน ๕ คนคิดเป็นร้อยละ ๓๓.๓๓ ไม่ผ่าน ๑๐ คนคิดเป็นร้อยละ ๖๖.๖๗ สุ่มสำรวจครูในโรงเรียนจังหวัดภาคกลางบางจังหวัดภาคกลางจังหวัดที่ ๑    จำนวน ๑๙๒คน   ผ่าน ๑๑๖คน คิดเป็นร้อยละ ๖๐.๔๒    ไม่ผ่าน ๗๖คน คิดเป็นร้อยละ ๓๙.๕๘ ภาคกลางจังหวัดที่ ๒โรงเรียนที่ ๑ (กทม.)จำนวน ๔๒ คน ผ่าน ๓๕ คน คิดเป็นร้อยละ ๘๓.๓๓ ไม่ผ่าน ๗ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๖.๖๗ โรงเรียนที่ ๒ (กทม.)จำนวน ๕๙ คน ผ่าน ๔๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๗๒.๘๘ ไม่ผ่าน ๑๖ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๗.๑๒ สุ่มสำรวจครูในโรงเรียนจังหวัดภาคใต้บางจังหวัดภาคใต้จังหวัดที่ ๑ จำนวน ๑๙๔ คน ผ่าน ๑๑๖ คน คิดเป็นร้อยละ ๕๙.๗๙ ไม่ผ่าน ๗๘ คน คิดเป็นร้อยละ ๔๐.๒๑ ภาคใต้จังหวัดที่ ๒ จำนวน ๒๐๒ คน ผ่าน ๑๓๔ คน คิดเป็นร้อยละ ๖๖.๓๔ ไม่ผ่าน ๖๘ คน คิดเป็นร้อยละ ๓๓.๖๖ ภาคใต้จังหวัดที่ ๓ จำนวน ๑๒๑ คน ผ่าน ๔๘ คน คิดเป็นร้อยละ ๓๙.๖๗ ไม่ผ่าน ๗๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๖๐.๓๓ สุ่มสำรวจครูและผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดภาคอีสานบางจังหวัดภาคอีสานจังหวัดที่ ๑ (ครูผู้สอน)จำนวน ๑๑๓ คน ผ่าน ๘๖ คน คิดเป็นร้อยละ ๗๖.๑๑ ไม่ผ่าน ๒๗ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๓.๘๙ ภาคอีสานจังหวัดที่ ๒ (ผู้บริหารสถานศึกษา) จำนวน ๑๐๑ คน ผ่าน ๖๘ คน คิดเป็นร้อยละ ๖๗.๓๓ ไม่ผ่าน ๓๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๓๒.๖๗ (ดูตัวอย่างลายมือครูที่ไม่ผ่านเกณฑ์การทดสอบ-จากแนบไฟล์) สรุป – ค่าเฉลี่ยการสุ่มทดสอบเขียนตามคำบอกของครูและผู้บริหารสถานศึกษาจากคำระดับมาตรฐานทักษะ ป.๑ จำนวน ๒๐ คำ (๒๐ คะแนน) ในพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ และภาคอีสาน จำนวน ๑,๑๐๗ คน ผู้ที่ได้คะแนนผ่านเกณฑ์ ๑๐ คะแนนขึ้นไปมีจำนวน ๖๗๕ คน คิดเป็นร้อยละ ๖๐.๙๘ และผู้ที่ได้คะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ ๒๕ คะแนนมีจำนวน ๔๓๒ คน คิดเป็นร้อยละ ๓๙.๐๒ น่าตกใจนัก!!! ปรากฏการณ์การอ่านเขียนของเด็กและครูที่ตกต่ำอย่างหนักดังผลที่แสดง มีสาเหตุสำคัญมาจากกระบวนการเรียนการสอนที่ผิดพลาด และผู้ที่เกี่ยวข้องต่างก็ยังดื้อดันทุรังกระทำในสิ่งที่ผิดพลาดซ้ำซากกันอยู่ก็คือ ๑.การสอนภาษาไทยที่ผิดไปจากวิถีทักษะที่ถูกต้อง นั่นคือการจัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นแต่ประสบการณ์ภาษาในด้านการ “จำรูปคำ” มากกว่าการ “เปล่ง-ท่อง-อ่าน-สะกด-ผัน-คัด-เขียน” ...นี่เป็นสาเหตุใหญ่ที่ผิดพลาด! ด้วยว่าการเรียนการสอนภาษาไทยเพื่อการอ่านออกเขียนได้เบื้องต้นนั้น จะต้องสอนด้วย “วิถีแจกลูก สะกดคำ ผันเสียง คัดและเขียนตามคำบอก” เป็นหลัก ส่วนวิธีการเรียนการสอนแบบอื่นๆ อาจนำมาใช้ร่วมได้บ้าง แต่ให้เป็นเพียงแค่เสริมการเรียนรู้เท่านั้น ๒.เด็กในยุคสมัยปัจจุบันมีภาวะสมาธิสั้นกันมากเนื่องจากการเลี้ยงดูที่ผิดพลาดการบริโภคแบบทุโภชนาการการติดสื่ออีเล็กทรอนิคและเกมต่างๆผนวกกับการจัดการเรียนการสอนของครูที่ผิดวิถี (ดังที่กล่าวในข้อ ๑) ที่เน้นความรู้ความจำมากกว่าการฝึกย้ำทักษะ เด็กๆ ที่สมาธิสั้นและเรียนรู้แบบตามรู้ตามจำจะลืมง่ายไม่สามารถอ่านได้เขียนได้อย่างแท้จริง จะอ่านได้เขียนได้ก็แต่คำที่จำรูปคำมาเท่านั้น ๓.นโยบายและการบริหารจัดการที่ผิดพลาดก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งซึ่งไม่ควรมองข้าม ตั้งแต่ระดับกระทรวง, สพฐ., สมศ, สพป. ถึงระดับโรงเรียนต่างพากันให้ความสำคัญที่ชั้น ป.๓ และ ป.๖ โดยละเลยกับความสำคัญของการเตรียมพื้นฐานการเรียนรู้ที่เหมาะสมตามวัยตั้งแต่ระดับอนุบาล และละเลยกับการจัดการเรียนการสอนตามวิถีอ่านเขียนภาษาไทยที่ถูกต้องในระดับ ป.๑ ปล่อยให้การเร่งอวดอ่านเขียนในระดับอนุบาลที่ผิดขั้นตอนทำลายการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย และปล่อยให้ครูที่ไม่มีประสบการณ์ “แจกลูก-สะกดคำ-ผันเสียง-คัดเขียน” สอนระดับ ป.๑ แบบพร่องทักษะ ทั้งขาดการนิเทศและตรวจสอบในระดับที่เหมาะสม ทั้งสามสาเหตุแห่งปัญหา ล้วนเป็นปัญหาใหญ่ระดับประเทศที่ยังคงถูกปล่อยปละละเลยในการบริหารจัดการของผู้บริหารการศึกษาทุกระดับ ทั้งที่ถ้าจะเอาจริงกับเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ “แก้ง่ายนิดเดียว” เหมือนที่กล่าวไว้ในหนังสือ “เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แก้ง่ายนิดเดียว” นั่นแหละโดยสาระสำคัญก็คือ โรงเรียนจะต้องจัดทำโครงการป้องกันปัญหาและแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ๑.โครงการป้องกันปัญหา โดยจัดการเรียนการสอนแบบปูพื้นความพร้อมระดับอนุบาลให้ถูกต้อง ไม่เร่งร้อนทำลายศักยภาพของเด็ก และจัดการเรียนการสอนสร้างเสริมทักษะภาษาระดับ ป.๑ ให้ถูกต้องรวมทั้งมีมาตรฐานทักษะอ่านออกเขียนได้อย่างเพียงพอแท้จริง ๒.โครงการแก้ปัญหาเร่งด่วน ๔ เดือนอ่านออกเขียนได้ สำหรับนักเรียนตั้งแต่ ป.๒ ขึ้นไปทุกคนที่ “ไม่ผ่าน” การทดสอบ ด้วยการสอนแบบ “บันไดทักษะ ๔ ขั้น” ที่ว่า ขั้นที่หนึ่ง แจกลูก ให้ผูกจำ ขั้นที่สอง อ่านคำ ย้ำวิถี ขั้นที่สาม คัดลายมือ ซ้ำอีกที ขั้นที่สี่ “เขียนคำบอก” ทุกชั่วโมง ทั้งนี้ตามลำดับแบบฝึกและกระบวนการในหนังสือเล่มดังกล่าว ซึ่งโรงเรียนที่ได้ตั้งใจจัดทำโครงการแก้ปัญหาร่วมกับ “ทุ่งสักอาศรม” อย่างจริงจัง ต่างก็ได้ประจักษ์ในสัมฤทธิผลมาแล้วในทุกภูมิภาค ตัวอย่างโรงเรียนที่สำรวจพบปัญหา “เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้” ตามเกณฑ์ที่กำหนด และได้จัดทำโครงการแก้ปัญหา ทั้งที่สำเร็จลุล่วงแล้วและที่กำลังดำเนินการอยู่อีกเป็นจำนวนมากบางส่วนที่ได้ติดตามรับรู้ข้อมูลการดำเนินการจริงจัง ได้แก่ สพป.อุทัยธานี เขต ๑ และ ๒, สพป.นครสวรรค์ เขต ๒ แล ๓, สพป.ขอนแก่น เขต ๓, สพป.ปัตตานี เขต ๑ และ ๒, สพป.บุรีรัมย์ เขต ๒, สพป.นครราชสีมา เขต ๒, โรงเรียนสังกัด กทม., โรงเรียนสังกัด สช.ยะลา, โรงเรียนสังกัด กศน.ตาก, กลุ่มโรงเรียน และโรงเรียนทั้งสังกัด สพฐ.และสังกัด สช.อีกหลายแห่ง ตัวอย่างโรงเรียนที่แก้ปัญหาสัมฤทธิผล เช่น โรงเรียนวัดไทร สพป.สุพรรณบุรี เขต ๓, โรงเรียนบ้านบูดน สพป.ปัตตานี เขต ๒, โรงเรียนบ้านคูเมือง สพป.อุราชธานี เขต ๔, โรงเรียนวัดโพธิ์เขียว สพป.สุพรรณบุรี เขต ๒, โรงเรียนบ้านหนองแขมอีโล สพป.ขอนแก่น เขต ๓, โรงเรียนบ้านเขาวง, โรงเรียนอนุบาลลานสัก และโรงเรียนอนุบาลหนองขุนชาติ สพป.อุทัยธานี เขต ๒, โรงเรียนตากสินราชานุสรณ์ สพป.ตาก เขต ๑, โรงเรียนบ้านแสลงโทน โรงเรียนนิคมสร้างตนเอง ๓ และโรงเรียนบ้านไพศาลสามัคคี สพป.บุรีรัมย์ เขต ๒, โรงเรียนมูลนิธิพัฒนาศาสน์ จ.สงขลา, โรงเรียนศรีวิทยา จ.ฉะเชิงเทรา ฯลฯ สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งของการแก้ปัญหาก็คือกระทรวงศึกษาธิการจะต้องไม่ลืมว่า ขณะนี้ครูผู้สอนเองก็ย่ำแย่ในทางทักษะภาษาอย่างน่าวิตก จะต้องแสวงหาแนวทางแก้ไขทั้งที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้าและการป้องกันปัญหาในกระบวนการผลิตสร้างครูในอนาคตอย่างแม่นตรงต่อคุณภาพแท้จริงต่อไปด้วย


หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: ภาษาไทยวิกฤต ทั้งเด็กและครูมาตรฐานต่ำ