เมื่อผมข้ามมิติและต้องแต่งงานกับผู้ชาย 4 คนพร้อมกัน Ch.24
โศกนาฏกรรมของกาลเวลา
ในห้องโถงของตำหนักที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเวทสะท้อนเงาสั่นไหวบนผนังหินอ่อน เสียงฝีเท้าของทหารเวรดังแผ่วเบาอยู่นอกตำหนัก แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความเย็นเยียบที่เหมือนจะกัดกินหัวใจของผู้ที่ยืนอยู่ในนั้น
แรนทีลยืนอยู่เพียงลำพัง สายตาสีฟ้าเงินจับจ้องไปยังผืนผ้าโปร่งที่ปลิวไหวตรงระเบียง เขารู้สึกเหมือนลมหอบเอาทุกสิ่งที่เคยมีไปจากเขา ศรัทธา ความหวัง และแม้แต่ความรักที่เขาเฝ้ามอบให้ชายผู้เป็นรัชทายาท
เซย์เรน…
สำหรับคนทั้งแผ่นดิน เขาคือรัชทายาทผู้สูงศักดิ์ แต่สำหรับพวกเขา เหล่าสวามีที่ถูกเลือกมาประดับเคียงข้าง เขากลับเป็นเพียงผู้ที่ทอดทิ้ง ไม่เคยแลแม้แต่หางตา
ตั้งแต่วันแรกของพิธีอภิเษก สายตาของเซย์เรนก็เหมือนมีเพียงคนเดียวที่เขาต้องการ 'ลูซ อาวีเซอร์' ชายหนุ่มจากตระกูลพาณิชย์ที่ใช้รอยยิ้มและคำพูดหว่านล้อมได้ดั่งเวทมนตร์
“พวกเจ้าเป็นแค่เครื่องมือของราชสำนัก”
ถ้อยคำที่เซย์เรนเคยเอ่ยต่อหน้าพวกเขา ยังดังก้องอยู่ในหัวแรนทีลไม่เคยเลือน เสียงนั้นเย็นชาเกินกว่าจะเชื่อว่าออกมาจากปากของคนที่ควรเป็นศูนย์กลางของหัวใจ
เอลเซียน แม่ทัพผู้เคยสละเลือดเนื้อเพื่อปกป้องชีวิตเขา กลับถูกตอบแทนด้วยความเฉยเมย
ไคเรน ขุนนางผู้มีสติปัญญา กลับถูกมองราวกับศัตรูเพียงเพราะเขากล้าเตือนสติ
เฟลด์ ชายผู้ใช้ชีวิตเป็นเงา เฝ้าปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยรวมถึงจัดการพวกกบฏที่คิดร้าย กลับถูกหลีกเลี่ยงสายตาราวกับเป็นเงาสกปรก
และแรนทีลเอง… ผู้ที่แม้จะเฝ้ามองด้วยหัวใจก็ยังถูกผลักไสด้วยคำพูดสั้น ๆ
“เจ้าไม่ใช่คนรักของข้า”
ทุกคำ ทุกสายตา มันบาดลึกยิ่งกว่าดาบคมใด
เรื่องราวเลวร้ายค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นจากวันที่เซย์เรนเริ่มหลงใหลในตัวลูซ เขาแทบไม่เหลียวแลบ้านเมือง ไม่สนใจการปกครอง หรือแม้แต่เสียงร้องขอจากประชาชน
ไคเรนพยายามเตือนอยู่หลายครั้ง
“พระองค์ อย่าไว้ใจเขามากเกินไป ข้าพบความเคลื่อนไหวที่น่าสงสัยในเส้นทางการค้า”
แต่เซย์เรนกลับหันสายตาแข็งกระด้างใส่
“เจ้าก็แค่อิจฉาที่ข้าเลือกเขามากกว่าเจ้า”
ประโยคสั้น ๆ ที่ฟังดูไร้เดียงสา แต่สำหรับไคเรนแล้ว มันเหมือนคำตัดสินประหารหัวใจ
แรนทีลเฝ้ามองเงาของลูซที่ค่อย ๆ แผ่ปกคลุมทั้งวัง เซย์เรนหัวเราะเมื่ออยู่กับเขา ยอมละทิ้งหน้าที่เพื่อใช้เวลาเคียงข้างเขา แม้กระทั่งเรื่องสำคัญของบ้านเมืองก็ยังปล่อยให้ผ่านเลย
จนในที่สุด…ความจริงก็เปิดเผยออกมา
ลูซไม่ได้รัก ไม่ได้ภักดีต่อใคร เขาเพียงแค่ใช้ความหลงใหลของเซย์เรนเป็นบันได ขโมยข้อมูลการค้าสำคัญ ส่งไปยังฝ่ายศัตรู
เมื่อความจริงกระแทกเข้ามา เซย์เรนผู้เคยหยิ่งผยองก็เหมือนโลกทั้งใบพังทลาย
ค่ำคืนนั้น…ตำหนักทั้งหลังเงียบสงัด ราวกับถูกห่อหุ้มด้วยความเศร้าสร้อยที่มองไม่เห็น
ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีคำสั่ง ไม่มีแม้แต่สายตาอันหยิ่งผยองที่เคยกวาดมองทุกคนราวกับเป็นเพียงเครื่องมือ
เซย์เรน รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยผลักไสสวามีของตนอย่างไม่ใยดี นั่งพิงผนังอยู่เพียงลำพังในห้องหรูหรา แต่กลับเย็นเยียบยิ่งกว่าห้องขัง
ริมฝีปากของเขาแปดเปื้อนเลือด กลิ่นคาวคละคลุ้งอยู่ในลมหายใจแต่ละเฮือก
น้ำตาที่ไม่เคยยอมหลั่งให้ใครเห็นกลับไหลริน เผยความอับอายและความเสียใจที่สายเกินแก้
เขารู้แล้ว…ว่าตลอดมาเขาเลือกรักคนผิด
ลูซที่เขาโอบอุ้มไว้ในหัวใจไม่เคยรักตอบ มีเพียงการหลอกใช้ และเมื่อความจริงเปิดเผย รัชทายาทผู้หยิ่งผยองก็เหลือเพียงเปลือกที่เต็มไปด้วยบาดแผล
เสียงไอแผ่วเบาผสมกับเลือดที่กระอักออกมาเปรอะพื้นหินเย็นเฉียบ
และแล้ว แสงสุดท้ายในดวงตาของเซย์เรนก็ดับวูบลง ทิ้งเพียงร่างไร้ลมหายใจในห้องที่เงียบงัน
และเมื่อเซย์เรนจากไป เหล่าสวามีก็ไร้เหตุผลที่จะยืนหยัดต่อไป ซาร์เอลผู้เป็นน้องชายต่างมารดาของเซย์เรนได้ขึ้นมามีอำนาจ และกวาดล้างเสาหลักทั้งหมดของรัชทายาทคนก่อน ความโหดร้ายนี้ได้นำมาสู่จุดจบของเหล่าสวามี
เอลเซียนกลับไปสู่สนามรบ สุดท้ายสังเวยชีวิตพร้อมทหารกว่าสามแสนนาย
ไคเรนถูกประหารในข้อหาทรยศ ทั้งที่ความจริงคือเขาเพียงเตือนสติเท่านั้น
เฟลด์ยอมสละชีวิตเป็นโล่กำบังให้แรนทีล เพื่อให้เขาหนีจากการไล่ล่าของจอมเวทย์ฝ่ายตรงข้าม
เหลือเพียงแรนทีล…ผู้ที่ยังหายใจ แต่หัวใจกลับแหลกสลาย
แรนทีลทรุดตัวลงคุกเข่าในหอคัมภีร์โบราณ ดวงตาสีฟ้าเงินที่เคยเยือกเย็นกลับเอ่อท้นด้วยน้ำตา
เขาไม่อาจทนปล่อยให้เรื่องราวจบลงเช่นนี้ ไม่อาจยอมให้ความรักที่เขามอบไปถูกกลืนหายไปพร้อมกับชะตาอันโหดร้าย
คัมภีร์ต้องห้ามถูกเปิดออก เสียงท่องเวทเก่าแก่ดังสะท้อนในความเงียบ เหมือนเสียงคร่ำครวญของวิญญาณที่เคยถูกผนึก
วงเวทเรืองแสงสีน้ำเงินเข้มค่อย ๆ แผ่กระจายไปทั่วพื้น เส้นสายที่สลักด้วยอักษรโบราณสั่นไหวราวกับมีชีวิต
“หากเส้นทางที่ฟ้าเขียนไว้คือโศกนาฏกรรม…ข้าจะเขียนมันใหม่ด้วยมือตัวเอง”
เสียงแรนทีลสั่น แต่แน่วแน่ พลังเวทที่ถูกบีบอัดจนแทบฉีกเนื้อหนังทำให้เส้นผมสีดำของเขาค่อย ๆ กลายเป็นสีเงินสว่างทีละเส้น เลือดซึมออกจากมุมปาก แต่เขายังคงสวดต่อไป
“โอ้วิญญาณจากแดนไกล…จงข้ามผ่านห้วงเวลาและมิติ จงตอบรับคำเรียกของข้า…ขอนำท่านมาเป็นแสงสว่างใหม่ แทนที่ความมืดที่กลืนกินทุกสิ่ง”
เปลวไฟสีน้ำเงินปะทุขึ้นกลางหอคัมภีร์ ลมแรงกราดเกรี้ยวพัดจนแท่นบูชาสั่นสะเทือน
เสียงหัวใจของแรนทีลดังโครมคราม เขาไม่รู้ว่าตนเองจะเหลือเวลาอีกกี่ลมหายใจ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจน
หากโลกนี้พรากเซย์เรนไป… เขาก็จะสร้างโลกใหม่ขึ้นมา เพื่อให้คนรักกลับคืนมาอีกครั้ง
เพลิงเวทที่แผดเผาอยู่กลางหอคัมภีร์ค่อย ๆ สงบลง แสงสีเงินทอประกายไหวระริกกลางอากาศ ก่อนจะรวมตัวกันเป็นเงาร่างเลือนรางของชายหนุ่มผู้มาเยือนจากต่างโลก วิญญาณที่เต็มไปด้วยความสับสน แต่ดวงตากลับอบอุ่นอย่างที่แรนทีลไม่เคยได้เห็นจากเซย์เรนคนเดิมเลย
“สำเร็จแล้ว…” แรนทีลพึมพำเสียงแผ่ว ร่างกายที่บอบช้ำแทบยืนไม่ไหว แต่ในดวงตากลับทอประกายแห่งความหวังครั้งใหม่
เขายกคัมภีร์ขึ้นอีกครั้ง นิ้วเรียวขีดเส้นเวทชุดใหม่ลงบนพื้นหินที่เปื้อนเลือดของตนเอง เวทแห่งกาลเวลา เวทที่แม้แต่สภาเวทยังสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดแม้แต่คิดจะร่าย เพราะมันคือการฝืนเส้นทางที่สวรรค์ขีดไว้
“หากข้าแลกได้ด้วยชีวิต…ข้าก็จะทำ”
เสียงท่องเวทก้องกังวานขึ้นอีกครั้ง วงเวทซ้อนทับกับวงเดิมแปรเปลี่ยนเป็นรูปดวงดาวที่หมุนวนเป็นเกลียว เส้นสายสว่างไสวสะท้อนออกไปทั่วทั้งหอคัมภีร์จนผนังสั่นสะเทือน
แต่แรนทีลรู้ดี กฎของเวลาโหดร้ายเกินกว่าจะฝืนตรง ๆ ได้ หากเขาย้อนกลับไปพร้อมกับความทรงจำทั้งหมด โลกก็จะฉีกขาดเป็นเสี่ยง ๆ ดังนั้น เขาจึงทำสิ่งเดียวที่คิดได้…
แรนทีลสะบัดมือเรียกหินก้อนเล็กสีเงินอมฟ้าที่วางอยู่บนแท่นบูชา มันคือหินดาวตกที่หล่นจากฟากฟ้าในคืนวันประสูติของเซย์เรน
พลังเวทค่อย ๆ ถักทอเข้ากับหินนั้น ก่อรูปกลายเป็นแหวนเนื้อเรียบ ขับประกายรุ้งวาบอยู่ภายในราวกับเก็บเอาฟากฟ้าไว้ทั้งผืน
“จงเป็นภาชนะ…เก็บรักษาความทรงจำและจิตวิญญาณของข้าไว้ หากวันหนึ่งทุกสิ่งผิดเพี้ยนไป…เจ้าจะเป็นแสงนำทางให้เราได้พบกันอีกครั้ง”
แรนทีลกดริมฝีปากแน่น สะกดเวทสุดท้ายที่ผนึกความทรงจำและเจตจำนงของตนเองลงไปในแหวน แสงจากวงเวทสว่างจ้าจนทุกสิ่งรอบตัวพร่ามัว
ร่างของเขากับวิญญาณจากต่างโลกถูกโอบล้อมด้วยสายโซ่แห่งกาลเวลาที่สั่นสะเทือน ก่อนจะถูกดึงย้อนกลับไป
…สู่วันแห่งอภิเษกสมรสอีกครั้ง
เสียงระฆังพิธีดังระงม แสงอาทิตย์สาดส่องลงบนแท่นหินกลางลานพิธี วันแรกที่โชคชะตากำหนดไว้ให้เป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม
และหวังว่าครั้งนี้…จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
แต่สุดท้ายโชคชะตาก็ยังฉุดพวกเขากลับไปสู่เส้นเรื่องเดิม ไม่ว่าพยายามฝืนเปลี่ยนแค่ไหน จุดจบก็มิได้ต่างจากครั้งก่อน
ภายในกระท่อมเล็กกลางป่าลึก เสียงลมหายใจแผ่วเบาของเซย์เรนขาดห้วงลงทีละน้อย ผ้าปูเตียงชุ่มไปด้วยเลือด กลิ่นคาวอวลหนาแน่นจนแทงจมูก แสงตะเกียงวูบไหวราวกับจะดับตามชีวิตของเจ้าของร่าง
เอลเซียนคุกเข่าอยู่ข้างเตียง บีบมือเย็นชืดของเซย์เรนแน่นจนเส้นเลือดปูด แม้จะเรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ดวงตาสีฟ้าอ่อนคู่นั้นก็ปิดสนิท ไร้ทีท่าจะลืมขึ้นมาอีก
ไคเรนกำมือสั่นเทา กัดฟันแน่นเพื่อกลั้นความรู้สึกที่กำลังแตกสลาย
แรนทีลวางฝ่ามือลงบนหน้าท้องน้อยที่ไม่ไหวติง น้ำตาเอ่อคลอเมื่อรู้ว่าชีวิตที่ยังไม่ทันได้เกิดก็จากไปพร้อมกัน
เฟลด์ยืนนิ่งอยู่ปลายเตียง ใบหน้าสงบนิ่งราวรูปสลัก แต่แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยาย
ไม่มีเสียงคร่ำครวญ ไม่มีคำร่ำลา มีเพียงความเงียบงันที่หนักหน่วงราวกับจักรวรรดิทั้งมวลกำลังโศกเศร้าไปพร้อมกัน
และในห้วงเงียบนั้น…
แสงเรืองรองบางเบาค่อย ๆ แผ่วออกจากร่างเซย์เรน ละเอียดอ่อนจนแทบมองไม่เห็น ก่อนจะหลุดลอยขึ้นสู่ความว่างเปล่า ราวกับวิญญาณกำลังถูกดึงกลับไปยังที่ที่มันจากมา
เหล่าสวามีทั้งสี่รับรู้ได้ทันทีว่า... คนรักของพวกเขาจากไปแล้วจริง ๆ
หัวใจที่แตกสลายไม่อาจซ่อมแซมได้อีกต่อไป
ในวินาทีนั้น โลกของพวกเขาก็ดับสิ้นลงพร้อมกับแสงสุดท้ายของเซย์เรน
หลังจากการจากไปของเซย์เรน ทุกสิ่งก็พังทลายอย่างรวดเร็ว
ซาร์เอล น้องชายต่างมารดาที่เฝ้ารอโอกาสมานาน ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ด้วยท่าทีเยือกเย็น เขาปั่นหัวสภาและรวบรวมกองกำลังอย่างแนบเนียน ใช้ความตายของรัชทายาทเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อตอกย้ำความผิดพลาดของเหล่าสวามี
“เสาหลักทั้งสี่” ผู้ที่ครั้งหนึ่งถูกขนานนามว่าเป็นปราการอันแข็งแกร่งของจักรวรรดิ…
กลับถูกตราหน้าว่า คือต้นเหตุแห่งหายนะ
โทษทัณฑ์ตามมาอย่างโหดร้าย
เอลเซียนถูกส่งไปแนวรบตะวันตกโดยไร้เสบียงและกำลังหนุน ทั้งที่รู้ดีว่าไม่ต่างอะไรกับการตัดสินประหาร เขานำทัพกว่าสามแสนนาย ไปสังเวยชีวิตในสมรภูมิราวกับแพะบูชายัญ
ไคเรนผู้ที่คุมเศรษฐกิจและเมืองท่ามาทั้งชีวิต ถูกลากไปต่อหน้าสภากลาง ถูกกล่าวหาว่าทรยศ และถูกประหารในที่สาธารณะเพื่อ “กอบกู้ศรัทธา” ของประชาชน
บรรยากาศทั้งจักรวรรดิถูกย้อมด้วยความสิ้นหวัง
และในความมืดมิดนั้น แรนทีลคือผู้เดียวที่ยังลุกขึ้นยืน แม้จะบาดเจ็บและอ่อนแรง
เขาไม่อาจยอมให้เรื่องราวจบลงเช่นนี้อีกครั้ง
คืนแห่งโศกนาฏกรรม ลมพายุซัดแรงจนธงประดับในวังฉีกขาด ฟากฟ้าถูกฉีกเป็นเส้นสายฟ้า แรนทีลยืนอยู่กลางวงเวทที่สลักด้วยเลือดของตนเอง เส้นผมสีเงินพลิ้วสะบัด ดวงตาสีฟ้าเงินส่องประกายเจิดจ้า
แต่ศัตรูไม่ปล่อยให้เขาทำง่าย ๆ กองเวทจู่โจมพุ่งเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน เฟลด์ควบม้าฝ่ากองเพลิงเข้ามาข้างตัว ดวงตาสีอำพันฉายแววเด็ดเดี่ยว
“ท่านแรนทีล ทำพิธีต่อไป!” เสียงทุ้มดังแข็งกร้าวท่ามกลางห่าฝนแห่งเวทมนตร์ “ข้าจะปกป้องท่านเอง”
“ไม่ เฟลด์! เจ้าไปกับข้าได้”
“ไม่” เฟลด์ส่ายหน้า แววตาหนักแน่นดังภูผา “หน้าที่ของข้าสิ้นสุดเพียงเท่านี้ แต่ท่านยังเหลือหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่กว่า”
เสียงศัตรูใกล้เข้ามา เขายกโล่ขึ้นรับเวทอีกสาย ร่างสั่นสะเทือนแต่ยังยืนนิ่ง
“ข้าเชื่อมั่นในตัวท่าน…ท่านจะต้องพาฝ่าบาทกลับมา”
ทันใดนั้น ลูกเวทธนูสีแดงฉานพุ่งทะลุความมืด เสียงฉีกอากาศดังสนั่น ก่อนจะปักเข้ากลางอกเฟลด์เต็มแรง เลือดพุ่งกระเซ็นราวกับสายฝน
ดวงตาสีอำพันยังไม่ดับ เขายิ้มบาง ๆ พลางผลักแรนทีลให้ถอยเข้ากลางวงเวท ร่างสูงใหญ่ล้มลงช้า ๆ เกราะกระแทกพื้นดังก้องท่ามกลางเพลิงไฟ
“เฟลด์!!” แรนทีลคำรามสุดเสียง น้ำตาไหลพราก แต่เวทมนตร์ก็ได้ถูกปลดปล่อยแล้ว
วงเวทสว่างเจิดจ้า สั่นสะเทือนแผ่นดิน แสงนั้นแหวกฟากฟ้า เปิดเส้นทางสู่กาลเวลาใหม่อีกครั้ง
แสงไฟนีออนนอกหน้าต่างสาดเข้ามาเป็นเส้นริ้วจาง ๆ ในห้องเช่าเงียบสงัด ร่างโปร่งแสงของแรนทีลยืนอยู่ตรงหน้า เขาค่อย ๆ เลือนหายราวกับเงาไฟที่ใกล้ดับ ดวงตาสีฟ้าเงินยังจับจ้องไม่ละไปไหน เต็มไปด้วยความโหยหาและปวดร้าว
แต่ในสายตาของเซย์เรนตอนนี้…ชัดเจนเกินกว่าจะเป็นเพียงภาพลวง
“งั้นก็หมายความว่า…ตอนนี้ทุกคนตายหมดแล้วสินะ”
เสียงของเซย์เรนสั่นสะท้อน เขาแทบไม่อยากได้คำตอบ แต่ก็รู้อยู่แล้วว่าความจริงมันโหดร้ายเพียงใด แรนทีลพยักหน้าช้า ๆ รับคำถามนั้นอย่างไร้หนทางปฏิเสธ ความเสียใจฉายชัดอยู่บนใบหน้า ทุกคนที่เคยเป็นเสาหลัก ทุกคนที่เคยยืนเคียงข้าง ได้ดับสูญไปแล้วจริง ๆ
หัวใจของเซย์เรนเจ็บบีบราวถูกกำมือบีบแน่น ความทรงจำที่เลือนรางในห้วงฝันย้อนกลับมาเหมือนม้วนเทปถูกกรอซ้ำ ภาพรอยยิ้ม สายตาอ่อนโยน ความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับจากโลกนี้ …ทั้งหมดกำลังทับถมลงมาพร้อมกัน
น้ำตาไหลพรากโดยไม่รู้ตัว ความเจ็บปวดกัดกินราวกับจะฉีกหัวใจให้ขาดเป็นเสี่ยง ๆ คนตรงหน้าคือชายผู้แม้จะรู้ว่าเขาไม่ใช่ “เซย์เรนคนเดิม” แต่ก็ยังรักสุดหัวใจ รักจนยอมฝ่าฝืนกฎของกาลเวลา ยอมแลกด้วยชีวิตเพื่อให้ได้เจอกันอีกครั้ง
เสียงของแรนทีลสั่นพร่าแต่หนักแน่น “หากท่านเลือกกลับไป…จะไม่มีวันได้กลับมาโลกนี้อีก ตัวตนของท่านที่นี่จะถูกลบเลือนหายไปตลอดกาล”
คำพูดนั้นเหมือนคมดาบที่กรีดลึกลงไปในอก เซย์เรนเงยหน้ามองเพดานสีหม่นของห้องเช่า ทุกสิ่งรอบตัวมันว่างเปล่าเกินไป ไม่มีบ้านที่มีคนรอ ไม่มีเสียงทักทาย ไม่มีมือที่คอยประคองยามล้มลง โลกที่นี่เหลือเพียงความจริงที่โหดร้ายกับความโดดเดี่ยวที่กัดกินไม่รู้จบ
ตรงกันข้าม อีกโลกหนึ่ง แม้มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เลือด น้ำตา และการทรยศ แต่ก็เป็นที่เดียวที่เขาได้รับความรัก ความผูกพันที่แน่นหนาราวด้ายแดงที่ผูกตรึงชะตาไว้ไม่อาจขาดได้
เซย์เรนหลับตาลง น้ำตาไหลรินไม่หยุด ความทรงจำที่เก่าเก็บพุ่งทะลักเข้ามาราวกับสายน้ำเชี่ยวกราก ไม่ปล่อยให้เขาปฏิเสธหรือหนีไปไหนได้ หัวใจตะโกนถามซ้ำ ๆ ว่า
เขาจะเลือกอยู่ที่นี่เพียงลำพัง…หรือกลับไปยังโลกที่ทุกคนรอเขาอยู่ แม้จะแลกด้วยการที่ไม่มีวันกลับมาที่นี่ได้อีกแล้ว?
เมื่อค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น สายตาของเขาสบเข้ากับแรนทีลที่ยืนอยู่ตรงหน้า ร่างโปร่งใสกำลังเลือนรางลงทุกที แต่ดวงตาสีฟ้าเงินนั้นยังคงชัดเจน เต็มไปด้วยความหวังปนความเจ็บปวด เหมือนเดิมพันชีวิตทั้งหมดไว้กับคำตอบเพียงคำเดียวจากเขา
แรนทีลยื่นมือมาเล็กน้อย ท่าทีไม่เร่งรัด ไม่บังคับ ราวกับเป็นเพียงเชื้อเชิญ ดวงตาที่พร่างพรายดุจประกายหิมะส่องตรงมาไม่ละไปไหน…รอคอยเพียงคำตอบสุดท้ายว่า...
“ท่าน…จะกลับไปกับข้าหรือไม่”
Talk with me
มาแถมให้อีกตอน เป็นตอนสั้น ๆ ที่จะเล่าย้อนเหตุการณ์ในอดีต
ถ้าตอบว่า "ไม่ ข้าจะกินชาบูอยู่ที่นี่" จบเลยนะ
:lol abc55 ตอบกลับเมื่อ 2025-10-29 13:31
ถ้าตอบว่า "ไม่ ข้าจะกินชาบูอยู่ที่นี่" จบเลยนะ
5555 เกิดเปลี่ยนใจเพราะโลกนั้นไม่มีหมูกะทะชาบู สนุกมากครับ โอ โอ โอ มาเล่นดราม่าอีกตอนละ คุณฟงใจร้ายอะ
แต่สนุกมากเลยครับ ต้องรอเฝ้าติดตามต่อืหลังจากรอมานานเลย
ขอบคุณครับ ขอขอบคุณ ขอบคุณ
หน้า:
[1]