หัวใจดีไซน์ Ep.13 (สถาปนิกxคนงานก่อสร้าง)
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-9-20 10:01รถคันใหญ่จอดเทียบหน้าคอนโดหรู พระพายรีบเปิดประตูลงแทบจะทันที นะโมก็ตามลงมาโดยไม่รอให้เรียก พอจะเดินเข้าไปข้างใน ร่างสูงกลับเอื้อมมือมาคว้าแขนไว้เหมือนจะไปส่งถึงห้อง
“กูไปเองได้ ปล่อย!” พระพายสะบัดออก หัวใจเต้นแรงด้วยทั้งความกังวลและความอึดอัด
ยังไม่ทันได้เถียงอะไรกันต่อ เสียงทุ้มอีกเสียงก็ดังขึ้นจากด้านหน้า
“พระพาย?”
ร่างสูงโปร่งในชุดเรียบร้อยก้าวออกมาจากประตูหมุนของคอนโดพอดี ‘จามิน’ ใบหน้าคมคายแฝงรอยยิ้มบาง ๆ แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความสงสัย
พระพายชะงัก ก่อนรีบสาวเท้าไปยืนข้างหลังเขาอย่างกับหาที่พึ่งทันที นะโมที่ยืนอยู่ด้านหลังเห็นภาพนั้นเข้าก็เหมือนถูกสาดน้ำมันเข้ากองไฟ แววตาคมวาววับ ก้าวพรวดเข้ามา
มือหนาเอื้อมไปคว้าแขนพระพายดึงกลับ “ออกมา พระพาย ไปหลบหลังมันทำไม”
พระพายก้มหน้า ไม่พูดไม่จา แต่กลับพยายามขืนตัวหนี สายตาที่ไม่ยอมสบของเขายิ่งทำให้นะโมเดือดจนเส้นเลือดขมับเต้นตุบ ๆ
“ไอ้นี่มันเป็นใคร!” เสียงทุ้มต่ำกดข่มจนคนผ่านไปมาเริ่มชะงักหันมามอง
พระพายกัดปากแน่น ไม่เอ่ยตอบสักคำ จามินจึงก้าวมาขวางเบื้องหน้า ใบหน้าเรียบนิ่งเอ่ยด้วยเสียงสุขุมแต่แฝงแรงกดดันไม่แพ้กัน
“คุณนั่นแหละเป็นใคร มายุ่งอะไรกับคนของผม”
คำพูดนั้นทำเอานะโมหัวเราะหึอย่างขบขันปนเกรี้ยวกราด ดวงตาแข็งกร้าวเหมือนสัตว์ร้ายที่ถูกท้าทาย
“คนของมึงงั้นเหรอ… หึ นี่เมียกูโว้ย” เขาสวนกลับทันควัน เสียงดังฟังชัดจนพระพายเงยหน้าขึ้นตะลึง ดวงตาเบิกกว้าง
จามินเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนเอียงคอ มุมปากยกยิ้มเย็น ๆ “การที่คุณมาเรียกคนอื่นว่าเมียมั่ว ๆ แบบนี้…มันดูไม่ค่อยดีเลยนะครับ”
นะโมยืนนิ่งชั่วอึดใจหลังสวนคำกับจามิน แววตาคมกริบเหลือบไปมองพระพายที่ยังยืนหลบอยู่ข้างหลังคนอื่น ภาพนั้นเหมือนมีดกรีดลงกลางอก
เขากัดฟันกรอด ก่อนถอยก้าวออกมา สูดหายใจแรงราวกับพยายามกลืนไฟในอก แต่สุดท้ายก็ระเบิดมันออกด้วยการเหวี่ยงเท้าเตะอากาศเต็มแรง
“โธ่เว้ย!!!”
เสียงสบถต่ำลอดไรฟัน ดวงตาแดงก่ำไปด้วยทั้งโกรธ ทั้งเจ็บใจ เขาหันหลังพรวดไปขึ้นรถ กระแทกประตูปิดดังปัง ก่อนเหยียบคันเร่งเสียงเครื่องยนต์คำรามก้อง รถหรูพุ่งออกไปอย่างบ้าคลั่งจนคนแถวนั้นสะดุ้งตามแรงสั่นสะเทือน
พระพายเผลอสะดุ้งตามไปด้วย ใจเต้นระส่ำ พอเห็นว่าเงารถหายลับตาไปแล้ว เขาก็รีบก้มหน้าเดินเข้าไปในคอนโดโดยไม่หันกลับมามองอีก
จามินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กวาดตามองเหตุการณ์เงียบ ๆ ไม่ได้พูดอะไรตามนิสัยที่ไม่ค่อยก้าวก่าย แต่ขาทั้งสองก็ขยับเดินตามห่าง ๆ รักษาระยะพอดี
พระพายกดบัตรผ่านเข้าประตู เสียงสแกนดังติ๊ด บานประตูเปิดออก เขารีบก้าวเข้าไปเหมือนอยากหนีทุกสายตา ในอกทั้งโล่ง ทั้งเจ็บ ทั้งสับสนจนแทบจะแยกไม่ออกว่าอะไรคือความรู้สึกจริง
ด้านหลัง จามินหยุดยืนตรงทางเข้า มองแผ่นหลังที่หายลับเข้าไปในตัวตึก สายตาเรียบนิ่ง แต่ลึก ๆ มีบางอย่างที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เสียงประตูห้องปิดลง “แกร๊ก” ทิ้งไว้เพียงความเงียบงัน พระพายทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างหมดแรง มือยกขึ้นปิดหน้า รู้สึกเจ็บหน่วงในอก ความจริงแล้ว…เขาไม่ได้อยากไล่นะโมไปเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะกลัว กลัวว่าจะเผลออ่อนแอ กลัวว่าจะเผลอยอมรับคนคนนั้นเข้ามาในชีวิตจริง ๆ
“โง่…พระพายมึงโง่ฉิบหาย” เขาพึมพำกับตัวเอง น้ำตาที่คิดว่าเหือดแห้งไปแล้วกลับไหลรินลงมาอีกครั้ง
ทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ ทั้งเสียดาย… เสียดายที่ตอนนะโมยืนอยู่ตรงนั้น เขากลับไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง ทั้งที่ใจจริงอยากบอกให้อีกคนอยู่ต่อ อยากให้อีกฝ่ายยังดื้อรั้นเหมือนทุกที…
แต่ครั้งนี้…นะโมกลับยอมถอย และเดินจากไปจริง ๆ
–
เสียงเครื่องยนต์ดังคำรามมาตลอดทางจนกระทั่งรถหรูคันใหญ่เบรกเอี๊ยดตรงหน้าคาเฟ่ไม้สีอบอุ่นที่ตั้งอยู่ริมถนน นะโมก้าวลงจากรถด้วยสีหน้าขุ่นเคือง ก้าวพรวดเข้ามาข้างในโดยไม่ทักใครทั้งนั้น
ธีร์ที่กำลังยืนชงกาแฟอยู่หลังบาร์เหลือบตามองขึ้นมา พอเห็นหน้าน้องชายก็ยกยิ้มมุมปากทันที “ไงวะ วันนี้หุ้นตกหรือยังไง หน้าบูดเชียว”
“ธีร์…” นะโมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หน้าบาร์อย่างแรง มือเสยผมตัวเองจนยุ่งไปหมด “ทำไมกูต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ ทั้งที่กูก็ไม่มีสิทธิ์ไปโกรธเขาเลยด้วยซ้ำ”
ธีร์เลิกคิ้ว มุมปากยกยิ้มกวน ๆ ขณะวางแก้วกาแฟลงตรงหน้า “อ๋อ…ไปตกหลุมรักใครมาอีกแล้วล่ะสิ”
นะโมชะงักไปครู่ แต่สายตายังคงหม่นจัด กำหมัดแน่น “แม่ง…กูเกลียดเวลาตัวเองเป็นแบบนี้ว่ะพี่ รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่เลือกกู แต่พอกูเห็นเขาไปอยู่ใกล้คนอื่น ใจมันก็เดือดจนแทบคลั่ง”
ธีร์หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปตบไหล่น้องชายเบา ๆ “มึงนี่นะ เวลาทำอะไรก็จริงจังไปหมด ดื้อรั้น ไม่สนใจใครทั้งนั้น แต่เอาจริง ๆ นะโม…ถ้ามึงจะดื้อ ก็ลองดื้อต่อไปอีกสักหน่อยสิวะ เผื่อวันหนึ่งเขาอาจหันมาสนใจมึงก็ได้”
นะโมนั่งหน้าบึ้งอยู่ที่เดิม เหมือนพายุในหัวมันสับสนเกินกว่าจะจัดการได้ง่าย ๆ ธีร์มองอยู่นาน ก่อนจะเดินเอาแก้วกาแฟหอมกรุ่นมาวางตรงหน้า ร่างสูงโปร่งของพี่ชายยกยิ้มบาง ๆ พลางเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงความหมาย
“ชีวิตต่อให้ขมยังไง…มันก็ยังต้องการความหวานนะ ใครว่าน้ำตาลไม่จำเป็นกันล่ะ มึงก็แค่ค่อย ๆ เติมน้ำตาลลงไปทีละนิด จากขม ๆ เดี๋ยวมันก็หวานขึ้นเองแหละ”
น้ำเสียงสบาย ๆ ฟังเหมือนคำล้อ แต่กลับกระแทกเข้าไปตรงกลางอกนะโมจนเงียบไปทันที เขาก้มมองแก้วกาแฟตรงหน้า ควันลอยกรุ่นช้า ๆ ราวกับกำลังบอกให้ใจเขาสงบลงบ้าง
เขาไม่ได้ตอบอะไรในทันที เพียงแค่เก็บเอาคำพูดนั้นไปคิดเงียบ ๆ เหมือนมันกำลังค่อย ๆ แทรกเข้ามาในหัวโดยไม่รู้ตัว
ธีร์เอามือเช็ดโต๊ะไปพลาง ก่อนถามต่อเหมือนไม่ได้ใส่ใจ แต่แท้จริงแล้วแอบชั่งน้ำหนักปฏิกิริยาของน้องชาย “ว่าแต่มึงจะกลับไปเรียนต่อมั้ย ใกล้หมดช่วงซัมเมอร์แล้วนี่”
นะโมชะงัก แววตาไหววูบ ความเงียบกดทับอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “…ก็ยังไม่รู้ว่ะพี่ ใจหนึ่งกูก็อยากกลับไป แต่อีกใจ…กูยังอยากดื้อต่ออีกสักหน่อย”
ธีร์มองหน้าน้องชาย ยิ้มบางที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู “ก็ในเมื่อมึงตัดสินใจดื้อแล้ว ก็ทำให้เต็มที่ก็แล้วกัน แต่ถ้าจะดื้อ…ก็อย่าลืมเติมน้ำตาลให้ชีวิตตัวเองด้วย เข้าใจมั้ยไอ้น้อง”
นะโมไม่ได้ตอบ เพียงแค่ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ความขมแรกสัมผัสลิ้น ก่อนที่ความหวานจาง ๆ จะค่อย ๆ ตามมา เขาหลับตา กักเก็บรสชาตินั้นไว้ในใจ เหมือนกำลังบอกตัวเองว่า เขาจะไม่ถอยง่าย ๆ แน่นอน
–
แสงแดดยามสายแผดร้อนลงมาเต็มแรง เสียงเครื่องจักรกับเสียงเหล็กกระทบกันดังสนั่นตลอดทั้งไซต์งาน นะโมสวมเสื้อยืดเก่า กางเกงยีนส์เปื้อนฝุ่นเต็มตัว เหงื่อไหลท่วมแผ่นหลัง แต่เขากลับตั้งใจแบกปูน ขนเหล็ก เดินไปเดินมาไม่หยุดราวกับใช้แรงกายกลบพายุในหัว
ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความหนักแน่น ไม่ใช่เพราะเขาชอบงานหนักแบบนี้เป็นพิเศษ แต่เพราะความเหนื่อยล้าที่แลกมามันช่วยทำให้ความคิดยุ่งเหยิงเงียบลงได้บ้าง
นับหนึ่งเดินตรวจงานอยู่ไม่ไกล ใบหน้าคมเข้มยังคงเคร่งขรึมตามหน้าที่ หยิบแบบก่อสร้างพลิกไปมา เช็กตัวเลขอย่างจริงจัง สายตาเหลือบขึ้นมาก็เจอเจ้าเด็กดื้อวิ่งมาหาอีกแล้ว
“เฮ้ พี่นับหนึ่ง!” นะโมวางเหล็กเส้นลง แล้ววิ่งเข้ามาหาเหมือนเด็กหมา ยกมือเช็ดเหงื่อพลางยิ้มกว้าง “แดดแรงแบบนี้ พี่ไม่ร้อนบ้างเหรอครับ? เดี๋ยวผมไปซื้อชาเย็นมาเลี้ยง เอามั้ย?”
นับหนึ่งถอนหายใจยาว ทำท่าไม่อยากสนใจ แต่ปากกลับตอบสั้น ๆ “ทำงานของมึงไปเถอะ”
นะโมหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะยกมือยีผมตัวเอง “โห ดุอีกละพี่” ว่าแล้วก็ยกมือทำท่าจะเคารพแบบกวน ๆ ทำเอาคนรอบข้างหลุดหัวเราะ
แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิมคือ…สายตาที่นะโมมองนับหนึ่ง มันไม่ใช่แววตาที่คิดอยากจีบเล่น ๆ เหมือนก่อนอีกแล้ว เขาไม่ได้รู้สึกอยากชวนกวนประสาทเพราะคิดว่าอีกฝ่ายน่ารัก แต่กลับเต็มไปด้วยความเคารพและศรัทธาเหมือนพี่ชายที่คอยสอน คอยดึงเขาให้อยู่กับร่องกับรอย
เสียงนกกระจอกเจื้อยแจ้วคลอเคลียกับเสียงลมร้อนพัดเบา ๆ รอบไซต์งาน ช่วงพักกลางวันทุกคนแยกย้ายไปนั่งกินข้าวกันตามมุมร่ม นับหนึ่งเองก็นั่งหลบแดดอยู่ใต้เพิงไม้เล็ก ๆ ข้างแผงปูน
ไม่นานนัก รถสปอร์ตสีดำคันคุ้นตาก็แล่นเข้ามาจอด คีตะก้าวลงมาพร้อมรอยยิ้มกว้างในทันทีที่เห็นนับหนึ่ง ร่างสูงโปร่งเดินปราดเข้ามาอย่างไม่รอช้า “พี่นับหนึ่ง! วันนี้ผมแวะมาตรวจงานให้ครับ”
นับหนึ่งเลิกคิ้วขำ ๆ “ตรวจงานหรือตั้งใจจะมาตามพี่กันแน่”
คีตะหัวเราะร่า ไม่คิดปิดบัง “ก็ทั้งสองอย่างครับ” เขาวางถุงอาหารที่ถือมาลงตรงหน้า “ซื้อข้าวกล่องร้านที่พี่ชอบมาฝากด้วย”
นับหนึ่งมองถุงข้าวแล้วยิ้มบาง ๆ แววตาที่มองคีตะเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ยากจะปิดบัง “ขอบใจนะ”
ทั้งคู่เริ่มนั่งกินข้าวด้วยกัน คีตะหยอกล้อไปเรื่อย พูดอะไรนิดหน่อยนับหนึ่งก็คอยสวนกลับจนกลายเป็นบทสนทนากวน ๆ แต่เต็มไปด้วยความสนิทสนม สายตาที่มองกันและกันชัดเจนว่ามีความรักซ่อนอยู่เต็มเปี่ยม
นะโมนั่งอยู่อีกฟากหนึ่งไม่ไกลนัก มือถือข้าวกล่องที่ซื้อเองมา แต่สายตากลับหลุดมองภาพตรงหน้าเป็นระยะ ๆ ใจหนึ่งก็อยากหัวเราะไปกับความกวนของคีตะ แต่อีกใจกลับเจ็บหน่วงอย่างบอกไม่ถูก
ภาพคีตะยื่นช้อนให้นับหนึ่ง หรือเวลาที่นับหนึ่งเผลอยิ้มตาหยีเพราะถูกแหย่เล่น ทั้งหมดมันเหมือนฉากที่เขาเองก็อยากมีบ้างสักครั้ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะไปหาความรู้สึกแบบนั้นจากใคร
เขาก้มหน้าลงตักข้าวเข้าปาก กลืนลงไปทั้งที่แทบไม่รับรู้รสชาติ ความเหนื่อยจากการแบกปูนเมื่อเช้าไม่เท่ากับความหนักหน่วงในอกตอนนี้เลยแม้แต่น้อย
“หึ…” นะโมหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง แค่นเสียงออกมาเหมือนจะกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อยากยอมรับ
ช่วงบ่าย แดดแรงเริ่มอ่อนลง คนงานบางส่วนยังขนเหล็กต่อ แต่นะโมถือขวดน้ำเดินเข้ามาหานับหนึ่งที่กำลังเช็กแบบงานอยู่ใต้ร่มเงาไม้ ร่างสูงยืนอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงจริงจังผิดจากท่าทีปกติ
“พี่นับหนึ่งครับ…”
“หืม? ว่าไง” นับหนึ่งเงยหน้าขึ้นมอง สีหน้าสงสัยกับน้ำเสียงที่ดูไม่เหมือนเดิม
นะโมเกาหัวแกรก ๆ เหมือนกำลังชั่งใจ ก่อนกลั้นใจพูดออกมา “คือ…เพื่อนผมมันมีปัญหาเรื่องความรักครับ เลยมาปรึกษาผม แต่ผมก็ไม่รู้จะให้คำปรึกษายังไงดี… พี่พอจะช่วยได้มั้ยครับ?”
นับหนึ่งเลิกคิ้ว แปลกใจ เพราะปกติเจ้าเด็กดื้อมักจะกวนประสาทมากกว่ามาพูดอะไรแบบนี้ แต่ก็พยักหน้า “ลองเล่ามาดูก่อนสิ เผื่อกูช่วยได้”
นะโมเม้มปาก สูดหายใจเข้าแล้วเอ่ยช้า ๆ “…คือเพื่อนผมมันเมาครับ แล้วดันไปได้กับคนแปลกหน้า พอตื่นมาก็เจอว่าคนนั้นหนีไปแล้ว เพื่อนผมมันก็ตามหาจนรู้ว่าเป็นใคร แต่ปัญหาคือ…คนคนนั้นกลับเกลียดมันครับ”
แววตาของเขาเจือความเจ็บลึก ๆ แม้ปากจะพูดถึง “เพื่อน” แต่ความรู้สึกที่หลุดออกมากลับเหมือนกำลังเล่าเรื่องตัวเองทั้งสิ้น
“ทีนี้เพื่อนผมมันเลยไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี มันไม่ได้อยากบังคับใครนะ แต่…มันก็ชอบเขาไปแล้วจริง ๆ”
นับหนึ่งฟังเงียบ ๆ สักพัก สายตาจับจ้องเด็กตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจยาว “เพื่อนมึง…นี่ฟังดูไม่ใช่เพื่อนเลยนะ เหมือนเรื่องของมึงเองมากกว่า”
นะโมสะดุ้งเล็กน้อย รีบเบือนสายตาหนี อึกอัก “ก็…เพื่อนผมนั่นแหละพี่”
นับหนึ่งเลิกคิ้ว ยกยิ้มบาง ๆ มุมปากเล็กน้อย ราวกับเข้าใจแต่ก็ยอมเล่นตามน้ำ “เออ…เพื่อนก็เพื่อน”
เขาวางแบบก่อสร้างลง หันมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “กูว่าถ้า ‘เพื่อนมึง’ ชอบใครจริง ๆ สิ่งแรกที่ต้องทำคือหยุดฝืน ต้องยอมรับให้ได้ก่อนว่าคนนั้นยังไม่เปิดใจ ถ้าไปเร่งหรือบีบ เขาก็จะยิ่งหนีออกไปไกลกว่าเดิม”
นะโมฟังเงียบ ๆ ปลายนิ้วเผลอบีบขวดน้ำจนเสียงดังกรอบแกรบ ความรู้สึกในใจร้อนรุ่ม แต่ก็พยายามกลืนลงคอ
“แต่ในเมื่อมันชอบไปแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องผิดหรอก” นับหนึ่งเอ่ยต่อ น้ำเสียงอ่อนลง “สิ่งที่ทำได้ก็มีแค่ค่อย ๆ พิสูจน์ แสดงให้เห็นว่าความรู้สึกมันจริงแค่ไหน… ที่เหลือก็อยู่ที่เขาจะยอมรับหรือไม่”
นะโมหลุบตาลง ยกยิ้มฝืด ๆ แต่ก็จริงใจ “…ขอบคุณครับพี่”
ช่วงนี้นะโมไม่ค่อยกลับไปนอนห้องเล็ก ๆ ที่เคยเช่าไว้ใกล้ไซต์งานอีกแล้ว แต่เลือกจะกลับมาบ้านใหญ่แทน ถึงแม้มันจะกว้างจนเงียบเกินไป แต่ก็ยังดีกว่าถูกความเหงากัดกินอยู่คนเดียว
ทุกครั้งที่กลับมา เขาจะตรงไปหาฟาเดล หมาพันธุ์อลาสกันไซส์มหึมาที่กระโจนใส่ทันทีที่เห็นเจ้านาย ร่างสูงมักจะกอดมันแน่น ๆ ซุกหน้าไปกับขนหนานุ่ม ใช้แรงบีบรัดเหมือนกำลังระบายความอัดอั้นในอก
“คิดถึงฉันใช่มั้ย ฟาเดล… โชคดีที่แกไม่พูด ไม่งั้นฉันคงโดนแกบ่นทุกวันแน่” นะโมหัวเราะหึ ๆ พลางฟัดแก้มหมาตัวโปรด ก่อนจะเอนตัวลงนอนข้าง ๆ ปล่อยให้เจ้าหมาตัวโตเอาหัวหนัก ๆ มาซบอกเขาเหมือนปลอบใจเงียบ ๆ
แต่ถึงจะมีฟาเดลอยู่ด้วย ความว่างในใจมันก็ยังไม่หายไปทั้งหมด นะโมเลยยังคงเลือกไปไซต์ก่อสร้างอยู่เรื่อย ๆ ถึงจะไม่จำเป็นแล้วก็ตาม การได้ใช้แรงหนัก ๆ เหงื่อไหลท่วมตัว การแบกเหล็ก แบกปูน และเสียงหัวเราะของพี่ ๆ คนงาน…มันช่วยเบี่ยงความคิดไม่ให้วนกลับไปหาความรู้สึกที่เขายังไม่พร้อมจะเผชิญ
บางทีเขาก็เฮฮาไปกับคนงานที่หยอกล้อกันตามประสา บางทีก็โดนนับหนึ่งสั่งงานเสียงเข้มเหมือนพี่ชายคอยดึงให้อยู่กับความจริง ทุกอย่างเหล่านั้นถึงจะเหนื่อย แต่ก็ทำให้นะโมรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง
อย่างน้อย…การไม่ต้องอยู่คนเดียวก็ยังดีกว่าจมอยู่กับหัวใจที่วุ่นวายไม่รู้จบ
–
เสียงกระดิ่งหน้าประตู กรุ๊งกริ๊ง ดังขึ้นเบา ๆ เมื่อคีตะก้าวเข้ามาในคาเฟ่เล็ก ๆ เขาไม่ได้ตั้งใจมาเจอใคร เพียงแค่อยากหาที่นั่งดับร้อนกับกาแฟเย็นสักแก้ว แต่ทันทีที่กวาดสายตาไปรอบร้าน… เขาก็สะดุดกับร่างคุ้นตาที่นั่งก้มหน้ามุมหนึ่ง
พระพาย นั่งนิ่งอยู่ตรงโต๊ะข้างกระจก แก้วกาแฟตรงหน้ายังเต็มเกือบครึ่ง แต่สายตากลับเหม่อลอย ร่างทั้งร่างดูอ่อนแรงกว่าที่เคย ไร้รอยกวนประสาทที่มักชอบทำ
คีตะชะงักไปครู่ แต่พอเห็นท่าทางนั้น เขาก็รีบสาวเท้าเข้าไปใกล้ ยกเก้าอี้ดึงออกนั่งลงฝั่งตรงข้ามโดยไม่รอคำเชิญ
“มึงยังโกรธกูอยู่ใช่มั้ย” เขาเปิดปากถามทันที เสียงทุ้มที่พยายามควบคุมให้นิ่ง แต่แฝงด้วยความกังวล
พระพายไม่ตอบ ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง เพียงแค่ไล้นิ้ววนไปมาที่แก้วน้ำเย็นเหมือนกำลังหลบหนีทุกสายตา
คีตะขยับตัวเล็กน้อย โน้มตัวไปข้างหน้า สายตาจับจ้องเขาอย่างจริงจัง “ที่มึงเคยถามกู ว่าเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ใช่มั้ย…ตอนนี้กูอยากถามมึงกลับ ว่า…มึงยังอยากเป็นเพื่อนกับกูอยู่หรือเปล่า”
พระพายยังคงเงียบ ดวงตาที่ก้มต่ำมีแววสั่นไหวอยู่ในนั้น
คีตะกำมือแน่น วาจาที่อัดอั้นมานานพรั่งพรูออกมา “เราตัวติดกันมาตั้งแต่สมัยยังปั่นจักรยานไม่เป็นด้วยซ้ำ กูรู้ว่ามึงอยากให้กูอยู่ข้าง ๆ แต่ที่ตรงนั้น…มันทั้งอึดอัดและทรมาน กูเดินข้างมึงต่อไปแบบเดิมไม่ไหวแล้วว่ะ”
เขาหยุดหายใจแรง ๆ ไปครั้งหนึ่ง ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่สั่นเล็กน้อย “แต่กูกับมึง เราจะยังเป็นเพื่อนที่หวังดีต่อกันได้ใช่มั้ย… กูไม่อยากเห็นมึงหายไปจากงาน ไม่อยากเห็นมึงทิ้งทุกอย่างที่มึงสร้างมา”
สายตาคีตะอ่อนลงเล็กน้อย เขาวางมือลงบนโต๊ะช้า ๆ ราวกับวางหัวใจไว้ตรงหน้า “กูอยากให้มึงกลับมาทำงานด้วยกันนะพระพาย แล้วก็อยากให้มึงเจอใครสักคน…ที่ทำให้มึงมองโลกสดใสขึ้นอีกครั้ง”
พระพายเงียบมานานจนในที่สุดน้ำตาก็ไหลออกมา ไม่มีเสียงสะอื้น แต่เป็นน้ำตาที่ไหลออกมาเงียบ ๆ เหมือนถูกปลดปล่อยออกจากที่อัดอั้นมานาน
“คีตะ…” คำสั้น ๆ หลุดจากปากพระพาย “จนถึงตอนนี้…กูก็ยังรั้งมึงไว้ไม่ได้ใช่มั้ย”
คำถามนั้นไม่ต้องการคำตอบใด ๆ เพราะในแววตาและท่าทางของคีตะทุกอย่างก็ชัดเจนอยู่แล้ว แต่พระพายก็ยังพูดต่อไป เหมือนต้องการปลดปล่อยสิ่งที่อยู่ในอกให้หมด
“กู…ขอโทษนะ” เขาพูดเสียงแผ่ว “กูไม่ควรเอาใจไปผูกไว้กับใครขนาดนี้ มันทำให้กูทรมานเหมือนกัน…กูกลัวว่าสักวันจะเสียมึงไปจริง ๆ กลัวว่าจะไม่มีมึงอยู่ข้าง ๆ อีก เพราะที่ผ่านมา กูมีแค่มึงคนเดียว”
คำพูดสุดท้ายร่วงหล่นลงมาเหมือนหินก้อนหนัก พระพายกลืนน้ำลาย พยายามกลั้นสะอื้นแต่ไม่ไหว มือสั่นจนต้องยกมาทับหน้าอกตัวเองเหมือนจะบีบหัวใจไว้ไม่ให้แตก
“มึงก็รู้ว่ากูโตมาในครอบครัวไม่สมบูรณ์ การที่มึงอยู่ข้าง ๆ มันทำให้วันยาก ๆ ผ่านไปได้” เขาพูดต่อ สั้น ๆ เหมือนสารภาพความจริงที่เก็บไว้
คีตะยืดมือมาแตะที่มือพระพายเบา ๆ “พระพาย มึงลองมองออกไปให้ไกล ๆ ดูบ้างสิ มองรอบ ๆ ตัว อย่าโฟกัสแค่ที่กู” เขาไม่เร่ง ไม่ดึง ไม่เรียกร้องเพียงแต่ชี้ทางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มึงแค่ต้องหาให้เจอว่าคนคนนั้นคือใคร คนที่พร้อมให้มึงเริ่มต้นใหม่ได้จริง ๆ ไม่ใช่คนที่ทำให้มึงต้องเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
หลังจากวันนั้น พระพายก็กลับมาที่โต๊ะทำงานของตัวเองในบริษัทรับออกแบบสถาปัตย์อีกครั้ง สายตาพนักงานหลายคู่จับจ้องอย่างแปลกใจ เพราะแทนที่จะกลับมาพร้อมบรรยากาศเดือด ๆ แบบที่เคย พระพายกลับดูสงบลง สีหน้าเรียบนิ่ง ไม่เหวี่ยง ไม่วีน ไม่โวยใส่ใครเหมือนที่ผ่านมา
คีตะมองเงียบ ๆ อยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะประชุม เขาเองก็รู้ว่าที่พระพายกลับมา ไม่ได้เป็นเพราะอยากเท่าไหร่ แต่เพราะเขาไม่ยอมเซ็นอนุมัติขายหุ้นให้ พระพายจึงยังคงเป็นหุ้นส่วน และสุดท้ายก็เลือกกลับมาอยู่ข้าง ๆ อีกครั้ง
สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ พระพายเริ่มวางตัวอย่างมืออาชีพเต็มที่ ไม่มีท่าทีพยายามพิสูจน์ตัวเองด้วยการโวยวายหรือกดข่มใครอีกแล้ว เขาทำงานเงียบ ๆ ใช้สมาธิจัดการเอกสาร แก้แบบ และเคลียร์งานที่คั่งค้างจนเสร็จรวดเร็วเหมือนคนที่รู้หน้าที่ของตัวเองดี
วันนั้นพวกเขามีนัดตรวจงานครั้งสุดท้าย ก่อนจะส่งต่อให้บริษัทบิวต์อินเข้ามารับช่วงงานตกแต่งภายในต่อ โปรเจกต์ใหญ่ที่กินเวลาหลายเดือนจบลงในส่วนโครงสร้างอาคารซึ่งเป็นความรับผิดชอบของบริษัทพระพายกับคีตะ
เสียงรองเท้ากระทบพื้นคอนกรีตดังสม่ำเสมอเมื่อทีมงานเดินตรวจรอบตึก พระพายกางแบบ เช็กสัดส่วน คีตะเดินตามข้าง ๆ คอยซักถามและจดรายละเอียด ทุกอย่างราบรื่นไม่มีข้อโต้แย้ง
คนงานหลายคนแอบซุบซิบกันว่า “คุณพระพายช่วงนี้เปลี่ยนไปนะ ดูใจเย็นขึ้นเยอะเลย” บางคนก็ยิ้มโล่งอกที่ไม่ต้องคอยระวังปะทะอารมณ์เหมือนเมื่อก่อน
เสียงคุยงานดังเป็นระยะ ๆ ตามมุมอาคารใหม่ที่เพิ่งตรวจเสร็จ พระพายยืนอยู่ข้างคีตะ กำลังอธิบายรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ กับทีมงานบิวต์อิน แต่ทันทีที่หางตาเหลือบไปเห็นร่างสูงคุ้นตาอยู่ไม่ไกล ใจเขาก็หายวาบ
นะโม…
พระพายหน้าถอดสีทันที เหงื่อเย็นผุดขึ้นที่ขมับ เขารีบขยับไปยืนชิดหลังคีตะ ใช้แผ่นหลังกว้างของเพื่อนบังสายตา ทำทีเหมือนสนใจในเอกสาร แต่ในใจกลับเต้นโครมครามเหมือนจะหลุดออกมานอกอก
คีตะหันมามองเล็กน้อย แปลกใจกับท่าทีผิดปกติของพระพาย “เป็นอะไร” เขาถามเบา ๆ แต่พระพายแค่ส่ายหัวแล้วก้มหน้าลงเหมือนเด็กที่อยากหายตัวไปจากตรงนั้น
เขาพยายามทำตัวเล็กที่สุด ไม่สบตา ไม่หันไปทางนั้น แต่ทุกการเคลื่อนไหวกลับยิ่งน่าสงสัยสำหรับคนที่กำลังมองอยู่แต่แรก
นะโมยืนพิงรั้วเหล็ก หรี่ตาจับจ้องร่างที่เขาคุ้นเคยตั้งแต่ปลายผมจรดปลายเท้า ตั้งแต่ก้าวแรกที่พระพายเหยียบเข้ามาในไซต์ เขาก็เห็นแล้ว แต่เลือกจะรอ รอให้ถึงจังหวะที่อีกฝ่ายไม่สามารถหนีไปไหนได้
สายตาคมกริบไล่ตามทุกอากัปกิริยาของพระพายเหมือนนักล่าที่รอเวลา จนกระทั่งเห็นเจ้าตัวหลบหลังคีตะ พยายามไม่ให้เขาเห็น…ก็ยิ่งเหมือนเชื้อไฟราดน้ำมัน
นะโมยกยิ้มมุมปากนิด ๆ แต่แฝงด้วยความหงุดหงิดในที “คิดว่าหลบหลังคนอื่น กูจะมองไม่เห็นหรือไงวะ พระพาย” เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะก้าวขาออกจากเงา เสียงรองเท้าหนัก ๆ กระทบพื้นคอนกรีต ก้าวตรงเข้ามาหา เป้าหมายชัดเจน ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากพระพายคนเดียว
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้นใกล้ทุกที พระพายพยายามเบี่ยงตัวหลบหลังคีตะจนแทบมิด แต่ก็ไม่ทัน นะโมก้าวมาหยุดตรงหน้า สายตาคมกริบจับจ้องไม่วางตา
มือใหญ่คว้าแขนพระพายไว้แน่น พระพายสะดุ้งเฮือก พยายามสะบัดแต่แรงไม่พอ นะโมกลับไม่พูดอะไรแรง ๆ เหมือนเคย เพียงหันไปสบตากับคีตะแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“คุณคีตะ…ผมขอยืมตัวคุณพระพายสักแป๊บนะครับ”
ยังไม่ทันรอคำตอบ เขาก็ดึงพระพายออกไปทันที ร่างบางเซถลาไปตามแรงกึ่งบังคับกึ่งเร่งเร้า ทิ้งไว้เพียงเงาหลังที่ดูสั่นไหว
คีตะยืนนิ่ง สายตาตามไปจนลับมุม เขาไม่ได้ขัด ไม่ได้ห้าม เพราะในแววตาของพระพายเมื่อครู่ มันมีบางอย่างที่ชัดเจนเกินกว่าจะตีความเป็นอย่างอื่น
“คีตะครับ” เสียงนับหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง เขาเดินเข้ามาด้วยสีหน้างง ๆ มองไปรอบ ๆ ก่อนถาม “เมื่อกี้…สองคนนั้นไปไหนกัน”
คีตะหันมายิ้มบาง ๆ คล้ายทั้งเข้าใจและทั้งไม่อยากอธิบายอะไรให้ยุ่งยาก “ไม่มีอะไรหรอกครับ” เขาพูดสั้น ๆ ก่อนจะผายมือเชิญ “เราไปดูงานกันต่อเถอะ”
--------------------------------------------
มาต่อให้แล้วนะครับ
ชอบก็คอมเม้นท์โลดดดด!!
รักคนอ่าน
ขอบคุณครับ รอติดตามต่ออีกเรื่อยๆนะครับ สนุกมากครับ สองคู่ชู้ชื่น ช่วงโหดจบแล้วน่าจะเหลือแต่ช่วงหวานๆ มั้ย หรือจะมีอะไรมาอีกไหมนะ
รอติดตามตอนต่อไป ด้วยความจดจ่อนะครับ
ขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆะครับ ขอบคุณมากครับ ขอบคุณครับ รอติตตามต่อ หวังว่า พระพายจะเปิดใจให้สักที ขอบคุนครับ
หน้า:
[1]