โสด UID23297
ลงทะเบียน2011-7-29
ออนไลน์2521 ชั่วโมง
วันเกิด1967 ปี 11 เดือน 1 วัน
อายุพิจิก
ที่อยู่ปัจจุบันไทย ตราด
โสด
ศาสตราจารย์เอื้ออาทร
อาจารย์พิเศษ
|
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย tanya เมื่อ 2011-10-22 12:41
6 ?: S! _0 T1 f4 S% r5 k' q( I8 y5 M4 S' i/ R% j: p; v
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย tanya เมื่อ 2011-10-22 12:39 : ~, u# j7 T2 h# v$ E3 d) B
$ N) |$ X( z3 v/ R7 b: L* U" J
(คัดลอกมาจาก คุณด๋ง)1 f# r, D; n5 }3 T5 h( }3 [
ปฐมบท % W8 H3 v1 F! C% \. J+ ?" W
บนสรวงสวรรค์อันตระการ...( o0 C5 Q6 u# G2 N3 a1 J
ในเพลาหนึ่ง...
3 S. l5 a7 Y8 H% b: o ขณะที่องค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์ เทพเจ้าสูงสุดแห่งโลกได้เสด็จมาในนภากาศพร้อมพรั่งด้วยเหล่าเทพบุตรแลเทพธิดาทั้งหลาย$ _6 z3 m: [9 [0 P/ G
ทันใด... บังเกิดเกลียวพายุแสงสีรุ้งพุ่งเสียดฟ้าเข้าปะทะกระบวนเสด็จแห่งองค์เทพเจ้าจนเหล่าบรรดาทวยเทพพากันกระเด็นกระดอนลอยละลิ่วแตกกระจายกันไปคนละทิศละทาง
) P. _. d' p: ~3 G เทพยดาทุกองค์ต่างพากันตะตะลึงพรึงเพริดในสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นที่ยิ่ง พลางจับกลุ่มกันซุบซิบนินทาจนเสียงอึงอลไปทั่วทั้งท้องฟ้า7 }2 H! W+ x8 x' z8 N
องค์เทวาผู้เป็นประมุขแห่งสวรรค์ทรงมีพระบัญชาให้ สุบินเทพ เทพบุตรผู้สง่าเร่งรีบติดตามเกลียวพายุสีรุ้งสายนั้นไปโดยไม่ชักช้า
& S8 ]1 R3 N! F. u8 A เทพบุตรผู้ได้รับมอบหมายพระบัญชาได้ติดตามเกลียวพายุสายนั้นมาจนกระทั่งถึงภูผาใหญ่ จึงได้สดับเสียงสนทนาพาทีหยอกล้อต่อกระซิกระริกระรี้กันระหว่างบุรุษสองผู้ที่แผ่วผิวออกมาจากซอกหลืบหนึ่งของหน้าผา( [6 U" W- C/ t, m$ N
สุบินเทพผู้นั้นหมายใจจะรู้แจ้งเห็นจริงถึงต้นกำเนิดเสียง จึงค่อยๆเหาะเลียบเข้าไปอย่างช้าๆ และแอบซุ่มดูอยู่ไม่ไกลนัก
% M; P# x$ F$ \; i. b ทันใดกันนั้นเอง...1 ~- ~& N8 e2 g c
ภาพที่ประจักษ์แก่สายตาได้ทำให้สุบินเทพถึงกับตกตะลึงพรึงเพริดเปิดตาอ้าปากค้างในทันที' |0 G. {' [! b$ h
บุรุษหนุ่มฉกรรจ์ใบหน้างดงามหยดย้อยสองผู้กำลังกอดตระกองประคองโอบรัดพรมจุมพิตกันเองอย่างดื่มด่ำฉ่ำชุ่มราวกับเป็นคู่รักหนุ่มสาวกระนั้น9 P V' p% T" W
สุบินเทพจดจำได้เป็นแม่นมั่นว่า บุรุษผู้หนึ่งนั้นคือ มูรตีเทพ ส่วนอีกหนึ่งคือ ฉกรรณเทพ จึงได้รีบนำความกลับมากราบบังคมทูลองค์เทวาในบัดดล
x- O2 Q$ M# \6 P- E( ]- Z เมื่อกาลทุกอย่างเป็นประจักษ์แจ้งดั่งนั้น องค์เทวาผู้ยิ่งใหญ่จึงทรงลงทัณฑ์เทพบุตรทั้งสองโดยให้ไปบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ ณ ภูผาแห่งนั้นไปตลอดกาล
7 X d7 Q% H; h9 _0 m& H ราวกับว่าเรื่องราวทั้งหมดจะจบลงด้วยดี แต่แท้จริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่- z8 z- q. [0 {+ o( `
หลังจากนั้น...
9 A# {. X* j# h6 R( D สุบินเทพ หวนระลึกถึงภาพการอภิรมย์รักแห่งมูรตีเทพและฉกรรณเทพแล้ว ก็สุดจะหักห้ามใจอันใดได้ เนื่องจากเพราะตนเองก็พิสมัยในรสพิศวาสเช่นนี้อยู่เช่นกัน แต่มิกล้าเผยความปรารถนาเบื้องลึกให้ผู้ใดได้ล่วงรู้มาก่อนเก่า
, Q3 v- O" k& X# k* b* Z ดังนั้น...
; v L8 P/ X% b ในวันหนึ่ง สุบินเทพผู้สง่า จึงได้เหาะมายังภูผาอันเป็นสถานที่บำเพ็ญเพียรภาวนาของมูรตีเทพและฉกรรณเทพ ก่อนจะแอบลักลอบมีสัมพันธ์รักอย่างดูดดื่มหวานชื่นกับเทพบุตรทั้งสองอยู่ถึงเจ็ดทิวาราตรีกาลติดต่อกัน2 Z+ C- t4 T% }' Z7 @
ความทราบถึงองค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์ เทพเจ้าเบื้องสูง จึงทรงมีพระบัญชาให้เรียกหาเทพบุตรทั้งสามมาสอบถามเอาความ เมื่อกาลเป็นจริงดังนั้นแล องค์เทวาจึงทรงลงทัณฑ์ โดบอัปเปหิเทพบุตรทั้งสามออกจากสรวงสวรรค์ในทันใด แลให้กลับลงไปจุติยังโลกมนุษย์อีกคราเพื่อบำเพ็ญเพียรภาวนาใหม่- [+ j+ Q' A$ S2 A( H) M
ในขณะที่เทพบุตรทั้งสามลงสู่โลกมนุษย์นั้น ผิวกายได้ต้องอากาศธาตุบังเกิดเป็นอนูเพลิงส่องประกายแสงสีรุ้งออกมาอย่างมหาศาล ก่อนพลังแสงจะแตกออกเป็นสามสายแล้วพุ่งลงสู่สามราชอาณาจักรบนแผ่นพื้นพสุธาเกวลทวีปอันลี้ลับและกว้างใหญ่ในทันที, w! s, Z9 @3 N( q) v8 ], C
อนึ่ง... เกวลทวีปในครานั้น เป็นผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล อยู่โดดเดี่ยวกลางมหาสมุทรอันลี้ลับที่ไม่สามารถรุบุได้แน่ชัดว่าอยู่หนใดในโลกา
9 ?, J- N& j! p# ]! @6 w บนเกวลทวีปแห่งนี้มีอาณาจักรแลนครรัฐอยู่มากมาย หากแต่มีเพียงสามราชอาณาจักรใหญ่ที่โดดเด่นเสมอกันอันได้แก่ อนันตา ละวิรัฐ และเถมรู
2 o6 m7 R1 k: H2 l7 Q Z มาตรว่า มูรตีเทพ นั้น ได้มาประสูติเป็นพระราชโอรสพระเจ้ากรุงอนันตา ส่วนฉกรรณเทพ ได้มาประสูติเป็นพระราชโอรสพระเจ้ากรุงละวิรัฐ และสุบินเทพ ได้มาประสูติเป็นพระราชธิดาพระเจ้ากรุงเถมรูกระนั้นแล* l3 i X/ `2 v
จากผลกรรมที่ได้กระทำร่วมกันมาเมื่อครั้งอยู่บนสรวงสวรรค์ จึงดลบันดาลให้เทพทั้งสามผู้จุติเป็นมนุษย์ ต้องดำเนินชีวิตไปตามครรลองพระลิขิตแห่งองค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์ นับแต่บัดนั้น' [8 H' b) n" A' E1 }4 @: o3 H8 R
บทที่ 1 1 |& j/ B' g& j, W4 i
ชานกรุงอนันตา...
4 h/ }5 F- K9 ^$ Q( e: \/ I+ s: C# l กระบวนพยุหยาตราทางสถลมารคอันตระการตาได้ยุรยาตรอย่างสง่างามมาตามลำเนาป่าละเมาะอย่างช้าๆ ท่ามกลางเหล่าสิงสาราสัตว์นานานับที่กรูกันมาแอบชำเลืองมองอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้สองข้างทาง
& z ?1 O" ?1 k, w/ M2 W1 T กวางน้อยตัวหนึ่งชูคอไสวพลางกลอกกลิ้งนัยน์ตาอันเป็นมันระยับจ้องไปยังเหล่ามนุษย์แปลกๆเหล่านั้น แม้นว่ามันจะหาเข้าใจถึงกิจกรรมที่ได้ประสบพบไม่ แต่ประสาทสัมผัสของมันก็สั่งการให้เท้าทั้งคู่ขยับเขยื้อนเข้าไปดูให้ถนัดตา1 Q$ T# T) \5 P" J3 X+ Y
โหมง..ง..ง..ง... หง่าง..ง..ง
. x* W" c+ ~/ e( R เสียงฆ้อง กลองมโหระทึก ดังกึกก้องกังวาลจนสรรพสัตว์บนดินพากันกระโจนหนีไปสิ้น.... P! B2 |4 @4 ^
อีกทั้งเหล่าปักษิณก็โผผินบินกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง ราวกับมหันตภัยร้ายมาเยี่ยมเยือน
1 D" U* n$ v& y6 j) l มโหรีนำกระบวนขับประโคมบรรเลงท่วงทำนองอันไพเราะเสนาะโสต ประกอบพยุหยาตราในครานั้นอันประกอบไปด้วยเหล่าข้าราชบริพารทั้งชายหญิงในชุดเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับทั้งทอง เงิน นาค และอัญมณีอันแปลกประหลาดละลานตาน่าชมพิสมัยเป็นยิ่งนัก
+ q _: y6 T9 H" j3 n เหล่านางกำนัลสวยสะคราญแลอ้อนแอ้นอรชร สวมผ้านุ่งที่ยาวแลปล่อยชายผ้าด้านหลังให้ยาวระพื้นเดินอัญเชิญเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศแห่งองค์พระมหากษัตริย์นำหน้า และตามหลังพระเสลี่ยงทองคำอันตระการตาอันเป็นที่ประทับแห่งพระเจ้ากรุงเถมรูผู้มากด้วยพระชนมายุ
4 e5 S$ l" S: ?7 K$ h1 t, y! ^ ไกลออกไปในป่านั้น...
2 p( C h! U4 A( A$ @4 q6 M พลันปรากฏทหารอนันตาผู้ห้าวหาญ ควบอาชาตะบึงตรงมายังกระบวนพยุหยาตราที่ยุรยาตรมาตามทาง จนนางกำนัลผู้หนึ่งถึงกับตกประหวั่นรีบสืบบาทถลาฉับไวเข้าประชิดพระเสลี่ยงที่ประทับก่อนกราบบังคมทูลด้วยเสียงอันดัง6 f# s$ c3 S/ Y- g) J
" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าชาวเถมรู ณ บัดนี้ มีทหารอนันตาควบอาชาตรงมายังกระบวนพยุหะเพคะ "
) N& d$ h h$ y2 {5 [ " จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงแห่งเราอยู่หนใด "
" z" I( _* q# J9 P! g7 ]& } สิ้นพระสุรเสียงอันแหบพร่าแห่งพระเจ้ากรุงเถมรูซึ่งลอดผ่านพระวิสูตรที่กางกั้นนั้นออกมา
+ n/ X: s" k0 K0 x) y5 L! e3 P ฉบัดนั้นเอง ปรากฏร่างอิสตรีผู้สูงวัยในชุดเครื่องแต่งกายอันสูงศักดิ์สุดอลังการ ขยับเข้ามาใกล้พระเสลี่ยงพลางน้อมเศียรลง
- R0 \& N0 j8 a$ f- |, Q " เพคะ พระอยู่หัวเจ้า ". {9 m$ `/ v# @+ b5 W% A
" จงสานสรรพสิ่งอย่าได้ช้า "
8 q, f% R% y/ w8 y$ K3 r* m& J4 M " น้อมเหนือเศียรเพคะ "
6 u S! `3 s" q6 m จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงวัยหกสิบชันษาถลาไปยังอาชาอนันตาพลันเอาร่างเข้าขวางพลางตวาด
) W8 `( Y" ?( q1 k7 f " ช้าก่อน... เจ้าทหาร มิไยจึงบังอาจควบตะบึงฝ่าเข้าหากระบวนพยุหพระเจ้าอยู่หัวแห่งเรา ฤ อยากถูกปลิดชีวีให้อาสัญ "3 R) ~) X1 A4 [4 q% P
ทหารหนุ่มหยุดอาชาแน่นิ่งอึงจึงถาม
# ~/ p6 ^( \* N8 I " มิทราบว่าเป็นกระบวนจากแห่งหนใด ข้าจักได้ทูลสนององค์พระอยู่หัวเจ้าอนันตาแห่งข้าให้แจ้งชัด "
5 O% T- @+ g. U: @! W" J( C; B4 I: V " พระเจ้าแผ่นดินกรุงเถมรูและพระราชินี เสด็จพร้อมองค์หญิงสุบินสวรรค์พระราชธิดา หมายเจริญพระราชไมตรีสองพระหน่อราชอาณาจักรให้กระเดื่องแดนดิน "3 S) |! P2 B3 R& j* J. _: w( C5 i
" ถวิลหวัง ขออัญเชิญเสด็จที่ท้องพระโรงใหญ่ในพระบรมมหาราชวังในบัดดล "# y. C$ Q" J- t8 F
จบพจนารถ ทหารหนุ่มตวัดกายควบอาชานำหน้ากระบวนพยุหยาตราอย่างกระวีกระวาด
+ y8 r/ F+ l& I1 o ณ ท้องพระโรงพระบรมมหาราชวังอนันตาอันโอ่อ่าอลังการ9 I/ H# t! U4 |$ [
เพลานั้น กำลังเป็นมหาสมาคมแห่งบรรดาขุนนาง อำมาตย์ แลข้าราชบริพารทั้งน้อยใหญ่ที่เรียงรายหมอบราบกราบถวายบังคมอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าแผ่นดินผู้ผ่านพิภพไอศูรย์สมบัติพิพัฒน์ผล
9 f5 U7 I! v" _6 d เบื้องในสุดแห่งท้องพระโรงแห่งนี้เป็นบุษบกบัลลังก์ทองมยุรามหากายีศรีโกมุทสมุทรวิมาน อันสูงค่าและศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางทรัพย์สมบัติพัสถานอันล้ำค่าและเครื่องมหาราชูปโภคบรมราชกกุฏภัณฑ์แห่งพระมหากษัตริย์ l, K$ B! h- p3 U1 |
ข้างแท่นพระบรมราชบัลลังก์ทองมยุรามหากายีศรีโกมุทสมุทรวิมานนั้น เหล่านางพัดวีโบกปัดพัดทองอยู่เนืองๆ ภายใต้ร่มมหาสุวรรณฉัตรแปดสิบเจ็ดชั้น อันหมายถึงพระเจ้าแผ่นดินอนันตาองค์ปัจจุบัน อันเป็นองค์ที่แปดสิบเจ็ดแห่งพระราชวงศ์
9 z1 o6 l' E1 }2 r e' |! u ฉับพลันทันใด มหาดเล็กถลาเข้าสู่ท้องพระโรง ฝ่าเหล่าขุนนาง อำมาตย์ และข้าราชบริพารก่อนคุกเข่าลงกราบถวายบังคมทูลแถลง/ \ I3 k1 r5 _7 [
" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ณ บัดนี้ กระบวนพยุหยาตราทางสถลมารค แห่งพระเจ้าแผ่นดินกรุงเถมรู ได้เสด็จพร้อมพระราชินีและพระราชธิดา ถึงพระทวารพระราชวังแล้ว พระพุทธเจ้าข้าขอรับ "
' R# w2 L! {( f" w& Z/ \8 } " เชิญเสด็จที่อุทยาน "% q" D4 X; |1 S3 ~# [' a" |
พระเจ้ากรุงอนันตาพระดำรัสจบ มหาดเล็กถอยกลับออกไป ในขณะที่มหาอำมาตย์เอกเบี่ยงกายเข้ามาใกล้องค์พลางทูลกระซิบ
% h, ~# m/ A1 Y3 B( F) d; W& w " มิแคล้วจะทรงปรึกษาหารือเรื่องงานอภิเษกพระราชธิดาเป็นแม่นมั่น "; \4 d& n( D# d1 ^
" ดูกระนั้นอยู่ "
: Y9 K# y! N/ l2 v) u' Z ตรัสจบ โหราจารย์ขยับกายเข้ามาบ้างพลางทูลสนอง% C U( m' y s p, s' |
" แต่ดวงพระราชธิดาเถมรูอาจฉุดรั้งพระทูลกระหม่อมแห่งอนันตาให้หม่นมัวสลัวมืดตะพึดตะพือได้นะพระเจ้าข้า "- y$ F# q/ u. ]$ e+ |# v# P: k/ I: [
" น่าตรองตริได้ต้องใจเรานัก พระโอรสเราก็เป็นหน่อเนื้อเชื้อองค์เทวามาแต่ก่อน ครั้นจะให้ผูกสมัครสมานไมตรีเป็นหนึ่งเดียวกับพระราชธิดาแห่งเจ้ากรุงเถมรูเห็นจะไม่เหมาะ อาจทำให้องค์เทวาบนเบื้องสรวงทรงเคืองขัดกระนั้นได้ ": M4 i4 l. y6 Q: J$ T- D
ปุโรหิตรีบสอดถ้อยแถลงพลางทำตามีเลศนัย7 ^( a4 ?# E4 g
" มิไยไม่ถวายพระราชทรัพย์แล้วส่งเสด็จให้ระเห็จกลับเถมรูราชธานีไปเล่าพระเจ้าข้า " U* W1 j+ Q, K) h$ Q- j$ n
บัดดล... มโหรีประจำท้องพระโรงวังหลวงรัวฉาบดังสนั่นลั่นไปถึงมหาปราสาท พระเจ้ากรุงอนันตา มหาอำมาตย์ และโหราจารย์ต่างสานสรรพเสียงเป็นทำนองตามลำดับชั้น; |# a# l+ Q( y9 ?' F' ]
" กระไรได้ ปุโรหิตข้า "
8 X; W8 `- g0 a0 G, P8 S " วาจาช่างร้ายนัก "
" Q& [, ]/ f( \! p+ I. B " หักด้ามฆ้อนด้วยขา ครานี้จะเกิดศึก "
5 }! d) L; P) V) ^- { H* u " นึกไม่ถึง นึกไม่ถึง ขอกราบอภัย "
% A1 U1 E2 h! ~, I7 W, Y ปุโรหิตซุกหน้าลงพื้นในทันที ในขณะที่โหราจารย์กลับเงยหน้าสลอนพร้อมทำสีหน้ากรุ้มกริ่มพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย1 m9 x5 N( u4 ?* b9 _
" ทางที่ถูก เราน่าจะเก็บเหล่านางกำนัลอันสวยสะคราญเอาไว้ใช้สอยในพระราชสำนักจะเหมาะกว่า "/ m8 _& j3 r$ G# t3 k6 O
" โหราจารย์.. ??? "- q) J" [/ Y2 A) c
ทุกผู้หันมามองท่านเป็นจุดเดียวพลางตวาดใส่ จนโหราจารย์ทนอับอายมิได้ ต้องซุกหน้าลงกับพื้น' r' e* K. U. y! [$ c
" ตื่นเถิดพวกเรา "& s! a- @' e9 J$ {
มหาอำมาตย์กล่าวด้วยน้ำเสียงขรึมพลางลุกขึ้นยืนแล้วยกหัตถ์ขวาชูขึ้นเหนือเศียร จนบุคคลที่เหลือหน้าตาฉงนกันสิ้น
, R* ^4 {$ ~* K+ h& }# p# N " กาลจะเป็นเช่นไร องค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์ เท่านั้นที่จะเป็นผู้ชี้แนะหนทางสว่าง พวกเราจงริอย่าไปตื่นตระหนกจนเกินกาลเลย "1 _" D/ [7 b) ?* @' f, }/ z' f: F
ภายในพระราชอุทยานอันร่มรื่นชื่นตาแห่งอนันตานคร
) z* N* L# Q( N' b พระเจ้ากรุงเถมรูและพระราชินี เสด็จประทับอยู่ในพลับพลา ทอดพระเนตรองค์หญิงสุบินสวรรค์ พระราชธิดาวัย 7 พระชันษา กำลังทรงวิ่งเล่นอยู่ในแปลงดอกไม้นานาพันธุ์
+ z- j" X+ Y/ _* |0 ?. Z ครากระนั้น พระเจ้ากรุงอนันตา เสด็จยังพระราชอุทยานแห่งนั้นพร้อมด้วยพระโอรสวัย 9 พระชันษาผู้องอาจสง่างามทรงพระนามว่า องค์ชายมูรตี
0 u# w2 ]5 l: L& Y- s. p องค์ชายมูรตีทรงเงยพระพักตร์มองพระราชบิดาครู่หนึ่งจึ่งตรัส' e4 f- l) a3 X$ H2 [: q, ?0 `" q% u
" ทูลกระหม่อมพ่อ ลูกขอไปเล่นกับพระน้องนางสุบินสวรรค์จะได้หรือไม่พระเจ้าค่ะ "; Z% B" _3 ^, T2 K+ q1 ^. t1 P
" ไปสิลูก "" y; j+ [8 t' Y5 v
พระเจ้ากรุงอนันตาทรงทอดพระเนตรองค์ชายมูรตีเสด็จพระดำเนินไปยังองค์หญิงสุบินสวรรค์ก่อนจะทรงผินพระพักตร์มายังพระเจ้ากรุงเถมรูและพระราชินี ซึ่งประทับอยู่ในพลับพลาริมสระใหญ่กลางอุทยาน
3 Q3 _& ?4 G4 w/ { พระเจ้ากรุงอนันตาค่อยๆเสด็จพระดำเนินไปยังพลับพลาแห่งนั้น นางกำนัลสองนางรีบอัญเชิญเครื่องประกอบพระอิสริยยศตามติดจนชิดพระองค์2 g* z* Y. n: y: j5 v
พระราชินีในพระเจ้ากรุงเถมรูทรงลุกขึ้นจากพระที่ก่อนน้อมองค์ลงถวายบังคม
E% r& a' n; E/ K9 o " ทรงพระเจริญเพคะ "
% b9 J: d: _ S, ~: s+ M " ตามสบายเถิดพระนาง ". i) D. L7 |. O+ }! C
พระเจ้ากรุงอนันตาทรงประทับนั่งเคียงข้างพระเจ้ากรุงเถมรู เหล่านางกำนัลต่างหมอบคลานเข้าถวายอยู่งานรับใช้ บ้างก็อยู่งานพระแส้ปัด บ้างก็อยู่งานพระวาลวิชนี บ้างก็อยู่งานพระสุพรรณศรี บ้างก็อยู่งานพระสุพรรณราช( O# V/ d. n3 }1 r4 G( x( F9 k$ z% I
" องค์ชายมูรตีทรงงดงามองอาจดุจพญาสีหราช เช่นนี้เป็นบุญอันมหาศาลแก่อนันตาประเทศ ", j" E V5 v* a' I! n
พระเจ้ากรุงเถมรูตรัสพลางทรงยิ้มก่อนจะทรงยื่นพระหัตถาไปหยิบถ้วยพระสุธารสที่นางกำนัลผู้หนึ่งทูลเสนอ L$ F; T% R# \6 P
ฝ่ายพระเจ้ากรุงอนันตาทรงพระสรวลคราหนึ่งจึ่งตรัสตอบ- P3 F: u+ ]+ ]4 G! W
" กระนั้นอยู่... แต่ก็ยังดูเยาว์วัยเกินกว่าจะรับผิดชอบการงานบ้านเมืองอันใดได้ แม้กระทั่งเรื่องความรักก็ตาม "+ u" q e7 G3 @6 J! e, z
พระเจ้ากรุงเถมรูทรงจิบพระสุธารสพลางหยุดชะงักก่อนมีพระดำรัสขึ้น) s; D ~; }8 p8 P9 \3 N/ f' E
" ลูกหญิงสุบินสวรรค์ของหม่อมฉันก็เช่นกัน "
$ Q% P) @+ \: H ทันใด
6 u4 {0 i! ?: V2 i" {6 | โหราจารย์แห่งเถมรูผู้นิ่งเงียบอยู่นานก็ทูลสวนขึ้นทันควันในครานั้นว่า
l, K6 c6 [" A1 J1 A4 } " หากแต่ดวงพระชะตาของพระหน่อเนื้อทองทั้งสองพระองค์นั้นต้องกัน มาตรแม้นเทพบุตรคู่เทพธิดาก็มิปาน เช่นนี้ ในภายภาคหน้าเมื่อทรงเคียงคู่สมัครสมานไมตรีแล้วไซร้ คงไม่แคล้วจะช่วยเสริมสร้างพระบุญญาธิการแห่งสองพระราชอาณาจักรให้เชิดชูโชติช่วงไปทั่วดินแดนเกวลทวีปเป็นแม่นมั่น "
& g; h$ ^6 d. L/ {! I# U6 F พระเจ้ากรุงอนันตาทรงพระสรวลคราใหญ่จึงทรงหันมาทางพระเจ้ากรุงเถมรูพลางตรัสขึ้น
* d$ ^9 }/ p, B) T( D " หากแม้นโหราจารย์แห่งอนันตาได้สักครึ่งหนึ่งของโหราจารย์แห่งเถมรู บัดนั้น เราคงจะอิ่มเอมสุขฤทัยทุกทิวาราตรีกาลเป็นแม่นมั่น"- W8 h% w T8 r- |0 f" n
พระเจ้ากรุงอนันตาตรัสจบ พระเจ้ากรุงเถมรูทรงวางพระสุธารสที่ทรงถือนั้นลง ก่อนจะทรงหันไปทางโหราจารย์พลางทรงทำพระเนตรเขม็ง โหราจารย์ดั่งรู้ตน จึ่งรีบผลุบถอยห่างไปในทันที# ^3 E/ Z: c" `5 T0 D) h' m( G
เหล่าพระบรมราชวงศ์ทั้งหลายต่างผินพระพักตร์ไปยังองค์ชายมูรตีและองค์หญิงสุบินสวรรค์ สองเชื้อพระวงศ์อันงามสง่าซึ่งกำลังประทับนั่งสนทนากันอยู่ท่ามกลางหมู่มวลพฤกษาชาติ โดยมีเหล่านางพระกำนัลมากมายคอยถวายการปรนนิบัติอยู่ไม่ห่าง6 v1 u' w, k+ A l/ o6 t
ณ ที่นั้น องค์ชายมูรตีผู้องอาจทรงเอื้อมพระหัตถาไปยังดอกไม้สีแดงชาด ก่อนจะทรงปลิดดอกนั้นลงมาแล้วพระราชทานเสียบไว้บนพระเกศาขององค์หญิงสุบินสวรรค์จึ่งตรัส: k2 Y6 r% R6 \7 Y
" เราให้เจ้า "
* n* v7 c1 ^5 c! R- j " ขอบพระทัยเพคะเจ้าพี่ "( k+ [' Q' _) R1 d, C
ทันใดกันนั้นเอง
6 D* A5 b3 z2 j4 h/ h$ m& @ บรรดานางกำนัลทั้งมวลที่นั่งอยู่งานบนพื้นหญ้ารอบๆองค์ชายมูรตีและองค์หญิงสุบินสวรรค์ก็พลันกระโจนลุกขึ้นกันหมด
4 `, i# x$ _# a " กรี๊ดดดดดดดดดดดด !! ว๊ายยยยยยยยยยย !!"
6 \; W4 J4 J! B- J& Y เหล่านางกำนัลร้องก้องก่อนจะฉวยเครื่องราชูปโภคอาทิ พระวาลวิชนี พระแส้หางจามรี วิ่งไปรอบๆอุทยานจนเป็นที่ขบขันแก่สองเชื้อพระวงศ์วัยเยาว์เป็นยิ่งนัก% A1 |$ o* |' K
พระเจ้ากรุงเถมรูแลพระเจ้ากรุงอนันตาทรงตกพระทัยกับเหตุการณ์วุ่นวายดังกล่าว พระเจ้ากรุงอนันตาทรงพระดำรัสขึ้น
3 ?# R; b/ `, t6 F" _9 f n " เหตุอันใด ไฉนนางกำนัลวิ่งพล่าน ? "' C- j* ?% ]9 F; d4 [) u w2 p
นางกำนัลผู้หนึ่งถลามาทูลว่า1 ? v4 i: d2 D: i1 E5 d- ~& {* Q6 R H9 v
" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท นางกำนัลบังเกิดอุบัติวิบากแมลงร้ายกล้ำกลายเนื้อนวลสงวนเพคะ "6 Q- f. j: O% K% ~. F, I+ @
" แล้วองค์ชายกับองค์หญิง เป็นเช่นไร "- d6 Q/ I( S- c; {7 s& Y, O3 v
(แล้วจะมาต่ออีกนะครับ)
, l% l; H+ M6 T: Z( u |
|