เมื่อผมข้ามมิติและต้องแต่งงานกับผู้ชาย 4 คนพร้อมกัน Ch.18
รุ่งอรุณแห่งวันจากลามาพร้อมกับความหนาวเหน็บที่แผ่ซ่านเข้ามาถึงหัวใจ แสงแรกของดวงตะวันยังคงอ่อนแรงเมื่อสาดส่องเข้ามาในห้องบรรทมที่เงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง ผมลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง เหมือนมีหินก้อนใหญ่ทับอยู่บนอก อาการคลื่นไส้ยามเช้ายังไม่หายไปไหน แต่ความปวดร้าวในใจกลับรุนแรงกว่าสิ่งใด
น่าแปลก…ทั้งที่ผมเคยคิดว่าตัวเองน่าจะชินแล้ว แต่สุดท้ายก็แค่เรียนรู้จะอยู่กับความว่างเปล่าให้เป็น รู้จักปลอบตัวเองว่าวันพรุ่งนี้จะดีขึ้น แต่พอ...เป็นพวกเขา กลับทำให้ผมเข้าใจว่าบางการลามันไม่มีทางชินได้เลย
วันนี้คือวันที่ไคเรนกับแรนทีลจะต้องออกเดินทาง วันที่ผมต้องยืนอยู่ตรงนี้โดยไม่มีพวกเขาอยู่ข้าง ๆ อีก
ผมเดินไปหยุดที่หน้าต่าง มองลงไปยังลานกว้างที่เงียบร้าง มีเพียงขบวนม้าและเหล่าผู้ติดตามยืนรออย่างสงบ แสงแดดยามเช้าที่ส่องกระทบผืนดินดูเหมือนจะไม่ได้นำพาความอบอุ่นใดๆ มาให้เลย มีเพียงความอ้างว้างที่แผ่ปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่ง
“ฝ่าบาทเพคะ… ถึงเวลาแล้ว” เสียงของเฟย์ดังขึ้นเบาๆ จากด้านหลัง ผมหันไปมอง เฟย์มีสีหน้ากังวลเล็กน้อย เธอคงรับรู้ถึงความรู้สึกของผมได้
ผมพยักหน้าช้าๆ “ข้ารู้แล้ว…”
เมื่อก้าวลงมายังลานด้านล่าง สายตาผมก็สบเข้ากับร่างสูงของไคเรนกับแรนทีลที่ยืนเคียงข้างม้าตัวโปรดของพวกเขา ใบหน้าของทั้งคู่ดูเคร่งขรึมและจริงจังในชุดเดินทางที่เรียบง่ายแต่ทะมัดทะแมง
ไคเรนเดินเข้ามาหาก่อน มือหนาแตะแก้มผมอย่างแผ่วเบา นิ้วหัวแม่มือเช็ดหยดน้ำตาที่ผมไม่รู้ตัวเลยว่ามันไหลออกมาตอนไหน ผมเงยหน้ามองเขาในระยะที่ได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
“อย่าร้องเลยฝ่าบาท…” เสียงเขาทุ้มต่ำแต่สั่นนิด ๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แขนแข็งแรงโอบรัดผมเข้ามาในอ้อมอก ผมซุกหน้าอยู่ตรงนั้น สูดกลิ่นไออุ่นที่คุ้นเคยจนเจ็บไปทั้งหัวใจ
“ไม่ไปได้ไหม…” คำที่หลุดออกมาเบากว่าที่คิด ฟังดูอ้อนวอนเหมือนเด็กเอาแต่ใจจนผมเองยังเกลียดตัวเอง
“รอข้า… แค่ครั้งนี้” ไคเรนกระซิบตอบ เสียงนั้นเหมือนปลอบโยนแต่ก็แฝงความหนักใจจนสัมผัสได้
ผมกอดเขาแน่น รู้ดีว่าคำว่ารอมันโหดร้ายแค่ไหน “ข้ากลัว… กลัวว่าถ้าครั้งนี้พวกท่านจะไม่กลับมา…”
ไคเรนดันตัวผมออกเล็กน้อย จับหน้าให้เงยขึ้น ดวงตาเขาแดงก่ำแต่ยังฝืนยิ้มให้
“แม้จะเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย…ข้าก็จะกลับมาอยู่ข้างท่าน” เขาจูบหน้าผากผมเบา ๆ ความอบอุ่นนั้นเหมือนทั้งสัญญาและคำลาพร้อมกัน
เมื่อผละออกไป แรนทีลก็ขยับเข้ามาแทน ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเฝ้ามองด้วยดวงตาใต้เงาฮู้ดที่เหมือนไม่บอกอะไร แต่เมื่อใกล้พอ ผมกลับเห็นว่ามันสั่นไหวแค่ไหน
แรนทีลยกมือแตะไหล่ผมแผ่วเบา นิ้วเรียวยังสั่นน้อย ๆ “ดูแลตัวเองดี ๆ นะ กินให้มากกว่านี้… พักผ่อนให้เพียงพอ” เขากลืนน้ำลายลงคอช้า ๆ เสียงเบาจนเหมือนลม “ข้าไม่อยากจากไป… แต่ถ้าข้าอยู่ต่ออีกสักนาที ข้าจะไม่มีวันตัดใจได้เลย… ท่านเข้าใจใช่ไหม เซย์เรน”
มือที่วางบนไหล่เปลี่ยนเป็นลูบลงมาตามแขน แล้วประสานกับมือผมแน่น แรนทีลยกมือผมขึ้นแนบหน้าผากตัวเอง ริมฝีปากใต้เงาฮู้ดแตะหลังมือผมแผ่วเบา จูบนี้ไม่ใช่การลาจูบเดียว แต่เหมือนทั้งคำสัญญาและการขอโทษรวมอยู่ในนั้น
“ท่านจะต้องอยู่ให้ได้… ข้าจะกลับมา ไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใด ข้าจะเป็นเสาหลักให้ท่านยืนอย่างมั่นคงอีกครั้ง” เขาปล่อยมือช้า ๆ จังหวะที่ผมพยายามรั้งไว้ แต่เขากลับหันหลังโดยไม่หันกลับมาอีกเลย เพราะเขารู้…ถ้าเขามองกลับมา เขาจะไม่มีวันก้าวไปได้จริง ๆ
เสียงฝีเท้าม้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไปช้า ๆ กึก…กึก… กึก… เบาลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็เงียบหายไปพร้อมเงาของคนที่ผมรักทั้งสอง
ผมยืนนิ่งอยู่กลางลานวังที่กว้างใหญ่แต่กลับว่างเปล่ากว่าอะไรก็ตามที่ผมเคยเจอในโลกเดิม น้ำตาไหลรินไม่หยุด ความเงียบงันปกคลุมจนเหมือนทุกเสียงหายไปจากโลกนี้
‘กี่ครั้งแล้วนะ ที่บอกตัวเองว่าชินแล้ว…แต่สุดท้าย ผมก็ไม่เคยชินสักครั้ง’
ขณะที่ความเจ็บปวดกำลังกัดกินหัวใจ เสียงทุ้มต่ำที่ไม่น่าพิสมัยก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ฝ่าบาท… ช่วงนี้ท่านดูหน้าซีดนะ”
ผมสะดุ้งเล็กน้อย พลางหันกลับไปช้าๆ ซาร์เอลยืนอยู่ตรงนั้น ในชุดหรูหรา ใบหน้าของเขาประดับด้วยรอยยิ้มที่ดูสุภาพ แต่ดวงตาคมกริบคู่นั้นกลับฉายแววเย้ยหยันอย่างชัดเจน
“ให้หมอหลวงมาตรวจอาการดูหน่อยดีหรือไม่?” เขาเอ่ยต่อ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใยจอมปลอม
ผมรู้ดีว่าซาร์เอลไม่ได้ห่วงใยผมเลยสักนิด คำพูดเหล่านี้เป็นเพียงการตอกย้ำความโดดเดี่ยวและอ่อนแอของผมเท่านั้น มันเหมือนคมมีดที่กรีดลงบนแผลสดๆ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ผมทำได้เพียงแค่ฝืนยิ้ม
“ไม่จำเป็นหรอก ซาร์เอล” ผมตอบเสียงเรียบ พยายามทำให้ดูปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ข้าแค่พักผ่อนไม่เพียงพอเท่านั้น”
ซาร์เอลหัวเราะเบาๆ ดวงตาของเขาสแกนสำรวจใบหน้าซีดเซียวของผมอย่างจงใจ “เช่นนั้นก็ดี... แต่ข้าเป็นห่วงยิ่งนัก เห็นท่านดูซูบผอมลงไปมาก หากทรงประชวรไป จะทำให้เหล่าขุนนางเป็นกังวลได้นะ”
คำพูดนั้นเหมือนกำลังย้ำเตือนว่าผมไม่ได้มีค่าอะไรไปมากกว่าสัญลักษณ์ที่ต้องดูดีในสายตาผู้อื่น ผมกำหมัดแน่นใต้แขนเสื้อ พยายามระงับอารมณ์โกรธที่ปะทุขึ้นมา
“ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี” ผมตอบสั้นๆ ไม่ต้องการสนทนาต่ออีกแม้แต่น้อย
ซาร์เอลยังคงยิ้มมุมปาก ก่อนจะโค้งคำนับเล็กน้อย “ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น ท่านพี่… ไว้มีโอกาส ข้าจะแวะมาเยี่ยมท่านอีกนะ”
แล้วเขาก็เดินจากไปอย่างช้าๆ ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกขยะแขยงและคับแค้นใจที่ปะปนกับความเดียวดายที่แสนหนักหน่วง ผมยืนอยู่ตรงนั้น มองตามหลังซาร์เอลไปจนลับตา แสงแดดยามเช้าดูเหมือนจะมืดมิดลงไปถนัดตา
...
ความมืดมิดของยามสนธยากลืนกินผืนป่าทึบ แสงจันทร์เลือนรางสาดส่องลงมาระหว่างกิ่งไม้ที่บิดเบี้ยว เมื่อแรนทีลเร่งควบม้าฝ่าความเงียบสงัด เสียงฝีเท้ากระทบพื้นดินดังเป็นจังหวะหนักแน่นนำทางเขาเข้าสู่ส่วนลึกของป่าต้องห้าม
แต่ก่อนที่เขาจะจมดิ่งสู่ความมืดมิดเหล่านั้น แรนทีลได้หยุดม้าลงชั่วครู่ ดวงตาคมกริบภายใต้เงาฮู้ดกวาดมองไปรอบตัวอย่างระมัดระวัง เมื่อแน่ใจว่าปราศจากผู้ใด เขาจึงยกมือขึ้นช้าๆ ร่ายมนตร์โบราณที่แทบไม่มีใครล่วงรู้
แสงเวทสีเงินเรืองรองก่อตัวขึ้นในฝ่ามือ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นประกายระยิบระยับของผีเสื้อจำนวนหนึ่ง ผีเสื้อเหล่านั้นไม่ได้มีสีสันธรรมดา แต่ละตัวมีปีกที่เรืองรองด้วยสีที่เป็นเอกลักษณ์ของเหล่าสวามี
แรนทีลพยักหน้าเล็กน้อย ความนิ่งสงบฉายชัดบนใบหน้า แต่ในแววตากลับมีประกายแห่งความเด็ดขาด เขาเงยหน้ามองฝูงผีเสื้อที่โบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืนราวกับอธิษฐาน
ป่าต้องห้าม...ดินแดนที่ซ่อนเร้นด้วยพลังลึกลับและความไม่แน่นอน ทุกก้าวที่ย่างลึกเข้าไปยิ่งเหมือนเดินอยู่บนเส้นแบ่งบาง ๆ ระหว่างชีวิตกับหายนะ แม้กระทั่งแรนทีลที่ช่ำชองการใช้เวทยังรับรู้ได้ชัดว่าบางอย่างในที่นี้กำลังจำกัดเขาทีละน้อย เวทเคลื่อนย้ายหรือเวทสื่อสารถูกกดจนไร้ทางใช้ เหมือนถูกตัดขาดจากโลกเดิมโดยสมบูรณ์
เขากลืนน้ำลายลงคอช้า ๆ ก่อนจะขยับม้าผ่านแนวพุ่มไม้สู่ลานโล่งเล็ก ๆ ที่เบื้องหน้ามีลำธารไหลผ่าน สายน้ำเย็นจัดกระทบแสงจันทร์เป็นประกายสีเงิน อากาศไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไป เหมาะจะหยุดพักเพื่อรอรุ่งสาง
ตามแผนที่ที่ซาร์เอลอ้างไว้ ตำแหน่งของพลังงานเวทใหม่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ทว่าตลอดทางแรนทีลกลับยังไม่อาจสัมผัสมันได้เต็มที่ เหมือนมีกำแพงบางอย่างบดบังไม่ให้เขารู้แน่ชัดว่ากำลังจะเจอสิ่งใด
แรนทีลลงจากหลังม้า ย่อตัวแตะผืนดินใกล้ลำธาร ความเย็นชื้นซึมผ่านฝ่ามือเป็นเครื่องย้ำเตือนว่าเขาอยู่ห่างจากบ้าน และห่างจากใครบางคนที่เขาอยากอยู่เคียงข้างเกินกว่าจะเอ่ยเป็นคำ
“คืนนี้ พักที่นี่" น้ำเสียงของเขาราบเรียบ ทว่าแฝงความเคร่งเครียดอยู่ลึก ๆ
“ขอรับ นายท่าน” ผู้ติดตามคนสนิททั้งสองขานรับพร้อมกัน ก่อนจะแยกย้ายกันไปจัดการกางเพิงพักและดูแลม้าให้สงบเงียบ
แรนทีลยืนขึ้นเต็มความสูง วาดมือขึ้นเหนือศีรษะ เสียงร่ายเวทแผ่วต่ำดังลอดออกมาจากริมฝีปาก แสงเวทสีเงินทอดตัวเป็นแนวอักขระโบราณรอบพื้นที่ พลังจากมือเขาแทรกผ่านดินหินและอากาศ สานกันเป็นอาณาเขตป้องกันรอบทิศทาง ป้องกันทั้งการบุกรุกจากสิ่งมีชีวิต และพลังงานแปลกปลอมที่อาจลอบกัดได้ทุกเมื่อ
ในเวลาเดียวกันนั้น ไคเรนผู้มุ่งหน้าสู่ทิศเหนือเพื่อภารกิจเจรจาการค้า ได้หยุดพักในเมืองเล็ก ๆ ริมเส้นทางการค้าตะวันตกเฉียงเหนือ เมืองนี้ไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่เพราะตั้งอยู่บนทางผ่านหลัก จึงมีบ้านพักและคอกม้าที่เขาใช้เป็นที่พักชั่วคราวอยู่แล้ว
ค่ำคืนนี้ ไคเรนนั่งอยู่ในห้องพักบนชั้นสองของอาคารไม้ แสงตะเกียงสลัวสาดเงาให้เห็นใบหน้าครุ่นคิดที่ทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ถนนหินกรวดด้านล่างเงียบสงัดยามวิกาล เสียงลมหอบหนึ่งพัดผ่าน ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นกดขมับ ความเหนื่อยล้าถูกกลบด้วยเงื่อนไขนับร้อยที่วิ่งวนในหัว
ตั้งแต่ยอมก้าวเข้าไปในเกมของซาร์เอล เขาก็รู้ดีว่าตนกำลังเดินอยู่บนเส้นด้าย แต่สิ่งที่รบกวนใจยิ่งกว่าคือรัชทายาทผู้ที่เขาสาบานจะรักและปกป้อง
‘หากพวกเราทุกคนต่างก็อยู่คนละทิศ… แล้วเจ้าจะทำอะไรกับเซย์เรนได้?’ ไคเรนกัดฟันข่มคำถามนั้นในใจ รู้ดีว่าซาร์เอลไม่เคยคิดทำอะไรเพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ ถ้าอีกฝ่ายลงมือ ต้องมั่นใจว่าตัดทางหนีทีไล่ได้หมดแล้ว
‘หรือแม้แต่เฟลด์… จะถูกแยกออกไปอีกคน?’ เพียงแค่คิด ไหล่กว้างก็รู้สึกหนักขึ้นราวกับมีโซ่ล่าม ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเผื่อแผนสำรอง แต่หากคนที่เหลืออยู่ข้างเซย์เรนมีแค่เฟลด์เพียงคนเดียว เขาไม่ไว้ใจเลยว่าคนอย่างซาร์เอลจะไม่ซ่อนอะไรเอาไว้ในมืออีก
ไคเรนก้มหน้าลูบหลังมือที่สวมแหวนสลักอักขระ เขาได้แต่วางกับดักเล็ก ๆ ไว้กับทุกสิ่งเท่าที่ทำได้ แต่รู้ดีว่ามันไม่พอ หากอีกฝ่ายเดินเกมซ้อนเกมเมื่อไหร่ ทุกอย่างอาจพังทลายลงต่อหน้า
เขาดึงลิ้นชักใต้โต๊ะออก หยิบจดหมายลับฉบับสั้นที่เขียนด้วยลายมือของตัวเอง ซ่อนรหัสเล็ก ๆ เอาไว้ให้คนของเขาที่ฝังอยู่ในวังได้อ่าน หยิบเทียนขึ้นมาใช้ลนตรงครั่งปิดผนึกอย่างระวัง
“รอข้า...เซย์เรน” เสียงทุ้มพร่าเอ่ยเบา แฝงทั้งคำสัญญาและความเจ็บหน่วงที่ยังต้องเก็บไว้ข้างใน
เขาลุกขึ้น จัดชายเสื้อคลุม รวบเอกสารทั้งหมดลงในกล่องหนังเพื่อเตรียมส่งต่อให้คนของเขาก่อนออกเดินทางต่อในรุ่งสาง ไม่ว่าซาร์เอลจะวางแผนซ้อนกี่ชั้น อย่างน้อยเขาจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องคนของเขาได้ง่าย ๆ
เมื่อคณะเดินทางของไคเรนมาถึงเมืองท่าทางเหนือ แสงไฟจากคฤหาสน์ของขุนนางท้องถิ่นที่รับหน้าที่จัดงานเลี้ยงก็ต้อนรับเขาอยู่ก่อนแล้ว พลธนูและทหารยามเรียงแถวตลอดแนวทางเดิน ป้ายผ้าไหมปักตราสัญลักษณ์การค้าถูกประดับตามแนวเสาไฟ เสียงฆ้องและเครื่องสายท้องถิ่นบรรเลงแผ่วรอรับผู้มาเยือน
รถม้าคันหน้าสุดหยุดลงตรงลานกว้างที่ปูด้วยศิลาหิน ไคเรนก้าวลงพร้อมผู้ติดตาม ผู้ว่าการเมืองและขุนนางชั้นรองต่างโค้งศีรษะให้เขาในทันที สายตาทุกคู่ล้วนเต็มไปด้วยความเคารพปนหวาดเกรง ไม่มีใครกล้าเอ่ยเสียงสูงแม้แต่คำเดียว
“การเดินทางเหน็ดเหนื่อยนัก หวังว่าที่นี่จะรับใช้ท่านได้สมเกียรติ” ผู้ว่าการก้มศีรษะต่ำ ขณะที่ไคเรนเพียงพยักหน้ารับ แววตาเขานิ่งสนิทใต้แสงตะเกียงน้ำมัน ลมหายใจไม่ไหวเอนแม้ในยามยืนนิ่งท่ามกลางลมหนาวจากป่าทางเหนือ
เมื่อเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ แสงไฟจากเชิงเทียนและตะเกียงน้ำมันสะท้อนแผ่นป้ายทองประดับผนัง ข้าวของล้วนหรูหราอ่อนช้อยตามวิสัยขุนนางท้องถิ่นผู้ต้องการเอาใจ แขกผู้มีเกียรติถูกเชื้อเชิญให้ประจำที่โดยรอบ เว้นเฉพาะหัวโต๊ะยกพื้นที่สงวนไว้ให้เขาเพียงผู้เดียว
งานเลี้ยงดำเนินไปด้วยเครื่องดื่มชั้นดี เนื้อป่าหายากที่ถูกปรุงกลิ่นเครื่องเทศจนหอมลอยทั่วห้อง ทุกจานถูกจัดเสิร์ฟอย่างประณีต ไคเรนเพียงละเลียดไปคำสองคำ สายตาเขามักทอดผ่านผู้คนที่มองมาอย่างจับจ้อง หลายคนไม่กล้าสบตาตรง แต่ก็อดชำเลืองขึ้นมองใบหน้าขุนนางใหญ่ไม่ได้
“พวกเธอล้วนเป็นสาวงามที่คัดมาอย่างดีจากคฤหาสน์ทางตะวันตก ท่านจะให้รับใช้คืนนี้หรือให้จัดแยกห้องตามอัธยาศัยก็ได้ ขอเพียงสั่ง” ขุนนางผู้ว่าการก้มลงกระซิบข้างตัวพร้อมผายมือไปยังกลุ่มหญิงสาวในชุดผ้าโปร่งสีอ่อนที่นั่งพับเพียบรออยู่มุมห้อง พวกเธอต่างก้มหน้า ไม่กล้าสบตา ใบหน้าแต่งแต้มกลิ่นหอมบางจางเหมาะกับฤดูหนาว
ไคเรนปรายตามองพวกเธอเพียงครู่เดียว ก่อนวางจอกเหล้าในมือ น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่งราวคำพิพากษา “จัดให้เรียบร้อย ใครอยากอยู่ก็ตามใจ ใครไม่เต็มใจไม่ต้องฝืน”
เพียงเท่านั้น ข้ารับใช้ก็ก้มศีรษะรับคำ บรรยากาศรอบตัวเขาไม่มีผู้ใดกล้าหัวเราะเอิกเกริกหรือส่งเสียงดังจนเกินงาม ทุกคนรู้ดีว่าภายใต้รอยยิ้มอ่อนที่ปรากฏบนริมฝีปากขุนนางใหญ่ผู้นี้ มักซ่อนดาบคมไว้อยู่เสมอ
ห้องพักชั้นบนสุดถูกจัดเตรียมอย่างดี ผ้าเนื้อหนานุ่ม ไวน์ชั้นเลิศและอ่างน้ำอุ่นถูกเตรียมพร้อม หญิงสาวบางส่วนถูกพาขึ้นไปเงียบ ๆ ตามที่เขาอนุญาต แต่ใครเล่าจะรู้ว่าแม้ภายนอกจะดูรื่นรมย์เพียงใด แววตาของไคเรนเมื่อเหลียวกลับไปมองทางหน้าต่าง ยังคงเย็นและไม่เคยปล่อยให้ตัวเองลืมว่าเขากำลังยืนอยู่ในเกมที่ไม่มีใครเชื่อใจได้แม้แต่คนเดียว
เมื่อสาวงามทั้งสามถูกพาขึ้นมาส่งถึงหน้าห้องพัก ไคเรนเพียงพยักหน้าให้ผู้ติดตามถอยออกไป เงียบจนในห้องได้ยินเพียงเสียงไฟในเตาผิงแตกเปาะ พวกเธอก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาแม้แต่แวบเดียว
“นั่ง” เขาเอ่ยเสียงเรียบ สาวงามทั้งสามจึงค่อย ๆ ทรุดตัวนั่งพับเพียบบนพรมข้างเตียง สองมือวางซ้อนบนตัก เงยหน้าขึ้นอย่างเกร็ง ๆ รอคำสั่ง
ไคเรนยืนทอดสายตาอยู่ริมหน้าต่าง เนื้อผ้าคลุมหนาหนักสะท้อนแสงไฟสลัว ใบหน้าใต้เงาตะเกียงดูสงบเย็น แต่ดวงตาเขากลับเหมือนมองผ่านทุกสิ่งไปยังสนามอำนาจที่ห่างออกไปไกล
เขาเดินกลับมาวางดาบสั้นประจำตัวบนโต๊ะ นิ้วเรียวที่ประดับแหวนแตะขอบถ้วยไวน์ ก่อนจะยกขึ้นจิบเพียงครู่
“หากเหนื่อย พวกเจ้าอยากพักก็พัก ไม่ต้องฝืน” น้ำเสียงทุ้มของเขาดังขึ้นในที่สุด นุ่มแต่หนักแน่น พวกเธอมองหน้ากันอย่างลังเล ก่อนหญิงคนหนึ่งรวบรวมความกล้าเอ่ยเสียงเบา “หากนายท่านต้องการให้พวกเรา...”
“ข้าไม่ต้องการใคร" เขาตัดถ้อยนั้นทิ้งทันที ดวงตาคมหันมามองตรง หญิงสาวที่เผลอสบตากับเขาถึงกับตัวสั่นแล้วรีบก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม
ไคเรนถอนหายใจแผ่ว เหมือนคนที่รู้ว่าหากจะใช้ร่างกายปลอบใจตัวเอง ก็ไม่เคยมีสิ่งใดปลอบเขาได้จริง
เขาวางถ้วยไวน์ลงบนโต๊ะ ปลดกระดุมเสื้อคลุมออกทีละเม็ด เผยให้เห็นกล้ามแขนแน่นใต้เสื้อผ้าชั้นในสีเข้ม พวกเธอชำเลืองเห็นแล้วก็ยิ่งก้มหน้าลง ลมหายใจแน่นขนัดไปทั่วทั้งห้อง
แต่ไคเรนกลับเพียงนั่งลงข้างเตียง ถอนดาบสั้นออกจากฝักตรวจสภาพใบมีดทีละนิ้ว ก่อนจะเก็บเข้าที่เดิมอย่างระมัดระวัง
ทุกการเคลื่อนไหวของเขาแม้เงียบเชียบ แต่กลับเต็มไปด้วยแรงกดดันที่บอกชัดว่าหากใครคิดล่วงเกินแม้เพียงครึ่งก้าว ผลลัพธ์จะไม่ต่างจากใบมีดในมือที่เงาวับคมกริบ
เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเขายังนิ่งเย็น เสียงเตาผิงแตกดังเปาะอีกครั้ง พวกเธอไม่มีใครกล้าแม้แต่จะลุกหนีหากไม่ได้รับอนุญาต
ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีเสียงรื่นรมย์เหมือนงานเลี้ยงด้านล่าง มีเพียงเงาร่างขุนนางใหญ่ที่นั่งอยู่กับความคิดมากมาย ความเคารพที่ทุกคนมีให้ เขารู้ดีว่ามันคือดาบสองคมที่ไม่มีวันปลดวางได้ตราบใดที่เขายังมีคนให้ต้องปกป้อง
สาวงามหนึ่งในนั้นค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ทีละน้อย ชัดเจนว่าถูกสอนมาให้ยั่วยวนตามหน้าที่ ทุกอย่างถูกจัดวางเพื่อให้ผู้เป็นนายได้ผ่อนคลายร่างกายและหัวใจ
อีกสองคนยังคงนั่งสงบนิ่งอยู่ข้างหลัง มีเพียงเธอที่ก้าวเข้ามา ดวงตากลมโตฉายแววประหม่า ใบหน้าแต่งแผ่วบางจนปลายหูและแก้มมีสีแดงระเรื่อ เธอหยุดอยู่ข้างเขาเพียงคืบ มือเรียวค่อย ๆ วางลงบนไหล่กว้างที่ยังคลุมด้วยผ้าคลุมหลวม ๆ
“นายท่านเหนื่อยนัก… ให้ข้าช่วยผ่อนคลายเถิด…” เสียงเธอสั่นน้อย ๆ แต่ยังพยายามแตะต้นแขนเขาเบา ๆ กลิ่นน้ำมันหอมที่ทาไว้แตะจาง ๆ ที่ปลายจมูก แผ่วอุ่นจนหัวใจคนเข้าใกล้สั่นระริก
ไคเรนหลุบตามองมือเรียวบนไหล่ตน ก่อนเงยสายตากลับขึ้นอย่างเชื่องช้า ชั่ววูบนั้นเขาเห็นเพียงภาพซ้อนทับ ดวงตาคู่นั้นไม่ใช่ของหญิงสาวตรงหน้า แต่เป็นดวงตาสีอ่อนของรัชทายาทผู้ที่เขาสาบานจะรักและปกป้อง …ริมฝีปากที่แค่นยิ้มเยาะอย่างไม่เคยอ่อนให้ใคร
‘เซย์เรน…’ เขานึกเรียกในใจ นิ้วมือเย็นเฉียบขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ
“ท่าน…” หญิงสาวตรงหน้าเอ่ยเสียงแผ่วเมื่อมือเขายกขึ้นจับข้อมือเธอไว้ หล่อนไม่กล้าดึงกลับ แต่ก็สั่นน้อย ๆ เมื่อไคเรนบีบแน่นขึ้นเพียงเล็กน้อย
“พอ” น้ำเสียงนั้นไม่ได้ดัง แต่หนักแน่นจนเธอชะงักค้าง
เขาคลายมือออกช้า ๆ สายตาคมยังคงว่างเปล่าเหมือนมองผ่านเธอไปไกลแสนไกล “กลับไปนั่งเถอะ” เขาว่าเพียงเท่านั้น ก่อนจะหันหน้าไปทางหน้าต่างที่เปิดให้ลมหนาวพัดผ่าน ราวกับความเยียบเย็นนี้ยังดีกว่าความร้อนรัญจวนที่เขาไม่อาจปล่อยให้แตะตัวได้
หญิงสาวค่อย ๆ ชักมือกลับ ก้มหน้าลงอย่างไม่กล้าเอื้อนเอ่ยคำใด เธอถอยกลับไปนั่งข้างเพื่อนทั้งสอง เงียบงันทั้งห้องมีเพียงเสียงลมหายใจสลับกับเสียงไม้ฟืนในเตาผิง
ไคเรนยกมือขึ้นลูบแหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย สัมผัสของโลหะเย็นทำให้หัวใจเขาเต้นเป็นจังหวะที่แตกต่าง ดวงตาคมยังทอดไปในความมืดของเมืองทางเหนือ แต่ภาพในหัวมีเพียงใบหน้าดื้อรั้นที่เขาอยากเก็บไว้ข้างกายไม่ให้ใครแตะต้อง
หากเป็นเซย์เรน… ต่อให้ยื่นดาบมาให้ตัดมือเขาเอง เขาก็จะยอมวางทุกอย่างไว้ที่ปลายคมมีดนั้นแต่โดยดี
แต่สำหรับใครอื่น… ต่อให้ถูกวางตรงหน้าอย่างอ้อนวอนเพียงใด เขาก็ไม่มีวันให้ได้แม้แต่เศษใจ
เมื่อหญิงสาวทั้งสามถูกพาออกไปแล้ว ทั้งห้องก็กลับไปสู่ความว่างเปล่าอีกครั้ง ไคเรนนั่งนิ่งบนเตียง เนื้อผ้าเสื้อคลุมพาดกองอยู่ข้างหมอน ทิ้งให้ผิวกายเปลือยเปล่าสัมผัสอากาศเย็นจนร่างกายตึงไปหมด
ยิ่งอยู่ไกลกันเท่าไร ภาพของเซย์เรนยิ่งชัด รอยยิ้มเย็นชา ดวงตาสีอ่อนที่เคยมองสบกันในคืนที่เขากอดอีกฝ่ายแน่นราวกับจะกลืนหายเข้าไปในร่างเดียวกัน เสียงเรียกชื่อเขาที่ถูกกลืนอยู่ในริมฝีปากเปียกชื้น ทุกอย่างมันกลับมาแทบพร้อมกันในหัว
เขาหลับตา สูดลมหายใจลึกเหมือนจะดับไฟในอก ความร้อนซ่านแล่นไปทั่วร่างจนไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป มือข้างหนึ่งค่อย ๆ เลื่อนลงไล้ผิวกายของตัวเอง สัมผัสมันแผ่วเหมือนกลัวจะปลุกเศษความจริงที่ไม่อาจเอื้อมถึง
ริมฝีปากเม้มแน่นแต่ก็ไม่อาจกลั้นเสียงแผ่วในลำคอได้หมด ความฝืดร้อนในอกกลับยิ่งผลักให้เขากำชับแรงขึ้นทีละน้อย
เสียงลมหายใจขาดเป็นช่วง ริมฝีปากเขาเผยอแผ่ว เหมือนจะเอ่ยชื่อใครสักคนแต่กลืนมันกลับเข้าอก เพราะรู้ว่าต่อให้ปลดปล่อยสักกี่ครั้ง สิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ ก็ไม่ใช่สัมผัสของมือตัวเอง
มันต้องเป็นฝ่ามือของเซย์เรน ริมฝีปากของเซย์เรน ทั้งร้อน ทั้งดื้อ ทั้งหวาดหวั่น ทั้งโหดร้ายในเวลาเดียวกัน
เสียงเตาผิงแตกดังเปาะ แข่งกับเสียงลมหายใจของเขาที่ขาดเป็นห้วง เนื้อตัวสั่นระริกเมื่อใกล้ถึงปลายทาง ความสุขสมที่แล่นซ่านขึ้นตามสันหลังกลับแลกมากับหยดน้ำใสที่คลออยู่ใต้เปลือกตา
เขาปล่อยเสียงครางต่ำในลำคอ ความร้อนแตกกระจายคามือที่กำแน่น สะโพกกระตุกตามแรงขยับสุดท้าย ก่อนจะทรุดนิ่งพิงพนักเตียง ปล่อยให้เหงื่อไหลซึมตามไรผมและแผ่นอกเปล่าเปลือย
"ข้าอยากสัมผัสท่านเหลือเกิน..."
Talk with me
น่าสงสารสัมมี...
รีบกลับมาปลอบลูกเราด่วน!!!
สนุกมากครับ มาต่อแล้ว เย่เย้
แต่ตอนนี้ สร้างบรรยากาศเหงาเศร้าได้อย่างยิ่งยวดเลยครับ
ผ่านไปสองคนละ อีกสองคนจะเป็นยังไงนะ รอติดตามต่อนะครับ
ขอบคุณครับ ขอขอบคุณมากๆนะครับ
หน้า:
[1]