เมื่อผมข้ามมิติและต้องแต่งงานกับผู้ชาย 4 คนพร้อมกัน Ch.20
แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่กลับดูเนิ่นนานสำหรับผม การที่ต้องอยู่ห่างจากเหล่าสวามีทำให้ความรู้สึกไร้ที่พึ่งชัดเจนยิ่งกว่าเดิม ผมถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนพยายามไล่สิ่งที่ค้างคาอยู่ในอกออกไป แต่กลับยิ่งอึดอัด
ทว่าผมกลับไม่รู้สึกสบายใจเลยสักนิด ซาร์เอลกำลังเดินเกมบางอย่าง และมันก็กำลังเป็นไปตามแผนทีละขั้น โดยที่ผมเหมือนถูกพันธนาการด้วยตาข่ายที่มองไม่เห็น หวังเพียงให้มีใครสักคนยื่นมือมาตัดมันออกไป
อีกสองวัน ตามกำหนดการแล้วผมต้องเดินทางไปกับซาร์เอล เพื่อเยี่ยมปลอบขวัญประชาชนที่กำลังเผชิญภัยแล้ง มันคือราชกิจที่เลี่ยงไม่ได้ของรัชทายาท และผมก็ได้แต่ภาวนาว่าทุกอย่างจะเป็นเพียงเท่านั้นจริง ๆ
"เสวยสักหน่อยเถอะเพคะ" เสียงเฟย์ดังขึ้นข้างตัว ผมก้มมองจานอาหารที่ถูกจัดมาอย่างสวยงาม แม้จะดูน่ากินเพียงใด แต่แค่คิดจะกลืนก็รู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมา
“ยกไปเก็บเถอะเฟย์ ข้าอยากออกไปเดินเล่นในสวนมากกว่า”
เฟย์มีสีหน้าลังเลแต่ก็ทำตาม แม้นัยน์ตายังคงฉายชัดว่าเป็นห่วงจนผมอดคิดไม่ได้ว่า…หรือจริง ๆ มันก็คือภาวะซึมเศร้าที่ผมเคยอ่านผ่านตาในโลกเดิม ความรู้สึกเหมือนถูกถีบตกลงไปในหลุมลึกที่ไม่มีแสงสว่างช่างชัดเจนเหลือเกิน
ผมเดินผ่านดอกไม้ที่บานสะพรั่ง พยายามบอกตัวเองให้ชื่นชมความงามเล็ก ๆ รอบกาย แต่ก็ไม่ช่วยอะไรนัก จนกระทั่งเสียงนางกำนัลแว่วมา
“เห็นไหมล่ะ พวกสวามีทยอยกันจากไปทีละคนแล้ว” นางกำนัลคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “คงหมดรักฝ่าบาทแล้วสินะ ถึงได้รีบหาข้ออ้างออกไปจากวังกันขนาดนี้”
“แน่นอนอยู่แล้ว” อีกคนสมทบอย่างออกรส “ที่นอกวังน่ะ มีสาวงามมากมายที่พร้อมจะปรนนิบัติพวกท่าน ยิ่งกับพวกขุนนางใหญ่ที่มีอำนาจขนาดนั้น ย่อมมีคนพร้อมจะทอดกายให้ถึงที่อยู่แล้ว”
“ก็คงจะไปหาสิ่งที่วังหลวงไม่มีให้น่ะสิ” นางกำนัลอีกคนหัวเราะคิกคัก “จริงไหมล่ะ”
คำพูดเพียงไม่กี่คำของพวกเธอเหมือนมีดที่กรีดลึกลงไปในหัวใจของผม ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นเพียงข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริง แต่ก็ทำให้ความร้อนใจแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่าง
ผมผุดลุกขึ้นยืนในทันที สวมกอดตัวเองแน่นเพื่อระงับความสั่นสะท้านที่เกิดขึ้น หัวใจของผมเต้นระรัวด้วยความกังวลและความกลัวที่ไร้เหตุผล
'หรือมันจะจริง...' ผมคิดในใจอย่างเจ็บปวด 'ที่ข้าไม่มีสิ่งใดให้นอกเหนือจากตำแหน่งรัชทายาท'
ผมไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับสวามีของผมเลยแม้แต่น้อย 'ไม่มีใครเคยล่วงเกินข้าสักครั้ง เพราะพวกเขารู้ว่าข้าไม่ต้องการเช่นนั้น' แต่เพราะความสัมพันธ์ที่ห่างเหินและไม่แนบชิดนี้เองหรือ ที่ทำให้พวกเขารู้สึกเบื่อหน่ายในตัวผมจริงๆ หรือทั้งหมดเป็นเพียงข้ออ้างในการทอดทิ้งผม
ความรู้สึกไร้ที่พึ่งถาโถมเข้าใส่ แต่ผมก็ยังพยายามเก็บเศษสติที่เหลืออยู่ เดินกลับไปยังตำหนักด้วยก้าวที่หนักอึ้ง หัวใจเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่อาจหาคำตอบ
--
สองวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า ราวกับแต่ละชั่วโมงถูกยืดออกไปอย่างไร้ความปรานีสำหรับเซย์เรน ความคิดเรื่องคำพูดของนางกำนัลยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ทำให้หัวใจของเขาหนักอึ้ง และความกังวลเกี่ยวกับเหล่าสวามีก็กัดกินอยู่ตลอดเวลา
ยามเช้าตรู่ รถพระที่นั่งสำหรับรัชทายาทจอดรออยู่หน้าตำหนัก โดยมีซาร์เอลยืนรออยู่ก่อนแล้วด้วยรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรเกินจริง แต่ในแววตากลับแฝงด้วยประกายแห่งชัยชนะ รถม้าคันนี้ถูกจัดเตรียมมาเป็นอย่างดี หรูหราและกว้างขวาง แต่กลับมีเพียงสองที่นั่ง สำหรับเซย์เรนและซาร์เอลเท่านั้น
“เชิญท่านพี่” ซาร์เอลผายมือเชิญด้วยท่าทีนอบน้อม ซึ่งยิ่งทำให้เซย์เรนรู้สึกอึดอัดใจ เขาเหลือบมองทหารองครักษ์หน่วยพิเศษของซาร์เอลที่ยืนประจำการอยู่รอบรถม้าแทนที่คนของเขาเอง ทำให้รู้สึกเหมือนถูกคุมขังมากกว่าถูกคุ้มกัน
เมื่อขึ้นไปนั่งบนรถม้า เซย์เรนเลือกนั่งมุมที่ไกลที่สุดจากซาร์เอล เสียงล้อรถบดกับพื้นดินดังเอี๊ยดอ๊าดเป็นจังหวะ พาพวกเขาเคลื่อนตัวออกห่างจากวังหลวงไปเรื่อยๆ ท่ามกลางสายตาของประชาชนที่ออกมายืนส่ง ซาร์เอลยังคงรักษารอยยิ้มนั้นไว้ตลอดเวลาโบกมือทักทายผู้คนอย่างเป็นกันเอง ซึ่งแตกต่างจากเซย์เรนที่ได้แต่พยักหน้าเล็กน้อยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
บรรยากาศภายในรถม้าเงียบงันชั่วขณะ มีเพียงเสียงม้าควบและล้อรถบดถนน ซาร์เอลเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเดินทางไปกับท่านพี่เช่นนี้” ซาร์เอลกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “การได้เห็นท่านพี่ใส่ใจประชาชนถึงเพียงนี้ ย่อมทำให้เหล่าข้าราชบริพารรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง”
เซย์เรนเหลือบมองซาร์เอลเล็กน้อย “เจ้าก็ดูเหมือนจะกระตือรือร้นกับภารกิจนี้ไม่น้อยเช่นกัน” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่แฝงด้วยความเยือกเย็น “หรือเจ้าเพียงต้องการแสดงความสามารถให้ปรากฏต่อสายตาประชาชน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเอง?”
รอยยิ้มของซาร์เอลไม่ได้จางหายไป แต่ประกายในดวงตาเข้มขึ้นเล็กน้อย “ข้าเพียงต้องการทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด” เขาตอบ “เช่นเดียวกับท่านพี่ที่เสด็จออกไปเยียวยาหัวใจของประชาชนด้วยตัวเอง” ซาร์เอลเว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ลดต่ำลง “...ซึ่งนับว่าเป็นหน้าที่ที่ท่านพี่ไม่จำเป็นต้องทำเลยด้วยซ้ำ หากมีสวามีคอยรับหน้าแทน”
คำพูดนั้นจี้ใจดำของเซย์เรนอย่างจัง เขากำหมัดแน่น แต่ก็พยายามเก็บซ่อนอารมณ์ “หน้าที่ของข้าคือการดูแลประชาชน และหน้าที่ของสวามีของข้าคือการปฏิบัติตามราชกิจที่ได้รับมอบหมาย” เซย์เรนตอบกลับอย่างหนักแน่น “ไม่มีใครทอดทิ้งหน้าที่ของตนหรอกซาร์เอล”
ซาร์เอลหัวเราะเบาๆ “แน่นอนท่านพี่ ย่อมทราบดีที่สุดอยู่แล้ว” เขายังคงรักษารอยยิ้มนั้นไว้ แต่ในแววตาเต็มไปด้วยความพึงพอใจที่ได้เห็นปฏิกิริยาของเซย์เรน “แต่ข้าก็อดเป็นห่วงมิได้ ว่าบางครั้ง… ผู้คนที่อยู่ไกลออกไป อาจจะกำลังทำอะไรที่นอกเหนือจากหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอยู่ก็เป็นได้”
เซย์เรนไม่ตอบโต้ แต่หันหน้าหนีไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่เริ่มแห้งแล้งและเป็นสีน้ำตาล การเดินทางที่ดูเนิ่นนานนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น และเขาก็รู้สึกเหมือนถูกบดขยี้อยู่ภายในรถม้าคันนี้แล้ว
เมื่อรถม้าเคลื่อนมาถึงจุดหมายปลายทางก็เป็นช่วงบ่ายพอดี อากาศที่นี่อบอ้าวกว่าในวังหลวงมาก จนเหงื่อซึมออกมาไม่หยุด เซย์เรนรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย แต่ก็ฝืนยิ้มทักทายประชาชนที่มารอต้อนรับอย่างอบอุ่น ต่างจากซาร์เอลที่ดูมีพลังงานล้นเหลือ เขาโบกมือและยิ้มแย้มให้ผู้คนอย่างเป็นกันเอง ดูไม่เหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย
ทันทีที่ได้รับอนุญาตให้เข้าที่พัก เซย์เรนก็รีบเข้าไปในห้องทันที ร่างกายของเขารู้สึกอ่อนเพลียอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาแทบจะทิ้งตัวลงบนเตียงทันที แต่ก็ฝืนตัวเองให้ไปนั่งที่โต๊ะทำงานแทน
'ช่วงนี้เราเหนื่อยง่ายกว่าปกติ' เซย์เรนคิดพลางยกมือขึ้นกุมขมับ เขาแทบไม่ได้นอนเลยตลอดหลายคืนที่ผ่านมา เพราะไม่ชินกับการนอนคนเดียว ตลอดเวลาที่ผ่านมา เหล่าสวามีต่างผลัดเปลี่ยนกันมานอนเฝ้าดูแลเขาเสมอ
ความรู้สึกคิดถึงคนเหล่านั้นถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง ทำให้ความโดดเดี่ยวที่เผชิญอยู่นั้นยิ่งหนักหน่วงขึ้นไปอีก
'หากพวกเขาอยู่ตรงนี้...คงจะดี' เซย์เรนพึมพำกับตัวเอง
ในขณะที่ความรู้สึกท้อแท้เข้าครอบงำอยู่นั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงของซาร์เอลที่ดังเข้ามา “ท่านพี่ มีงานเลี้ยงต้อนรับที่พวกชาวบ้านจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เรา ขอเชิญท่านพี่ไปร่วมงานด้วย”
เซย์เรนถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาไม่มีเรี่ยวแรงจะลุกไปไหนทั้งนั้น แต่ก็รู้ดีว่าไม่สามารถปฏิเสธได้
เซย์เรนพยายามฝืนยิ้มและเข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับที่ชาวบ้านจัดขึ้นอย่างเต็มที่ แต่แล้วใบหน้าของเขาก็ต้องซีดเผือดลงเมื่อซาร์เอลรินไวน์สีแดงเข้มใส่แก้วแล้วยื่นให้
“ไวน์ของที่นี่ขึ้นชื่อมากเลยนะท่านพี่” ซาร์เอลเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นมิตร แต่ดวงตากลับจับจ้องราวกับเป็นคำสั่งที่ยากจะปฏิเสธ “พวกชาวบ้านก็ตั้งใจนำมาให้ท่านพี่ด้วยตัวเอง คงไม่มีใครอยากเห็นท่านพี่ปฏิเสธไวน์แห่งมิตรไมตรีนี้หรอกนะ”
เซย์เรนจำต้องยกแก้วขึ้นจิบ รู้สึกได้ถึงรสชาติที่ขมปร่าแปลกๆ ที่ปลายลิ้น แต่ก็ต้องจำใจดื่มจนหมดแก้วเพื่อไม่ให้ซาร์เอลผิดสังเกต
ตลอดงานเลี้ยงเซย์เรนรู้สึกไม่สบายตัวอย่างบอกไม่ถูก เวียนหัวและพะอืดพะอมจนแทบจะทนไม่ไหว พอได้กลับมายังที่พักเขาก็ทรุดตัวลงบนเตียงทันที
ความปวดร้าวในช่องท้องเริ่มต้นขึ้นอย่างรุนแรง มันบิดเกลียวราวกับมีบางสิ่งกำลังกัดกินอยู่ภายใน ร่างกายของเซย์เรนเริ่มสั่นเทา เหงื่อไหลซึมออกมาไม่หยุด เขานอนบิดไปมาด้วยความเจ็บปวด พยายามอดทนข่มกลั้นอาการทั้งหมดไว้ แต่แล้วร่างกายก็เริ่มร้อนผ่าวจนรู้สึกได้ว่าไข้ขึ้นสูง
“ท่านพี่ขอรับ” เสียงทุ้มนุ่มของซาร์เอลดังขึ้นที่หน้าประตู “ข้าได้รับรายงานว่าท่านพี่ดูอาการไม่ค่อยดี”
ก่อนที่เซย์เรนจะได้ตอบอะไร ประตูห้องก็ถูกเปิดออก และซาร์เอลก็เดินเข้ามาใกล้เตียงด้วยสีหน้ากังวลเกินจริง
“ท่านพี่ตัวร้อนมากเลย” ซาร์เอลพึมพำเมื่อแตะหน้าผากของเซย์เรน ก่อนจะตัดสินใจช้อนตัวเซย์เรนขึ้นมาในอ้อมแขนทันที
“ปล่อยข้า” เซย์เรนพยายามดิ้นรน ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดและความหวาดระแวง แม้จะเจ็บปวดจนเกือบหมดสติ แต่เขาก็ยังพอรู้สึกตัว และสัญชาตญาณก็บอกว่าเขาต้องไม่ไว้ใจคนคนนี้
เซย์เรนพยายามผลักไสซาร์เอลออกไป แต่เรี่ยวแรงที่เคยมีกลับหายไปจนหมด เขารู้สึกเหมือนถูกพันธนาการไว้ในอ้อมแขนของศัตรู ร่างกายที่อ่อนแอทำให้เขาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากยอมจำนนต่อสถานการณ์อันเลวร้ายนี้
ร่างกายของเซย์เรนที่อ่อนล้าเต็มทีไม่ได้ทานทนต่อความเจ็บปวดได้อีกต่อไป ในที่สุดเขาก็หมดสติไปในอ้อมแขนของซาร์เอล
ซาร์เอลอุ้มร่างที่หมดสติของเซย์เรนมายังห้องพักของตัวเองอย่างรวดเร็ว เขาพาเซย์เรนนอนลงบนเตียง ก่อนจะร่ายเวทมนตร์เพื่อฟื้นฟูร่างกายและตรวจดูชีพจรอย่างละเอียด
แสงสีเขียวอ่อนนุ่มจากเวทฟื้นฟูส่องสว่างขึ้นบนร่างของเซย์เรน ก่อนจะค่อยๆ สลายตัวไป ซาร์เอลแตะหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาเพื่อตรวจดูอาการ แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักเมื่อรับรู้ได้ถึงชีพจรที่เต้นผิดปกติ
ซาร์เอลหลับตาลงเพื่อใช้พลังเวททั้งหมดตรวจดูร่างกายของเซย์เรนอย่างถี่ถ้วน และสิ่งที่เขาพบก็ทำให้เขาต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ... เซย์เรนกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ
สมองของซาร์เอลว่างเปล่าไปชั่วขณะ ข่าวลือที่เขาเคยได้ยินมาเกี่ยวกับราชวงศ์ในการสืบทอดสายเลือด... รากเวทโบราณที่ถูกผนึกไว้ตั้งแต่เกิด แม้ว่าร่างกายรัชทายาทจะเป็นเพศบุรุษก็สามารถให้กำเนิดทายาทได้ หากได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาทสืบบัลลังก์ ไม่ใช่แค่ข่าวลือ แต่เป็นความจริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขา
เขาได้แต่นั่งนิ่งงันอยู่พักใหญ่ ความคิดมากมายตีกันในหัว 'ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว การที่ข้าได้ขึ้นครองราชย์จะมีความหมายอะไร หากไม่สามารถสร้างสายเลือดเป็นของตัวเองได้' ซาร์เอลกำหมัดแน่น พลังอำนาจที่ได้มาจากการช่วงชิงย่อมไม่มั่นคงเท่ากับพลังอำนาจที่สืบทอดทางสายเลือด
--
เซย์เรนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในตอนเช้า อาการปวดศีรษะและไข้ที่เคยกดทับหายไปแล้ว มีเพียงความปวดหน่วงเล็กน้อยที่บริเวณท้องน้อยเท่านั้น เขาค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ
ดวงตาของเขากวาดมองไปรอบๆ และต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในห้องพักของตนเอง แต่กลับเป็นห้องของซาร์เอล เขามองไปที่โต๊ะข้างๆ เตียง และเห็นซาร์เอลกำลังนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด เซย์เรนขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและความไม่สบายใจ
ความทรงจำสุดท้ายของเขาคือความเจ็บปวดที่รุนแรง และการดิ้นรนในอ้อมแขนของซาร์เอล ก่อนที่สติจะดับวูบไป 'เกิดอะไรขึ้นกันแน่?'
เขาสัมผัสได้ว่าตัวเองถูกเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว และรู้สึกถึงพลังเวทที่อ่อนจางลงบริเวณท้องน้อย นั่นทำให้เซย์เรนยิ่งหวาดระแวง เขาตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเดินไปหาเสื้อผ้าของตัวเองที่แขวนอยู่บนเก้าอี้อีกตัว
ในขณะที่เซย์เรนกำลังแต่งตัวนั่นเอง ซาร์เอลก็ลืมตาขึ้นช้าๆ เขามองเซย์เรนด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาความรู้สึก ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนจนน่าประหลาดใจ
“ท่านพี่ตื่นแล้วหรือ… อาการดีขึ้นแล้วใช่ไหม?”
“ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” เซย์เรนถามกลับทันที น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ
ซาร์เอลลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย “ทหารเฝ้ายามของข้าได้ยินเสียงผิดปกติจากห้องของท่านพี่ เลยรีบมารายงานให้ข้าทราบ พอไปถึงก็พบว่าท่านพี่กำลังหมดสติอยู่ในห้องแล้ว” เขากล่าวต่ออย่างใจเย็น “ข้าได้ร่ายเวทรักษาเบื้องต้นให้แล้ว ยังเจ็บตรงไหนอยู่ไหม?”
เซย์เรนส่ายหน้าเบาๆ ความสงสัยยังคงติดอยู่ในใจ แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่อยู่ในฐานะที่จะซักถามอะไรได้อีก เขาได้แต่ตอบกลับไปว่า “ไม่แล้ว… ขอบใจ”
ซาร์เอลยิ้มบางๆ แล้วเดินไปเปิดประตูให้ “พักผ่อนเถอะท่านพี่ อีกเดี๋ยวข้าจะให้คนเตรียมอาหารเช้ามาให้”
ตลอดทั้งวันนั้น เซย์เรนนอนซมอยู่ในห้องแทบไม่ได้ลุกไปไหน ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง อาการปวดหน่วงที่ท้องน้อย และความรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องอยู่ใกล้ซาร์เอลทำให้เขาแทบไม่อยากแตะต้องอาหารที่ถูกยกมาให้เลยด้วยซ้ำ
เมื่อตกกลางคืน ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมห้องอย่างสมบูรณ์ เซย์เรนที่หลับๆ ตื่นๆ อยู่บนเตียง ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ย่องเข้ามาในห้อง ก่อนที่บางสิ่งจะพุ่งเข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว
ชายฉกรรจ์หลายคนสวมชุดสีดำสนิทใช้กระสอบคลุมตัวเขาไว้ทันที เซย์เรนสะดุ้งสุดตัว พยายามดิ้นรนสุดกำลัง แต่สู้แรงที่แข็งแกร่งกว่าของคนเหล่านั้นไม่ได้ เขาถูกปิดปากไม่ให้ส่งเสียงได้ และก่อนที่จะรู้สึกตัวอีกครั้ง ความมืดก็เข้ากลืนกินสติของเขาไปจนหมด
เซย์เรนสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งในความมืดที่ไร้ซึ่งจุดหมาย กลิ่นอับชื้นของดินและฝุ่นคละคลุ้งไปทั่ว เขาพยายามขยับตัวแต่ก็พบว่าข้อมือและข้อเท้าถูกมัดไว้แน่นด้วยเชือกหยาบๆ ผ้าที่ปิดปากอยู่ทำให้เขาไม่สามารถส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือได้ ร่างกายยังคงอ่อนแรงจากอาการป่วย ทำให้เขาทำได้เพียงแค่ดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง
ประตูไม้เก่าๆ ถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้า แสงสว่างจากตะเกียงน้ำมันส่องเข้ามาเผยให้เห็นเงาคนสองคน ชายคนหนึ่งแต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีดำสนิท มีผ้าคลุมปิดบังใบหน้า ส่วนอีกคนเป็นชายร่างท้วมที่สวมชุดที่ดูมีราคา แต่ในแววตาเต็มไปด้วยความมืดมิด
“ของที่ท่านสั่งได้มาแล้ว” ชายสวมเสื้อคลุมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ของเล่นชิ้นใหม่”
ชายร่างท้วมหัวเราะเบาๆ “ฮึๆ ข้าต้องยกย่องในความสามารถของเจ้าจริงๆ” เขาเดินเข้ามาใกล้เตียงที่เซย์เรนนอนอยู่ พลางใช้ไม้เท้าเคาะเบาๆ ที่เท้าของเซย์เรน “เด็กหนุ่มคนนี้ดูผิวพรรณดี หน้าตาหมดจด แถมตัวยังหอมอีกด้วย คงเป็นคุณชายที่ถูกเลี้ยงมาอย่างดีในบ้านผู้ดีสักแห่งสินะ”
“แล้วท่านจะรับประกันความปลอดภัยให้ข้าได้ยังไง” ชายสวมเสื้อคลุมถามต่อ “พวกทหารกำลังออกตามหาเขาอยู่ หากรู้ว่าข้าหักหลัง เขาย่อมไม่ปล่อยให้ข้ารอดไปได้แน่”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก” ชายร่างท้วมกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ข้ามีวิธีการที่ทำให้ไม่มีใครหาตัวเจ้าเจอได้แน่” เขาหยุดชั่วครู่ ก่อนจะยื่นถุงเงินที่ดูหนักอึ้งให้ “นี่คือส่วนหนึ่งที่ข้าจะให้เจ้าก่อน ส่วนที่เหลือจะให้หลังจากที่ข้าขายของเล่นชิ้นนี้ได้แล้ว”
Talk with me.
พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกมากลูกช้านนน
สนุกมากครับ โอะโอ มีเรื่องราวแทรกเข้ามาอีกแล้ว
เซย์เรน จะเป็นยังไงนะ แล้วซาร์เอล ตกลงเป็นยังไงกันแน่
น่าติดตามต่อมากเลยครับ
ขอบคุณนะครับ ขอบคุณมากๆนะครับ {:5_120:}{:5_119:}{:5_120:}ดีมากครับ{:5_119:}{:5_119:}
หน้า:
[1]