เมื่อผมข้ามมิติและต้องแต่งงานกับผู้ชาย 4 คนพร้อมกัน Ch.22
ในขณะที่เฟลด์กำลังยืนอยู่หน้าคฤหาสน์ที่ว่างเปล่า ความกังวลของเขาก็ถูกส่งผ่านพลังเวทออกไปทันที ราวกับเสียงตะโกนที่ไม่ต้องใช้คำพูด
ไคเรนซึ่งกำลังเจรจาข้อตกลงการค้าอยู่ทางเมืองเหนือ สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของเวทที่กระจายเข้ามา เขาหยุดชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่พลังนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นข้อความชัดเจนเพียงคำเดียวในหัว “อันตราย” ใบหน้าของไคเรนซีดเผือดลงในทันที เขาไม่สนใจข้อตกลงที่กำลังจะเสร็จสิ้น รีบลุกขึ้นและเดินตรงไปยังคอกม้าในทันที
ในป่าต้องห้าม แรนทีลซึ่งกำลังตามรอยพลังงานเวทใหม่ก็รับรู้ได้ถึงสัญญาณเดียวกัน แม้จะอ่อนแรงเพราะบาดแผลที่หัวไหล่จากการจู่โจมของเงามืด แต่เมื่อเสียงนั้นดังขึ้นในใจ เขาก็ละทิ้งทุกสิ่งตรงหน้า วิ่งพุ่งฝ่าเงามืดออกมาอย่างไม่สนเจ็บปวด มุ่งตรงไปยังเขตเชื่อมต่อเมืองหลวงด้วยความเร็วเหนือมนุษย์
ขณะเดียวกัน เอลเซียนที่คุมกองทัพอยู่ชายแดนก็ได้รับข้อความเช่นกัน เขาไม่รอช้า รีบเรียกองค์รักษ์ส่วนตัวและสั่งให้เตรียมม้าทันที ตอนนี้ในใจของเขาไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการหาตัวเซย์เรนให้เจอ
ทั้งสามต่างมุ่งหน้าไปยังจุดหมายเดียวกันคือเมืองอาร์คีลาน่า โดยไม่มีใครรู้ว่าต่างฝ่ายต่างก็กำลังเดินทางไปที่นั่นเหมือนกัน
ทันทีที่แรนทีลก้าวพ้นขอบเขตของป่าต้องห้าม พลังเวทที่ถูกจำกัดไว้ก็คลายออก อย่างรุนแรง มวลเวทมหาศาลทะลักเข้าสู่ร่างจนล้น เขาไม่รอช้า ใช้เวทเคลื่อนย้ายในทันที ร่างปรากฏขึ้นกลางเมืองอาร์คีลาน่าดั่งสายฟ้าแลบ ก้าวเดินอย่างเร่งร้อนบนถนนที่คลาคล่ำด้วยผู้คน ดวงตาเพ่งหาคนของเฟลด์ที่เขามั่นใจว่าจะต้องรออยู่แล้ว และไม่นาน เอลเซียนก็มาถึง ตามด้วยไคเรนที่มาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน
“ตอนนี้เซย์เรนอยู่ที่ไหนกันแน่” แรนทีลเอ่ยถาม น้ำเสียงสั่นเครือเต็มไปด้วยความร้อนรน แต่ทั้งไคเรนและเอลเซียนก็ทำได้เพียงส่ายหน้า พวกเขารับรู้เพียงสัญญาณขอความช่วยเหลือจากเฟลด์เท่านั้น ยังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่
ไม่นานนัก ทหารลับคนหนึ่งของเฟลด์ก็ปรากฏตัวขึ้น ก่อนจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นคร่าว ๆ ให้เหล่าสวามีของเซย์เรนฟัง พวกเขาจำเป็นต้องไปพบเฟลด์ที่คฤหาสน์นอกเมืองทันที ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้พักค้างแรมก่อนที่รัชทายาทจะหายตัวไป
ทั้งสามไม่รอช้า ใช้เวทเคลื่อนย้ายตรงสู่คฤหาสน์หรูที่ตั้งอยู่นอกเขตเมืองใหญ่ ทหารจำนวนหนึ่งคุมเข้มอยู่รอบบริเวณ ซาร์เอลเองก็มีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก เมื่อเผชิญหน้ากับพวกเขา เฟลด์เองยืนอยู่หน้าประตู ใบหน้าของเขาซีดเผือด และดวงตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“เฟลด์!” ไคเรนเอ่ยเรียกอย่างร้อนรน “เกิดอะไรขึ้น!”
เฟลด์พยายามรวบรวมสติ ก่อนจะค่อย ๆ เล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้น น้ำเสียงสั่นไหวแต่หนักแน่น การหายตัวไปของเซย์เรน การปะทะคารมกับซาร์เอล และสุดท้ายคือการที่ซาร์เอลยอมรับว่ารัชทายาทถูกลักพาตัวไปตั้งแต่คืนก่อน
ทันทีที่เฟลด์พูดจบ แรนทีลก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเดือดดาลราวกับจะเผาไหม้ทุกอย่างที่ขวางหน้า เขาแทบจะพุ่งเข้าใส่ซาร์เอลที่ยืนอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวในทันที แต่ซาร์เอลกลับไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านแม้แต่น้อย เพียงยืนนิ่ง มองการกระทำของแรนทีลด้วยสายตาที่เย็นชา
"ซาร์เอล...เจ้า!" แรนทีลกัดฟันกรอด เสียงของเขาสั่นเครือด้วยความโกรธ "ถ้าเซย์เรนเป็นอะไรไป...ข้าจะฆ่าเจ้า!"
"แรนทีล! หยุดเดี๋ยวนี้!" ไคเรนรีบเข้ามาขวางเขาไว้ "เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อทะเลาะกับซาร์เอล"
"แต่เขารู้เรื่องทั้งหมด!" แรนทีลตะคอก "เขาต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง!"
"ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่รู้" ซาร์เอลกล่าวเสียงเรียบ "ข้าก็เป็นคนหนึ่งที่กำลังตามหาตัวรัชทายาทอยู่"
"โกหก!" แรนทีลตะโกน "ถ้าเจ้ารู้เรื่อง...ทำไมถึงไม่บอกพวกเราตั้งแต่แรก! ทำไมถึงปล่อยให้เรื่องมันล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้!"
ไคเรนจับไหล่ของแรนทีลแน่น "ใจเย็นก่อนแรนทีล...การตามหาเซย์เรนเป็นเรื่องสำคัญกว่า" ไคเรนหันไปมองซาร์เอลด้วยสายตาที่เฉียบคม "บอกมาซาร์เอล...เจ้ายังรู้อะไรอีกหรือไม่?"
ซาร์เอลส่ายหน้า "ข้ารู้แค่ว่าองค์รัชทายาทหายไปจากคฤหาสน์เมื่อคืนนี้เท่านั้น"
ทุกคนต่างรู้สึกสิ้นหวัง เมื่อซาร์เอลไม่มีข้อมูลอะไรให้พวกเขาได้มากกว่านี้ แต่ในตอนนั้นเอง แรนทีลก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เขายกมือขึ้นแล้วร่ายเวทในทันที
“เวทติดตาม…” แรนทีลพึมพำ ก่อนที่ดวงตาของเขาจะเบิกกว้างด้วยความหวัง “ข้าเคยผูกเวทไว้กับแหวนของเซย์เรน!”
ประกายแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นกลางฝ่ามือของเขา ก่อนจะแผ่พุ่งออกไปเป็นเส้นตรงฉีกความมืดมิด ทุกคนไม่รอช้า รีบใช้เวทเคลื่อนย้ายติดตามแสงนั้นไปในทันที
เมื่อแสงดับลง พวกเขาก็ปรากฏตัวท่ามกลางตลาดมืดอันแออัด ห่างไกลจากตัวเมืองใหญ่ ผู้คนพลุกพล่านด้วยการซื้อขายสิ่งต้องห้าม แต่สิ่งที่รอพวกเขาอยู่กลับเป็นเพียงแผงลอยที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับและของใช้ที่ถูกปล้นมา
ไคเรนเบิกตากว้าง ดวงตาคู่คมเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานด้วยโทสะ เขามองข้ามทุกสิ่งตรงหน้า ก่อนจะพุ่งเข้าหาชายที่กำลังขายเครื่องประดับอยู่ กระชากคอเสื้อขึ้นมาอย่างแรงจนอีกฝ่ายแทบขาดใจ
“บอกข้ามา เจ้าได้ของพวกนี้มาจากที่ใด!” น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบต่ำลึก แฝงแรงกดดันจนบรรยากาศรอบตลาดแปรเปลี่ยนเป็นความอึดอัด ผู้คนที่ยืนใกล้ต่างถอยกรูดด้วยความหวาดกลัว
ชายคนนั้นหน้าซีดเผือด ตัวสั่นระริก “ขะ…ข้าไม่รู้! ข้าแค่รับของมาขายเท่านั้น!”
แรนทีลก้าวเข้ามาใกล้ ดวงตาของเขาเปล่งประกายสีฟ้าสั่นไหวราวกับพายุคลั่ง “อย่าแม้แต่จะคิดโกหก…ข้าสาบานว่าถ้าเจ้าไม่ยอมปริปาก พวกเจ้าจะถูกสาปให้เจ็ดชั่วโคตรไม่เหลือแม้แต่เศษเถ้าธุลี” น้ำเสียงของแรนทีลเต็มไปด้วยความมุ่งร้ายจนทุกคนที่ได้ยินต่างพากันตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
“แต่...แต่ข้าบอกไปพวกนั้นก็จะฆ่าข้านะขอรับ!” ชายคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ มือสั่นจนแทบจับเสื้อคลุมตัวเองไม่อยู่
เอลเซียนก้าวเข้ามา “พวกนั้นจะฆ่าเจ้าถ้าเจ้าเปิดปากก็จริง… แต่ถ้าเจ้ายังเลือกจะเงียบอยู่ เราก็จะฆ่าเจ้าเสียเอง” น้ำเสียงของเอลเซียนเรียบเฉย แต่มันกลับน่ากลัวยิ่งกว่าคำขู่ใดๆ “เลือกเอา ว่าเจ้าจะตายด้วยมือใคร”
ความน่ากลัวของเหล่าสวามีทำให้ชายคนนั้นไม่กล้าที่จะต่อต้านอีกต่อไป เขายอมจำนนให้กับความน่ากลัวนั้นและเริ่มพูด
“พวกมัน… พวกมันเป็นพ่อค้าทาสขอรับ!” ชายคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ข้าได้ยินว่ามีของที่ราคาสูงถูกส่งเข้าประมูลในตลาดมืดไม่นานมานี้… ว่ากันว่าเพื่อสนองกามราคะของพวกเศรษฐี และก็มีคนประมูลไปแล้วด้วย! ข้า… ข้าไม่รู้ว่าเป็นใคร นอกเสียจากไปถามกับหัวหน้าสมาคมขอรับ!”
คำพูดนั้นทำให้เหล่าสวามีหันมามองหน้ากันทันที สีหน้าของแต่ละคนแปรเปลี่ยนเป็นความกราดเกรี้ยวและตระหนก เมื่อได้ยินว่าคนรักของตนถูกขายเป็นเพียงเครื่องบำเรอราคะ ความอดทนที่เหลืออยู่ก็ขาดสะบั้นในพริบตา
“พาพวกข้าไปพบหัวหน้าสมาคมของเจ้า” แรนทีลเอ่ยเสียงกร้าว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชาจนคนรอบข้างต้องผงะถอยหลัง
ชายคนนั้นรีบพยักหน้า พาร่างที่สั่นเทิ้มออกเดินนำทางไปตามตรอกแคบและมืด จนกระทั่งหยุดอยู่หน้าอาคารเก่าโทรมหลังหนึ่ง ภายในมีชายร่างอ้วนกำลังนับเงินกองโตด้วยสีหน้าไม่ใยดี
“มีอะไรก็ว่ามา ข้าไม่มีเวลามานั่งต้อนรับพวกเจ้าหรอก” ชายอ้วนเอ่ยเสียงห้วน แววตาไม่เหลือบแลด้วยซ้ำ
“เราไม่ได้มาขอการต้อนรับ” ไคเรนเอ่ยเสียงต่ำ มันเย็นเฉียบเสียจนบรรยากาศเหมือนหยุดนิ่ง “เรามาที่นี่เพื่อถามถึงของสิ่งหนึ่ง ที่พวกเจ้าพึ่งขายไป”
สีหน้าของชายอ้วนเริ่มฉุนเฉียว ทว่าก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ แรนทีลก็สะบัดมือ ใช้พลังเวทกดตรึงร่างเขาไว้กับเก้าอี้ ร่างอ้วนนั้นดิ้นรนแต่ไม่อาจขยับแม้แต่นิ้ว
“บอกมาว่าใครประมูลของราคาสูงไป” แรนทีลถามเสียงเย็น “บอกความจริงมาซะ! ก่อนที่ข้าจะใช้เวทมนตร์เค้นความจริงจากสมองของเจ้าออกมา”
“เจ้า… เจ้าพวกบ้านี่! พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่ากำลังล้อเล่นกับใครอยู่!”
“ไม่—เจ้าต่างหากที่ไม่รู้ ว่ากำลังเผชิญหน้ากับใครอยู่” เอลเซียนเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “คนที่พวกเจ้าลักพาตัวมา… คือรัชทายาทแห่งจักรวรรดิ”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น หัวหน้าสมาคมก็หน้าถอดสี ร่างอวบใหญ่ถึงกับทรุดฮวบ เข่าอ่อนลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ม… ไม่… เป็นไปไม่ได้…” เขาพึมพำสั่นเครือ ตาลอยพร่า “ถ้า… ถ้าเขาเป็นรัชทายาท แล้วพวกเจ้า…!”
สายตาหวาดผวาจับจ้องเหล่าสวามีทั้งสี่ที่ยืนรายล้อมรอบตัวเขา ชื่อที่สั่นสะเทือนทั้งจักรวรรดิ “สี่เสาหลัก” ผู้ที่ไม่มีใครกล้าต่อกร
“ข้า… ข้าไม่รู้ว่าใครเป็นคนประมูลไปจริง ๆ! ข้าแค่ทำตามคำสั่ง!” หัวหน้าสมาคมพรั่งพรูด้วยเสียงที่สั่นระริก “แต่คนที่จะมีเงินมากพอ... จ่ายได้ราคามหาศาลเช่นนั้น...”
--
ผมไม่รู้ว่าตัวเองนอนอยู่บนพื้นมานานแค่ไหนแล้ว ความเจ็บปวดที่หน้าท้องเริ่มจางลงไปบ้าง แต่ความรู้สึกแสบร้อนจากข้างในกลับยังคงอยู่ มันทรมานจนผมแทบอยากจะหลับตาลงแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก
ผมได้แต่คิดว่า...ถ้าหากเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในโลกที่ผมจากมา ผมคงจะไปหาหมอแล้วก็กลับไปทำงานได้ตามปกติ แต่ที่นี่มันไม่ใช่...ที่นี่มันไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรเลย แถมผมยังต้องมาเจอเรื่องที่เหนือจินตนาการแบบนี้อีก
ใครจะไปคิดว่าผู้ชายจะท้องได้? ในโลกของผมเรื่องแบบนี้มันมีแค่ในนิยายแฟนตาซีเท่านั้นแหละ แต่ตอนนี้...มันเกิดขึ้นกับผมแล้ว ผมได้แต่ภาวนาว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร แต่ความกลัวก็ยังคงเกาะกินในใจ
"โอ้ย! นี่มันเวรกรรมอะไรของผมกันเนี่ย!?" ผมอยากจะตะโกนออกมาดังๆ แต่ก็ทำได้แค่พึมพำในใจ
ผมนึกถึงหน้าไคเรน แรนทีล เอลเซียน และเฟลด์ พวกเขาจะรู้หรือยังนะว่าผมหายไป? พวกเขาจะมาช่วยผมได้จริงๆ หรือเปล่า? หรือผมต้องรอให้พวกเขามาพบผมในสภาพที่ไม่เหลือความเป็นมนุษย์แล้ว?
ผมอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ ทั้งที่ความรู้สึกในใจตอนนี้มันบอบช้ำจนแทบจะยืนไม่ไหว มันน่าตลกสิ้นดี...ที่ผมต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ทั้งที่เมื่อวันก่อนผมยังบ่นเรื่องงานกับเพื่อนอยู่เลย นี่ถ้าเป็นในโลกของผม คงจะไม่มีใครเชื่อผมหรอก
ไม่...ผมต้องไม่หลับ ผมต้องไม่หลับไปตอนนี้ ผมต้องรอพวกเขา...แต่ผมจะรอนานแค่ไหนกันนะ
ความเงียบในห้องทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกทอดทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง เหมือนถูกส่งมาให้เผชิญชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกหนีได้เพียงลำพัง ทั้งๆ ที่ผมอยากจะกลับบ้าน อยากจะกลับไปหาพวกเขา อยากจะกอดพวกเขาแล้วบอกว่าผมคิดถึง...
ร่างกายที่อดอาหารมานานทำให้ผมอ่อนเพลียจนถึงที่สุด ประกอบกับเสียเลือดไปมากจนรู้สึกเหมือนกำลังจะลอยขึ้นไปบนอากาศ
ผมพยายามที่จะลืมตาเอาไว้ แต่เปลือกตากลับหนักอึ้งเหมือนมีหินถ่วงเอาไว้ สติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดเริ่มเลือนลางไปเต็มที ภาพความฝันที่เคยเห็นเจ้าปลาวาฬตัวน้อยเริ่มปรากฏขึ้นในหัวอีกครั้ง มันว่ายน้ำเข้ามาหาอย่างเชื่องช้า ราวกับกำลังจะพาผมไปในที่ที่ไกลแสนไกล
"ไม่นะ..." ผมพึมพำเสียงแผ่วเบา "ข้ายังไปไหนไม่ได้..."
แต่แล้วทุกอย่างก็เริ่มมืดลงเรื่อยๆ ความรู้สึกทั้งหมดเลือนหายไป ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่วงลงไปในห้วงลึกที่ไร้จุดหมาย ผมได้ยินเสียงสุดท้ายที่ก้องอยู่ในหัว...เสียงหัวใจของผมเองที่เต้นอย่างแผ่วเบา ก่อนที่ทุกอย่างจะดับลงไปในความมืดมิด
--
เมื่อเหล่าสวามีใช้เวทเคลื่อนย้ายมาถึงหน้าคฤหาสน์ของเศรษฐีโรคจิต พวกเขาไม่รอช้า ร่างทั้งหมดพุ่งตรงเข้าไปในคฤหาสน์ ดวงตาคมกริบของไคเรน แรนทีล และเอลเซียนกวาดมองรอบด้านราวกับสัตว์นักล่า มีเพียงสิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการ…เซย์เรน
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้พบ คนร่างสูงผู้ชนะการประมูลกลับก้าวออกมาราวกับกำลังรอรับแขก ใบหน้าของเขาแต้มรอยยิ้มกวนประสาทที่ทำให้บรรยากาศยิ่งน่าขยะแขยง
"อ้าว! ไม่นึกเลยว่าจะมากันถึงที่นี่" ชายร่างสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงกวนประสาท "แต่ข้าบอกไปแล้วว่าข้าไม่ได้มีเวลามาต้อนรับพวกเจ้า"
"เราไม่ได้มาหาเจ้า" ไคเรนกล่าวเสียงต่ำ ดวงตาแข็งกร้าว "เรามาเพื่อทวงคนรักคืน"
ชายร่างสูงหัวเราะเยาะ "ไอ้หนูนั่นงั้นหรือ? ใจเย็น ๆ สิ ถ้าอยากเจอมัน…ก็จ่ายมาก่อน"
"ต้องการเท่าไหร่" เอลเซียนถามเสียงเรียบ ดวงตาไร้อารมณ์
"หึ…" ชายร่างสูงหัวเราะในลำคอ "ข้าลงทุนซื้อมาในราคาสูง แต่กลับได้ของมีตำหนิ ทำเอาข้าเสียอารมณ์นัก"
คำพูดนั้นเหมือนคมมีดกรีดลึกลงในใจของเหล่าสวามี ทุกคนยืนนิ่งราวกับถูกโซ่แห่งความโกรธพันธนาการไว้
"พวกเจ้าอยากเอาไปเล่นสนุกก็จ่ายมา" ชายร่างสูงเอ่ยต่อ "ถึงจะใช้ไม่ได้แล้ว...แต่รูปร่างหน้าตาแบบนั้นก็ยังพอขายได้อยู่"
แรนทีลไม่รอให้ชายร่างสูงพูดจบ พลังเวทสีฟ้าก็ปะทุออกมาราวกับพายุ เขายกมือขึ้น ดวงตาเปล่งประกายสีฟ้าเย็นเยียบแล้วกดจิตชายร่างสูงให้ตกอยู่ในอำนาจ
"พาพวกข้าไปหาเซย์เรน" แรนทีลสั่งเสียงเย็นยะเยือก ดวงตาของเขาเปล่งประกายสีฟ้าที่น่ากลัว ชายร่างสูงไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้อีกต่อไป เขาเดินนำเหล่าสวามีไปยังห้องลับ
และสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าแทบทำให้หัวใจทุกคนหยุดเต้น เซย์เรนในสภาพที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ร่างอาบไปด้วยรอยฟกช้ำและเลือดแห้งกรัง รอบกายเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนน่าเวียนหัว ลมหายใจของเขาอ่อนระรินราวกับใกล้จะดับลงเต็มที
ความโกรธเกรี้ยวพวยพุ่งในตัวแรนทีลจนไม่อาจควบคุมได้ พลังเวทสีฟ้าปะทุขึ้นสู่ท้องฟ้า เขายกมือขึ้นแล้วทำลายคฤหาสน์ทั้งหลังให้พังทลายกลายเป็นซากในพริบตา เศษซากปลิวกระจายร่วงลงมาดังสายฝนแห่งความพิโรธ
ในขณะเดียวกัน เฟลด์ที่ตามมาในภายหลังก็รีบเข้าไปหาเซย์เรน เขารีบช้อนตัวเซย์เรนขึ้นมาในอ้อมแขนอย่างเบามือ กองเลือดที่แห้งกรังติดตามเสื้อผ้าของเขาจนเขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เซย์เรนต้องเผชิญ น้ำตาของเฟลด์ไหลอาบแก้มด้วยความสงสารและรู้สึกผิด เขาเฝ้าโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ไม่มีความสามารถพอจะปกป้องเซย์เรนได้
"ข้าขอโทษ...ข้าขอโทษจริงๆ ฝ่าบาท" เฟลด์กระซิบเสียงสั่น ก่อนหันไปหาแรนทีลด้วยสายตาวิงวอน "พาเราออกไปจากที่นี่ที"
แรนทีลเพียงพยักหน้า เขากัดฟันควบคุมอารมณ์แล้วร่ายเวทเคลื่อนย้าย พาพวกเขาทั้งหมดหายไปจากซากปรักหักพัง มุ่งตรงสู่สถานที่ลับ...กระท่อมที่อยู่ลึกเข้าไปในป่า ห่างไกลจากผู้คนและทุกสิ่งในโลกนี้ ที่ที่ปลอดภัยที่สุดในตอนนี้
เมื่อมาถึง เฟลด์วางร่างเซย์เรนลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง เหล่าสวามีทุกคนต่างยืนมองด้วยความเป็นห่วงสุดหัวใจ ร่างกายของเซย์เรนเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและคราบเลือดที่แห้งกรัง รอบกายเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนน่าเวียนหัว
ไคเรนกำมือแน่นจนสั่นเทา เขาไม่เคยรู้สึกโกรธขนาดนี้มาก่อน ขณะที่ เอลเซียนก็ได้แต่ยืนนิ่งด้วยใบหน้าซีดเผือด
แรนทีลเองก็เริ่มล้า จากการที่เขาฝืนใช้พลังเวทมากเกินไป รวมถึงมีอาการบาดเจ็บจากป่าต้องห้ามที่ยังไม่ได้รักษา แต่คนเดียวที่จะช่วยเซย์เรนได้มีเพียงเขา ต่อให้ต้องแลกด้วยอายุขัยที่สั้นลง เขาก็ต้องรักษาชีวิตของเซย์เรนไว้ให้ได้
"หลีกไป…" แรนทีลเอ่ยเสียงแหบพร่า ก่อนทรุดตัวลงข้างเตียงของเซย์เรน เขาหลับตาลง รวบรวมพลังเวทที่ยังเหลืออยู่อย่างยากลำบาก แล้วค่อย ๆ ปล่อยแสงเวทสีฟ้าอ่อนให้ไหลผ่านฝ่ามือเข้าสู่ร่างของเซย์เรน แสงนั้นซึมซาบเข้าสู่ผิวทีละน้อย แผลภายนอกค่อย ๆ สมานเข้าหากัน แต่บาดแผลภายในกลับยังคงอยู่
"เซย์เรน…" แรนทีลพึมพำเสียงแผ่วเบา "กลับมาหาพวกข้าเถอะนะ…"
ยิ่งเขารักษา ความผิดปกติก็ยิ่งชัดเจน แรนทีลไม่เข้าใจว่าทำไมเซย์เรนถึงบาดเจ็บรุนแรงเช่นนี้ บาดแผลนั้นหยั่งลึกถึงภายใน ชนิดที่ว่าพลังเวทของเขาในตอนนี้ก็ดูจะเป็นเรื่องยากในการรักษา ของเหลวสีแดงสดยังไหลออกจากช่องทางด้านหลังอย่างต่อเนื่อง เขาจึงตัดสินใจส่งพลังเวทตรวจสอบภายในอย่างละเอียด
ทันทีที่พลังเวทของเขาสัมผัสกับร่างของเซย์เรน ความจริงทั้งหมดก็ปรากฏขึ้นในความคิดของแรนทีลอย่างรวดเร็ว เขากำมือแน่นจนตัวสั่นเทาด้วยความโกรธและความเจ็บปวดที่ไม่สามารถระบายออกมาได้ ในตอนนั้นเองที่เขานึกถึงความฝันของเซย์เรนที่บอกเล่าให้เขาฟังถึงเจ้าปลาวาฬน้อยที่มาลอยคลอเคลียข้างกาย
เขาเงยหน้าขึ้นมองไคเรน ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาที่คลออยู่เต็มเบ้า ไคเรนเองก็เหมือนจะรู้ดีว่าแรนทีลพบอะไรบางอย่างแล้ว เขาเองก็ไม่ต่างจากแรนทีล ทั้งสองคนยืนนิ่งเงียบอย่างไม่มีใครกล้าเอ่ยคำพูดใดออกมา
"ท่านล่วงเกินฝ่าบาทได้อย่างไร!" เสียงของแรนทีลสั่นพร่า เต็มไปด้วยโทสะและความผิดหวังที่เอ่อล้น
"แรนทีล…ข้า…" ไคเรนพยายามจะอธิบาย แต่ถ้อยคำก็ติดค้างอยู่ในลำคอ
"ท่านทำแบบนี้ได้อย่างไร!" แรนทีลตะคอกเสียงดังจนเอลเซียนและเฟลด์ต้องเข้ามาห้าม
"ข้าขอโทษ..." ไคเรนเอ่ยเสียงแผ่วเบา "ข้าไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้…"
"ท่านไม่รู้ได้ยังไง!" แรนทีลย้อนเสียงแข็ง ดวงตาเปล่งประกายความโกรธและความกังวล "ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ ฝ่าบาทไม่ควรต้องแบกรับเด็กในครรภ์เพียงลำพัง!" น้ำเสียงของเขาสั่นพร่าไปด้วยความคับแค้นใจ "หากเกิดอะไรขึ้น ท่านจะรับผิดชอบได้อย่างไร!"
ความเงียบฉับพลันครอบงำทุกคน คำพูดของแรนทีลเหมือนค้อนที่ตอกลงกลางใจทุกคน ความผิด ความโกรธ และความสิ้นหวังเกาะกุมไปทั่วจนบรรยากาศอึดอัดแทบหายใจไม่ออก
"เรื่องยุ่งยากตอนนี้ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะคลี่คลาย…" เขาย้ำเสียงหนักแน่น "ข้ากลัวว่าฝ่าบาทแบกรับทุกอย่างมากเกินไป การที่ต้องห่างจากสวามี…มันก็เลวร้ายพอแล้ว"
"คืนนั้น…ข้ายอมรับว่าคิดน้อยไป เพียงหวังจะช่วยฝ่าบาทจากพิษดอกลัส แต่ข้าควรตระหนักเร็วกว่านี้…" ไคเรนสารภาพด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด
แรนทีลหลับตา ถอนหายใจยาว เขาหันกลับไปมองเซย์เรนที่นอนหมดสติบนเตียง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบแต่ทุ้มลึก "พวกเราเคยตกลงกันแล้ว…ว่าจะไม่ทำสิ่งใดที่ฝ่าบาทไม่ยินยอม" เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนลง "หากเรื่องวันนั้นเป็นเพียงอุบัติเหตุจริง ๆ …ข้าก็จะไม่ถือโทษอีก"
ความโกรธของแรนทีลไม่ใช่เพราะความหึงหวง แต่เป็นเพราะความห่วงใยที่มีต่อเซย์เรน เขาควรจะรับรู้ถึงความจริงนี้ให้เร็วกว่านี้ ไม่ว่าเด็กในครรภ์จะเป็นสายเลือดของใครในทั้งสี่คน ทุกคนก็พร้อมจะยอมรับว่าเป็นบุตรของตนโดยไม่ลังเล แต่สิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่านั้นคือความเสียใจที่พวกเขาปล่อยให้คนรักต้องเผชิญกับความหวาดกลัวเพียงลำพัง
"แล้วตอนนี้อาการของทั้งคู่เป็นอย่างไรบ้าง"
"ชีพจรของฝ่าบาทเบาจนแทบไม่อาจสัมผัสได้…อ่อนไหวราวกับสายลมที่พร้อมจะแปรเปลี่ยนทิศทางทุกเมื่อ" แรนทีลตอบ ก่อนจะหันไปสบตาไคเรน แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
"ข้าไม่อาจรับปากได้เลยว่าจะช่วยชีวิตเด็กในครรภ์ไว้ได้หรือไม่" เสียงของเขาสั่นเครือ "เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับข้า…คือเซย์เรน หากจำเป็นต้องเลือกระหว่างทั้งสอง ข้าจะเลือกเขา"
Talk with me.
เอาจริงๆ คาแรคเตอร์แรนทีลดูจะคูลขรึมที่สุดในบรรดาสวามี แต่กลับอารมณ์ร้อนที่สุด พร้อมบวกมาก ไม่สนหน้าไหนทั้งนั้น ตีกันกับไคเรนตลอด แต่เขาก็รักของเขานะ ว่าไม่ได้
ฝากติดตามต่อด้วยน้าา
ยังไงก็คอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้ไรท์ได้นะ
รักคนอ่าน❤️
สนุกมากครับ ขอบคุณนะครับ ขอบคุณครับ มาต่อแล้ว เย่เย้
สนุกสนานเข้มข้น เช่นเคย
รอติดตามต่อนะคร้าบ 🤟🏽 ขอขอบคุณมากๆนะครับ
หน้า:
[1]