เสือจิ่ง ตอน เสืออยากกินไก่ (แนวโจรดิบเถื่อน) 5
ลมป่าพัดผ่านช่องไม้ผุของกระท่อม เสียงหวีดหวิวลอดเข้ามา แต่ร่างใหญ่ที่นอนอยู่บนเสื่อกลับรู้สึกถึงความอุ่นเหมือนมีบางสิ่งกั้นบังไว้
เสือจิ่งค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ดวงตาพร่ามัวจากพิษไข้ เหงื่อซึมเต็มหน้าผาก ทุกครั้งที่พยายามจะขยับแขนซ้ายก็เจ็บจี๊ดจนต้องกัดฟันแน่น
เขามองลงไป เห็นผ้าที่พันแผลพันแน่นหนาดี แถมยังสะอาดกว่าที่คิด…คงเป็นฝีมือไอ้ภูผามันนั่นแหละ
หันสายตาไปอีกด้าน ภูผานอนข้าง ๆ ในท่าตะแคงหันหลังให้ลมที่พัดลอดเข้ามา เหมือนตั้งใจจะบังลมไม่ให้กระทบเขาโดยตรง
แม้จะหลับ แต่เหงื่อยังผุดเต็มขมับ คงเพราะเมื่อคืนเหนื่อยทั้งแบก ทั้งห้ามเลือด
เสือจิ่งเพ่งมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ๆ สักพัก ใจเต้นแรงขึ้นอย่างประหลาด
“เออ…ไม่เคยมองจริงจังเลยนะ”
ใบหน้าคมเข้มมีเสน่ห์ แววคิ้วเข้มเรียงชัด ดวงตาหลับพริ้มเหมือนนักรบที่พักกลางศึก เส้นผมสีดำขลับแนบกับหน้าผากเพราะเหงื่อ และริมฝีปาก…เรียบคม น่าจะนุ่มถ้าได้ลองจูบ—
“เอ้ยยยย กูคิดเหี้ยอะไรของกูวะเนี่ย!!” เสือจิ่งสบถในใจ รีบหลับตาปี๋เหมือนพยายามลบภาพออกจากหัว
แต่หัวใจกลับเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับยิ่งห้ามยิ่งคิด เสียงหอบหายใจของภูผาที่ดังสม่ำเสมอกลับฟังดูเหมือนเสียงยั่วเย้าในหูเขาเอง
เสือจิ่งกัดฟันแน่น คิ้วขมวดแต่หน้าแดงจัด “แม่งเอ๊ย…กูคงไข้ขึ้นสูงจนเพี้ยนไปแล้วแน่ ๆ”
เสียงขยับตัวดังเบา ๆ ทำให้เสือจิ่งที่กำลังแอบมองสะดุ้ง เขารีบปิดตาแน่น แสร้งทำเป็นยังไม่ฟื้นตัว
ภูผาขยับลุกขึ้นนั่ง เอียงคอมองอยู่พักหนึ่งก่อนหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ “คิดว่ากูโง่เหรอ เสือ…ตื่นตั้งนานแล้วนี่หว่า แค่มาแอบจ้องหน้ากูอยู่”
เปลือกตาของเสือจิ่งกระตุกเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะยอมลืมตาขึ้นแล้วโวยแถ “ก็กูขยับไปไหนไม่ได้ มึงจะให้กูไปมองอะไรล่ะวะ ทั้งกระท่อมก็มีแต่หน้ามึงเต็มไปหมดเนี่ย!”
ภูผาหัวเราะเสียงดัง ส่ายหัวเบา ๆ “ปากดีแล้วนี่ คงหายไข้แล้วสินะ”
พูดจบก็เอามือหนาทาบลงบนหน้าผากของเสือจิ่ง ความเย็นจากฝ่ามือทำให้เสือจิ่งสะดุ้งเล็กน้อย
แต่ยังไม่ทันจะได้ด่าอะไรต่อ ภูผาก็เอามืออีกข้างแตะหน้าผากตัวเอง เทียบอุณหภูมิอย่างตั้งใจ
“เออ…ไข้ลดลงเยอะแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบ ๆ แต่แฝงความโล่งใจชัดเจน
เสือจิ่งจ้องเขม็ง แต่ใบหน้ากลับร้อนวาบโดยไม่รู้ตัว
ก่อนที่ภูผาจะเอ่ยยิ้ม ๆ เพิ่มอีกประโยค
“เมื่อคืนกูนี่แหละนั่งเช็ดตัวมึงทั้งคืน ไม่งั้นป่านนี้มึงได้กลายเป็นซากเสือไปแล้ว”
เสือจิ่งเบิกตากว้าง ก่อนกัดฟันด่าเสียงพร่า “ไอ้…เวร!”
แต่หางเสียงกลับสั่นจนดูเหมือนจะขอบคุณมากกว่าด่าเสียอีก
ภูผายกยิ้มมุมปาก ก่อนถามเสียงเรียบแต่เหมือนแฝงล้อเลียน
“เป็นถึงเสือ ปล้นมากี่ร้อยครั้งก็ไม่พลาด ทำไมคราวนี้ถึงเสียท่าแบบโง่ ๆ ล่ะ”
เสือจิ่งขมวดคิ้ว กัดฟันตอบ “ก็จริง…กูแม่งไม่ระวังเอง เพราะตอนนั้นกูมัวแต่คิดเรื่องอื่นอยู่”
ภูผาหัวเราะหึ ๆ ขยับหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม “คิดเรื่องกูใช่ปะ?”
“ไอ้—” เสือจิ่งพยายามจะยกหมัดซัด แต่แขนเจ็บจนยกไม่ไหว ได้แค่กัดฟันสบถ
ภูผาหัวเราะเต็มเสียง “ติดใจเด็กอย่างกูแล้วใช่มั้ยล่ะ”
เสือจิ่งหันหน้าหนีตั้งใจจะนอนตะแคงไปอีกด้าน แต่ยังไม่ทันขยับก็โดนภูผาคว้าไหล่ล็อคไว้แน่น
ใบหน้าคมโน้มเข้ามาใกล้จนลมหายใจอุ่นเป่ารดแก้ม
“เสือจิ่ง…” เสียงทุ้มต่ำจริงจังผิดปกติ “มึงคิดยังไงกับกูวะ มึงยังเกลียดกูอยู่หรือเปล่า”
เสือจิ่งชะงักไป ดวงตาสั่นไหว แต่ปากกลับเม้มแน่น ไม่ตอบ
ภูผาไม่ปล่อย “ได้กูแล้ว…ไม่คิดจะรับผิดชอบกูหน่อยเหรอวะ”
เสือจิ่งหันขวับ สวนทันทีเสียงห้วน “รับผิดชอบห่าไร! กูสิวะที่ต้องถามมึง! กูแก่กว่ามึงตั้งหลายปี ไม่คิดจะเรียกพี่กูบ้างเลยหรือไง!”
คำพูดนั้นทำให้ภูผาหัวเราะพรืดออกมาเต็มเสียง ดวงตาเจ้าเล่ห์วาววับ ก่อนตอบหน้าตากวนตีนจัด ๆ
“ไม่อ่ะ…กูไม่อยากมีพี่ แต่กูอยากมีเมีย”
เสือจิ่งขมวดคิ้วแน่นทันทีที่ได้ยินคำว่า เมีย
เขาหันขวับใส่ ดวงตาลุกวาบ “มามงมาเมียอะไร กูเป็นผู้ชายเว้ย! อีกอย่าง…กูเป็นหัวหน้าชุมโจร ใครมันรู้เข้ากูโดนนินทาแน่!”
เสียงนั้นห้วนจัด แต่กลับมีแววสั่นเล็ก ๆ ปนอยู่
ภูผาจ้องตาไม่วาง แววเจ้าเล่ห์ที่มักฉายชัดเริ่มเลือนหายไป เหลือเพียงแววขุ่น ๆ ที่อ่านยาก
“อายเหรอวะ…”
คำถามนั้นแทงใจจนเสือจิ่งเงียบ ปากเม้มสนิท ไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น
ภูผาหัวเราะหึในลำคอ แต่เสียงนั้นแผ่วลง ริมฝีปากขยับช้า ๆ เหมือนคนพูดทั้งที่ไม่อยากพูด
“งั้นกูก็เป็นได้แค่…คนในความลับของมึงสินะ”
ประโยคทิ้งท้ายทำให้บรรยากาศในกระท่อมหนักอึ้งลงทันที
ยังไม่ทันที่เสือจิ่งจะหาคำด่า หรือแม้แต่คำแก้ตัวออกมา
ภูผาก็ลุกพรวดขึ้นยืน ก้าวยาว ๆ ออกไป เสียงฝีเท้าหนักกระแทกพื้นไม้ดัง ตึง ตึง ตึง
เสือจิ่งชะงัก ตัวแข็งทื่อเหมือนถูกตรึงกับเสื่อ
ปากขยับอยากจะตะโกนตาม แต่เสียงกลับไม่ยอมออกมา
แผ่นหลังกว้างนั้นเดินเร็วจัด ไม่หันกลับมามองแม้แต่น้อย
จนประตูไม้ผุ ๆ ส่งเสียง เอี๊ยด ปิดลง พร้อมกับร่างของภูผาที่หายลับไปจากสายตา
เสือจิ่งนอนพิงเสื่อเก่า ๆ หัวใจยังเต้นแรงไม่หายจากบทสนทนาที่เพิ่งผ่านมา
คิ้วเข้มขมวดแน่น เขาพึมพำกับตัวเองเสียงห้วน ๆ
“ไอ้เวรนั่นมันเป็นบ้าอะไรของมันวะ…”
เขาพยายามนอนนิ่ง รอเวลาให้ภูผากลับเข้ามา
แต่เวลาผ่านไปทีละนาที เสียงฝีเท้าที่ควรได้ยินก็ยังเงียบสนิท
เสือจิ่งเหลือบมองไปทางประตูไม้ผุ ๆ ที่ปิดอยู่อย่างเงียบงัน
มือข้างที่ยังมีแรงกำหมัดแน่น “แม่ง…ยังไม่กลับมาอีกเหรอ”
ในใจเริ่มก่อตัวความรู้สึกแปลก ๆ
จากตอนแรกที่คิดว่ามันก็แค่เดินออกไปสูดยาเส้น หรือไปหาฟืน
แต่พอนานเข้า ความคิดอีกแบบก็คืบคลานเข้ามา
“หรือว่า…มันทิ้งกูไว้จริง ๆ วะ”
หัวหน้าโจรผู้เคยกร่างไม่เกรงใครกลับรู้สึกเย็นวาบไปทั้งอก
ความเจ็บที่แขนยังแล่นปวด แต่สิ่งที่ทำให้ใจเต้นแรงกว่าคือภาพที่ตัวเองต้องนอนรอความตายอยู่คนเดียวในกระท่อมร้าง
ไร้ลูกน้อง ไร้เสียงกวน ๆ ของภูผา มีเพียงความเงียบที่กัดกินหัวใจ
เสือจิ่งกัดฟันแน่น พ่นลมหายใจหอบ ๆ ออกมา
“เชี่ยเอ๊ย…กูจะกลัวทำไมวะ…กูเป็นหัวหน้าโจรนะเว้ย”
แต่ยิ่งพยายามกดข่ม ความรู้สึกในอกก็ยิ่งบีบแน่น
เพราะลึก ๆ เขารู้ตัวเองดี ไม่ได้กลัวตาย…แต่กลัวถูกทิ้งไว้คนเดียวต่างหาก
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ลุยพงหญ้ากลับมาที่หน้ากระท่อมไม้ผุ ๆ ทำให้เสือจิ่งที่นอนพิงผนังอยู่สะดุ้งเฮือก เขารีบเหลือบตาไปที่ประตู เห็นร่างสูงของภูผาโผล่เข้ามา ใบหน้ามีร่องรอยเหงื่อกับฝุ่นดินติดเต็มตัว แต่ในมือกลับถือของมาเต็ม
ไหล่ข้างหนึ่งห้อยไก่ป่าที่เพิ่งถูกดักมา เนื้อยังสดแน่น อีกมือหนึ่งถือห่อสมุนไพรป่าและกระบอกไม้ไผ่ที่มีข้าวใส่ไว้ กลิ่นหอมของเนื้อไก่ที่ถูกย่างบนกองไฟเล็ก ๆ ไม่นานหลังจากนั้นก็ลอยอบอวลไปทั่วกระท่อม
ท้องของเสือจิ่งที่ยังไม่ได้แตะอะไรตั้งแต่เมื่อคืนร้องโครกดังลั่นจนตัวเองยังอยากมุดเสื่อหนี แม่งเอ๊ย… เขาสบถในใจ แต่สายตาก็เผลอจ้องไปที่ไก่ย่างที่น้ำมันกำลังหยดติ๋ง ๆ ลงบนถ่าน ส่งกลิ่นหอมยั่วจมูก
ภูผาเหมือนไม่ได้ยิน ไม่ได้เห็น แม้แต่คำทักของเสือจิ่งยังไม่ใส่ใจ
“มึง…กลับมาแล้วเหรอ ไปนานจังวะ”
ไม่มีคำตอบ มีเพียงร่างสูงที่เดินมาวางห่อสมุนไพรลง แล้วหยิบกระบอกไม้ไผ่ยื่นให้ตรงหน้าแทนคำพูด
“กินซะ ข้าวต้ม”
เสือจิ่งชะงัก หันไปมองกระบอกไม้ไผ่ที่อุ่น ๆ อยู่ในมือ แต่ดวงตายังคงหันขวับไปที่ไก่ย่างเป็นพัก ๆ เหมือนเสือที่หมายตาเหยื่อ แต่ทำอะไรไม่ได้
ภูผานั่งลงตรงข้าม ฉีกไก่ย่างออกมากินเองแบบหน้าตาเฉย เสียงกระดูกกรอบ ๆ ดังขณะเขาเคี้ยว พร้อมกับกลิ่นหอมเนื้อย่างลอยเข้าจมูกเสือจิ่งแรงกว่าเดิม
เสือจิ่งกัดฟันแน่น ตาละห้อยมองเหมือนเด็กโดนแกล้ง หัวใจอยากจะพุ่งเข้าไปแย่ง แต่แขนที่ยังเจ็บทำได้แค่กำหมัดหลวม ๆ
แม่ง…กูอยากแดกโว้ย!
ภูผากินไก่ไปเรื่อย ๆ สายตาเหลือบมองอีกฝ่ายที่ทำหน้าจะร้องไห้ตลอดเวลา แต่ก็ยังเฉยไม่พูดอะไร จนกระทั่งเหลือแค่กระดูกกองหนึ่งตรงหน้า
สุดท้าย เขาเอ่ยเสียงเรียบ แต่เหมือนจงใจแทงใจดำ
“มึงแดกได้แต่น้ำต้มข้าวนั่นแหละ กินของอ่อน ๆ ไปก่อน แผลยังไม่หายดี”
เสือจิ่งเบิกตา กัดฟันแน่น ก้มลงซดน้ำต้มข้าวในกระบอกไม้ไผ่เสียงดัง ซู้ดดด ทั้งน้ำตาคลอ ๆ อย่างเจ็บใจ
“ไอ้เวร…ไม่อยากให้กูกินก็ไม่ต้องเอามาย่างล่อกูแบบนี้สิวะ!”
เสียงตวาดแหบพร่าแทบกลบเสียงไฟย่าง แต่พอพูดจบ น้ำตาที่กลั้นอยู่ก็เอ่อขึ้นมาจนกลิ้งลงข้างแก้ม
เสือจิ่งสะอื้นเงียบ ๆ แรก ๆ ยังทำเป็นเช็ดแรง ๆ เหมือนไม่ยอมรับ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นร้องไห้จริง ๆ เพราะทั้งหิว ทั้งน้อยใจ
ภูผาที่นั่งมองอยู่นิ่ง ๆ ตอนแรกหัวเราะหึในคอ แต่พอเห็นน้ำตาจริง ๆ ของเสือจิ่งก็ใจอ่อน รีบขยับเข้ามาใกล้
เสือจิ่งบ่นไปสะอื้นไป เสียงสั่น “ทำไมวะ…มึงโกรธอะไรกูก็พูดมา…เพราะกูไม่ยอมเป็นเมียมึง มึงเลยแกล้งกูใช่มั้ย”
ภูผาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนเอื้อมมือไปแตะแขนเบา ๆ
“เออ ๆ กูยอมรับว่ากูแกล้งมึง…แต่เรื่องกินไก่มึงยังไม่ได้หรอก แผลยังไม่หาย กินแต่ข้าวต้มไปก่อนนะ”
แทนที่จะหยุดร้อง เสือจิ่งกลับร้องไห้ใหญ่กว่าเดิม น้ำตาไหลพรากจนเสียงสะอื้นสะท้าน
“มึงจะไปไหนก็ไม่ยอมบอก…เดินหายไปแบบนั้น ตั้งนานก็ไม่กลับ…กูนึกว่ามึงจะทิ้งกูไปแล้ว!”
ประโยคสุดท้ายหลุดออกมาพร้อมเสียงสะอื้นสะอื้น เสือจิ่งที่เคยโผงผางกลับดูเหมือนเด็กที่ถูกทิ้งให้รออยู่ลำพังจริง ๆ
ภูผารีบรวบร่างใหญ่เข้ามากอด เอามือลูบหัวลูบหลังช้า ๆ ปากก็พูดปลอบทั้งกวน ทั้งเอ็นดู
“โธ่เอ๊ย…เมียกูนี่ขี้แงจังวะ แค่ออกไปหาไก่หาไม้กลับมา ก็นึกว่ากูทิ้งแล้ว”
เสือจิ่งซุกหน้ากับอกอีกฝ่าย น้ำเสียงอู้อี้ปนงอน “กูก็ไม่รู้…ก็คิดไปเอง…ก็กลัวอยู่คนเดียว…”
ภูผายิ้มมุมปาก แต่แววตาอ่อนลงกว่าทุกที เขากระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ลูบผมยุ่ง ๆ ของเสือจิ่งอย่างอ่อนโยน
“ไม่ทิ้งหรอก…มึงเป็นเสือของกูแล้ว กูจะไปทิ้งมึงได้ไง”
หลังจากถูกกอดปลอบอยู่พักใหญ่ เสียงสะอื้นของเสือจิ่งก็ค่อย ๆ เบาลง น้ำตาที่เปื้อนแก้มเริ่มแห้งไป เหลือเพียงสายตาขุ่น ๆ ที่หันไปมองกองไก่ย่างตรงหน้าที่เหลืออยู่แค่น่องเป็นพัก ๆ
เขาสูดจมูกเบา ๆ ก่อนเอียงหน้ามองภูผาที่นั่งพิงผนังอยู่ข้าง ๆ
เสียงทุ้มพร่าพูดออกมาแบบยอมเสียฟอร์มเต็ม ๆ
“กูอยากกินไก่ว่ะ…ได้มั้ย…นะ ๆ ๆ คำเดียวก็พอ”
น้ำเสียงที่แทรกคำว่า นะ ติดกันสามทีทำให้คนฟังขมวดคิ้วทันที
“หึ…เมื่อกี้ยังร้องไห้ขี้แงอยู่เลย ตอนนี้ทำเสียงอ้อนเหมือนเด็กเลยนะมึง”
เสือจิ่งทำตาขวางใส่ แต่ริมฝีปากกลับยื่นออกมาเหมือนเด็กงอน ๆ
“ก็อยากแดก…มึงจะหวงอะไรนักหนาวะ กูขอคำเดียวเอง”
ภูผาถอนหายใจยาว ส่ายหน้าช้า ๆ แต่สุดท้ายก็แพ้สายตาที่เปล่งประกายอ้อนวอนคู่นั้น
เขากระซิบเสียงเบาเหมือนกำลังดุแต่จริง ๆ ยอมไปแล้ว
“คำเดียวพอนะ เดี๋ยวแผลดีขึ้น อยากกินเท่าไหร่กูก็จะให้กิน”
เสือจิ่งพยักหน้ารัว ๆ อย่างกับเด็กที่สัญญาจะไม่ดื้ออีกต่อไป ใบหน้าแดง ๆ จากพิษไข้กลับดูเหมือนเด็กซนที่กำลังจะได้ของโปรด
ภูผาอดหัวเราะหึในคอไม่ได้ แต่ก็ยอมฉีกเนื้อไก่ชิ้นนุ่มออกมา เป่าลดความร้อนนิดหน่อย แล้วเอามาจ่อปากอีกฝ่าย
“อ้าปากสิวะ จะกินก็รีบ ๆ”
เสือจิ่งทำหน้าเหมือนชนะศึก ก่อนงับชิ้นไก่เข้าปาก เคี้ยวด้วยตาเป็นประกาย พอรสชาติหอมมันแตกในปากก็ยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่ปิดบัง
รอยยิ้มแบบนั้นไม่ได้เหมือนหัวหน้าโจรที่กร่างน่าเกรงขาม แต่กลับเหมือนเด็กดื้อที่อ้อนพ่อค้าแล้วได้ขนมฟรี
ภูผามองแล้วส่ายหัวเบา ๆ แต่ใจกลับเต้นแรงไม่หยุด
“หึ…ยิ้มอะไรนักหนาวะ ได้ไก่คำเดียวก็ทำหน้ายังกะได้ทอง”
เสือจิ่งเคี้ยวตุ้ย ๆ แล้วตอบเสียงอู้อี้ “ก็ของกูอยากได้…แล้วกูได้มา…กูก็ต้องดีใจดิ”
คำพูดเรียบง่ายนั้นทำเอาภูผาหัวเราะออกมาอีกครั้ง ก่อนเอามือยกมาขยี้หัวอีกฝ่ายเบา ๆ
ในใจแอบคิดว่า…ไม่ว่าจะเป็นเสือที่ดุร้ายยังไง แต่เวลามันอ้อน กูก็แพ้แม่งทุกที
-------------------------------------
แอบน่ารักดีนะครับ
ฝากติดตามด้วยน้าา
ไว้ว่าง ๆ มาต่อให้ครับ
สนุกมากครับ ขอบคุณมากครับ น่ารัก โมเมนต์สุดหวาน
อีกมุมของภูผากับเสือจิ่งผู้หมดเขี้ยวเล็บ
สนุกครับรอตามต่อไป
ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]