หัวใจดีไซน์ Ep.14 (สถาปนิกxคนงานก่อสร้าง)
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-9-20 15:57นะโมลากพระพายออกมาจนพ้นเขตคนงาน ผ่านแนวเงาอาคารใหม่ที่ยังคงอบอวลด้วยกลิ่นปูนสด ๆ เขาหยุดที่มุมเงียบ ไม่มีใครผ่านมาเห็นง่าย ๆ
พระพายพยายามสะบัดแขนสุดแรง “ปล่อยกูสิ! มึงไม่มีสิทธิ์มาจับกูแบบนี้นะ!”
แต่ยิ่งดิ้น นะโมก็ยิ่งกำแน่น เงาสูงใหญ่โน้มเข้ามาบดบังใบหน้า ดวงตาคมกริบกักขังเขาเอาไว้ ไม่ปล่อยให้หลบหนี
“กูจะกลับแล้วนะ…บินวันมะรืนนี้”
พระพายนิ่งค้าง ใจหวิวขึ้นมาแบบไม่ทันตั้งตัว เจ็บหน่วงเหมือนมีอะไรมาบีบอยู่กลางอก
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกู” เสียงแข็งถูกพ่นออกไปอย่างคนเอาชีวิตรอด แต่ข้างในกลับโหว่งว่าง หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกมา ความจริงคือเขาไม่พร้อมจะได้ยิน ไม่พร้อมจะยอมรับว่าคนตรงหน้าจะหายไปจากชีวิตจริง ๆ
เขาเบือนหน้าหนี กัดฟันจนกรามสั่น ดวงตาเอ่อคลอแต่พยายามกดไว้ ไม่ให้ไหลออกมา
นะโมถอนหายใจเบา ๆ ดวงตาไม่ได้แข็งกร้าวเหมือนทุกที “ขอโทษนะ…ที่ทำให้มึงต้องเจ็บ ต่อไปนี้ มึงจะได้ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องกังวลว่าจะเจอหน้ากูอีก”
ถ้อยคำนั้นหล่นลงมาทีละคำ ทีละพยางค์ หนักหน่วงเกินกว่าที่พระพายจะตั้งรับได้ เขายืนนิ่ง เหมือนสมองว่างเปล่า แต่ในอกกลับปั่นป่วนราวพายุโหมกระหน่ำ
ทั้งชีวิตที่ผ่านมา เขาไม่เคยเปิดใจให้ใคร ก็เพราะกลัวจะต้องเสียไปในสักวัน แต่ครั้งนี้ แม้จะไม่ได้เปิดประตูให้เข้ามาเต็มที่ แค่เพียงรอยร้าวเล็ก ๆ ที่อีกฝ่ายแทรกตัวเข้ามา กลับทำให้เขาเสียการควบคุมไปหมด
เขายืนนิ่ง น้ำตาเม็ดร้อนค่อย ๆ ร่วงลงโดยไม่รู้ตัว ความเจ็บปวดแทรกซึมทุกอณูของร่างกายเหมือนกำลังถูกพรากบางสิ่งไป ทั้งที่ไม่เคยครอบครองได้จริงเลยด้วยซ้ำ
“มึงแม่ง…ทำกับกูแบบนี้แล้วจะมาพูดว่า ขอโทษ เนี่ยนะ! กูไม่ได้ต้องการคำขอโทษโง่ ๆ ของมึงหรอกนะ!” เขาตะโกนทั้งน้ำตา มือทุบอกตัวเองแรง ๆ เหมือนอยากควักหัวใจออกมาให้ดู “กูแค่ไม่อยากเสียมึงไป กูแม่งโง่ที่เอาแต่เกลียด เอาแต่ผลักไส ทั้งที่จริง ๆ แล้ว…กูกลัว! กูกลัวว่ามึงจะหายไปจากชีวิตกูจริง ๆ”
พระพายทรุดตัวลงนั่งพิงผนังคอนกรีตอย่างหมดแรง น้ำตาเปียกชุ่มข้างแก้ม เขาเงยหน้าขึ้นสบตานะโมทั้งที่มองแทบไม่ชัด “กูไม่เคยมีใครอยู่ข้าง ๆ กูนานขนาดนี้เลยนะ กูไม่เคยเปิดใจให้ใคร กูไม่รู้วิธีรักษาใครไว้ด้วยซ้ำ…แล้วตอนนี้ มึงจะมาทิ้งกูไปง่าย ๆ แบบนี้เนี่ยนะ”
เสียงสะอื้นสะท้อนก้องในมุมเงียบ นะโมยืนนิ่ง ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด เขายื่นมือไปจะคว้าตัวอีกฝ่าย แต่พระพายปัดออกแรง ๆ
“มึงไม่เข้าใจหรอกนะโม มึงเข้ามาแล้วก็ทำให้กูไม่เป็นตัวของตัวเองอีกเลย เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวโกรธ…ทุกอย่างมันปั่นป่วนไปหมด แล้วพอมึงบอกว่าจะไป กูก็เหมือนถูกกระชากลมหายใจออกไปทั้งที่ยังไม่ได้หายใจเต็มปอดเลยด้วยซ้ำ”
พระพายทุบผนังปูนดัง ปัง! น้ำตายังไม่หยุด “กูแม่งโง่เองใช่มั้ย…โง่จนลืมคิดไปว่า วันหนึ่งมึงก็ต้องทิ้งกูไว้ข้างหลัง!”
เขาสะอื้นหนัก ร่างทั้งร่างสั่นเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ทุกถ้อยคำที่หลุดออกมาเหมือนบาดลึกทั้งคนพูดและคนฟัง
นะโมก้าวเข้าไปชิดอีกครั้ง คราวนี้ไม่รอ ไม่ขอ เขาดึงพระพายเข้ามากอดแน่นจนอีกฝ่ายดิ้นแทบหายใจไม่ออก “พอแล้ว…อย่าพูดแบบนั้นอีก” เสียงเขาแตกพร่าไม่ต่างกัน “กูไม่เคยคิดจะทิ้งมึงไปไหน—กูสัญญา”
พระพายปล่อยให้ตัวเองพิง ลมหายใจยังสะอึกสะอื้นหนัก กล้ามเนื้อทั้งตัวคลายลงอย่างไม่รู้ตัว ริมฝีปากสั่นพร่า “ฮึก…มึงไม่ต้องมาสงสารกูเลยนะ” เขาร้องไห้เหมือนเด็ก คนที่เคยแข็งกร้าวกลับร้องไห้อ้าปากร้องเป็นคำ ๆ จนเสียงแหบ
นะโมกอดแน่นขึ้น รวบเอาอีกฝ่ายเข้าไปในอ้อมแขนเหมือนจะพยายามกักเก็บไม่ให้หลุดไปไหน เขายกมือกุมท้ายทอยพระพายไว้แนบอก ปลายนิ้วคลำหัวเบา ๆ เป็นจังหวะช้า ๆ เหมือนกล่อมให้ใจสงบลง
“เงียบก่อนนะ” นะโมกระซิบ ใบหน้าซุกกับผมด้านข้างของพระพาย “กูก็ไม่ได้จะมาสงสาร มึงไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก”
พระพายสะดุ้งเบา ๆ เสียงสะอื้นยังสะเทือน แต่คำพูดของนะโมทำให้ไหล่สั่นเป็นจังหวะเดียวกับมือที่กุมท่อนแขน ไม่กี่วินาทีต่อมา มือหนารีบแกะปลายแขนเสื้อตัวเองออกช้า ๆ เช็ดน้ำตา เช็ดหน้า เช็ดขี้มูกอย่างไม่รังเกียจ
“มึงร้องต่อไปเถอะ ถ้ามันจะสบายใจกว่าเก็บไว้” นะโมพูด แล้วบีบไหล่อีกครั้งเบา ๆ เป็นการรับรอง “กูอยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหน”
พระพายกัดริมฝีปาก พยักหน้าอย่างลังเล คราวนี้เสียงร้องค่อยทุเลาลง เปลือกตาหนักขึ้น น้ำตาหยดสุดท้ายหลุดลงบนเสื้อของนะโม แล้วพระพายก็หัวเราะแห้ง ๆ ผสมสะอื้น “มึง…ทำไมทนได้วะ ทำไมไม่รู้สึกรังเกียจ”
นะโมยิ้มบาง ๆ ดึงหน้าอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ “มึงก็คือมึง ไม่ใช่อะไรที่ต้องรังเกียจ มึงเป็นคนที่กูอยากดูแล…ถ้ากูรังเกียจจริง ป่านนี้กูคงไม่ตามหามึงให้วุ่นหรอก”
พระพายหลับตาแน่น เสียงที่เปล่งออกมาคราวนี้นุ่มลง “กูเชื่อมึงได้จริง ๆ ใช่มั้ย”
นะโมเช็ดน้ำตาให้จนใบหน้าพระพายเกลี้ยง เขาเงยหน้าจ้องตาอีกฝ่ายนิ่ง ๆ สักพัก แล้วกระซิบว่า “ทีนี้ค่อย ๆ ลืมตา เริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม ไม่ต้องรีบร้อน ก้าวทีละก้าว กูจะเดินไปกับมึง”
พระพายมองสบตา เสียงเบาแต่ตรงไปตรงมา “มึงไม่ต้องมาพูดดี…แล้วที่มึงเคยชอบพี่นับหนึ่งของมึงล่ะ เลิกแล้วเหรอ”
นะโมส่ายหัวทันที “ไม่ ตอนนี้คนที่กูชอบคือมึง…แล้วมึงล่ะ ชอบกูบ้างหรือยัง หรือจริง ๆ แล้วมึงมีใครอยู่แล้ว”
“ใคร…กูไม่มีใครทั้งนั้น” พระพายตอบสั้น ๆ แต่หนักแน่น
นะโมเลิกคิ้ว “แล้วที่คอนโดวันนั้นล่ะ…” น้ำเสียงลากยาวเหมือนกำลังจงใจแหย่ แต่พระพายรีบสวนขึ้น
“นั่นจามิน…มันก็แค่เซ็กส์เฟรนด์ เอาไว้ระบาย ไม่ได้มีอะไรจริงจัง”
“หืม…” นะโมหัวเราะหึในลำคอ “แปลกว่ะ อยู่ ๆ กูก็รู้สึกหึงขึ้นมา แล้วใครล่ะ…มันส์กว่ากัน”
เพี๊ยะ! ฝ่ามือพระพายฟาดแขนนะโมเต็มแรง
“มึงนี่ก็คิดได้แต่เรื่องต่ำ ๆ แบบนี้แหละนะ!” พระพายตวาดทั้งที่หน้าแดงจัด
นะโมหัวเราะร่วน ไม่ได้โกรธสักนิด ซ้ำยังยื่นแขนโอบไหล่พระพายเข้ามาใกล้ “ก็เพราะอยากรู้จริง ๆ ไง”
พระพายผลักอกออก แต่ยิ่งผลักก็ยิ่งถูกดึงกลับมาแน่นกว่าเดิม ใบหน้าเขายังแดงไม่หาย ขณะที่นะโมยังคงยิ้มกวนไม่เปลี่ยน
นะโมยกคิ้ว ยิ้มมุมปาก “อ้าว…ไม่พูด แปลว่ากูก็ยังมีสิทธิ์เหนือกว่ามันใช่มั้ย”
“ใครบอก! กูยังไม่ได้ให้มึงมีสิทธิ์อะไรทั้งนั้น!” พระพายเถียงเสียงสั่น แต่แก้มกลับแดงเข้มกว่าเดิม
นะโมหัวเราะเบา ๆ โน้มหน้าลงกระซิบใกล้หู “งั้นกูจะขอสมัครเป็นตัวจริงละกัน เวลาสัมภาษณ์ผ่านแล้ว มึงค่อยเซ็นเอกสารก็ได้”
พระพายหันขวับมาตีไหล่แรง ๆ “พูดเป็นเล่นไปเถอะ กูไม่ได้อยากมีแฟนสักหน่อย”
“เหรอ…” นะโมเอียงคาง ยักคิ้วกวน ๆ “แต่ที่มึงร้องไห้ใส่อกกู…มันก็เหมือนรับกูเข้ามาเป็นพาร์ตไทม์แล้วนะ”
พระพายตาโต รีบเบือนหน้าไปอีกทาง “ไอ้บ้านี่! กูร้องเพราะกูเครียด ไม่ได้เกี่ยวกับมึงสักหน่อย”
“เกี่ยวสิ” นะโมยักไหล่ ทำเสียงเนียน ๆ “ก็…อกที่มึงร้องใส่มันเป็นของกู มึงยังติดค่าเช่าอยู่นะพระพาย”
พระพายคว้าฝาขวดน้ำบนพื้นฟาดใส่แขนอีกที “ไปตายเถอะมึง!” แต่ริมฝีปากกลับเผลอยกยิ้มเล็ก ๆ
นะโมเห็นก็หัวเราะลั่น จับไหล่อีกฝ่ายไว้ไม่ให้หนี “เออ…กูก็ชอบมึงตอนยิ้มแบบนี้มากกว่าตอนร้องไห้ว่ะ”
พระพายชะงักไป หัวใจเต้นแรงจนเกือบหลุดปาก แต่สุดท้ายก็แค่เบือนหน้าหนี “อย่ามาทำเป็นพูดหวานหน่อยเลย เดี๋ยวกูก็หาว่ามึงปากหมาอีกหรอก”
“ปากหมาก็ยอม…ถ้ามันทำให้มึงหัวเราะได้” นะโมตอบหน้าตาย แต่ดวงตากลับเปล่งประกายจริงจัง
พระพายนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม “แล้ว…ที่มึงบอกว่าจะไป มึงจะไปจริง ๆ เหรอ”
นะโมยกยิ้ม มองหน้าอีกคนแบบเจ้าเล่ห์ “ก็เสียเงินจองตั๋วไปแล้วนี่ ถ้าไม่ไป ใครจะรับผิดชอบให้กูล่ะ”
“เท่าไหร่…” พระพายถาม สีหน้าจริงจังเกินกว่าที่นะโมคาดไว้
นะโมหัวเราะเบา ๆ “ทำไมล่ะ จะจ่ายให้กูเหรอ” น้ำเสียงติดกวน แต่ดวงตากลับคอยสังเกตว่าพระพายจะตอบยังไง
พระพายเม้มปากแน่น ก่อนพยักหน้าช้า ๆ
นะโมหัวเราะออกมาเต็มเสียง คราวนี้ทั้งขำทั้งเอ็นดู “โอ๊ย…กูไม่ปล่อยให้เมียกูมาควักเงินจ่ายค่าตั๋วหรอกน่า” เขาโน้มตัวลงใกล้ ยกมือเขี่ยแก้มพระพายเบา ๆ “แค่เมียพูดคำเดียวว่า ไม่อยากให้ไป…กระผมจะรีบเคนเซิลทุกอย่างให้ทันทีเลยครับ”
พระพายหลบตา ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวจนรู้สึกได้ เขากัดริมฝีปากแน่น ไม่ยอมพูดออกมาอย่างที่นะโมอยากฟัง
“ว่าไงล่ะ…” นะโมยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก กดเสียงแผ่วหยอก “จะให้กูไป หรือจะให้กูอยู่”
พระพายขยับตัวหนี แต่สุดท้ายก็พึมพำเสียงเบาเหมือนคนบ่นกับตัวเอง “ก็…มึงจะไปก็เรื่องของมึงสิ”
นะโมเลิกคิ้ว หัวเราะหึ ๆ “อ๋อ เรื่องของกูสินะ แต่หน้ามึงนี่ไม่ใช่เลยนะพระพาย หน้าเหมือนคนจะร้องไห้เลยว่ะ”
“ก็บอกว่าไม่ได้เกี่ยวกับกูไง!” พระพายเถียงเสียงดังขึ้นนิดหนึ่ง แต่ดวงตากลับสั่นไหวจนโกหกไม่เนียน
นะโมหัวเราะเบา ๆ แล้วก้มลงกระซิบข้างหู “ไม่พูดก็ไม่เป็นไรหรอก กูรอฟังได้…แต่ขอบอกไว้นะ แค่เห็นมึงพยักหน้าเมื่อกี้ กูก็ถือว่าเมียกูไม่อยากให้ไปแล้วแหละ”
พระพายหันขวับมาจ้องทันที “กูไม่ได้—!”
ยังไม่ทันพูดจบ นะโมก็ยกนิ้วแตะริมฝีปากอีกคน ยิ้มกวนเต็มที่ “ชู่ว์…เก็บคำเถียงไว้ก่อน เดี๋ยวกูตีความเองก็ได้ว่ามึงหมายถึงอะไร”
พระพายหน้าแดงจัด ดันอกเขาแรง ๆ “ไอ้คนบ้า!” แต่ในใจกลับเต้นโครมครามจนแทบแตกเป็นเสี่ยง ๆ
นะโมหัวเราะร่วน ก้าวถอยออกหนึ่งก้าว แต่สายตายังไม่ละจากใบหน้าแดงซ่านนั้น “เอาเป็นว่า กูยังไม่ไปไหนหรอก จนกว่าเมียกูจะไล่ด้วยปากตัวเอง…ชัด ๆ เท่านั้นแหละ”
ทั้งสองเดินกลับเข้ามาที่ไซต์งานท่ามกลางเสียงเครื่องจักรกับคนงานที่ยังวุ่นวาย พระพายพยายามทำตัวนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก้าวยาว ๆ นำหน้าเหมือนอยากรีบจบทุกอย่าง แต่ก็รู้สึกเหมือนมีเงาตามหลังไม่ห่าง
“เดินเร็วจังวะเมีย เดี๋ยวก็สะดุดล้มเอาหรอก” เสียงกวน ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง
พระพายชะงัก หันขวับมาตาเขียว “ก็บอกแล้วไงว่าอย่าเรียกกูแบบนั้น!”
นะโมยักคิ้ว ยิ้มมุมปาก “อ้าว…เมื่อกี้ยังยอมพยักหน้าอยู่เลยนะ จะให้กูตีความใหม่มั้ยล่ะ”
พระพายหน้าแดงหูแดง รีบเบือนหน้าเดินต่อ “ไอ้คนบ้า พูดไม่รู้เรื่อง”
พอถึงจุดที่คีตะกับนับหนึ่งกำลังคุยงานอยู่ พระพายก็รีบทำเป็นตั้งใจดูแบบงานในมือ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เสียงกระซิบเบา ๆ ข้างหูก็ดังแทรก
“เลิกงานแล้ว อย่าเพิ่งกลับนะ…เดี๋ยวกูไปส่งเอง”
พระพายไม่เงยหน้ามอง เหมือนจะไม่ใส่ใจอะไร แต่ปลายนิ้วที่ถือดินสอกลับชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ แล้วหันกลับไปคุยงานกับคีตะต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นะโมเดินแยกออกมาจากมุมที่พระพายยืนอยู่ สีหน้าเขาดูผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเห็นมาหลายวัน รอยยิ้มเล็ก ๆ ติดอยู่มุมปากแม้ไม่ได้ตั้งใจ
นับหนึ่งที่ยืนคุยงานเสร็จ เดินเข้ามาหาแล้วตบบ่าเบา ๆ “หายหัวไปไหนตั้งนานวะ คิดว่าหนีกลับบ้านไปแล้วซะอีก”
นะโมหัวเราะแห้ง ๆ “ก็ไปจัดการธุระนิดหน่อยน่ะพี่”
นับหนึ่งหรี่ตามอง สีหน้ายิ้มขำ “ธุระ? ธุระอะไรถึงทำให้หน้ามีความสุขขนาดนี้ได้วะ กูไม่เคยเห็นมึงยิ้มกว้างแบบนี้มาหลายวันแล้วนะ”
นะโมแสร้งทำเป็นไม่สนใจ แต่รอยยิ้มก็ยังหลุดอยู่เรื่อย ๆ “ก็แค่ธุระธรรมดานั่นแหละพี่”
นับหนึ่งหัวเราะหึ ๆ “สรุปว่าเพื่อนของเพื่อนที่มึงเคยมาปรึกษากู…เป็นยังไงบ้างล่ะวะ”
นะโมชะงักไปนิด ก่อนจะหลบตา แต่ก็อดหัวเราะไม่ได้ “เออ…ก็กำลังคุยกันอยู่แหละ”
นับหนึ่งพยักหน้าอย่างรู้ทัน “อ๋อ…งั้นก็ดีแล้ว”
พอถึงเวลาเลิกงาน คนงานในไซต์ก็ทยอยเก็บเครื่องมือ พระพายเองก็เก็บของเตรียมจะกลับบริษัท คีตะหันมาถามเสียงเรียบ
“กลับกับกูมั้ย”
พระพายชะงักไปนิด ใจหนึ่งเหมือนยังรอใคร แต่ก็ปัดทิ้งทันที คงไม่หรอก…มันพูดเล่นอยู่แล้ว เขาไม่อยากกวนใคร เลยตอบรับไปตามน้ำ “เออ แวะส่งกูที่บริษัทแล้วกัน กูจะไปเคลียร์งานต่อ”
แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาไปไหน เงาใหญ่ ๆ ก็มาพาดทับลงบนตัวทันที แขนแข็งแรงกระชากเขาออกจากวงไปแบบไม่ทันตั้งตัว
“มะ…มึง!” พระพายตกใจ แทบจะร้องลั่น แต่ยังไม่ทันได้สะบัด นะโมก็กดรีโมตในมือ ปิ๊บ ไฟหน้ารถแลมโบกินี่สีดำหรูที่จอดมุมไซต์กะพริบขึ้น เสียงล็อกปลดดังชัดเจนราวกับประกาศให้ทั้งโลกได้ยิน
ทั้งไซต์งานเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเสียงฮือฮาจะระเบิดขึ้น
“หู้ยย ไอ้นะโม! ไปเอารถใครมาวะ! อย่างโหดเลย!”
“กูนี่กลัวเดินเฉียดตั้งแต่ตอนบ่าย กลัวทำเป็นรอยขึ้นมาจะขายบ้านใช้หนี้ไม่หมด!”
“ไอ้สัส…กอดกันโชว์เลยนะเว้ย ฮ่า ๆ ๆ”
เสียงแซว เสียงหัวเราะ ดังระงมจนพระพายอยากแทรกแผ่นดินหนี เขารีบสะบัดแขนพลางกระซิบเสียงพร่า “ปล่อยดิ! คนแม่งมองเต็มไปหมดแล้วนะเว้ย!”
นะโมกลับยิ่งกอดแน่นกว่าเดิม รอยยิ้มกวนผุดบนใบหน้าเหมือนจงใจโชว์ “ก็มองไปสิ กูไม่แคร์”
คีตะกับนับหนึ่งยืนงงกันอยู่ห่าง ๆ มองภาพตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ นับหนึ่งกะพริบตาปริบ ๆ “เอ่อ…นี่พี่พลาดอะไรไปหรือเปล่า คีตะ?”
คีตะก็ไม่แพ้กัน สีหน้าผสมทั้งขำทั้งงง “ผม…ก็เพิ่งเคยเห็นครับพี่นับ”
พระพายในวงแขนแทบอยากกัดคอนะโมให้ตายไปข้าง หน้าแดงจนหูร้อนจี๋ ความอับอายตีตื้นขึ้นมาถึงคอ นี่มันบ้าอะไรของมัน!
แต่นะโมกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หันไปโบกมือทักพี่ ๆ คนงานอย่างสนิทสนม “กลับบ้านดี ๆ นะครับทุกคน”
ประตูรถปิด ปัง พระพายทิ้งตัวลงเบาะแรง ๆ หน้าแดงก่ำแต่ทำปากแข็งไม่เลิก “มึงนี่มันโรคจิตชิบหาย! จะกอดกูต่อหน้าคนงานทำไมวะ คิดจะฆ่ากูให้ตายคาที่หรือไง!”
นะโมที่อ้อมไปนั่งฝั่งคนขับ ยังคงยิ้มกวนไม่เลิก “ก็อยากกอดอะ ทำไมวะ หวงมากนักก็ประกาศไปเลยดิว่ามีผัวแล้ว”
“ไอ้สัส! ใครแม่งบอกว่ากูมีผัว!” พระพายถลึงตาใส่ ด่าแรงจนเส้นเลือดขมับขึ้น
“หืม…” นะโมเอียงคาง หันมามองเต็มตา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉายชัด “เมื่อกี้ใครยอมพยักหน้าในไซต์วะ กูยังไม่ลืมนะ”
“ไอ้เหี้ย! มึงมันตีความเข้าข้างตัวเองทั้งนั้น!” พระพายเถียงปากคอสั่น แต่แก้มแดงจัดจนเหมือนคนเมา
นะโมหัวเราะหึ ๆ ขณะติดเครื่องรถ “เออ กูจะเข้าข้างตัวเองแหละ เพราะถ้าไม่ใช่กู มึงจะยอมให้ใครมากอดกลางไซต์แบบนั้นวะ”
พระพายอ้าปากจะด่าอีก แต่กลับพูดไม่ออก ติดที่คำมันขังอยู่กลางอก เลยได้แต่สะบัดหน้าหนีไปมองนอกหน้าต่างแทน
นะโมแอบชำเลืองมองมุมปากที่เม้มแน่นของพระพาย แล้วก็หัวเราะเบา ๆ พลางยื่นมือมาขยี้ผมอีกฝ่ายจนยุ่ง “โธ่เอ๊ย…เมียกูก็ด่าน่ารักดีนะ ด่าแรงยังไงกูก็ฟังเพลินอยู่ดี”
พระพายหันขวับมาตีมือเต็มแรง “กูไม่ได้เป็นเมียมึงโว้ย!”
“โอเค๊…แฟนกูก็ได้” นะโมตอบหน้าตาย ทำเอาพระพายแทบจะระเบิดรถทิ้งทั้งคัน
รถแล่นไปบนถนนที่ไม่ใช่ทางกลับบริษัท พระพายเลยหันมามองด้วยสายตาขุ่น ๆ “มึง…จะพาไปไหนวะ นี่มันไม่ใช่ทางกลับบริษัทแล้วนะ”
นะโมยิ้มกวน ไม่ละสายตาจากถนน “ไปหาของอร่อยกินไง กูเลี้ยงเอง”
“กูไม่ได้บอกหิวซะหน่อย” พระพายบ่นเบา ๆ แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจ เลือกนั่งเงียบ ๆ แทน ไม่อยากเถียงให้เสียแรง
ไม่นาน รถก็เลี้ยวเข้ามาที่คาเฟ่บรรยากาศอบอุ่น ตกแต่งเรียบง่ายแต่มีสไตล์
ทันทีที่รถจอด นะโมก็ลงไปเปิดประตูฝั่งพระพายแบบไม่ถามความสมัครใจ มือใหญ่คว้าข้อมืออีกฝ่ายแน่นแล้วจูงเข้าไปในร้านทันที
“เฮ้ย! ปล่อยดิ!” พระพายกระซิบดุ ๆ พยายามสะบัด แต่ก็กลายเป็นเหมือนคนเต็มใจเดินเคียงกันเข้าไปอย่างนั้น
ด้านในกลิ่นกาแฟคั่วสดลอยอวล เจ้าของร้านที่ยืนหลังเคาน์เตอร์พอเห็นน้องชายตัวแสบเดินเข้ามาก็หันมาพร้อมรอยยิ้มทันที
ธีร์ยกคิ้วสูง มองภาพตรงหน้าชัด ๆ ก่อนจะเดินออกมารับแขก แต่สายตาไม่ลืมแอบส่งสัญญาณแซวให้น้องชาย อ๋อ…นี่สินะตัวจริงที่เคยให้ช่วยตามหา
นะโมทำเป็นไม่เห็น แค่ยิ้มกวนกว่าเดิม ดึงพระพายไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างแบบไม่ให้โอกาสหนี
พระพายนั่งลงด้วยสีหน้าเหวอ ๆ ปนหงุดหงิด แอบกระซิบเสียงต่ำ “นี่มึง…พากูมาที่นี่ทำไมวะ”
นะโมยักไหล่ทำหน้านิ่ง ๆ แต่แววตากลับเป็นประกาย “ก็อยากให้รู้จักครอบครัวกูไง จะได้ไม่คิดว่ากูเล่น ๆ”
พระพายอึ้งไปนิด ใจเต้นแรงอย่างไม่ทันตั้งตัว ขณะที่ธีร์ที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ แอบยิ้มมุมปาก กอดอกพลางพึมพำกับตัวเองเบา ๆ “เออ…ในที่สุดก็มีเรื่องดี ๆ เข้าหาน้องชายกูสักที”
--------------------------------------
แถมให้อีกตอนครับ
คู่พระพายกับนะโมยังคงคอนเซ็ปต์ ปากแซ่บเหมือนเดิม
ชอบกันมั้ยครับ
คอมเม้นท์หน่อยน้าาา
ขอบคุณค่าบบบ
ขอบคุณมากๆะครับ สนุกมากครับ ขอขอบคุณ โอ้ กว่าจะลงเอยกันได้ แต่ ลงเอยจริงแล้วไหมนะ
รอตามต่ออย่างจดจ่อนะครับ สนุกมากมาย
ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับ ขอบคุณครับ ชอบมากครับ ขอบคุณครับ รอติดตามต่อนะครับ ขอบคันคร้บ
หน้า:
[1]