จุมพิตพยัคฆ์ Ep.2
หลังจากค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากการถูกลงโทษ น้ำพิงค์ต้องใช้เวลาหลายวันในการรักษาบาดแผลบนแผ่นหลัง เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปไหนไกลจากบริเวณเรือนบัวขาวเลย คุณนายใหญ่สั่งให้คนคอยจับตาดูเขาอย่างเข้มงวด เพราะกลัวว่าเขาจะหนีไปก่อนจะถูก 'ขายขาด'ชีวิตของน้ำพิงค์จึงจำกัดอยู่แค่ในห้องพักแคบ ๆ และบริเวณหลังเรือนที่ค่อนข้างลับตา เขาทำได้เพียงอ่านหนังสือเก่า ๆ และรอคอย... รอคอยโชคชะตาที่ไม่รู้ว่าจะมาในรูปแบบของการถูกซื้อตัว หรือการถูกขับไล่ออกจากเรือนในเดือนหน้า
จนกระทั่งสัปดาห์ที่สามของเดือน เสียงกระซิบกระซาบในเรือนก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“คุณพยัคฆ์มาอีกแล้ว! คราวนี้มาเพื่อเซ็นสัญญาสุดท้ายเรื่องที่ดินข้างท่าเรือ”
“ท่านมาคุยกับเจ้าของบ่อนใหญ่แถบนี้ ต้องได้เงินมหาศาลแน่ ๆ”
คุณนายใหญ่ยิ้มกว้างอย่างกระหยิ่มใจ เธอสั่งให้เตรียมห้องพักที่ดีที่สุดไว้รองรับลูกค้าคนสำคัญ และแน่นอน... เธอย่อมไม่พลาดโอกาสที่จะดันเด็กในสังกัดของตัวเองเข้าไปใกล้ชิดกับพยัคฆ์อีกครั้ง โดยเฉพาะเด็กที่ดูแปลกแยกและมีเรื่องราวในตัวเองอย่างน้ำพิงค์
พยัคฆ์มาถึงสถานที่นัดหมายในช่วงเย็น การเจรจาเป็นไปอย่างตึงเครียดและกินเวลานานจนกระทั่งค่ำมืด
น้ำพิงค์ยืนอยู่ในห้องโถงอย่างสงบ เขาเห็นพยัคฆ์อีกครั้งในชุดสูทสีเข้ม ดวงตาคมกริบยังคงฉายแววเย็นชาและไม่ได้สบตาใครนานเป็นพิเศษ เมื่อพยัคฆ์เดินผ่าน เด็กชายก็ถูกมองข้ามไปราวกับเป็นเสาต้นหนึ่งในห้อง
มันน่ารำคาญ... มากเสียกว่าความสนใจ
น้ำพิงค์รู้ตัวดีว่าการปรากฏตัวของเขาอาจจะน่ารำคาญในสายตาของพยัคฆ์ แต่เขาก็ไม่สามารถหนีไปไหนได้ เพราะมีสายตาของคุณนายใหญ่คอยจ้องมองอยู่ตลอดเวลา
ทันใดนั้นเอง...
ครืนนนน!
เสียงฟ้าร้องคำรามกึกก้อง ตามมาด้วยเม็ดฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วง ราวกับพายุที่ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไม่ยั้งคิด
“บ้าจริง!” เจ้าภาพจัดงานอุทานขึ้น “แบบนี้คงกลับไม่ได้แล้วครับคุณพยัคฆ์ ถนนทางออกไปตัวเมืองคงท่วมในไม่ช้า”
ฝนตกหนักจนมองไม่เห็นทัศนียภาพภายนอก ทุกคนรู้ดีว่าการเดินทางในคืนที่ฝนตกหนักขนาดนี้เป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในย่านชายแดนที่เต็มไปด้วยทางลูกรังและโคลน
ดังนั้น การตัดสินใจค้างคืนจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับแขกทุกคนในคืนนี้
คุณนายใหญ่ผู้มองการณ์ไกลยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
“ไม่เป็นไรค่ะท่าน! ทางเราเตรียมห้องพักส่วนตัวไว้สำหรับท่าน และแขกคนสำคัญทุกท่านเรียบร้อยแล้ว และ... แน่นอนว่าเรามีคนพิเศษไว้คอยปรนนิบัติท่านอย่างเต็มที่”
เมื่อแขกทุกคนแยกย้ายกันไปตามห้องพัก คุณนายใหญ่ก็เริ่มจัดแจง 'ของขวัญ' ให้กับลูกค้ากระเป๋าหนักทุกคน
“เอาตัวน้ำพิงค์ไป! เอาไปให้ห้องท่านพยัคฆ์!” เธอสั่งลูกน้องเสียงเบา “คืนนี้แหละ! ถ้าแกทำให้ท่านพยัคฆ์พอใจได้ แกก็จะรอดตัวไป!”
หัวใจของน้ำพิงค์เต้นถี่ขึ้นเมื่อได้ยินคำสั่งนั้น ความรู้สึกประหลาดผสมกันระหว่างความกลัวและความหวังที่ไม่สมเหตุสมผลเกิดขึ้นในอก
ลูกน้องของเรือนบัวขาวดันแผ่นหลังของน้ำพิงค์ให้เดินไปยังห้องพักของพยัคฆ์
น้ำพิงค์เดินไปตามทางเดินแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้เทียมและกลิ่นดินโคลนที่อบอวล
เขาหยุดอยู่หน้าประตูบานใหญ่ที่ทำจากไม้เนื้อดี พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อควบคุมความตื่นเต้นที่เกิดขึ้น
เมื่อประตูเปิดออก น้ำพิงค์ก้าวเข้าไปในห้องพักที่กว้างขวางและหรูหราผิดกับห้องอื่น ๆ พยัคฆ์นั่งอยู่บนโซฟาหนังสีดำตัวใหญ่ ข้างกายมีโต๊ะที่เต็มไปด้วยเอกสารและขวดวิสกี้ที่เปิดแล้ว
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากเอกสาร เมื่อเห็นคนที่ก้าวเข้ามา... ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยเรียบนิ่งก็ฉายแววหงุดหงิดออกมาอย่างชัดเจน
พยัคฆ์มองน้ำพิงค์ด้วยสายตาที่บอกว่าเขารำคาญเด็กชายคนนี้เหลือเกิน
“ใครอนุญาตให้เข้ามา” พยัคฆ์ถามเสียงเย็นชา น้ำเสียงบ่งบอกว่าเขาไม่สนใจแม้แต่จะถามว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
น้ำพิงค์ก้มหน้าลงเล็กน้อย เขาไม่กล้าสบตาด้วยตรง ๆ
“...คุณนายใหญ่ส่งผมมา... เพื่อมาปรนนิบัติท่านค่ะ/ครับ” น้ำพิงค์เลือกใช้สรรพนามที่ไม่ชัดเจน เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรนำเสนอตัวเองในรูปแบบไหน
พยัคฆ์หัวเราะในลำคออย่างเหยียดหยาม “เฮอะ! คนของเรือนบัวขาวนี่มันพยายามจะยัดเยียดของเก่าเก็บให้ฉันขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ฉันไม่ได้มีอารมณ์จะมาเล่นสนุกกับเด็กที่พยายามเรียกร้องความสนใจด้วยสายตาอ้อนวอน” พยัคฆ์พูดตรงไปตรงมา โดยที่สายตาของเขากวาดมองไปทั่วร่างของน้ำพิงค์อย่างดูถูก
“ออกไป” เขาออกคำสั่งเป็นครั้งที่สาม
น้ำพิงค์ตัวแข็งทื่อ การถูกปฏิเสธอย่างรุนแรงแบบนี้ทำให้ความหวังเล็ก ๆ ในใจเขาแตกสลาย เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพราะถ้าเขากลับออกไปตอนนี้ เขาจะต้องโดนลงโทษอย่างหนักจากคุณนายใหญ่แน่นอน
ขณะที่น้ำพิงค์กำลังชั่งใจว่าจะอ้อนวอนอีกครั้งดีไหม สายตาของพยัคฆ์ก็เลื่อนไปเห็นบางสิ่ง
บนแผ่นหลังของน้ำพิงค์ที่โผล่พ้นจากคอเสื้อเชิ้ตที่ถูกคลายกระดุมออกเล็กน้อย มีร่องรอยสีแดงช้ำที่ดูไม่เข้ากับผิวขาวเนียนนั้นเลย
มันคือรอยแส้ที่ยังไม่หายดี
ใบหน้าของพยัคฆ์แข็งกร้าวขึ้นทันที เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ความหงุดหงิดในดวงตานั้นถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะเข้าใจ
น้ำพิงค์ก้มหน้าลงต่ำจนคางชิดอก ความหวังที่ริบหรี่อยู่ในใจของเขาดับวูบลงอย่างสมบูรณ์ พยัคฆ์ชัดเจนในความรังเกียจและเบื่อหน่าย การถูกปฏิเสธครั้งนี้ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับชะตากรรมของตัวเองที่รออยู่ที่เรือนบัวขาว... ไม่ว่าจะเป็นการถูกแส้ลงทัณฑ์ซ้ำ หรือการถูกผลักไสออกไปเผชิญความตายข้างนอก
เด็กชายสูดลมหายใจเฮือกสุดท้าย พลางตัดสินใจก้าวขาหันหลังเดินออกจากห้องไปอย่างช้า ๆ มือของเขากำแน่นอยู่ที่ข้างลำตัว
“จะไปไหน”
เสียงทุ้มต่ำที่เย็นยะเยือกดุจใบมีดดังขึ้นจากด้านหลัง มันหยุดการเคลื่อนไหวของน้ำพิงค์ไว้โดยสมบูรณ์
พยัคฆ์ยังคงนั่งอยู่บนโซฟา แต่สายตาคมกริบของเขาจ้องตรงมาที่แผ่นหลังของเด็กชายที่เริ่มปรากฏร่องรอยสีแดงจาง ๆ ผ่านเนื้อผ้า
“ในเมื่อคุณนายใหญ่ของเธอส่งเธอมาปรนนิบัติฉันแล้ว ก็รีบมา”
น้ำพิงค์ชะงักงัน หัวใจเต้นแรงจนเจ็บหน้าอก คำสั่งที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันทำให้เขาสับสนและหวาดกลัวมากกว่าเดิม พยัคฆ์ไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงที่เชื้อเชิญ แต่เป็นน้ำเสียงที่ห้วนกระด้างและเต็มไปด้วยการออกคำสั่ง ราวกับสั่งให้สุนัขทำตาม
เด็กชายหันกลับไปมองพยัคฆ์ช้า ๆ ดวงตาของเขาสะท้อนภาพของชายหนุ่มที่ยังคงมีสีหน้าเบื่อหน่าย แต่ดวงตาคู่นั้นกลับจับจ้องมาที่เขาอย่างไม่วางตา
“...ท่าน... หมายความว่าอย่างไรครับ” น้ำพิงค์กล้าถามออกไปเบา ๆ
พยัคฆ์พ่นควันซิการ์ออกจากปากอย่างช้า ๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงบนที่เขี่ยบุหรี่อย่างไม่ไยดี
“หมายความว่าตามที่ฉันพูด” พยัคฆ์ตอบด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คนฟังรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล “ฉันไม่ได้มีความอดทนมากพอที่จะมานั่งคุยกับใครต่อใครที่พยายามจะยัดเยียดสินค้าของพวกเขาให้ฉัน”
พยัคฆ์ใช้มือตบเบา ๆ ลงบนพื้นที่ว่างข้าง ๆ ตัวเขาบนโซฟา
“มานั่งนี่ แล้วเงียบซะ”
น้ำพิงค์ตัวสั่นระริก เขายังคงไม่เข้าใจว่าพยัคฆ์ต้องการอะไรกันแน่ ชายคนนี้ไม่ได้ดูเหมือนอยากจะแตะต้องเขาเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ก็ยังสั่งให้เขาอยู่ต่อ
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม... น้ำพิงค์รู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์จะปฏิเสธ
เด็กชายเดินเข้าไปหาโซฟาอย่างเชื่องช้า เขาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ พยัคฆ์ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงขอบโซฟาตามคำสั่ง เขาพยายามทำตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่กล้าหายใจแรง ไม่กล้าสบตา
กลิ่นหอมเย็นของโคโลญราคาแพงผสมกับกลิ่นวิสกี้และควันซิการ์ที่ลอยมาจากตัวพยัคฆ์มันช่างแตกต่างจากกลิ่นเหม็นอับในเรือนบัวขาวลิบลับ
พยัคฆ์ไม่ได้มองเขาอีกต่อไปแล้ว เขากลับไปสนใจเอกสารบนโต๊ะอย่างใจเย็น น้ำพิงค์นั่งนิ่ง ๆ อยู่ข้าง ๆ โดยไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปดี จะต้องเริ่มปรนนิบัติอย่างไร จะต้องรินเหล้า? หรือจะเริ่มสัมผัส?
ขณะที่น้ำพิงค์กำลังคิดทบทวนบทเรียนที่เคยถูกสอนมา พยัคฆ์ก็ยื่นมือออกไปหยิบแก้ววิสกี้ของตัวเอง พลางเอ่ยปากออกมาโดยไม่มองหน้า
“เธอคิดว่าฉันจะใช้เวลาในคืนที่พายุฝนกระหน่ำแบบนี้ ไปกับการนั่งอ่านหนังสือโง่ ๆ พวกนั้นหรือ”
น้ำพิงค์เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาสังเกตเห็นว่าพยัคฆ์กำลังพูดถึงหนังสือเล่มโปรดของเขาที่ยังคงวางอยู่บนโต๊ะข้างโซฟา
“...ไม่ทราบครับ”
“แล้วทำไมถึงมานั่งนิ่งอยู่ตรงนี้” พยัคฆ์ละสายตาจากเอกสาร และหันมาจ้องน้ำพิงค์ด้วยดวงตาที่ทำให้เด็กชายรู้สึกเหมือนถูกตรึงไว้กับที่ “ถ้ามาปรนนิบัติ ก็ทำให้มันเสร็จ ๆ ไป”
น้ำพิงค์ตัวแข็ง เขาทำอะไรไม่ถูก เขาพร้อมที่จะทำทุกอย่างตามที่ถูกสอนมา แต่ท่าทีของพยัคฆ์ไม่ได้บ่งบอกว่าต้องการสิ่งเหล่านั้นเลย
“ท่าน... ต้องการให้ผมอะไรครับ” เขาถามด้วยเสียงแผ่วเบา
พยัคฆ์จ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าราวเทพบุตรของเขาดูเย็นชาและซับซ้อนยากจะคาดเดา
“เธอชื่ออะไร”
“น้ำพิงค์... ครับ”
“ดี” พยัคฆ์พยักหน้าเล็กน้อย “... ถอดเสื้อเธอออก”
คำสั่งนั้นทำให้เด็กชายที่กำลังหวาดหวั่นถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ทันทีที่ถอดเสื้อออก แผ่นหลังของเขาจะเผยร่องรอยความทารุณที่เพิ่งได้รับเมื่อคืนให้พยัคฆ์เห็นอย่างชัดเจน และนั่นอาจเป็นการเรียกความรำคาญจากชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์คนนี้อีกครั้ง
แต่น้ำพิงค์ไม่มีทางเลือก เขาเริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวของตัวเองทีละเม็ดอย่างช้า ๆ เสียงกระดุมที่หลุดออกจากรังดุมนั้นดังแข่งกับเสียงฟ้าร้องนอกหน้าต่าง
เมื่อเสื้อเชิ้ตหลุดออกจากบ่า เผยให้เห็นแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยแดงช้ำและรอยปริแตกของผิวหนังที่ยังสดอยู่ พยัคฆ์ก็ถึงกับต้องขมวดคิ้วอย่างชัดเจน
“นอนคว่ำลง” พยัคฆ์สั่งเสียงเบาลงกว่าเดิมเล็กน้อย
น้ำพิงค์ทำตามอย่างว่าง่าย เขานอนคว่ำลงบนโซฟาหนังเย็น ๆ โดยให้แผ่นหลังที่บาดเจ็บหันเข้าหาพยัคฆ์ และรอคอย... รอคอยการสัมผัส หรือการลงโทษ หรือคำสั่งที่โหดร้ายกว่านี้
แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับเป็นความเงียบ
พยัคฆ์ไม่พูดอะไร เขาหยิบเอกสารขึ้นมาอ่านต่อ ราวกับว่าการปรากฏตัวของเด็กชายที่กำลังนอนเปลือยหลังอยู่ข้าง ๆ เป็นเรื่องปกติธรรมดา
“...ท่าน... ครับ” น้ำพิงค์พยายามเรียก
“เงียบ” พยัคฆ์ตอบกลับสั้น ๆ แต่แฝงอำนาจไว้เต็มเปี่ยม
น้ำพิงค์ไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาทำได้แค่นอนนิ่ง ๆ หายใจอย่างแผ่วเบา สัมผัสได้ถึงไออุ่นของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับเสียงสายฝนที่กำลังบรรเลงเพลงแห่งความเงียบเหงาอยู่ในคืนนั้น
นี่คือการปรนนิบัติรูปแบบใหม่ที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน... การถูกบังคับให้นอนอยู่ข้าง ๆ ผู้มีอำนาจ ในขณะที่เขากำลังถูกเมินเฉยอย่างสมบูรณ์
พยัคฆ์... ต้องการอะไรกันแน่ เด็กชายคิดในใจอย่างสับสน
พยัคฆ์ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากเอกสาร แต่ประสาทสัมผัสของเขารับรู้ถึงความนิ่งสนิทของร่างที่กำลังนอนคว่ำอยู่ข้าง ๆ เ
ในความเงียบที่ถูกครอบงำด้วยเสียงเม็ดฝนกระทบกระจก พยัคฆ์ยอมรับกับตัวเองอย่างรวดเร็วว่า รอยแดงช้ำน่ากลัวบนแผ่นหลังของน้ำพิงค์ไม่ได้เกิดจากการพลาดท่าล้ม แต่เป็นร่องรอยการลงทัณฑ์อย่างชัดเจน
ถูกตีเพราะขายออกไม่ได้... ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของพยัคฆ์อย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มหยุดมือที่กำลังเลื่อนอ่านตัวอักษรบนกระดาษ พลางนึกถึงข้อมูลที่ลูกน้องเคยรายงานเมื่อวันก่อนว่า 'เรือนบัวขาว' กำลังพยายามเคลียร์สต็อกเด็กที่อายุเลยเกณฑ์เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย
น้ำพิงค์... คงเป็นหนึ่งในสินค้าราคาตกที่กำลังจะถูกโละทิ้ง
พยัคฆ์ไม่ใช่คนที่มีความเห็นอกเห็นใจ เขาคือผู้มีอำนาจที่ทำธุรกิจมืด ซึ่งทุกย่างก้าวคือการห้ำหั่นเพื่อผลประโยชน์ การมองเห็นความโหดร้ายของโลกใบนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่
แล้วทำไมฉันต้องสนใจ
พยัคฆ์ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนท่าทาง เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พลางพยายามดึงสติกลับไปที่เอกสารตรงหน้า นี่เป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง การมานั่งจมอยู่กับเรื่องไร้สาระของเด็กคนหนึ่งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผลกำไรของเขาเลยแม้แต่น้อย มันคือการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
นี่มันก็เป็นธุรกิจที่คนทำต้องอยากได้กำไรเป็นธรรมดาอยู่แล้ว พยัคฆ์ตอกย้ำกับตัวเอง
เขาไม่จำเป็นต้องรู้สึกสงสารเด็กคนนี้ หรือเด็กคนไหน ๆ บนโลกนี้ เพราะแต่ละคนก็ต้องหาทางเอาตัวรอดในแบบของตัวเอง เด็กคนนี้ถูกส่งมาที่ห้องเขา เพื่อให้เขาซื้อตัวไป... นั่นคือ 'ทางออก' ของเด็กคนนี้
หากเขาสนใจในตัวน้ำพิงค์จริง ๆ เขาควรจะสั่งซื้อตัวไปตั้งแต่ตอนอยู่ในงานเลี้ยงแล้ว และจบปัญหาไปซะ แต่เขากลับไม่ได้ทำ
พยัคฆ์วางปากกาลงบนโต๊ะเสียงเบา เขายกแก้ววิสกี้ขึ้นจิบอีกครั้ง แล้วหันไปมองแผ่นหลังของน้ำพิงค์ที่ยังคงนอนนิ่งอย่างไม่ไหวติง ร่างกายที่ดูผอมบางแต่แฝงความสูงโปร่งนั้นทำให้เด็กคนนี้ดูโตเกินกว่าจะเป็นเพียง 'เด็ก'
“น้ำพิงค์” พยัคฆ์เอ่ยชื่อออกมาเสียงทุ้มต่ำและห้วนเหมือนเดิม “ลุกขึ้นมานั่งข้างฉัน”
น้ำพิงค์สะดุ้งเล็กน้อย เขาทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ เด็กชายดึงชายเสื้อที่หลุดรุ่ยขึ้นมาปิดรอยแผลเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ
“เธอบอกว่าเธอมาปรนนิบัติฉันใช่ไหม” พยัคฆ์ถาม
“ครับ”
พยัคฆ์ยังคงจ้องมองใบหน้าของน้ำพิงค์อยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายในตอนแรกเริ่มแฝงความสนใจเล็กน้อยเมื่อเห็นร่องรอยความเจ็บปวดที่ถูกซ่อนไว้บนแผ่นหลังของเด็กชาย
“เธออ่านหนังสือออกมั้ย” พยัคฆ์ถามขึ้นอย่างไม่คาดคิด น้ำเสียงยังคงเรียบเฉยจนฟังไม่ออกว่ากำลังต้องการคำตอบหรือแค่เอ่ยถามไปอย่างนั้น
“พอจะอ่านออกเขียนได้...ครับ” น้ำพิงค์ตอบตามความเป็นจริง “จากหนังสือที่แขกบางคนให้มา”
พยัคฆ์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนจะพึงพอใจในคำตอบที่ตรงไปตรงมานั้น
“เอาหนังสือของเธอมา”
น้ำพิงค์รีบเอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่มหนาที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ ๆ แล้วยื่นไปให้พยัคฆ์อย่างนอบน้อม มันเป็นหนังสือปรัชญาเก่า ๆ ที่มีหน้าปกสีซีดเซียว
พยัคฆ์รับหนังสือมาพลิกดูเล็กน้อย แล้ววางมันลงบนตักของน้ำพิงค์
“อ่านให้ฉันฟัง”
คำสั่งนั้นทำให้น้ำพิงค์งงงวย แต่ก็รีบทำตามโดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เขาเปิดไปหน้าที่อ่านค้างไว้ และเริ่มอ่านออกเสียงอย่างช้า ๆ
เสียงของน้ำพิงค์ไม่ได้ดังนัก แต่มีความกังวานและนุ่มนวลอย่างน่าประหลาด แม้จะติดสำเนียงเหน่อ ๆ ของเด็กดอยบ้านป่ามาบ้าง แต่จังหวะการอ่านนั้นกลับราบเรียบและไหลลื่นดีเยี่ยม เขาอ่านเรื่องราวปรัชญาที่ซับซ้อนด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและนุ่มนวลอย่างเป็นธรรมชาติ
พยัคฆ์ไม่ได้มองหน้าหนังสือ เขาเอนหลังพิงพนักโซฟา แล้วหลับตาลงอย่างช้า ๆ
เดิมทีเขาตั้งใจจะให้เด็กคนนี้ทำอะไรบางอย่างเพื่อไม่ให้กลับไปรายงานคุณนายใหญ่ว่าเขาไม่สนใจบริการ แต่ไม่คาดคิดว่าการอ่านหนังสือของน้ำพิงค์จะสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ให้กับเขา
พยัคฆ์เป็นคนนอนหลับยากมานานหลายปี เสียงในหัวของเขามักจะกู่ก้องด้วยแผนการทางธุรกิจและปัญหาที่รอการแก้ไข แต่เสียงนุ่มนวลที่บรรยายเรื่องราวซับซ้อนอย่างเชื่องช้า... กลับทำให้จิตใจที่ตึงเครียดของเขาผ่อนคลายลงอย่างไม่น่าเชื่อ
มันเหมือนกับเสียงกระซิบของสายลมท่ามกลางพายุฝนที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่ภายนอก ทำให้ความรู้สึกรำคาญใจที่มีต่อเด็กชายเมื่อครู่หายไปจนหมดสิ้น
น้ำพิงค์ยังคงอ่านต่อไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่กล้าหยุดพัก
เวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดก็ไม่รู้ จนกระทั่งเสียงอ่านที่แผ่วเบาของน้ำพิงค์เริ่มหยุดชะงักลง เมื่อเขาสังเกตเห็นว่า... พยัคฆ์ได้หลับไปแล้ว
ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยเต็มไปด้วยความเย็นชาดูสงบลงยามหลับใหล ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ พยัคฆ์นอนหลับสนิทเป็นครั้งแรกในรอบหลายคืน
เด็กชายค่อย ๆ ขยับตัวอย่างระมัดระวังที่สุด เขาปิดหนังสือ แล้ววางลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา จากนั้นเขาก็นั่งนิ่ง ๆ อยู่ข้างพยัคฆ์ ในความเงียบที่เหลืออยู่เพียงเสียงฝนตกและเสียงลมหายใจ
ในขณะที่น้ำพิงค์กำลังนั่งนิ่งและอ่อนล้า เสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของพยัคฆ์ก็เปลี่ยนเป็นเสียงครืดคราดเล็กน้อย พลัน... ศีรษะที่หนักอึ้งของชายหนุ่มก็เอนลงมาด้านข้าง แล้วทิ้งน้ำหนักลงบนไหล่เปลือยของน้ำพิงค์อย่างไม่ตั้งใจ
น้ำพิงค์ตัวแข็งทื่อราวกับก้อนหิน ความเจ็บปวดจากรอยแส้บนแผ่นหลังถูกบดบังด้วยความตึงเครียด เขาไม่กล้าขยับแม้แต่นิดเดียว เพราะเกรงว่าการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยจะทำให้พยัคฆ์ตื่นขึ้นมา
น้ำหนักจากร่างสูงใหญ่ของผู้มีอำนาจที่ทับลงมาบนบ่าของเด็กชายนั้นหนักหน่วงเกินกว่าที่ร่างกายผอมบางจะรับไหว แต่น้ำพิงค์ก็กัดฟันอดทน เขายอมนั่งนิ่ง ๆ เป็นที่พิงให้กับพยัคฆ์ตลอดช่วงเวลาที่เหลือของคืนนั้น
ท่ามกลางเสียงฝนที่เบาลงจนเหลือเพียงเสียงปรอย ๆ น้ำพิงค์นั่งอยู่ในความมืด สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากตัวของพยัคฆ์ที่แผ่ซ่านเข้ามาจากไหล่ของเขา ความรู้สึกปลอดภัยแปลก ๆ เริ่มแทรกซึมเข้ามาในใจ
เขานั่งนิ่งจนกระทั่งร่างกายเริ่มชาไปหมด และเมื่อความอ่อนเพลียเข้าครอบงำ น้ำพิงค์ก็ค่อย ๆ ผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว โดยที่ศีรษะยังคงพิงอยู่กับโซฟา ส่วนร่างของพยัคฆ์ก็ยังคงเอนพิงเขาอยู่
แสงแรกของยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างอย่างแผ่วเบา พยัคฆ์ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา
ความรู้สึกแรกคือ... เขาหลับไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่รู้สึกว่านอนหลับได้สนิทและสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมานานแล้ว
พยัคฆ์มองไปรอบตัวด้วยดวงตาที่ยังคงงุนงงเล็กน้อย แล้วสายตาของเขาก็หยุดลงที่ภาพของน้ำพิงค์
เด็กชายกำลังนั่งหลับอยู่บนพื้นข้างโซฟา ร่างกายพิงอยู่กับขอบโซฟาในท่าทางที่ไม่สบายนัก เสื้อเชิ้ตถูกกองอยู่ข้าง ๆ และแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยร่องรอยการลงโทษก็หันเข้าหาแสงอรุณยามเช้า
ศีรษะของพยัคฆ์กำลังเอนซบอยู่บนไหล่เปลือยของน้ำพิงค์จริง ๆ
พยัคฆ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาจำได้ว่าตัวเองหลับไปตอนที่เด็กนี่กำลังอ่านหนังสือให้ฟัง แต่ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะเอนลงไปพิงอีกฝ่าย และเด็กคนนี้ก็ไม่ได้ขยับหนีเลยแม้แต่น้อย
ใบหน้าของน้ำพิงค์ยามหลับใหลนั้นดูผ่อนคลายและไร้เดียงสาอย่างที่สุด ดวงตาปิดสนิท ปากเม้มเข้าหากันเล็กน้อย…
พยัคฆ์ค่อย ๆ ยกศีรษะของตัวเองออกอย่างแผ่วเบาที่สุด ราวกับกลัวจะทำให้นกตัวเล็ก ๆ ตื่น แขนของเขาเหยียดออกไปอย่างช้า ๆ และแตะเบา ๆ ลงบนเส้นผมสีเข้มของน้ำพิงค์เพียงเสี้ยววินาที
เขามองภาพเด็กชายที่นอนหลับอยู่ตรงนั้นอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นยืน
พยัคฆ์ไม่ปลุกน้ำพิงค์ เขาไปจัดการธุระส่วนตัวอย่างเงียบเชียบ สวมเสื้อโค้ท และหยิบเอกสารสำคัญทั้งหมดเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางกลับ
เขาเหลือบมองไปยังร่างที่นอนหลับอยู่บนพื้นอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้อง และก้าวออกไป
น้ำพิงค์ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงประตูที่ปิดลง แต่เมื่อเขาลืมตา... สิ่งที่เขาเห็นคือความว่างเปล่า
ความรู้สึกโดดเดี่ยวและถูกทอดทิ้งเข้าจู่โจมน้ำพิงค์อย่างรุนแรง หัวใจของเขาที่กำลังเริ่มมีความหวังริบหรี่ว่าอาจจะมีใครสักคนมองเห็น 'คุณค่า' ในตัวเขา ถูกฉีกกระชากออกอย่างโหดร้าย
ทันใดนั้นเอง... น้ำพิงค์ก็รู้สึกถึงความร้อนที่เอ่อล้นอยู่ในดวงตา
น้ำตา... น้ำตาที่เขาไม่เคยหลั่งออกมาเลยตั้งแต่ถูกนำมาขายเมื่อแปดปีก่อน น้ำตาที่ถูกกลั้นไว้ด้วยความอับอาย ความเจ็บปวด และความมุ่งมั่นที่จะเอาชีวิตรอด
น้ำตาที่อุ่นชื้นไหลออกมาจากดวงตาของเด็กหนุ่มอย่างควบคุมไม่ได้ มันไหลอาบแก้ม ลงมาเปียกเสื้อเชิ้ตที่ถูกคลุมไว้บนตักอย่างเงียบงัน
หลายวันผ่านไปหลังจากคืนพายุฝน ชีวิตของน้ำพิงค์ดำดิ่งลงสู่ความมืดมิดยิ่งกว่าเดิม
เมื่อคุณนายใหญ่รู้ว่าพยัคฆ์จากไปโดยไม่มีการสั่งซื้อตัวใด ๆ และไม่มีการทิ้งเงินพิเศษไว้เป็นค่าบำเหน็จ เธอก็แทบจะบ้าคลั่งด้วยความโกรธ
“แกมันตัวซวย! ตัวกาลกิณี! ฉันอุตส่าห์ให้โอกาสแกได้อยู่กับคนรวย ๆ แต่แกกลับทำได้แค่เป็นหมอนข้างโง่ ๆ!”
น้ำพิงค์ถูกลงโทษหนักกว่าเดิมหลายเท่า ไม่ใช่แค่การเฆี่ยนตี แต่เป็นการถูกใช้งานอย่างหนักหน่วงในฐานะสินค้าที่ต้องเร่งระบายออก คุณนายใหญ่สั่งให้เขาทำงานรับแขกทุกประเภท โดยไม่สนใจสภาพร่างกายหรือจิตใจของเขาอีกต่อไป
น้ำพิงค์ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเด็กชายที่ถูกมองว่า ‘ไม่สดใหม่’ แล้ว และสำหรับแขกในเรือนบัวขาว... พวกเขาไม่ชอบสินค้าที่ไม่สดใหม่ และมักจะใช้ความรุนแรง ร่างกายของน้ำพิงค์เริ่มช้ำไปทั่ว รอยแผลที่หลังยังไม่ทันหายดี ก็ถูกทับถมด้วยรอยช้ำและรอยกัดใหม่ ๆ ทั่วแผ่นอกและต้นขา
เด็กชายต้องรับแขกถึงสองถึงสามคนต่อวัน แต่ละคนล้วนหยาบคายและรุนแรงเกินกว่าที่เขาเคยเจอมา ดวงตาที่เคยเรียบนิ่งของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและมึนชา
ความอ่อนโยนเดียวที่เขาเคยได้รับจากการเอนตัวพิงของพยัคฆ์ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง และถูกแทนที่ด้วยความเจ็บปวดที่บาดลึกถึงกระดูก
น้ำพิงค์... ในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับขยะที่ถูกทิ้งไว้ในมุมมืดของเรือนบัวขาว
ในห้องเล็ก ๆ ของตัวเอง เมื่อรับแขกเสร็จสิ้น น้ำพิงค์จะนอนนิ่ง ๆ อยู่บนที่นอนที่เปียกชื้น เขาจะจับหนังสือเล่มเก่าของตัวเองไว้แน่น ราวกับว่าหนังสือเล่มนี้คือสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงเขากับโลกภายนอกที่เคยมีอยู่จริง
เขานึกถึงน้ำตาที่ไหลออกมาในเช้าวันนั้น มันเป็นน้ำตาหยดแรกที่ถูกปล่อยออกมาหลังจากหลายปีแห่งความอดกลั้น และดูเหมือนว่ามันจะเป็นน้ำตาหยดสุดท้ายที่เหลืออยู่แล้วเช่นกัน เพราะตอนนี้... แม้แต่ความเจ็บปวดก็ทำให้เขาชาชิน จนไร้น้ำตา
แต่ในความมืดมิดนั้น น้ำพิงค์ก็สังเกตเห็นบางสิ่งบนหนังสือเล่มเก่าของเขา...
ใต้หน้าปกหนังสือเล่มหนาที่เขาเคยใช้เป็นเกราะกำบังอยู่เสมอ มีรอยยับเล็ก ๆ ที่มุมหน้ากระดาษหนึ่ง
ตอนแรกเขาคิดว่ามันเป็นรอยเก่า แต่เมื่อเปิดดู เขาก็พบว่ารอยยับนั้นทำหน้าที่เป็นเหมือนเครื่องหมาย หรืออะไรบางอย่างที่คั่นหน้าเอาไว้
ในหน้าที่ถูกทำเครื่องหมายนั้น เป็นบทความว่าด้วยปรัชญาการปกครองของกษัตริย์ในยุคโบราณ ซึ่งมีคำอธิบายศัพท์และเชิงอรรถมากมาย
และที่ด้านล่างของหน้ากระดาษนั้น... มีลายมือหวัด ๆ ที่เขียนด้วยปากกาลูกลื่นสีดำอย่างเร่งรีบ ซึ่งเป็นลายมือที่ไม่คุ้นตา
“...ถ้าเธอชอบสิ่งนี้มากขนาดนั้น ทำไมไม่ลองหาทางทำความเข้าใจกับ ‘ผู้ปกครอง’ ที่แท้จริงดูบ้าง?”
และมีเบอร์โทรศัพท์หนึ่งเบอร์ถูกขีดเขียนไว้ข้างใต้ข้อความนั้น...
ดวงตาของน้ำพิงค์เบิกกว้างด้วยความตกตะลึงทันที
นี่ไม่ใช่ลายมือของเขา และไม่ใช่ลายมือของแขกคนใดเลยที่เคยใจดีให้หนังสือเขา... มันต้องเป็นลายมือของพยัคฆ์!
พยัคฆ์ไม่ได้ทิ้งเขาไปอย่างว่างเปล่า! ชายหนุ่มผู้เย็นชาคนนั้นได้ทิ้ง 'ปริศนา' และ 'ทางออก' ไว้ให้เขาโดยที่เขาไม่รู้ตัว!
แม้ว่าน้ำพิงค์จะไม่รู้ว่านั่นคือเบอร์ของใคร หรือเบอร์อะไร แต่มันเป็นสิ่งเดียวที่หลุดรอดจากเงื้อมมือของคุณนายใหญ่ และเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงเขากับผู้มีอำนาจที่มองข้ามเขาไปในคืนนั้น
ความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดทั้งหมดถูกขับออกไปชั่วขณะ แทนที่ด้วยความหวังที่ลุกโชนอย่างรวดเร็วราวกับประกายไฟในความมืดมิด
น้ำพิงค์รีบฉีกหน้ากระดาษที่มีข้อความและเบอร์โทรศัพท์นั้นออกมาอย่างระมัดระวัง แล้วซ่อนมันไว้ในรอยตะเข็บของกางเกง
“...หาทางทำความเข้าใจกับ ‘ผู้ปกครอง’ ที่แท้จริง...”
------------------------------------------------------
ฝากติดตามต่อด้วยนะครับ
สนุกมากครับ เข้มข้น น่าติดตามครับ
น้ำพิงค์กับพยัคฆ์จะเป็นไงต่อนะ
รอติดตามอย่างจดจ่อครับ
ขอบคุณนะครับ ยิ่งอ่านยิ่งสงสารน้ำพิงค์ เมื่อไหร่ฟ้าจะเปิดให้น้องได้ร่าเริงบ้างน้อ ขอบคุนครับ
หน้า:
[1]