ซ่อนรักในไซต์งาน ตอนที่ 1
https://www.g4guys.com/data/attachment/album/202510/14/094330bh86j8jhqxj9t37m.jpgแสงอาทิตย์ยามเย็นทอดเงายาวบนทุ่งนา เมื่อ ทิม วัยสิบแปดปี ก้าวเข้าสู่บ้านด้วยสีหน้าอิ่มเอมใจ เสื้อนักเรียนชุดสุดท้ายที่เขาภูมิใจสวมใส่ยังไม่ได้ถูกถอดออก วันนี้เป็นวันสำคัญ วันที่เขาสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลายแล้ว
แม่เดือน ยืนอยู่กลางบ้าน ดวงตาคู่เดิมที่มักจะเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเหนื่อยล้า กำลังจ้องมองลูกชายอย่างเงียบงัน รอคอยให้เขาเดินเข้ามาใกล้...
“ลูก...” เสียงของเธอแผ่วเบา แต่ก็ดังพอที่จะหยุดทิมไว้ “แม่มีเรื่องอยากจะคุยหน่อย”
ทิมรับรู้ได้ถึงความตึงเครียดบางอย่างในน้ำเสียงนั้น เขาวางกระเป๋าลงข้างๆและเดินเข้าไปหาแม่ด้วยท่าทีที่สุภาพเสมอ
“มีอะไรหรือครับแม่”
แม่เดือนถอนหายใจยาว พยายามเรียบเรียงถ้อยคำที่อัดแน่นอยู่ในอกมานานหลายเดือน เธอจับมือของลูกชายแน่น ราวกับจะถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดผ่านสัมผัส
“ลูกต้องเข้าใจแม่นะ... ถ้าแม่อยากจะขออะไรลูกอย่างหนึ่ง”
หัวใจของทิมเริ่มเต้นเร็วขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล ความรู้สึกตื่นเต้นจากความสำเร็จเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความกังวล
“คืออะไรหรือครับแม่” เขาถามด้วยเสียงที่เกือบจะเป็นกระซิบ
แม่เดือนเงยหน้ามองทิม ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความหนักใจและรู้สึกผิด
“ถ้าแม่ไม่ให้ลูกเรียนต่อ... ลูกโอเคไหม”
ใบหน้าของทิมแข็งค้างไปชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาของเขาสั่นไหวราวกับรับแรงกระแทกจากคำพูดที่ไม่คาดคิด
แต่แล้ว... ความผิดหวังและโกรธเคืองที่ควรจะเกิดขึ้น ก็ถูกแทนที่ด้วยความเข้าใจอย่างรวดเร็ว เขารับรู้ถึงภาระที่แม่แบกรับมาตลอดชีวิต
“...ผมโอเคครับแม่”
ทิมตอบด้วยเสียงแผ่วเบาที่แทบจะไม่ได้ยิน
“แม่บอกเหตุผลผมมาเถอะ”
แม่เดือนรู้สึกโล่งใจที่ลูกชายไม่โต้แย้ง แต่ความโล่งใจนั้นก็มาพร้อมกับความเจ็บปวดที่ต้องพูดความจริง
“ลูกก็รู้ว่าตั้งแต่พ่อจากไป แม่แบกภาระนี้มาคนเดียว”
เธอเริ่มอธิบาย เสียงของเธอสั่นเครือ
“เงินเก็บที่เรามีมันจำกัดมากจริงๆ มันไม่พอหรอกทิม มันไม่พอที่จะส่งลูกชายทั้งสองคนเรียนมหาวิทยาลัยพร้อมกัน หรือแม้แต่ให้จบคนใดคนหนึ่งแบบสบายๆ เลย”
แม่เดือนบีบมือลูกชายแน่นขึ้น น้ำตาเริ่มเอ่อคลอที่หางตา
“ลูก... ลูกต้องเสียสละให้น้องนะ ที ยังอายุน้อยกว่าลูกตั้งสี่ปี เขายังมีเวลาเตรียมตัวน้อยกว่าลูก”
เธอเว้นช่วงหายใจอย่างยากลำบาก
“แม่รู้ว่ามันไม่ยุติธรรมเลย แต่ทียังต้องเรียนอีกนานกว่าจะจบมัธยมปลาย... แม่ขอให้ลูกออกไปทำงานก่อน ไปหาประสบการณ์ชีวิตเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ ให้แม่มีเงินสำรองเพื่อส่งน้องเรียนจนจบ”
“ทิม... เป็นพี่ ลูกเสียสละให้น้องก่อนได้ไหม ให้ทีได้เรียนต่อในวันที่ลูกพร้อมค่อยกลับมาเรียนก็ได้... นะลูก”
ทิมเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก้มหน้ามองมือของตัวเองที่ถูกแม่กุมไว้อย่างอ่อนโยน หัวใจของเขาเจ็บปวดอย่างประหลาด ไม่ใช่เพราะความโกรธ แต่เพราะความรักและความเห็นใจต่อผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“เข้าใจแล้วครับแม่”
ในที่สุดเขาก็ตอบรับอย่างหนักแน่น แม้ในใจจะรู้สึกเหมือนกับความฝันที่เพิ่งก่อตัวขึ้นได้พังทลายลงในพริบตา
“ผมจะเสียสละให้น้องครับ”
หลังจากคำตอบที่หนักแน่นของทิม ความเงียบอันแสนอึดอัดก็เข้าปกคลุมห้อง มีเพียงเสียงถอนหายใจยาวของแม่เดือนเท่านั้นที่ดังขึ้นเพื่อทำลายมัน
แม่เดือนปล่อยมือลูกชาย ก่อนจะเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปยังความมืดมิดภายนอก ราวกับกำลังมองย้อนกลับไปยังรอยร้าวในอดีตที่นำพาพวกเขามาสู่จุดนี้
“ลูกรู้ไหม... ตั้งแต่แม่กับพ่อของลูกแยกทางกัน ชีวิตแม่ก็ไม่เคยง่ายเลย”
เธอเริ่มต้นเล่า ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคิดถึงและความเจ็บปวด
การแยกทางระหว่างแม่เดือนและพ่อของทิมเกิดขึ้นเมื่อสี่ปีที่แล้ว ในช่วงที่ทิมกำลังก้าวเข้าสู่วัยสิบสี่ปี และทีเพิ่งจะอายุสิบปีเท่านั้น การหย่าร้างในครั้งนั้นไม่ได้มีสาเหตุมาจากความบาดหมางรุนแรง แต่เป็นเพราะความไม่ลงรอยกันในเรื่องทิศทางชีวิต พ่อของทิมเลือกที่จะทิ้งชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์ไว้เบื้องหลัง แล้วเดินทางไปเริ่มต้นทำงานเป็นกรรมกรก่อสร้าง ที่ต่างจังหวัด
แม้ว่าจะแยกกันอยู่ แต่พ่อก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเอง พ่อของทิมไม่ได้หายไปจากชีวิตของลูกๆ อย่างสิ้นเชิง เขายังคงส่งเงินมาให้ใช้อยู่เป็นประจำทุกเดือน ถึงแม้จะไม่มากมายนัก แต่ก็เพียงพอที่จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของทิมและทีได้เป็นอย่างดี
แต่แล้ว... ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อปีที่แล้ว ทิมต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสียครั้งใหญ่ยิ่งกว่าการหย่าร้าง พ่อของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ที่เกิดขึ้นบนถนนสายรองในต่างจังหวัดอย่างกะทันหัน การจากไปอย่างไม่มีวันกลับของพ่อ ทำให้แหล่งรายได้ที่คอยจุนเจือครอบครัวเพียงน้อยนิดต้องหยุดชะงักลงทันที การสูญเสียครั้งนั้นไม่ได้ทิ้งไว้เพียงความโศกเศร้า แต่ยังทิ้งความจริงอันโหดร้ายไว้ให้แม่เดือนต้องเผชิญ นั่นคือ การขาดหายไปของเสาหลักทางด้านการเงินอย่างสมบูรณ์ แม่เดือนที่ทำงานเป็นลูกจ้างที่ร้านอาหารตามสั่งแถวบ้าน ต้องกลายเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในบ้านเพียงคนเดียวและภาระที่กำลังจะเกิดขึ้น คือ ค่าใช้จ่ายในการเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยของทิม แม่เดือนหันกลับมามองทิม ดวงตาของเธอแดง
“ลูกก็เห็นว่าแม่พยายามอย่างที่สุดแล้ว แม่ทำงานล่วงเวลาแทบทุกวัน แต่แม่ก็ยังหาทางออกไม่ได้จริงๆ”
ทิมเดินเข้าไปสวมกอดแม่ของเขาเบาๆ ความเสียสละที่เขากำลังทำอยู่จึงไม่ได้เกิดจากความจำเป็นของครอบครัวเท่านั้น แต่ยังเกิดจากความรักและความเข้าใจในความยากลำบากที่ผู้เป็นแม่ต้องเผชิญอย่างโดดเดี่ยวอีกด้วย
"ผมเข้าใจครับแม่"
ทิมกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูแม่
"ผมจะทำงาน แล้วผมจะรอวันที่ผมพร้อม... เพื่อกลับมาเรียนตามที่ฝันให้ได้"
ความตึงเครียดเริ่มคลายลงเมื่อคำพูดของทิมช่วยบรรเทาความกังวลในใจของแม่เดือนได้บ้าง
แม่เดือนผละออกจากอ้อมกอดของลูกชาย เธอใช้หลังมือปาดน้ำตาเบาๆ ก่อนจะกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยวยิ่งขึ้น ราวกับว่าตอนนี้เธอได้วางแผนทุกอย่างไว้อย่างรอบคอบแล้ว
“แม่ไม่ได้จะให้ลูกออกไปเคว้งคว้างนะทิม”
แม่เดือนกล่าวพลางจ้องมองเข้าไปในดวงตาของลูกชาย
“แม่มีทางออกให้ลูกแล้ว”
ทิมรอคอยฟังรายละเอียดที่แม่เตรียมไว้
“จำคุณนนท์ได้ไหม”
แม่เดือนเอ่ยชื่อขึ้นมา
“นนท์ เป็นผู้รับเหมารายย่อยที่พ่อของลูกเคยทำงานด้วยกันตอนอยู่ที่ต่างจังหวัด พวกเขาค่อนข้างสนิทกัน”
ทิมพยักหน้าอย่างครุ่นคิด เขาจำเลือนรางได้ถึงชายร่างผอมบาง ผิวขาว ตัวเล็กๆที่ดูเป็นคนจริงจัง แต่มีรอยยิ้มที่เป็นมิตร ซึ่งเคยมาเยี่ยมพ่อที่บ้านในช่วงวันหยุดยาวครั้งหนึ่ง
“แม่ได้คุยกับนนท์ไว้แล้ว”
แม่เดือนพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง
“เขากำลังต้องการคนงานที่เชื่อถือได้ และเขาตกลงที่จะรับลูกเข้าทำงานทันที”
“นนท์บอกว่า งานอาจจะหนักหน่อย ต้องอยู่ต่างจังหวัดเป็นส่วนใหญ่ แต่เขาสัญญาว่าจะดูแลลูกอย่างดี เขาจะสอนงานให้ลูกได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต แม่เชื่อว่านั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับลูก”
ทิมเงียบไปพักหนึ่ง การเปลี่ยนจากชุดนักเรียนมาเป็นชุดคนงานก่อสร้าง, จากห้องเรียนไปสู่ไซต์งานต่างจังหวัด, จากหนังสือตำราไปสู่การใช้แรงงาน... มันเป็นก้าวที่ใหญ่และฉับพลัน
แต่เมื่อเขามองเห็นความมุ่งมั่นและความโล่งใจที่ฉายอยู่ในดวงตาของผู้เป็นแม่ เขาก็ตัดสินใจที่จะยอมรับชะตากรรมใหม่นี้อย่างกล้าหาญ
“ได้ครับแม่”
ทิมตอบอย่างหนักแน่น พร้อมสูดหายใจเข้าลึก
“ผมจะไปทำงานกับคุณนนท์ครับ”
มันเป็นคำตอบที่ปิดฉากบทเรียนในโรงเรียน และเปิดประตูสู่โลกแห่งความจริงอันโหดร้ายสำหรับเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีอย่างสมบูรณ์แบบ
เมื่อได้ยินคำยืนยันจากลูกชาย แม่เดือนก็ไม่รอช้า
“เดี๋ยวแม่โทรยืนยันกับนนท์เดี๋ยวนี้เลย”
เธอพูดกับทิมพลางกดหมายเลขโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว
เสียงรอสายดังขึ้นไม่นาน นนท์ก็รับสาย แม่เดือนลดเสียงลงเล็กน้อย แต่ทิมที่ยังยืนอยู่ใกล้ๆ ก็สามารถได้ยินเสียงพูดที่หนักแน่นของผู้รับเหมาหนุ่มลอดออกมา
“นนท์... ใช่จ้ะ เดือนเอง” แม่เดือนเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่โล่งอก
“ทิม... ลูกชายพี่ เขาตกลงที่จะไปทำงานกับนนท์แล้วนะจ๊ะ... ใช่จ้ะ นนท์จะให้ทิมเริ่มงานได้เมื่อไหร่... ได้เลยจ้ะ! ขอบใจนนท์มากจริงๆ นะ ที่ช่วยพี่ในเรื่องนี้”
ขณะที่แม่เดือนกำลังวางสายและหันมามองทิมด้วยรอยยิ้ม ที น้องชายของทิม วัยสิบสี่ปี ก็เดินเข้ามาพอดี ทีได้ยินเพียงประโยคสุดท้ายที่แม่พูดถึงการทำงานของทิม และเห็นสีหน้าจริงจังของผู้เป็นแม่ เขาจึงเดินเข้าไปใกล้ด้วยความสงสัย
“แม่ครับ... พี่ทิมจะไปทำงานอะไร”
ทีถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
แม่เดือนถอนหายใจเล็กน้อย เธอรู้ว่ายังไงก็ต้องอธิบายให้น้องชายคนเล็กฟัง
“พี่เขาจะไปทำงานต่างจังหวัดกับคุณนนท์นะลูก” แม่เดือนตอบอย่างระมัดระวัง
“ไปทำงาน?” ทีเบิกตากว้าง
“พี่ทิมจบม.ปลายแล้วไม่ใช่เหรอครับ? ทำไมไม่ไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยล่ะ!”
ความไม่พอใจเริ่มฉายชัดบนใบหน้าของที ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่รวดเร็วและตรงไปตรงมาตามแบบฉบับของวัยรุ่น เขาหันไปมองทิมด้วยความไม่เข้าใจ
“พี่ทิมทำแบบนี้ได้ยังไง! พี่ควรจะได้เรียนต่อสิ! พี่เรียนเก่งจะตาย!”
แม่เดือนจับไหล่ของทีไว้ และบังคับให้เขานั่งลงข้างๆ เธอ ก่อนจะอธิบายทุกอย่างด้วยความอดทนและเจ็บปวด
“แม่ไม่มีเงินมากพอที่จะส่งลูกสองคนเรียนพร้อมกันได้จริงๆ ที”
แม่เดือนพูดเสียงแผ่ว
“ตั้งแต่พ่อจากไป เงินที่เรามีก็ไม่พอแล้ว พี่ทิมเขากำลังเสียสละให้ลูกนะ เขาตัดสินใจที่จะพักเรื่องเรียนไว้ก่อน เพื่อออกไปทำงานหาเงินมาช่วยแม่ เพื่อให้ลูกได้มีโอกาสเรียนต่อจนจบอย่างไม่ติดขัด”
ทีเงียบไปทันที คำว่า ‘เสียสละ’ กระแทกเข้ากลางความรู้สึกของเขา ความไม่พอใจเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความตระหนกและรู้สึกผิดอย่างรวดเร็ว เขาก้มหน้าลงมองพื้นอย่างช้าๆ พลางรู้สึกราวกับว่าภาระทั้งหมดของครอบครัวได้ตกลงมาทับอยู่บนบ่าของเขา
“เพราะผมเหรอครับ... ที่พี่ทิมไม่ได้เรียนต่อ” ทีถามเสียงอู้อี้
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกลูก” แม่เดือนพูดปลอบ
“มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราทุกคน”
แต่ทีรู้ดีว่าการตัดสินใจนี้ส่งผลกระทบต่อพี่ชายของเขาโดยตรง ความรู้สึกผิดอย่างรุนแรงกัดกินหัวใจของเด็กหนุ่ม ท่ามกลางความเงียบนั้น ทีเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายที่กำลังมองเขาอยู่ด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อยบางอย่าง เขารู้สึกเหมือนเป็นตัวการที่ทำให้พี่ชายต้องทิ้งอนาคตที่สดใสไปอย่างไม่เต็มใจ เพื่อเปิดทางให้เขาได้เดินต่อบนเส้นทางที่ราบรื่นกว่า
สนุกมากครับ ใจจ่ท เยี่ยม ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับ ขอบคุณครับ คิดถึงสำนวนของคุณธัญวลัยมาก เขียนดี รัก ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอขอบคุณมากๆนะครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับ
หน้า:
[1]